ข้อคิด

ทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา

March 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 693 views 0

เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คือข้อธรรมที่เผยแพร่เป็นที่รู้กันโดยมาก เนื้อหาสั้น ๆ เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่จริง ๆ เข้าใจได้ยากมาก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสมันจะบังไว้ไม่ให้เห็นธรรม จะมีก็แค่ได้เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชีวิตไม่เจอสัตบุรุษ ไม่มีทางเห็นธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้เลย

คนทั่วไป เมื่อมีทุกข์จากความรัก เขาจะไม่สามารถย่อยทุกข์นั้นไปเพิ่มเป็นปัญญาได้ เขาทำได้แค่เปลี่ยนทุกข์นั้นเป็นตัณหา

เช่นเขาอกหัก ช้ำรัก เขาก็เอาความทุกข์นั้นแหละ เป็นพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้น่าเสพมากขึ้น คือเอาไปเพิ่มกามเพิ่มอัตตา เพื่อที่จะได้เพิ่มกำลังในการล่อลวงหลอกใจคนให้หลงในตัวตนของเขามากขึ้น หรือไม่ก็ไปเพิ่มข้อเรียกร้องในการเลือกคู่ให้มากขึ้น กลัวมากขึ้น กังวลมากขึ้น หวังจะเสพสุขที่มากขึ้นจากความผิดหวังในความรัก

ถ้าไม่ไปเพิ่มฝั่งกาม คือฝั่งหาคู่ยิ่ง ๆ ขึ้น ก็เพิ่มฝั่งอัตตา คือยึดดี ยึดมั่นถือมั่น เกลียดความรัก ชังความรัก เหม็นความรัก เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือจริง ๆ ตัวเองต้องการเสพความรัก แต่มันเจ็บ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยกดไว้ด้วยความเกลียดชัง ยึดดีถือดี

คนโลกีย์เขาก็ทำได้แค่เท่านี้ ไปได้สองฝั่ง ไม่กามก็อัตตา นรกทั้งสองฝั่ง

ที่ว่าทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา นั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพื่อที่จะใช้ทุกข์นั้นเป็นตัวพิจารณาในการละหน่ายคลายจากความหลงรัก ใช้ทุกข์นั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจธรรมะ เข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีรักเลย ไม่ทุกข์เลย คือสภาพจิตเช่นใด

มันจะเป็นปัญญาก็ตรงนี้ ตรงที่ใช้ประโยชน์ให้ถูก คือใช้ทุกข์มาเป็นเครื่องมือในการล้างโลภ โกรธ หลง ถ้าเอาทุกข์ไปใช้เพิ่ม โลภ โกรธ หลง อันนั้นจะกลายเป็นว่าทุกข์คืออาหารของตัณหา

แม้ทุกข์แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน แต่จิตคนต่างกัน มีความเห็นความเข้าใจต่างกัน ก็จะปฏิบัติต่างกันไป

ดังนั้นเวลาศึกษาธรรมก็ระวังให้ดี ไปเจอคนมิจฉาทิฏฐิเรื่องความรักสอนธรรมนี่จะไปคนละทิศเลย คือไปทิศเพิ่มตัณหา เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ เพิ่มความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

ทำดีไม่ควรน้อยใจ

March 8, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 657 views 0

คนทำดีนี่ส่วนใหญ่เขาก็ทุ่มเททั้งหมดเท่าที่เขาเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีนั่นแหละ แล้วที่นี้พอดีนั้นไม่เป็นดั่งใจหวัง เช่น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าดีบ้าง ไม่เกิดผลดีบ้าง ไม่ดีจริงอย่างที่หวังบ้าง ก็อกหักอกพังน้อยเนื้อต่ำใจ

ขันติ คือตบะเผากิเลสอย่างยิ่ง ขันติคือความทน แกร่ง อึด ต่อความหวั่นไหว ความทนนี่แหละคือไฟที่จะเผาความท้อแท้หดหู่เศร้าหมอง วิธีทำดีอย่างไม่มีท้อ คือทนทำดี

ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) มีประโยคทองที่ว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” นี่คือประโยคที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแกร่ง ทน อึด ต่อสภาพที่น่าผิดหวัง น่าหวั่นไหวทั้งหลาย แถมยังทิ้งการหวังผลไปไกลแบบข้ามภพข้ามชาติ การใจเย็นข้ามชาติไม่ได้หมายความว่าจะไปหวังผลชาติหน้า แต่หมายถึงใจเย็นไปเรื่อย ๆ ทำดีไปเรื่อย อย่างไม่มีกำหนดจะท้อ

เป็นกรรมฐานหนึ่งที่ผมถือไว้อาศัยฝึกใจเช่นกัน ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกระหว่างบำเพ็ญประโยชน์อยู่ที่ค่ายอบรม หลายปีก่อน ณ ขณะนั้นมันก็ยังมีความยึดดี ความหวังให้เกิดดีอยู่มาก ความสงสัยว่าทำไมดียังเกิดไม่ได้ ยังไม่ให้ผล ฟุ้งซ่าน หลอกหลอนอยู่ในใจ

พอได้ยินว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” เท่านั้นแหละ จบเลย อ้อนี่ เราไปตั้งภพ ไปตั้งเวลาไว้เองว่ามันจะต้องเกิดดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนั้นตอนนี้ ถ้าเราทำดีแบบไม่หวังผลตรงนี้ เราก็จะเบา เราไปแบกความคาดหวังไว้เอง ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่หน้าที่เรา เรากำหนดผลกรรมไม่ได้ว่าจะออกมาแบบไหนเมื่อไหร่ เรากำหนดได้แค่ปัจจุบันเราจะทำดีหรือไม่ทำดีหรือทำชั่วเท่านั้นเอง

บางทีชีวิตมันก็ต้องการคำง่าย ๆ คำสั้น ๆ แค่นี้แหละ แต่จำเป็นต้องมีคุณภาพ เป็นสัจจะที่พาพ้นทุกข์ น่าเสียดายที่ยุคปัจจุบันไม่สามารถทำให้ดีเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่านี้ไปได้ ก็ดีได้เท่านี้ เผยแพร่ได้เท่านี้

ถ้าผมจะน้อยใจจริง ๆ นะ ผมน้อยใจไปนานแล้ว ก็ดูสิ เขาสอนธรรมะกันก็สอนกันไปทางโลภ โกรธ หลง สอนธรรมะกันยังสอนให้ยินดีในการมีคู่ มีเพื่อนมาร่วมศึกษา ก็โดนคนเห็นผิดชักจูงไปทางที่ผิด แถมยังเจอพวกผิดศีล เน่าใน ปะปนมาในสังคมคนดีอีก มันน่าท้อน่าหดหู่ขนาดไหน แค่เห็นยังท้อเลย

ถ้าผมไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทนทำตัวอย่างให้ดูนี่ผมท้อและเลิกไปนานแล้ว ไม่มาพิมพ์หรอกบทความเนี่ย เงินก็ไม่ได้ (555) แถมบางทีโดนด่าอีก แต่ก็มีคนยินดีอยู่ ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่คิดว่าไม่มากเท่าไหร่ เดา ๆ ว่าได้ผลในขั้นทำให้คนตระหนักเฉย ๆ ไม่ได้มีผลลึกซึ้งมาก

แถมน้องที่เขามาศรัทธาเราก็ยังตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มอีก เอาเข้าไป ชีวิตนักปฏิบัติธรรมมีแต่ความผิดหวัง สูญเสีย ไม่ประสบผลสำเร็จ แถมมีหนอนกินเนื้อในอีก มันน่าจะหมดหวังแล้วเอาตัวไปแปะในสังคมดี ๆ สักแห่งแล้วขัดส้วมล้างจานไปวัน ๆ ซะจริง ๆ

ที่ผมยังอึด ยังอดทนอยู่นี่เพราะมีที่พึ่งที่ดี มีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นที่พึ่ง มีครูบาอาจารย์ที่อึดแสนอึด ทนแสนทนเป็นตัวอย่าง ให้ผมรู้ว่าผมยังแกร่งได้กว่านี้ ยังทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ แค่เราอดทนทำไป อย่างผู้แพ้นี่แหละ ในทางโลกเนี่ยเรียกว่าแพ้ได้เลย เพราะอยู่ก็ไม่ใช่ประโยชน์ใหญ่นัก และถ้าตายไปก็หายหมด ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างสังคมไว้แน่นแล้ว

แต่จริง ๆ ผมก็ชนะนะ เพราะเราเองก็มีภูมิแค่นี้แหละ แค่พิมพ์บทความได้ก็พอหากินได้แล้ว มันก็ดีได้เท่าที่มีความสามารถนี่แหละ คือเก่งสุดคือทำดีได้แค่ขั้นนี้แหละ ที่ว่าแพ้มันก็เพราะเราอยากให้เกิดดีมากเกินไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามองดี ๆ แค่เราอดทน อึด พากเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการชนะโดยลำดับ คือชนะใจตัวเองไปเรื่อย ๆ แกร่งไปเรื่อย ๆ สิ่งนี้แหละที่สำคัญกว่า

โลกจะเป็นอย่างไรก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป เราทำได้แค่ทำดี แล้วใจเย็นข้ามชาติเท่านั้นเอง อย่างน้อยดีที่ทำ ก็เป็นดีให้เราอาศัย ให้เราดำรงอยู่ ก็อยู่ไปล้างกิเลสไป ฟังธรรมปฏิบัติตามอาจารย์สอนไปเรื่อย ๆ ประโยชน์ข้างนอกไม่เกิดไม่เป็นไรหรอก ประโยชน์ในเราเกิด ก็พอแล้ว

ถ้าเราพอใจในผล ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนี่ย มันจะจบเลยนะ ความท้อแท้น้อยใจจะไม่มี ถ้าเรายอมรับความจริงตามความเป็นจริง แม้กำไร 1 บาท ก็ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นดีที่ควรยินดีจะรับผลนั้น ๆ แม้เราจะลงทุนไปหลายล้านก็ตามที

กำไร 1 บาท ก็ไปเพิ่มทุนในครั้งต่อไปยังไงล่ะ มันก็ทบไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ ทีละนิดละหน่อย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่ควรเป็นผู้ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย

ประมาทนั้น หมายถึง การมีจิตดูถูก ชิงชัง รังเกียจในกุศลแม้น้อยนั่นด้วย ดังนั้นเราจึงควรยอมรับดีที่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งนั้นมันจริงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ความฝัน

ความวนเวียนในความรัก

March 5, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 745 views 0

ความวนเวียนในความรัก

กิเลสคือสิ่งที่จะทำให้เรายินดีในการหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ความรักก็เช่นกัน ความรักนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะรัดและมัดคนไว้กับโลกนี้ ผูกไว้กับความทุกข์ ตรึงไว้ด้วยความเศร้าหมอง

ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใดในความรัก ล้วนมีทุกข์แทรกอยู่เสมอ แต่ก็อยู่ที่ว่าใครจะมองทุกข์นั้นเห็น และอยู่ที่ว่าใครจะทำให้เหตุการณ์นั้น ๆ เป็นที่สุดแห่งทุกข์ คือ พอเสียทีกับทุกข์นี้ ไม่ทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว

ความรักนั้น มีความหลงเป็นจุดเริ่ม แล้วก็จะแสวงหาคือพยายามหาสิ่งที่จะเข้าไปรัก เมื่อได้แล้วก็อยากได้ขึ้น โลภมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้สมใจก็จะโกรธ อึดอัด ขุ่นเคือง หงุดหงิดในใจ เป็นฝุ่นในใจให้คอยรำคาญอยู่เสมอ สุดท้ายก็หลงวนเวียนไปหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะได้ตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างไม่รู้จุดจบ

ความรักนั้นคือสิ่งที่พาวนในอารมณ์ต่าง ๆ ที่พาให้เศร้าหมอง ตั้งแต่ความหลง เมื่อหลงก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์หรือเพื่อความทุกข์ เมื่อได้ยินได้ฟังเขาว่ามา ว่ารักนั้นเป็นสุข เป็นสิ่งที่ควรครอบครอง เมื่อไม่มีปัญญารู้โทษภัยผลเสียที่แท้จริงของมัน ก็จะรู้สึกว่ารักนั้นไม่มีโทษไม่มีภัย หรือเห็นว่ามีโทษน้อยกว่าคุณ หรือเห็นว่าแม้จะมีทุกข์อยู่แต่ก็ยังมีคุณค่าพอที่จะรัก ความหลงนี้เองคือสิ่งที่ทำให้คนเกิดแรงผลักดันไปแสวงหารัก

รัก… เมื่อหลง ก็จะแสวงหาความรัก การดิ้นรนไปเพื่อหามาเสพ หรือการปั้นตัวตนขึ้นมาให้น่าเสพ ไม่ว่าจะวิ่งหา หรือทำตัวเองให้น่าสนใจ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น เสียพลังงาน เสียเวลา เสียทุนทรัพย์ แต่คนหลงจะไม่หยุดถ้าไม่ได้มาซึ่งสิ่งเสพที่ตนหมายปอง นี้คือทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ทุกข์เพราะอยาก ดิ้นรน แสวงหา ไขว่คว้า ฝันใฝ่ ฯลฯ

โลภ… ความโลภนั้นเกิดตั้งแต่หลง คืออยากได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ แต่ด้วยความโลภ จึงพยายามทำให้เขายินดีให้ คอยจีบ คอยเอาใจ คอยให้ท่า ฯลฯ สารพัดลีลาที่ดิ้นรนเพื่อให้ได้เสพ เพราะจิตหลงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดี และโลภอยากได้มาเสพ แบบใช้การล่อลวงต่าง ๆ แม้จะเป็นการได้มาโดยอธรรมก็ยินดี

เมื่อได้มาก็โลภไปเรื่อย ๆ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาทำอย่างนี้ ตามใจเรา อยากให้เขาบำเรอเราไปเรื่อย ๆ อยากได้ อยากได้ อยากได้… ความรักนั้นมีแต่ความอยากได้อยู่ในนั้น ดูเผิน ๆ เหมือนจะสวยงาม เหมือนจะเกื้อกูล เหมือนจะดูแลกัน แต่ความจริงเน่าในเหมือนผีเปรตขอส่วนบุญ อยากได้ อยากให้เป็น อยากให้มี ฯลฯ ถ้าใครเห็นความจริงในความรัก ก็จะเห็นผีที่สิงในใจคน ผีโลภ โกรธ หลง ที่อาศัย “รัก” เป็นตัวเสพ เป็นสิ่งที่ไม่เจริญใจอย่างยิ่ง

โกรธ… เมื่อมีความโลภ ความโกรธก็จะต่อคิวเข้ามา เมื่อเกิดความโลภแล้วไม่ได้เสพสมกับความโลภนั้น อยากแล้วไม่ได้สมอยาก ก็จะเกิดอาการโกรธ ไปดูเถอะ คู่รัก คนรักที่ไหน ขัดใจกันแล้วไม่โกรธ อึดอัด ขุ่นเคืองใจกัน แค่นึกก็ยังนึกไม่ออกเลย ธรรมดาความรักนี่แหละเป็นตัวพาโกรธ พาจองเวรจองกรรมกันก็เพราะเหตุนี้ เพราะอยากได้แล้วไม่ได้สมอยากก็โกรธ หลังจากนั้นก็สารพัดกิเลส สารพัดลีลามารยาของฝ่ายมารที่งัดออกมาปะทะ ประชดประชันหมายจะเอาชนะกัน การสงบศึกไม่มีอยู่ในผู้ที่ยังมีความรัก ยังจะต้องรบอยู่เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวเราก็โกรธเขา เดี๋ยวเขาก็โกรธเรา ง้องอนกันไปกันมา คนก็หลงว่าเป็นสุข เพราะมันมีรสของการปะทะ รสของการกระทบในสิ่งที่อยากกระทบ แม้โกรธก็เสพสุขได้กับคนที่หลง จริง ๆ โกรธมันไม่น่าเสพหรอก แต่คนเขาหลงว่าเป็นสุขว่าเป็นคุณค่า เขาก็เลยชอบโกรธกันทะเลาะกัน

จริง ๆ คนขี้โกรธ ขี้งอนนี่มันไม่น่าจะมีคุณค่าให้ง้อหรือไปเสียเวลาเลยนะ แต่เพราะมีอีกฝ่ายคอยให้คุณค่า คนก็หลงอัตตา หลงว่าแม้ตนจะโกรธ จะงอน เขาก็จะมาง้อ หรือเขายิ่งจะต้องให้คุณค่า ทั้งที่จริงความโกรธหรืองอนนี่มันคือการทำลายคุณค่าของตน แต่เขาหลงกลับหัวกลับหางเลย ก็ใช้การโกรธการงอนนี่แหละในการเสพคุณค่าในตน คนง้อก็หลงตามเขาไป วนเวียนไปกันแบบนั้น

หลง… สุดท้ายไม่ว่าจะคบหรือจะจบ กิเลสก็จะพาคนหลงวนแสวงหาเสพเหมือนเคย มีคนรักก็แสวงหาสุขอยู่กับคนรัก ไม่มีคนรักก็ดิ้นรนแสวงหาคนมาเสพสุข เป็นความวนหลงอยู่ในโลกีย์ แม้รักนั้นจะดีแสนดี เป็นคนดีแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงตัวพาวนเท่านั้นเอง จะวนแบบดี วนแบบร้าย มันก็คือการวนเวียน แล้วดีก็ไม่ได้ดีได้ตลอด สุดท้ายมันก็จะร้ายอยู่ดี เพราะความหลงคือบาป ยิ่งต่อเวลาเนิ่นนานไปเท่าไหร่ยิ่งก่อบาป ก่อชั่ว ก่ออกุศลกรรม มากเท่านั้น

กิจกรรมที่อยู่ภายใต้ความหลง แม้จะพยายามทำดี แม้ดีที่สุดในชีวิต แต่ยังไม่พ้นจากความหลงในรสรัก ก็ยังเป็นดีที่ยังไม่เหนือความรัก ยังไม่เป็นดีเหนือดี ยังเป็นดีที่ติดเพดานบาป เป็นดีที่ถูกบาปครอบอยู่ ดังนั้นกุศลผลบุญอะไรนั่นมันก็จะไม่เกิดผลเต็มร้อย  ไม่แผ่ออกไปเพราะมีบาปครอบอยู่ ดีไม่ดีติดลบด้วย เพราะบางทียิ่งพากันทำดี ยิ่งจะหลงในภาพความดีของคู่ครอง เลยไปกันใหญ่ กอดคอกันวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารด้วยความยินดี เต็มใจ พอใจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวที่สวยงามเต็มที่

…. สุดท้าย ความรักก็คือสิ่งหนึ่งที่ขังคนไว้ในโลก ให้ยินดีในโลกที่ทุกข์ระทม ไม่ให้เจริญไปในจุดที่ดีกว่านั้น ผูกไว้ไม่ให้สูงไปสู่ความผาสุกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตรึงคนไว้ให้ยินดีกับสุขลวงทุกข์จริง ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านั้นเขาจะ “พอ” กับสุขลวงทุกข์จริงเช่นนั้นเมื่อไหร่ เขาจึงจะพยายามเดินออกจากวงเวียนแห่งรักอันไม่รู้จักจบนี้ด้วยตนเอง

5.3.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

รวมบทความ เกี่ยวกับคนพาล

March 2, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,974 views 0

รวมบทความ เกี่ยวกับคนพาล

บทความรวบรวมความคิดเห็นและแนวทางปฏฺิบัติต่อคนพาล ห่างไกลคนพาลอย่างไร? จะช่วยคนพาลอย่างไร? สารพัดเรื่องราวของการปฏิบัติต่อคนพาล

  1. คนพาลบ้าอำนาจ
  2. คบสหายมีปัญญา ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล
  3. รู้ตัวชัดแล้วหรือยัง คนพาล/บัณฑิต
  4. การติติงคนพาล
  5. คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง เป็นอย่างไร?
  6. ห่างไกลคนพาล คือตัวอย่างของคนดี
  7. คนพาลมีอำนาจ (กรณีศึกษา ลูกนกกาเหว่า)
  8. ทำไมจึงต้องวางตนให้พ้นและห่างไกลจากคนพาล?
  9. คนพาลที่ฝังตัวอยู่ในหมู่คนดี
  10. ใครใครก็เคยพลาดคบคนพาล
  11. บัณฑิตเก๊ พาลจำแลง
  12. คนพาลสอนรัก
  13. การช่วยเหลือคนพาล
  14. เมตตาที่เกินความต้องการ พาลเลยเถิด
  15. พาลหลงหรือพาลแสร้งว่าเป็นบัณฑิต
  16. ความเสแสร้งของคนพาล
  17. คนพาลที่ไม่รู้จักคนพาล
  18. คนทุศีล เน่าใน น่าห่างไกลที่สุด
  19. การเลือกคบคน (ชิคุจฉสูตร)
  20. น้ำหนักของความรู้สึกในการห่างไกลคนพาล
  21. การประมาณในการช่วยคนที่ศีลธรรมต่ำกว่า

บอกเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาชุดคนพาล

เรียกว่ารายละเอียดมากมายที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์และการศึกษาเรียนรู้จากทั้งครูบาอาจารย์และจากทั้งพระไตรปิฎก นำมาเรียบเรียงถ่ายถอดให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคนพาล เพราะคนเรายังไงก็ต้องเจอคนพาลในชีวิต ดีไม่ดีตนเองเป็นพาลเสียเอง ก็ต้องเรียนรู้จักความพาลในคนพาล ให้ได้ชัดเจน จะได้แยกออกว่าใครควรจะเข้าไปคบหา ใครควรจะออกห่าง

ชีวิตที่ผาสุกนั้นย่อมจะต้องอาศัยความห่างไกลจากคนพาล ไม่คบคนพาล เพราะการคบคนพาล ก็มีแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนและเสื่อมเสียชื่อเสียงมาให้ ดังนั้นจึงควรศึกษาให้ดีว่าคนพาลเป็นอย่างไร จึงจะได้ห่างไกลจากคนพาลได้อย่างถูกต้อง