Tag: ความโสด

บวชก่อนถูกเบียด

May 26, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 620 views 0

วันก่อนก็มีคนทักมาประมาณว่า ไม่ค่อยมีผู้ชายมาโพสตอบสักเท่าไหร่ ผมก็เห็นตามนั้นแหละ ไม่ค่อยมีหรอก

ผู้ชายนี่ปกติก็มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาปฏิบัติธรรมยิ่งมีน้อยมาก ดีไม่ดีปฏิบัติธรรมไปแล้วพลาดเจอนารีพิฆาตไปอีก การที่จะมีผู้ชายอยู่รอดปลอดภัยในความโสด ยินดีในธรรมแห่งความสันโดษ พอใจในความโสด มีน้อยจริง ๆ

ปกติในสังคมก็ไม่ค่อยมีการแสดงธรรมหมวดที่พาให้ยินดีเป็นโสด หรือชี้ให้เห็นโทษของคนคู่อยู่แล้ว มีแต่พาหลงในรสรัก ปรุงแต่งรักให้ดูงดงาม แต่ก็ยังมีประเพณี คือให้บวชก่อนเบียด เป็นกำแพงชั้นสุดท้ายที่จะปกป้องผู้ชายไว้

การบวชคือการละ ละชื่อละโคตร คือทิ้งอดีตทั้งหมดแล้วตั้งใจปฏิบัติชีวิตใหม่ คือชีวิตนักบวช แม้บวชก่อนเบียดจะเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนในเชิงศาสนา แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะ “รั้ง” ไว้ ประวิงเวลาไว้ ถ่วงเวลาไว้ ไม่ให้ไปเบียดกันเร็วนัก

เบียดกันคืออะไร บ้างก็ว่าแต่งงาน อยู่ร่วมกัน แต่โดยสภาพจริง ๆ คือไปเบียดเบียนกันนั่นแหละ คือเอาตัวไปเบียดกันให้มันลำบาก หรือเรียกว่าสมสู่กัน เอาใจไปเบียดเบียนกัน ไปเป็นอัตตาของกันและกัน พยายามจะกลืนกันด้วยความหลง สรุปคือเบียดเบียนทั้งกายและใจ

เดาว่า คนรุ่นเก่าเขาก็คงจะคิดว่าถ้าไปบวชก่อนก็อาจจะซึ้งในรสพระธรรมแล้วออกบวชตลอดชีวิตก็ได้ ซึ่งจริง ๆ การบวชมันก็ต้องเป็นแบบนั้น คือบวชเอาธรรม ไม่ใช่บวชรอเบียด

ถ้าบวชรอเบียดนี่มันจะทุกข์มากเลยนะ เพราะตอนบวช แฟนสาวก็คอยรับส่ง ถือหมอน ใส่บาตร เรียกว่าหลอกหลอนกันถึงที่นอน คือฝังสัญญาไว้ที่หมอนแล้ว จะนอนก็หลอนในใจ บิณฑบาตร ก็ยังเจอกันบ่อย ๆ การบวชถ้าไม่มีใครสอนให้ลดกิเลส ให้ลดกาม ลดอัตตา ก็มีแต่จะกำหนัดมากขึ้นทุกวันนั่นแหละ คือรสกามมันจะแรงกว่ารสธรรม

สุดท้ายธรรมก็รั้งไว้ไม่อยู่ สึกไปเบียดในที่สุด สิ้นสุดความสามารถของธรรมที่จะรั้งเอาไว้ เวียนกลับไปเป็นผู้ครองเรือน เสื่อมจากธรรมของนักบวชในที่สุด

ผู้หญิงนี่เป็นภัยที่ร้ายมากสำหรับผู้ชาย แทนที่จะได้อยู่เป็นนักบวชตลอดชีวิต ก็ไปผูกสัญญาใจไว้เป็นบ่วงในใจ ให้ต้องสึก ออกจากความเป็นนักบวชไปหลายต่อหลายราย

บางคนไม่ได้ตั้งใจบวชก่อนเบียดหรอก แต่บวชไปบวชมาเจอสีกาขาว ๆ อวบ ๆ วับ ๆ แวม ๆ มันก็ชักอยากจะเบียด ก็สึกออกมา เพราะอะไร? เพราะเป็นนักบวชนี่มันได้โลกธรรมมาก ได้ลาภ สักการะ บริวารมาก แต่ปฏิบัติธรรมไม่ถูกตรง ไม่คบสัตบุรุษ ไม่มีมิตรสหายดี พอเจอนารีพิฆาตก็เสร็จเลย จบเลย เอาความดีทั้งหมดที่ทำมาเทให้หมากินหมดเลย คือสรุปได้เลยว่าปฏิบัติธรรมมาเพื่อหาเมีย เพราะบทมันจบที่ไปมีเมีย อันนี้มีหลายเคสแล้วทั้งคนดังคนไม่ดัง เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มที่ปฏิบัติไม่ถูกตรง … แม้กลุ่มที่ปฏิบัติถูกตรงยังป้องกันได้ยากเลย กิเลสเรื่องคู่นี่มันแอบเสพ เขาไม่ค่อยเปิดเผยกันหรอก

จริง ๆ ผู้หญิงก็มีเต็มไปหมดนั่นแหละ อย่างประโยคที่เขาว่า “นารีมีมากเหมือนฝูงลิง” คือเกิดเป็นผู้ชาย ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เนี่ย ไม่รอดผู้หญิงหรอก มีดักรอทุกสี่แยก

เกิดมามีวิบากกรรม มีบทละคร มีนางเอกมาดักรอให้หลงเป็นพระเอก เป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับจะพลาดตอนไหน ส่วนใหญ่ก็ยินดีพลาดด้วย ยอมมอบตัวมอบใจให้หญิงที่ตนหลง มันก็เสียของไป

ชีวิตผู้ชายนี่ความจริงแล้วสามารถเดินในเส้นทางธรรม พาให้ตนเองเจริญได้สะดวกกว่าผู้หญิงมาก คือถ้าจะประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย มันจะง่ายกว่า ลำบากน้อยกว่า ปลอดภัยกว่า จะเป็นฆราวาสก็ได้ เป็นนักบวชก็ได้ ทางก็โล่ง ง่าย แต่ผู้หญิงนี่เขาจะไปทางธรรมยาก ครองเรือนอยู่คนเดียวก็อันตราย จะบวชก็ไม่มีที่ให้บวชแล้ว ก็ได้แต่นุ่งห่มเครื่องแบบกันไป

พอชีวิตผู้หญิงมันไปทางเจริญลำบาก ก็ใช้วิธีหาผู้ชายนี่แหละมาเติมเต็ม ยิ่งพวกลามก ก็ไปสอยพวกพระ จับพวกนักบวชมาเป็นสามี เพราะนอกจากจะได้คนดี(ตามที่โลกเข้าใจ) ยังได้เสพอัตตาในความสำเร็จของการข่มผู้ชายที่คนกราบไหว้ด้วย

นักบวชที่สึกมาเบียดผู้หญิง นี่เรียกว่าทิ้งศักดิ์ศรีของนักปฏิบัติธรรมลงไปกอง กราบแทบเท้าผู้หญิงเลยนะ ทีนี้ก็สมอัตตาผู้หญิงเขาล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าหญิงย่อมต้องการความเป็นใหญ่ในบ้าน นี่แหละ คือสุดท้ายคุณจะดีจะเก่งเท่าไหร่ คุณก็ต้องมายอมสยบแทบเท้าฉันอยู่ดี

นารีพิฆาตก็ถูกสร้างมาเพื่อปราบผู้ชาย เป็นรูปแบบหนึ่งของกิเลสที่จะคอยฉุดคนลงต่ำ ต่ำแค่ไหน ก็ต่ำกว่าสะดือนั่นแหละ ลองคิดดู พระที่คนยอมก้มหัวกราบไหว้มาหลายสิบปี สุดท้ายไปก้มทั้งตัวทั้งใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง การกระทำของเขาจะฉุดศาสนาลงต่ำขนาดไหน คนจะเสื่อมศรัทธาในศาสนาขนาดไหน

จริง ๆ คนที่ได้บวช ก็ควรจะใช้โอกาสนั้นทิ้งไปให้หมดเลย เพราะในคำขอบวช มันก็ต้องทิ้งทุกอย่างก่อนบวชอยู่แล้ว ก็ทำให้คำนั้นมันเป็นจริงเสียเลย ไม่ใช่แค่บวชเล่น แล้วก็ไปไกล ๆ ให้เจริญ ๆ พ้น ๆ จากจุดเดิมเลย ไม่ควรกลับมาลำบากอีก

ไม่ต้องสนใจหรอก ผู้หญิงที่รอเราสึกน่ะ พอบวชแล้ว สัญญาก่อนหน้านั้นมันก็เป็นโมฆะหมดแล้ว ให้เข้าใจว่า เขาก็รอเรากลับไปให้เขาเชือดนั่นแหละ รอให้เรากลับไปให้เขาลูบหัวโล้นเรา รอให้เรากลับไปตายรังที่เขา ให้เขาได้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า แม้ธรรมะก็ไม่อาจจะมีอำนาจมากไปกว่าฉันไปได้หรอก และสุดท้ายแม้เธอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถออกจากกำมือของฉันได้หรอก

เป็นโสดสุขจริงหรือ?

December 17, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 554 views 0

เป็นประเด็นที่หลายคนคงสงสัยและเคลือบแคลงใจ ว่าเอาอะไรมาพูดว่ามันเป็นสุข มันเป็นความสบาย ก็เป็นโสดอยู่ทุกวันไม่เห็นจะเป็นสุขอะไร?

ตอบขยายประเด็นนี้กันหน่อย การอยู่เป็นโสด จะสุขจริงก็ต่อเมื่อ ได้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องจนพ้นความอยากมีคู่ไปแล้วเท่านั้น จึงจะสุขได้จริง เพราะไม่มีตัณหามาคอยเฆี่ยนตีให้เหนื่อยใจ

ถ้าคนปกติให้อยู่เป็นโสดนะ แค่เขาคิดก็ทุกข์แล้ว จะให้เขาตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสด เขาจะยิ่งทุกข์ไปกันใหญ่ ยิ่งให้เขาตั้งจิตโสดไปทั้งชาติทุกชาตินี่เขาไม่เอาเลย วิ่งหนีเลย

ที่เขาไม่เอาเพราะถ้าอยู่เป็นโสดแล้วมันจะไม่ได้เสพทั้งกามทั้งอัตตา เพราะเขาหลงว่ารสกามรสอัตตานั้นเป็นสุข เขาเลยต้องเหลือเผื่อไว้เสพ เขาจะไม่ตัดรอบเป็นโสดสนิทถาวร มันจะมีช่องเหลือ ๆ เผื่อ ๆ ไว้ให้เสพ แม้เขาจะอยู่เป็นโสดได้ แต่จะมีข้อแม้ในการมีคู่เหลือไว้ ซึ่งเขาจะเปิดให้เฉพาะกับคนที่ถูกใจเขาเท่านั้น โดยทั่วไปอาจจะดูไม่ออกหรอก

แต่จะสามารถรู้ได้ด้วยการตั้งจิตปฏิบัติตนเป็นโสดนี่แหละ ว่ามันจะมีมุมหาคู่มุมไหนเหลืออยู่ในใจ ไม่ว่ายังไงร้อยทั้งร้อยมันจะออกอาการเมื่อกระทบสิ่งที่ถูกใจ ยิ่งตั้งใจปฏิบัติและอยู่ใกล้กับบัณฑิตที่เขาปฏิบัติตนเป็นโสดได้ดีแล้ว เขาจะมองออก มันจะมีอาการเฟ้อ ๆ เกิน ๆ ออกมาเสมอ ซึ่งก็จะได้ช่วยกันตรวจสอบว่าใช่ไม่ใช่อย่างไร ซึ่งกิเลสในเรื่องอยากมีคู่นี่มันแอบได้เนียนสุด ๆ ถ้าไม่ตั้งใจจริง ไม่รู้หรอกว่ามันเหลือเศษอะไรอยู่ คิดเอาเองก็ไม่ได้ เพราะตัวหลงมันจะหลอกให้เราคิดว่าไม่ใช่ ต้องอาศัยหมู่มิตรดีในการตรวจสอบ มันจะหลุดอาการหรือความเห็นผิดออกมาเอง

ทีนี้สภาพความเป็นสุขถาวรยั่งยืนนี่มันเป็นสิทธิพิเศษ สำหรับคนที่ปฏิบัติจนพ้นแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ฐานะทั่วไปที่จะเข้าถึงได้ง่าย ๆ ใช้เงินซื้อก็ไม่ได้ แค่คิดเอาก็เป็นไปไม่ได้ มันจะไม่สุขเหมือนภาคทฤษฎี

เพราะถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ กิเลสมันจะเถียงทุกวัน มันจะหาทางไปมีคู่ตลอด คอยสอดส่อง คอยมองหา ฝันหา คะนึงหา สิ่งที่ใฝ่ฝัน มันจะยังเหลือฝัน เหลือความหวังอยู่ สิ่งเหล่านี้แหละคือทุกข์ เพราะจิตมันยังอยากเสพอยู่ จะให้เลิกเสพ มันจะไม่สุข

ดังนั้นจะให้คนทั่วไปเป็นโสดแล้วเป็นสุขจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับบอกคนที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ว่าไม่ดื่มไม่สูบสบายกว่า ประหยัดกว่า สุขภาพดีกว่า แต่เขาจะเลิกไม่ได้ เพราะเขาเสพติด ติดในรสสุขนั้น ๆ แม้ภาคทฤษฎีจะรู้ว่าเป็นโทษ ภัย ผลเสีย แต่เขาจะออกไม่ได้ เพราะเขาให้ราคารสสุขจากเสพนั้นมากกว่า จะให้เลิกตอนไหนเขาจะเป็นทุกข์ตอนนั้นแหละ แค่ไม่ได้เสพวันหนึ่งเขาก็ทุกข์แล้ว

ความเป็นโสดก็เช่นกัน ความโสดเป็นสถานะที่ดี ที่ควรปฏิบัติตนดำรงไว้ซึ่งความโสด ใครศึกษาธรรมะมาก็น่าจะพอได้รู้อยู่บ้างว่าพุทธนั้นยินดีในการไม่ผูกพัน แต่นั้นก็เป็นแค่ความรู้ ความจริงก็คือความจริง

ความจริงคือสภาพทุกข์ สุข ในใจที่เกิดขึ้นมา เป็นสภาพที่สะท้อนว่าเรายังมีความหลงอีกเท่าไหร่ ถ้าหลงมาก แล้วตั้งจิตโสดวันนี้ ก็จะทุกข์ทันทีที่ตั้งเลย ดีไม่ดีไม่ยอมตั้งใจอีกต่างหาก

แต่ก็ใช่ว่าจะต้องให้ทุกคนเข้าถึงสภาพนี้กันทั้งหมด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ คนที่ยินดีในธรรมนี้ก็จะเข้าถึงธรรมแบบนี้ คนไม่ยินดีเขาก็ไม่เอา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนหันมายินดีในความเป็นโสด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่ามีศีล ๕ ตลอดชีวิตเสียอีก มันจะได้เฉพาะบางคน ได้เฉพาะบัณฑิตเท่านั้น

อย่างที่ผมขยันพิมพ์ ๆ เรื่องคนโสดคนคู่ ผมก็เผื่อเฉพาะคนที่ตั้งใจเท่านั้น ส่วนใครไม่สนใจก็เป็นเรื่องของเขา เพราะผมเชื่อว่าคนที่ตั้งใจก็มี แต่จะให้ประมาณธรรมให้เหมาะกับทุกกลุ่มนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องเอาคนที่เข้าท่าไว้ก่อน ส่วนพวกที่เขายังไม่ยินดีปฏฺิบัติธรรม ก็ไม่ไปเผื่อเขาหรอก มันกว้างไป เหนื่อยไป เปลืองแรง เอาเฉพาะกลุ่มที่พอจะเข้าท่าดีกว่า

หลงทาง ขยันทำเรื่องโง่ เมื่อ 6 ปีก่อน

December 14, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 572 views 0

เหตุจากคุยกับเพื่อนเก่าอีกเหมือนกัน ก็คุยกันถึงเรื่องที่ตอนนี้เราศึกษากับใครอยู่ ก็หวนคิดถึงสมัยก่อน ตอนยังศึกษาธรรมะโลกีย์

ธรรมะทั่วไปนี่ ถ้าเขาปฏิบัติไม่ได้ผลจริง มันจะเป็นแค่ภาษา ไม่มีพลังที่จะเหนี่ยวนำให้คนพ้นทุกข์ได้ แม้ได้ฟังก็อาจจะยินดี แต่พอเจอโจทย์จริง ๆ จะเอาไม่อยู่

เมื่อ 6 ปีก่อน ผมก็ศึกษาจากที่เขาสอน ๆ กันให้เป็นโสดนั่นแหละ เขาก็สอนตามทฤษฎี ผ่านเวลามานาน ก็เห็นว่าลูกศิษย์เขาเริ่มไปมีคู่ ไปแต่งงาน เราก็เข้าใจนะว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นแค่ทฤษฏีไง เขาปฏฺิบัติไม่ถึงขั้นเห็นทุกข์จริง เขาก็ไม่เลิกมีคู่กันหรอก

มันจะไม่มีพลัง เหนี่ยวนำไปหาความโสด ไม่มีพลังเหนี่ยวรั้งไม่ให้คนไปมีคู่ จะมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีปัญญาเห็นโทษภัยที่แท้จริง ไปหาดูเถอะในลัทธิไหน จะมีพลังดึงให้ลูกศิษย์อยู่เป็นโสดได้ ดีไม่ดีไปอวยพรตอนเขาแต่งงานกันอีก

แล้วสมัยนั้นผมก็ขยันเหลือเกิน ไปร่วมงาน ร่วมกิจกรรมกับเขา ไม่พ้นทุกข์หรอก ถ้าตามแนวคิดของพระพุทธเจ้า คือ ยิ่งทำยิ่งเสื่อม ยิ่งขยันบำรุง ขยันเข้าหาในกลุ่ม ลัทธิ ครูบาอาจารย์ ที่ไม่จริง จะเสื่อมไปเรื่อย ๆ ดูได้จากกิเลสที่โต

ก็มีคนที่ผมรู้จัก พอถึงเวลาที่เขาอยากมีคู่ เขาก็ไม่ปรึกษาเราหรอก เขาก็ไปเข้าหาพระที่เขาศรัทธา แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายจบที่ไปแต่งงาน

บางทีพระหรือนักบวชนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะพ้นความอยากมีคู่นะ วินัยมันคลุมไว้เฉย ๆ แต่ถ้าจิตอยากมีอยู่นะ มันจะไม่มีพลังในการชักนำไปสู่สิ่งที่ดี มันจะเอื้อต่อการเสพสมใจตามกิเลส คนที่เขารู้โทษชั่ว เขาจะไม่ชักนำคนไปมีคู่ หรือให้ยินดีในการมีคู่ เขาจะแสดงโทษของการมีคู่ให้ศึกษาเท่าที่ทำได้ สุดท้ายพูดแล้วเขาไม่ฟังก็ต้องวางไป

ภาษานี่มันหลอกกันได้ วกไปเวียนมา ดีไม่ดีใช้ภาษาว่าตนเองมีสภาวะธรรมหลอกซ้อนไปอีก เหมือนจะดี เหมือนจะได้ ต้องดูกันนาน ๆ พระพุทธเจ้าให้ดูกันนาน ๆ อย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อว่าคนนั้นคนนี้มีปัญญา

ถ้าผิด ถึงจะตั้งใจปฏิบัติตามไป เชื่อตามไป มันจะไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นโง่ ไม่พ้นชั่ว มันจะกลับหัวไปทางเสื่อม ศีล 5 ก็ไม่มี เสื่อมไปถึงขั้นอบายมุขก็ได้

ถ้าปฏิบัติแล้วเจริญ ศีลจะเป็นตัววัดที่รู้กันได้เป็นสากล ไม่ต้องโม้กันมากว่าบรรลุธรรมขั้นไหน ๆ เอาแค่ศีลที่เห็นได้ด้วยตาง่าย ๆ นี่แหละ ทำให้ได้ก่อน เป็นเบสิค ถ้าเจริญจริงจะถือศีลได้สบาย ๆ ไม่ทุกข์ เหมือนกับการอยู่เป็นโสดได้สบาย ๆ ไม่ทุกข์ มีคนมายั่วก็ไม่ไหลไปตามเขา ไม่หวั่นไหว ความสบายใจคือตัววัดภายใน เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ปัญญาคือตัวรู้รอบถ้วนในลีลากิเลสเรื่องนั้น ๆ คนปฏิบัติได้แล้วจริง ๆ จะมีศีลเป็นที่อาศัย เพราะเป็นจุดที่ดีที่สุดของชีวิตแล้ว อย่างที่เขาเรียกกันว่า มีศีลเป็นปกติ

เวลามีคนมาถามว่าปฏิบัติทางไหนดี ผมไม่กล้าแนะนำสายอื่นหรอก ผมก็ต้องแนะนำสายที่พ้นทุกข์สิ จะไปแนะนำสายที่ปฏิบัติแล้วไม่พ้นทุกข์ได้อย่างไร มันบาปนะ ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร คุณลองไปปฏิบัติดูเอง ถ้าผิดมันจะไม่ลดทุกข์ ไม่ลดความหลง อะไรที่ติดอยู่มันจะติดอยู่แบบนั้นแหละหนักหนาพิศดารขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญ มันจะเบียดเบียนตนเองและสัตว์อื่นอีกต่างหาก

ปล.แนะนำ : หมอเขียว, สมณะโพธิรักษ์

โสดดีหรือมีคู่ – ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

November 18, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 863 views 0

ผมได้ร่วมโครงการเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัย โครงการโสดดีหรือมีคู่ โดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม ครับ ล่าสุดก็มีผลงานออกมาเผยแพร่กันมากมายทีเดียว เป็นแนวคิดของคนที่ปฏิบัติตนให้เป็นโสด ตามแนวทางของพุทธศาสนา ด้วยวิธีการสอนแบบแพทย์วิถีธรรม ก็ติดตามกันได้ครับ เนื้อหาด้านล่างก็ยกมาสำรองไว้ แต่ในหน้าหลักจริง ๆ ก็จะเป็นหน้า โสดดีหรือมีคู่ ครับ

 

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ชื่อเล่น: ดิน เพศ:ชาย อายุ:36 ปี สถานภาพ:โสด (เคยมีแฟน)
รู้จักและปฏิบัติตามหลักแพทย์วิถีธรรมมาแล้วเป็นระยะเวลา:6 ปี

ก่อนพบแพทย์วิถีธรรม ท่านมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการอยู่เป็นโสดหรือมีคู่อย่างไร?
ตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมา ก็ศึกษาธรรมะทั่ว ๆ ไป ความคิดไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ การอยู่เป็นโสด ไม่เคยมีในหัว ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าดีอย่างไร ไม่สนใจ ไม่ใช่เป้าหมาย แน่นอนว่าความเชื่อก็ต้องเป็นด้านตรงกันข้าม คือเชื่อว่ามีคู่แล้วชีวิตมันจะเป็นสุขแน่นอน อย่างน้อยก็ได้สุขจากสารพัดเสพ

จริง ๆ ในการมีคู่มันก็ทุกข์อยู่ แต่สุขลวงมันก็บังไว้ ให้หลง ให้งง ให้แสวงหา ให้ยึดติดอยู่แบบนั้น ไม่ละ ไม่หน่าย ไม่คลาย นั่นเพราะยังไม่เห็นทุกข์ที่เป็นของแท้ของจริง แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะเป็นทุกข์แสนสาหัสอยู่ก็ตาม แต่ด้วยความมืดบอด ตามองเห็น แต่ปัญญาไม่มี จึงไม่เห็นความจริงตามความเป็นจริง อีกทั้งธรรมะโลก ๆ จนถึงกระทั่งกลุ่มที่ศึกษา ก็ไม่มีพลังในการส่งเสริมการเป็นโสด ไม่สอนให้เห็นโทษภัยของการมีคู่ แม้ธรรมะที่แสดงอยู่ในโลกตามที่ได้รู้ เมื่อศึกษาดูก็ไม่ได้รู้สึกถึงโทษภัยใด ๆ เลย

หลังพบแพทย์วิถีธรรม ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?
มาเข้าค่ายครั้งแรกเป็นค่ายสุขภาพ แต่เมื่อได้ยินอาจารย์หมอเขียว ยกธรรมะในหมวดของการอยู่เป็นโสดและคนคู่ โดยยกพระไตรปิฎกมาอ้างอิง ก็ได้รู้มากขึ้น ได้เข้าใจถึงน้ำหนักที่มากขึ้น ได้ความชัดเจนอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน

แต่ถึงกระนั้นความอยากมีคู่ก็ไม่ได้หายจางไปไหน ความรู้ยังคงเป็นเพียงแค่ความรู้ ไม่ใช่ความเข้าใจตามจริง ก็ยังมีจิตแสวงหาอยู่ สมัยนั้นก็นั่งหน้าเวที อาจารย์ก็แสดงธรรมเรื่องคู่ ใจก็คิดถามอาจารย์ว่า แล้วมีได้ไหม? แล้วมีได้ไหม? ว่าแล้วก็หาทางจนได้ มันมีช่องเล็ก ๆ ให้มุดเข้าไป เป็นช่องอนุโลมของเด็กน้อย เราก็คิดว่าเราไม่ไหวหรอกชาตินี้ ขอมีก่อนแล้วกันนะ เอาฐานนี้แหละ

ไป ๆ มา ๆ เจอของจริงเลย คือต้องเจอทุกข์จากความรักจริง ๆ ใช้เวลาเกือบ 2 ปีกว่าจะเข้าใจ ว่าความทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร ประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไร อะไรคือการเกื้อกูล อะไรคือการเบียดเบียน อะไรคือความรักที่แท้จริง อะไรคือความลวงของกิเลส แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนผ่านสงความมา แขนขาด ขาขาด จากการรบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในสองปี เล่นจริง รักจริง เจ็บจริง ทุกข์จริง เรียกว่าสาหัส แต่ก็ทำให้ได้เข้าใจทุกกระบวนการของกิเลสในเรื่องความรัก ตั้งแต่เกิดยันดับ จะเรียกว่าคุ้มค่าไหม? ก็ไม่หรอก เพราะถ้าเราไม่หลงไปแบบนั้นมันก็ดีกว่า เพราะอะไรที่ทำไปแล้วมันก็จะกลายเป็นวิบากกรรม มันก็ต้องรับ มันก็ต้องทนใช้

สุดท้ายก็พบว่าที่พระพุทธเจ้าตรัส ที่ครูบาอาจารย์สอน นี่แหละจริงที่สุด ผาสุกที่สุด ทางอื่นไม่สุขเลย ทุกข์ไม่จบไม่สิ้น ตอนนี้เราปฏิบัติจนได้ปัญญามาแล้ว เราก็ไม่ต้องไปโง่แสวงหาทุกข์มาใส่ตัวแล้ว มันก็สบายไป

ท่านมีการปฏิบัติต่อไปอย่างไร?
การปฏิบัติต่อจากนี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นอย่างแท้จริง ให้ได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือตนเองก็ยินดีในการอยู่เป็นโสด ยินดีในธรรมที่พาให้คนเป็นโสด และยังส่งเสริมผู้อื่นให้ยินดีและปฏิบัติตนในการอยู่เป็นโสด หรือถ้าอยู่เป็นคู่ ก็ให้มีศิลปะในการพราก ในการปฏิบัติเพื่อความละหน่ายจากคลายจากความยึดมั่นในความผูกพันธ์ ในบทละครที่หลงไปเล่น เพราะจริงๆ แล้ว สถานะคู่คือสถานะสมมุติที่คนปั้นกันขึ้นมาเอง จริง ๆ มันไม่มีอะไรหรอก คนเต็มคน จะไม่ต้องการแสวงหาคนอื่นมาเติม และยังสามารถเผื่อแผ่แบ่งปันโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือสำคัญมั่นหมายว่านี่เป็นเรา นี่เป็นของเรา นี่เป็นคนของเรา นี่คนรักเรา นี่ญาติเรา นี่เพื่อนสนิทเรา ฯลฯ มันจะเป็นอิสระจากสภาพยึดจะเสพสิ่งดีจากบุคคลหนึ่ง ๆ

และเพื่อการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น ก็จะพยายามรักษาระยะห่างกับเพศตรงข้ามที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิต ไม่ให้สนิทเกินไป ไม่ให้หวั่นไหวจนเกินเลย โดยใช้ปัญญาของเรานี่แหละ ในการตรวจจับอาการที่ดูเหมือนจะเป็นอกุศล ถ้ามีแนวโน้มว่าท่าจะไม่ดีก็ถอยออกมา หรือคบหาในระยะที่ไม่ใกล้จนเป็นอกุศลในใจเขา


โสดดีหรือมีคู่