Tag: ความดี

ไลฟ์โค้ช

July 2, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 948 views 0
ไลฟ์โค้ช
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีกระแสสังคมเกี่ยวกับคำว่า ไลฟ์โค้ช ก็เลยไปลองหาข้อมูลเพิ่มเติม
ก็ดูเหมือนว่าไลฟ์โค้ช จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ “ครูบาอาจารย์” คือการตั้งตนเป็นที่พึ่ง แต่ลักษณะเด่นของไลฟ์โค้ช คือมีการเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินค่อนข้างมาก และดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่จะผลักดันให้ดูเด่นดูดังขึ้นมา
ถ้าจะเอาลักษณะงานของไลฟ์โค้ช มาจับ ก็จะเหมือนกับผู้นำจิตวิญญาณหรือผู้นำศาสนา ผู้สอนศาสนาทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ แต่ก็เป็นคำที่ปรุงขึ้นมาใหม่ให้เหมาะกับฐานะ เพราะไลฟ์โค้ชส่วนใหญ่ก็เป็นคนทั่วไป ไม่ใช่นักบวช
จริง ๆ คนที่ตั้งตนเป็นไลฟ์โค้ช ก็มีมาทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ เพียงแต่ว่า คนคนนั้นจะ “จริง” ได้สักเท่าไหร่ คือเป็นจริง ได้จริง ตามที่พูดไหม และพาปฏิบัติตามได้จริงเช่นนั้นไหม
เหมือนกับที่เขาว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ปัญหาก็คือ ศาสนาใดล่ะ ที่จะเข้าถึงความดีได้จริง ๆ และความดีจริง ๆ นั้นคืออะไร แต่ละศาสนาก็จะมีนิยามแตกต่างกัน
แต่ในท้ายที่สุด มันก็จะมาตันตรงที่ว่า แล้วสิ่งนั้นพาให้พ้นทุกข์ไหม ซึ่งจะมีศาสนาเดียวที่สอนเรื่องนี้คือศาสนาพุทธ
แม้ในศาสนาพุทธก็จะมีคำสอนที่แตกต่างกัน ความเชื่อที่แตกต่างกัน การปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งก็ต้องพิสูจน์กันไปว่าลัทธิหรือคำสอนใด พาพ้นทุกข์ได้จริง ๆ
การเชื่อเอา ถือเอาว่าท่านนั้นท่านนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ตัวยืนยันว่าท่านเหล่านั้นปฏิบัติถูกต้องจริง ว่ากันชัด ๆ ว่าต่อให้คนเขาว่ากันว่าท่านเป็นอรหันต์ก็ใช่ว่าจะจริงตามที่คนเขาว่า
เพราะความจริงเหล่านั้นจะพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติตาม จนเข้าถึงสภาพตามที่กล่าวอ้างได้จริง มีขั้นตอน มีลำดับ มีความจริงที่ตรงกัน ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์จริงอยู่คนเดียว ลูกศิษย์นั่งงง หรือไม่ก็กลายเป็นจริงคนละจริง ฟุ้งซ่านความจริงไปคนละเรื่อง
สิ่งสำคัญคือ คนที่ตั้งตนเป็นไลฟ์โค้ช หรือครูบาอาจารย์นั้น จะสอนเรื่องใดก็ต้องทำเรื่องนั้นให้ได้ก่อน เช่นจะสอนเกี่ยวกับชีวิต ก็ต้องเอาชีวิตตัวเองให้มันพ้นทุกข์ก่อน ไม่ใช่สอนไปตามบทเรียน จำเขามาเป็นทอด ๆ แบบนี้สุดท้ายจะกลายเป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น เพราะทำให้คนเข้าใจผิดว่าตนเองได้จริง แล้วพอเขาเรียนไปก็เข้าใจผิด ๆ ตาม เพราะถ้าปฏิบัติไม่ได้จริง เวลาสอนมันจะเบี้ยวบาลี สุดท้ายคนที่ซวยที่สุด ก็คือคนสอนนั่นแหละ เพราะสอนสิ่งที่ตัวเองไม่มีมันผิดศีล แถมสอนผิดก็เป็นบาปยกกำลังจำนวนคนที่สอนไปเลย
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า คนจะบรรลุธรรมได้นั้น ต้องเจอสัตบุรุษ แล้วเข้าไปศึกษาตาม ดังนั้นการที่ใครสักคนจะหาที่พึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร เป็นธรรมดาของคนดีที่เราต้องไปค้นหาคนที่จะพาให้เราเจริญขึ้น แต่สุดท้ายจะเจอครูจริงครูปลอมก็อยู่ที่วิบากกรรมและความพากเพียรทำดีลดกิเลส
ถ้าทำดีมาก พยายามถือศีลลดชั่วได้มาก ก็จะได้เห็นความจริงไว ได้เห็นความจริงที่ว่าสิ่งนั้นมันไม่จริง ไม่พ้นทุกข์ และถ้าไปถูกทางก็จะได้เห็นความจริงที่ถูกต้องว่า ปฏิบัติตามแล้วได้ผลจริง พ้นทุกข์จริง
ส่วนคนที่ไม่ถือใครเป็นครูบาอาจารย์ ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่ายังไม่เข้ารอบ ยังไม่เริ่ม ยังถืออัตตาตนเองเป็นใหญ่อยู่ เก่งจนไม่ศรัทธาใคร เขาก็จะโง่เท่าเดิม ฉลาดเท่าเดิมของเขาอยู่แบบนั้น (แต่จริง ๆ มันจะโง่ไปเรื่อย ๆ เพราะกิเลสมันจะเพิ่ม) ก็ให้เขาวนเวียนอยู่กับความเก่งของตนจนกว่าจะแสวงหาทางใหม่ที่มันพ้นทุกข์

การเลิกกินเนื้อสัตว์แบบไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ถูกตรง มีความเสื่อม ความแตกแยก และความทุกข์เป็นปลายทาง

December 31, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 612 views 0

การไม่กินเนื้อสัตว์นั้น เป็นความดีอย่างหนึ่งที่มนุษย์พึงทำได้ เพราะเป็นทางเลือกที่ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า หากมีทางที่ไม่เรียบ ก็จะมีทางที่เรียบอื่นที่จะหลีกเลี่ยงทางไม่เรียบนั้น เหมือนกับคนที่ไม่อยากพัวพันกับคนผิดศีล เขาเหล่านั้นก็ควรจะเดินในเส้นทางที่ไม่ผิดศีล ไม่ยินดีในการผิดศีล ไม่ส่งเสริมให้คนผิดศีล (สัลเลขสูตร เล่ม 12 ข้อ 106)

ทีนี้การไม่กินเนื้อสัตว์นี้ก็เป็นทั้งความดีแบบโลก ๆ ทั่วไปและความดีระดับเหนือโลกเช่นกัน(สำหรับผู้ที่ตั้งจิตไว้ถูก) เพราะมันเป็นพื้นฐานความดีทั่ว ๆ ไป

แต่คนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกตรง หรือไม่ได้ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ที่สอนให้พ้นทุกข์ได้จริงนั้น จะมีทางไป 2 ทาง คือทางโต่ง 2 ด้าน นั่นคือ กาม และ อัตตา

ทิศของกาม คือ การเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์ ดังที่เราจะเห็นได้มากมาย กับคนที่เลิกกินเนื้อสัตว์แล้วเวียนกลับไปแตะเนื้อสัตว์ บ้างก็แตะ ๆ นิด ๆ หน่อย แล้วสำนึก บ้างก็ความเห็นผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลยก็มี เพราะทิศของกามมันจะมีแต่สุขลวง มีแต่สุขจากเสพ มันเป็นรสที่หลอกคนไว้ ผูกคนไว้ ทำให้คนเชื่อ หลงเสพ หลงว่าดี หลงว่าเป็นคุณค่า ในการเสพเนื้อสัตว์นั้น ๆ การเวียนกลับมาในทิศของกาม นั้นเหตุเพราะมันทนความอยากไม่ได้ มันไม่สามารถทนกับทุกข์ได้ เพราะไม่เข้าใจความจริงของความทุกข์นั้น ๆ ชีวิตเลยเบนเข็มกลับมาที่กาม ซึ่งเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่ในสังคม ก็คนที่กินเนื้อสัตว์ทั้งหลายก็ตกอยู่กับทางโต่งฝั่งกามนี้นี่เอง

ทิศของอัตตา คือ การทรมานตนเองด้วยความยึดดี ทิศนี้จะเป็นกลุ่มก้อนของคนที่เลิกกินเนื้อสัตว์ในหลาย ๆ เหตุผล แต่วิธีที่ใช้คือ อดทน ฝืนทน อดกลั้น จะมีความไม่โปร่ง ไม่โล่งภายในใจ ถ้าเป็นอัตตาที่ยังมีกามจัดอยู่ จะทนได้สักพัก แล้วจะดีดกลับไปฝั่งติดกาม กลับไปกินเนื้อสัตว์

แต่ถ้าเป็นอัตตาฝั่งยึดดีจัด ๆ จะเครียด จะเคร่ง กดดัน บีบคั้น จะมีตัวตนที่แรงกล้า จนคนอื่นรู้สึกลำบากใจ คือมันจะเป็นขีดโต่งไปทางยึดดี ถ้าสะสมกำลังมากขึ้น แม้จะเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ อาจจะไปเพิ่มอัตตา คือมีความอวดดี หลงดี ยกตนข่มท่าน นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์ไปทะเลาะกับคนอื่นเขา เพราะมันมีดีให้ยึด ไปยกตนข่มคนที่เขาด้อยกว่าก็บาปแล้ว ถ้าสะสมอัตตามากขึ้น มันจะปีนเกลียว มันจะเริ่มไปสอย คนที่อยู่สูงกว่า เริ่มแน่ เริ่มเก่งเกินคนอื่น อันนี้จะมี 2 มิติ คือมิติที่หลงตัวเอง กับมิติที่สูงกว่าจริง ๆ ถ้าสูงกว่าจริงจะไม่ผิด แต่ที่ผิดเพราะหลงตัวเองว่าสูง ก็ไปตีตนเสมอหรือเพ่งโทษคนที่เขาปฏิบัติดีกว่า มีศีลสูงกว่า มีปัญญามากกว่า อันนี้ก็เรียกว่าขี้กลากกินหัวทันที เพราะวิบากกรรมจะสาหัสมาก ส่วนใหญ่ก็จะเพี้ยน โง่ หลง ป่วย ตาย ฯลฯ

จะเกิดเป็นความเศร้าหมอง หดหู่ ซึมเศร้า ไม่สดชื่น ชีวิตมันจะเหี่ยว ๆ ไปเรื่อย ๆ จนตายนั่นแหละ ถ้าไม่มีมิตรดีช่วยชี้แนะนี่จบเลย เรื่องโง่นี่มันรู้เองไม่ได้ง่าย ๆ นะ เพราะวิบากกรรมของฝั่งอัตตานี่มันแรง ฝั่งกามมันจะมีโทษประมาณหนึ่ง ถึงจะกินเนื้อสัตว์มันมีอกุศลวิบาก แต่มันจะมีขีดของโทษประมาณหนึ่ง ก็อย่างที่เห็น กินทั้งชีวิตบางคนก็ยังไม่ป่วยไม่ตาย แต่ถ้าโทษของฝั่งอัตตานี่เรียกว่าแรงกว่าป่วยกว่าตาย

ก็เป็นการทรมานตนเองด้วยความยึดดี หรือจะเรียกว่าทำร้ายตัวเองด้วยความโง่ ก็ใช่ สรุปคือ คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกตรงจะมีทิศไปแค่ 2 ทิศนี้เท่านั้น ที่เหลือคือเวลาและกำลัง ว่าจะไปถึงความทุกข์เศร้าหมองนั้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

ปฏิบัติกันไปเรื่อย ๆ จะรู้เอง ถ้าซื่อสัตย์กับตัวเองดี ๆ จะรู้ว่ามันทุกข์ มันไม่สดชื่น มันไม่เบิกบาน ต้องรีบปรับทิศ เพราะทางโต่ง 2 ด้าน ยิ่งเดินยิ่งหลง ยิ่งช้ายิ่งนาน

แด่ความรักอันยิ่งใหญ่

December 22, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,527 views 0

แด่ความรักอันยิ่งใหญ่

แด่ความรักอันยิ่งใหญ่

ก่อนหน้านี้ ผมมักจะเอ่ยถึงความรักที่ยิ่งใหญ่อยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยากที่จะสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจได้ เพราะผู้อ่านก็ไม่รู้จะหาตัวอย่างที่ไหน และแบบไหนที่เรียกว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ ต้องรักอย่างใดจึงจะเรียกได้ว่าประเสริฐแท้

แต่ในท่ามกลางบรรยากาศของการสูญเสีย ผมเชื่อว่าหลายคนสัมผัสได้ ระลึกได้ เข้าใจได้ว่าความรักที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นอย่างไร เป็นความรักที่ไม่ต้องพูดคำว่ารัก ไม่จำเป็นต้องเคยพูดคุย ไม่มีแม้แต่อ้อมกอดและไม่สำคัญว่าจะเคยได้พบกันหรือไม่ แต่หลายคนกลับรับรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นคือความรัก

เป็นความรักในมิติที่สูงยิ่ง ประเสริฐยิ่ง งดงามยิ่ง เพราะไม่มีการเบียดเบียนกัน มีแต่เฉพาะความดีงามเท่านั้นที่นำมามอบให้กัน เป็นความเมตตาที่แผ่ไปอย่างแท้จริง แผ่ไปกระทบใจใคร มนุษย์ผู้นั้นก็สามารถที่จะรับรู้ได้ว่านี่คือสิ่งดี นี่คือคุณค่า นี่คือประโยชน์แท้ แม้เพียงการระลึกถึงความรักที่ท่านมีต่อผองชน ก็สามารถทำให้หลายคนมีพลัง มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตไปสู่ความดีงาม

ตั้งแต่เกิดมาผมก็ยังไม่เคยเห็นใครมีบารมีเท่านี้มาก่อน เพียงแค่ระลึกถึงก็มีความสุข เพียงแค่รับรู้เรื่องราวของความดีงามที่ท่านทำก็สามารถทำให้คนรักและเคารพกันได้อย่างง่ายดาย และความดีงามเหล่านั้นยังมีพลังมากพอที่จะทำให้คนหันมาทำความดีด้วย

เมื่อโลกนี้สูญเสียบุคคลที่ทรงคุณค่ายิ่งอย่างท่านไป ก็เหมือนมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ การไหวครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ผืนแผ่นดิน แต่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่รักและศรัทธา เป็นการสั่นไหวที่สะเทือนจิตใจของคนทั่วโลก ซึ่งแต่ละคนก็มีความสั่นไหวที่แตกต่างกันออกไป ความสั่นไหวของจิตใจจนเกิดความเศร้าโศกเสียใจคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่การที่จิตใจนั้นถูกเขย่าโดยคลื่นแห่งความดีปริมาณมหาศาลนี้ ทำให้คนบางคนอยู่ไม่เป็นสุข อยากทำสิ่งดี จนต้องลุกขึ้นมาทำดี นั่นเพราะเขาเหล่านั้นสามารถรับและตอบสนองต่อคลื่นแห่งความดีเหล่านั้นได้ดีกว่าคนทั่วไป

เหมือนกับการที่เราโยนหินลงไปในบ่อน้ำ น้ำนั้นย่อมเกิดการกระเพื่อม เป็นคลื่นกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง สิ่งที่หนักนั้นย่อมไม่สั่นไหว สิ่งที่จะสั่นไหวก็จะมีแค่สิ่งที่เบาเท่านั้น อัตตาเป็นของหนัก ถ้าไม่มีอัตตาก็จะเบา ถ้าคนเหล่านั้นมีอัตตาจัดก็จะไม่ได้รับผลใด ๆ จากคลื่นนี้ ในขณะเดียวกัน คนที่มีอัตตาเบาบาง ก็จะลอยไปตามคลื่นเหล่านั้นไป

ความหนักแน่นมั่นคงนั้นควรจะใช้เพื่อต่อกรกับสิ่งที่ไม่ดี ส่วนความแววไวปรับเปลี่ยนง่ายไม่ยึดมั่นถือมั่น ควรใช้กับเรื่องที่ดี ในตอนนี้ นี่คือคลื่นลูกสุดท้ายที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เป็นคลื่นแห่งความดีงามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะการจะเกิดสถานการณ์อย่างเช่นทุกวันนี้ เกิดจากพลังความดีที่ท่านได้บำเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่องมาตลอด ๗๐ ปี นี่จึงเป็นพลังงานแห่งความดีที่ยิ่งใหญ่ เป็นบทสรุปของความรักที่ยิ่งใหญ่ ดังที่นักปราชญ์อย่างไอน์สไตล์ได้กล่าวไว้ว่า ในอนาคตหลังจากที่เขาจากไป จะมีพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าระเบิดนิวเคลียร์ พลังงานนั้นก็คือระเบิดแห่งความรัก ( a bomb of love ) และความรักนั้นเองจะเป็นพลังที่นำไปสู่การแก้ปัญหาและเยียวยาทุกสิ่ง นั่นคือคำตอบที่สุดยอดที่สุดในชีวิตที่เขาค้นพบ ( ultimate answer )

เมื่อเกิดระเบิดแห่งความรักขึ้น แรงระเบิดนั้นก็ได้สร้างคลื่นแห่งความรัก ถ้าเป็นระเบิดนิวเคลียร์คลื่นเหล่านี้คงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มันจะผ่านไปได้ แต่คลื่นแห่งความรักกลับแตกต่าง มันไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีการสัมผัส ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่กลับรู้สึกได้ มันไม่ได้มีอำนาจทำลายล้าง แต่มีอำนาจที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม

คลื่นแห่งความดีนั้นตรงเข้าไปกระแทกในจิตใจของผู้คน ให้ตระหนักรู้คุณค่าของความดีงาม ให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ให้ออกมาทำดีกัน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันนี้สามารถเห็นได้ว่า คลื่นแห่งความดีนั้นมีผลจริง มีแรงกระแทกจริง รับรู้ได้จริง เพราะคนจำนวนมากออกมาทำความดีร่วมกัน จนบัดนี้ก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่คลื่นนี้ก็ยังไม่หมดพลัง ยังมีแรงส่ง มีแรงผลักดันให้คนลุกขึ้นมาทำดีอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมดพลังง่าย ๆ

ในความเป็นจริงระเบิดแห่งความรักนั้นก็ระเบิดออกไปแล้ว และคลื่นเหล่านั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แท้จริงแล้วคลื่นแห่งความดีงามที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนั้นไม่ได้มาจากการจากไปของท่าน แต่มาจากบุคคลที่เพียรทำความดีตามอย่างท่าน พยายามเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแบ่งปันผองชนให้เหมือนอย่างท่าน แน่นอนว่าการทำความดีของเขาเหล่านั้นมีท่านเป็นศูนย์รวมของจิตใจ แต่การทำดีของเขาเหล่านั้นก็เป็นของเขาเอง เป็นสิ่งดีงามที่เกิดจากปัญญารับรู้ประโยชน์ของการทำดีของเขาเอง จึงเกิดเป็นคลื่นแห่งความดีอีกหลายลูกที่สร้างแรงกระเพื่อมให้จิตใจของผู้ที่ได้พบเห็นได้มาทำดีต่อกันไปเรื่อย ๆ

อาจจะมีหลายคน ที่ตอนแรกไม่คิดที่จะทำความดีอะไร แต่พอได้เห็น ได้พบ ได้พูดคุยกับคนที่ทำดี ก็กลับมีแรงใจที่จะลุกขึ้นมาทำดีบ้าง ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่มหัศจรรย์ เพราะถ้าเป็นเพียงการระเบิดแล้วจบไป ก็คงจะไม่มีอะไรมาก แต่ในสถานการณ์ตอนนี้กลับต่างออกไป กลายเป็นว่าคนที่เห็นประโยชน์ก็ต่างมาร่วมกันทำความดี ร่วมกันสร้างคลื่นแห่งความดี ให้ความดีงามนั้นสืบต่อไป ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือความกตัญญูรู้คุณต่อความดีงามที่ท่านได้ทำไว้เป็นตัวอย่าง และเชื่ออย่างเต็มใจ ว่าความดีนี่แหละ คือความรักที่ยิ่งใหญ่ นั่นเพราะเขาเหล่านั้นก็เคยได้รับสิ่งนั้น และรับรู้ได้ว่าการทำดีนั้นคือสิ่งที่มีคุณค่าและเยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่ชีวิตหนึ่งจะทำได้

ดังนั้นการตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นี้ จึงไม่ได้หยุดเพียงแค่การรับรู้เท่านั้น แต่เป็นการทำให้เกิดความดีนั้นในตนขึ้นมา จนเกิดเป็นการให้ การเกื้อกูล การเสียสละ ทั้งทุนทรัพย์ เวลา แรงงาน ให้กับสังคม เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาตอบแทนคุณค่าแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ในฐานะที่ลูกของแผ่นดินผู้หนึ่งพึงกระทำได้

15.12.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

โอกาสในการ่วมกันทำความดี

November 28, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,221 views 0

โอกาสในการทำดี

ในช่วงเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา หลายคนก็คงจะได้เห็นผู้คนออกมาร่วมทำความดีกันในหลายรูปแบบ ซึ่งผมเองก็ได้ไปเก็บข้อมูลในพื้นที่แถวสนามหลวง และพบว่าที่นี่มีงานหลากหลายที่เอื้อให้คนทุกวัยทุกฐานะได้ทำความดีร่วมกัน

คิดดี นั้นก็ดีอยู่ พูดดีนั้นก็ยิ่งดี แล้วถ้าทำดีตามที่คิดและพูดยิ่งจะดีเข้าไปใหญ่ การที่เราจะลุกออกมาทำดีนั้นไม่ง่าย ต้องมีกำลังใจที่มากพอจะผลักดันเราออกจากชีวิตเดิม ๆ ลุกออกมาทำสิ่งใหม่ คือสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น ในภาษาธรรมะเรียกว่า “อธิศีล” คนที่ยังไม่เคยทำดี ก็หันมาทำดี คนที่ทำดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก นี่คือลักษณะของคนที่จะไม่เสื่อมไปจากความดีงามและธรรมทั้งหลาย

ผมเองได้ลองสัมผัสงานจิตอาสาหลาย ๆ แบบ และพบว่าแต่ละงานนั้นมีรายละเอียด ใช้ทุน ใช้ความสามารถต่างกันไป แต่งานที่ทำได้ง่ายก็คือการช่วยกรอกข้าวสารที่ทำเนียบรัฐบาล ผมลองไปแล้วพบว่าบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนครอบครัวพากันไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะ คนเฒ่าคนแก่ก็นัดมาเจอกัน กรอกข้าวไปก็พูดคุยกันไป มีอาหารเลี้ยง มีห้องน้ำสะดวก เหมาะสำหรับจิตอาสามือใหม่

ถ้ากำลังใจแข็งกล้าแล้วก็มาลุยงานกันต่อที่สนามหลวง มีงานอาสามากมายที่นี่ เป็นเหมือนสวรรค์ของนักบำเพ็ญความดีทั้งหลาย มีงานเช่น เดินเก็บขยะ ช่วยคัดแยกขยะ แจกยา แจกอาหาร แจกน้ำ ช่วยให้คำแนะนำต่าง ๆ ฯลฯ ก็เป็นงานที่ต้องใช้แรงกันมากขึ้น ใครสนใจก็ไปสอบถามเจ้าหน้าที่หรือจิตอาสารุ่นพี่กันได้

หรือถ้ารู้สึกว่าแรงยังเหลือ กำลังใจยังมีมาก อยากทำงานหนักมากขึ้น ต้องการทำดีในส่วนที่คนขาด ในตอนนี้ก็มีหลายโรงทานที่เปิดพื้นที่เอื้อให้ช่วยกันทำความดี โดยงานหลักก็จะเป็นงานครัวตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ ล้างวัตถุดิบ หั่น ปรุง ยก เสริฟ ล้างภาชนะ .. ซึ่งในส่วนนี้อาจจะต้องเข้าไปสอบถามในแต่ละโรงทานว่าเขาต้องการกำลังคนไหม

หรือถ้าเป็นผู้มีทุนทรัพย์ มีกำลัง จะทำอาหารมาแจกก็ได้ หลายคนเขาก็ทำอาหารมาแจกเป็นครั้งคราว หรือจะเป็นของใช้จำเป็นบางอย่างเช่น ยาดม ผ้าเย็น ฯลฯ รวมถึงของอื่น ๆ  ที่ช่วยให้ระลึกถึงบุคคลที่ควรบูชาก็มีผลดี เกิดผลดีเหมือนกัน

หรือจะเป็นงานจิตอาสาจำพวกขับรถมอเตอร์ไซค์รับส่งคนก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะหลังออกจากวัง จะเดินกลับไปขึ้นรถเมล์ที่สนามหลวงมันก็ไกล คนหนุ่มสาวก็พอเดินไหว แต่ถ้าคนแก่นี่ท่าจะลำบาก งานรับส่งคนก็ช่วยกันได้มาก ใครที่ชอบขับรถก็เอาความสามารถตรงนี้มาทำดีได้

จริง ๆ ก็มีงานจิตอาสาที่หลากหลาย แต่เอาเท่านี้ก่อน จะสรุปว่า ตอนนี้มีพื้นที่ที่เอื้อให้ทุกคนได้ร่วมกันทำความดี ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นสนามหลวงก็ได้ ผมยังเคยเจอวัยรุ่นไปถือถุงช่วยเก็บขยะที่ตลาดนัดจตุจักรด้วยซ้ำ คือใครทำดีที่ไหนได้ก็ทำไป นั่นแหละดีแล้ว แต่ถ้ามาร่วมกันทำ เราจะมีกำลังใจเพิ่ม คนที่เริ่มทำงานจิตอาสาใหม่ ๆ ทำพร้อม ๆ กับเพื่อนกับรุ่นพี่จะมีกำลังใจดีขึ้น ไม่โดดเดี่ยว แถมยังได้เพื่อนใหม่ ชวนกันมาทำดีเรื่อย ๆ

ถ้าอยู่ห่างไกลสนามหลวง ก็รวมตัวกันทำ หรือแบ่งงานแยกกันไปทำแล้วค่อยมารวมกัน เช่นการพับกระทงกระดาษไว้ใส่อาหาร เป็นการสร้างวัฒนธรรมเพื่อลดการใช้โฟม แม้มันจะไม่สมบูรณ์แบบในเชิงการใช้งาน แต่มันสวยงามในเชิงของจิตใจ เพราะคนที่แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ใจเวลาพับก็จะระลึกถึงเพื่อนที่ร่วมกันทำดี จิตตรงนี้แหละที่มันสวยงาม มันมีคุณค่า มันประเมินค่าไม่ได้ พอทำเสร็จเอามาส่ง ที่โรงทานเขาก็ได้ใช้ประโยชน์ ได้ลดใช้โฟม ได้ร่วมกันทำความดี

การร่วมทำความดีนี่แหละ ที่จะหลอมรวมคนดีให้พบเจอกันในทุกชาติ เป็นการประกันชีวิตที่ดีที่สุด เพราะทำความดีกับคนดีแล้วก็จะได้พบเจอกับคนดี ได้เจอกับสิ่งดี พอชีวิตพบเจอกับคนดี มีน้ำใจ เสียสละ หวังประโยชน์เกื้อกูลกันและกัน ชีวิตก็จะมีความผาสุก

ถ้าไม่อยากได้ความผาสุก ชีวิตไม่อยากเจอคนดี ก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปเหมือนเดิม ปล่อยวาง อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด ไม่ต้องรีบร้อน ไม่วุ่นวาย ไม่ลำบาก ปล่อยไปตามเวรตามกรรม สุดท้ายก็จะได้ประกันชีวิตอีกชุดหนึ่ง คือประกันเลยว่าชีวิตหนึ่งเกิดมาจะพบกับคนดียาก เพราะไม่เคยทำกรรมดีร่วมกันมา ย่อมไม่พบเจอกัน ก็เลือกพิจารณากันไปตามแต่จะเห็นประโยชน์

สุดท้ายนี้ก็ชักชวนกันตรง ๆ ว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตหนึ่ง ๆ  ซึ่งอาจจะมีแค่ครั้งเดียวที่มีโอกาสอันยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ได้ คือโอกาสข้างหน้าน่ะมี… แต่จะมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้นหรือไม่ก็ไม่รู้ ดังนั้นเราไม่ควรประมาทกับเวลาที่ผ่านไป เราควรใช้เวลาที่มีให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นให้มากที่สุด เพราะนั่นคือหลักประกันแห่งความผาสุกในชาตินี้ ชาติหน้าและชาติอื่น ๆ สืบไป