Tag: ผู้หญิง

บวชก่อนถูกเบียด

May 26, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 632 views 0

วันก่อนก็มีคนทักมาประมาณว่า ไม่ค่อยมีผู้ชายมาโพสตอบสักเท่าไหร่ ผมก็เห็นตามนั้นแหละ ไม่ค่อยมีหรอก

ผู้ชายนี่ปกติก็มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาปฏิบัติธรรมยิ่งมีน้อยมาก ดีไม่ดีปฏิบัติธรรมไปแล้วพลาดเจอนารีพิฆาตไปอีก การที่จะมีผู้ชายอยู่รอดปลอดภัยในความโสด ยินดีในธรรมแห่งความสันโดษ พอใจในความโสด มีน้อยจริง ๆ

ปกติในสังคมก็ไม่ค่อยมีการแสดงธรรมหมวดที่พาให้ยินดีเป็นโสด หรือชี้ให้เห็นโทษของคนคู่อยู่แล้ว มีแต่พาหลงในรสรัก ปรุงแต่งรักให้ดูงดงาม แต่ก็ยังมีประเพณี คือให้บวชก่อนเบียด เป็นกำแพงชั้นสุดท้ายที่จะปกป้องผู้ชายไว้

การบวชคือการละ ละชื่อละโคตร คือทิ้งอดีตทั้งหมดแล้วตั้งใจปฏิบัติชีวิตใหม่ คือชีวิตนักบวช แม้บวชก่อนเบียดจะเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนในเชิงศาสนา แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะ “รั้ง” ไว้ ประวิงเวลาไว้ ถ่วงเวลาไว้ ไม่ให้ไปเบียดกันเร็วนัก

เบียดกันคืออะไร บ้างก็ว่าแต่งงาน อยู่ร่วมกัน แต่โดยสภาพจริง ๆ คือไปเบียดเบียนกันนั่นแหละ คือเอาตัวไปเบียดกันให้มันลำบาก หรือเรียกว่าสมสู่กัน เอาใจไปเบียดเบียนกัน ไปเป็นอัตตาของกันและกัน พยายามจะกลืนกันด้วยความหลง สรุปคือเบียดเบียนทั้งกายและใจ

เดาว่า คนรุ่นเก่าเขาก็คงจะคิดว่าถ้าไปบวชก่อนก็อาจจะซึ้งในรสพระธรรมแล้วออกบวชตลอดชีวิตก็ได้ ซึ่งจริง ๆ การบวชมันก็ต้องเป็นแบบนั้น คือบวชเอาธรรม ไม่ใช่บวชรอเบียด

ถ้าบวชรอเบียดนี่มันจะทุกข์มากเลยนะ เพราะตอนบวช แฟนสาวก็คอยรับส่ง ถือหมอน ใส่บาตร เรียกว่าหลอกหลอนกันถึงที่นอน คือฝังสัญญาไว้ที่หมอนแล้ว จะนอนก็หลอนในใจ บิณฑบาตร ก็ยังเจอกันบ่อย ๆ การบวชถ้าไม่มีใครสอนให้ลดกิเลส ให้ลดกาม ลดอัตตา ก็มีแต่จะกำหนัดมากขึ้นทุกวันนั่นแหละ คือรสกามมันจะแรงกว่ารสธรรม

สุดท้ายธรรมก็รั้งไว้ไม่อยู่ สึกไปเบียดในที่สุด สิ้นสุดความสามารถของธรรมที่จะรั้งเอาไว้ เวียนกลับไปเป็นผู้ครองเรือน เสื่อมจากธรรมของนักบวชในที่สุด

ผู้หญิงนี่เป็นภัยที่ร้ายมากสำหรับผู้ชาย แทนที่จะได้อยู่เป็นนักบวชตลอดชีวิต ก็ไปผูกสัญญาใจไว้เป็นบ่วงในใจ ให้ต้องสึก ออกจากความเป็นนักบวชไปหลายต่อหลายราย

บางคนไม่ได้ตั้งใจบวชก่อนเบียดหรอก แต่บวชไปบวชมาเจอสีกาขาว ๆ อวบ ๆ วับ ๆ แวม ๆ มันก็ชักอยากจะเบียด ก็สึกออกมา เพราะอะไร? เพราะเป็นนักบวชนี่มันได้โลกธรรมมาก ได้ลาภ สักการะ บริวารมาก แต่ปฏิบัติธรรมไม่ถูกตรง ไม่คบสัตบุรุษ ไม่มีมิตรสหายดี พอเจอนารีพิฆาตก็เสร็จเลย จบเลย เอาความดีทั้งหมดที่ทำมาเทให้หมากินหมดเลย คือสรุปได้เลยว่าปฏิบัติธรรมมาเพื่อหาเมีย เพราะบทมันจบที่ไปมีเมีย อันนี้มีหลายเคสแล้วทั้งคนดังคนไม่ดัง เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มที่ปฏิบัติไม่ถูกตรง … แม้กลุ่มที่ปฏิบัติถูกตรงยังป้องกันได้ยากเลย กิเลสเรื่องคู่นี่มันแอบเสพ เขาไม่ค่อยเปิดเผยกันหรอก

จริง ๆ ผู้หญิงก็มีเต็มไปหมดนั่นแหละ อย่างประโยคที่เขาว่า “นารีมีมากเหมือนฝูงลิง” คือเกิดเป็นผู้ชาย ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เนี่ย ไม่รอดผู้หญิงหรอก มีดักรอทุกสี่แยก

เกิดมามีวิบากกรรม มีบทละคร มีนางเอกมาดักรอให้หลงเป็นพระเอก เป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับจะพลาดตอนไหน ส่วนใหญ่ก็ยินดีพลาดด้วย ยอมมอบตัวมอบใจให้หญิงที่ตนหลง มันก็เสียของไป

ชีวิตผู้ชายนี่ความจริงแล้วสามารถเดินในเส้นทางธรรม พาให้ตนเองเจริญได้สะดวกกว่าผู้หญิงมาก คือถ้าจะประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย มันจะง่ายกว่า ลำบากน้อยกว่า ปลอดภัยกว่า จะเป็นฆราวาสก็ได้ เป็นนักบวชก็ได้ ทางก็โล่ง ง่าย แต่ผู้หญิงนี่เขาจะไปทางธรรมยาก ครองเรือนอยู่คนเดียวก็อันตราย จะบวชก็ไม่มีที่ให้บวชแล้ว ก็ได้แต่นุ่งห่มเครื่องแบบกันไป

พอชีวิตผู้หญิงมันไปทางเจริญลำบาก ก็ใช้วิธีหาผู้ชายนี่แหละมาเติมเต็ม ยิ่งพวกลามก ก็ไปสอยพวกพระ จับพวกนักบวชมาเป็นสามี เพราะนอกจากจะได้คนดี(ตามที่โลกเข้าใจ) ยังได้เสพอัตตาในความสำเร็จของการข่มผู้ชายที่คนกราบไหว้ด้วย

นักบวชที่สึกมาเบียดผู้หญิง นี่เรียกว่าทิ้งศักดิ์ศรีของนักปฏิบัติธรรมลงไปกอง กราบแทบเท้าผู้หญิงเลยนะ ทีนี้ก็สมอัตตาผู้หญิงเขาล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าหญิงย่อมต้องการความเป็นใหญ่ในบ้าน นี่แหละ คือสุดท้ายคุณจะดีจะเก่งเท่าไหร่ คุณก็ต้องมายอมสยบแทบเท้าฉันอยู่ดี

นารีพิฆาตก็ถูกสร้างมาเพื่อปราบผู้ชาย เป็นรูปแบบหนึ่งของกิเลสที่จะคอยฉุดคนลงต่ำ ต่ำแค่ไหน ก็ต่ำกว่าสะดือนั่นแหละ ลองคิดดู พระที่คนยอมก้มหัวกราบไหว้มาหลายสิบปี สุดท้ายไปก้มทั้งตัวทั้งใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง การกระทำของเขาจะฉุดศาสนาลงต่ำขนาดไหน คนจะเสื่อมศรัทธาในศาสนาขนาดไหน

จริง ๆ คนที่ได้บวช ก็ควรจะใช้โอกาสนั้นทิ้งไปให้หมดเลย เพราะในคำขอบวช มันก็ต้องทิ้งทุกอย่างก่อนบวชอยู่แล้ว ก็ทำให้คำนั้นมันเป็นจริงเสียเลย ไม่ใช่แค่บวชเล่น แล้วก็ไปไกล ๆ ให้เจริญ ๆ พ้น ๆ จากจุดเดิมเลย ไม่ควรกลับมาลำบากอีก

ไม่ต้องสนใจหรอก ผู้หญิงที่รอเราสึกน่ะ พอบวชแล้ว สัญญาก่อนหน้านั้นมันก็เป็นโมฆะหมดแล้ว ให้เข้าใจว่า เขาก็รอเรากลับไปให้เขาเชือดนั่นแหละ รอให้เรากลับไปให้เขาลูบหัวโล้นเรา รอให้เรากลับไปตายรังที่เขา ให้เขาได้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า แม้ธรรมะก็ไม่อาจจะมีอำนาจมากไปกว่าฉันไปได้หรอก และสุดท้ายแม้เธอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถออกจากกำมือของฉันได้หรอก

วิธีตรวจสอบ ความเต็มรอบของการปฏิบัติตนเป็นโสด

February 23, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 541 views 0

หลักฐานอันหนึ่งที่จะเอามาเทียบกับสภาวะตนเองได้นั่นก็คือ ข้อความในอนุตริยสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นเลิศยอดที่สุดในโลก กับสิ่งยอดแย่ที่คนโลกีย์หลงแสวงหา

ในหัวข้อ “ลาภานุตตริยะ” ท่านกล่าวถึงการได้ลาภในโลกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการได้มีลูกและได้คู่ครอง

แล้วท่านก็ตรัสสอนต่อไปว่า “ลาภแบบนี้มีอยู่ แต่ล้วนเป็นลาภเลว

ก็เอาจิตตัวเองนี่แหละไปเทียบ ถ้าปฏิบัติจนถึงผล ความเห็นจะแนบเป็นเนื้อเดียวกับพระพุทธเจ้าโดยไม่มีแม้ขอบเผยอขึ้นมาเลย เนียนกว่าแปะเทปแล้วละลายเป็นเนื้อเดียวกันเสียอีก เพราะถ้าเห็นถูกมันจะเป็นจิตเดียวกันแบบไม่มีข้อแม้เลย

แต่ถ้าคนยังไม่ถึงผล มันจะมีสารพัดข้อแม้และเงื่อนไข จะมีคำแย้งในหัวขึ้นมาเช่น “แต่ว่า…” หรือก็ไม่เชื่อจริง ๆ หรอกว่าเป็นลาภเลว หรือก็ไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนั้นหรอกมั้ง จิตมันจะไม่น้อมเข้าตามธรรมนี้ มันจะมีความไม่ชัดเจน เกิดความขุ่นข้อง ขัดเคือง หมองใจ ไม่ยินดี จะไม่สดชื่น ไม่สดใส ไม่ร่าเริงในธรรม คือไม่อยากรับรู้ความเห็นเช่นนี้นั่นแหละ

จริง ๆ ก็มีอีกหลายสูตร เช่น นั่งข้างงูพิษ ก็ยังดีกว่านั่งคุยกับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น คนที่สภาวะเต็มรอบจะเห็นภัยตามนั้น รู้ภัยตามที่พระพุทธเจ้าว่า แม้จะไม่ชัดในปริมาณของโทษ แต่จะชัดในแนวทางของพิษภัย

ผมก็ใช้วิธีเหล่านี้แหละตรวจสอบใจไปเรื่อย ๆ ศึกษาไปก็เห็นตามท่านจริง ๆ เพราะถ้าทำผิดไปจากที่ท่านว่า มันจะเกิดความเสียหายขึ้นมา แม้จิตเราจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันจะมีวิบากเกิดขึ้น สร้างความลำบากให้ชีวิตอยู่เหมือนกัน

แล้วแบบที่เขาหลงไปว่ามีลูกดี มีเมียดี มีผัวดี นี่ไม่ต้องห่วงเลย ก็แช่อยู่แถว ๆ นั่นแหละ จมอยู่กับลูกดี คู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน ตราบที่เขายังมีความเห็นเหล่านั้นอยู่

ศัตรูชีวิตก็คือสตรี

February 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 707 views 0

ศัตรูชีวิตก็คือสตรี

ความเจ้าชู้ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ก็เป็นภัยแก่ความผาสุกทั้งสิ้น หลายครั้งที่ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับคนที่คนรักไปมีชู้ แล้วเขาก็แก้ปัญหาในทางที่ผิด คือแก้ด้วยความโกรธ แค้น อาฆาต มุ่งร้าย ทำลาย ฯลฯ คือมีแต่พากันให้เป็นทุกข์ ตัวเองก็ทุกข์เพราะโทสะ คนอื่นก็ทุกข์เพราะผลแห่งการบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะชวนกันมาศึกษาว่า เรื่องเหล่านี้ควรจะแก้ไขอย่างไรหนอ? ชีวิตจึงจะเป็นสุข ลองมาอ่านความตอนหนึ่งจากพระไตรปิฎกกัน

“บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมีอาการคล้ายก้นเหวที่เรียกกันว่าบาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น

เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม(ผู้หญิง) ชนเหล่านั้นมีความสุขปราศจากความโศก ความประพฤติไม่คลุกคลีกับมาตุคามนี้เป็นคุณนำความสุขมาให้ บุคคลผู้ปรารถนาความเกษมอันอุดมไม่พึงทำความเชยชิดสนิทสนมกับมาตุคามเลย (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗“สมุคคชาดก” ช้อ ๑๒๙๙)

ในชาดกตอนนี้ท่านว่า ไม่มีหรอกที่จะรักษาผู้หญิง(ผู้ชาย) ที่หลายใจ เราจะวางใจไม่ได้เลย เพราะหญิงหรือชายหลายใจเหล่านั้นไม่เคยพอ ไม่เคยเต็ม ดังเนื้อเพลงฮิตสมัยก่อนว่า “เติมใจเธอไม่เคยเต็ม เติมใจเธอไม่เคยพอ” คนหลายใจก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอแบบนี้ จะทุ่มโถมทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม เพราะกิเลสนั้นคือความเสพไม่เคยอิ่ม คนที่ประมาท ชะล่าใจ ไว้ใจ ว่าตนเองเอาอยู่ ตนเองควบคุมได้ รักษาไว้ได้ คนที่ประมาทอย่างนี้ก็ต้องพบกับทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในย่อหน้าที่สองยังสรุปไว้อย่างหนักแน่นว่า คนที่ไม่ไปยุ่งหรือวนเวียนอยู่กับผู้หญิง คนเหล่านั้นจะมีแต่ความสุข ไม่มีเศร้าหมอง ถ้าดำรงชีวิตไม่คลุกคลีกับผู้หญิงจะนำความสุขมาสู่ชีวิต คนที่หวังจะมีชีวิตผาสุกอย่างยิ่งยวด ไม่ควรไปสนิทสนมกับผู้หญิงเลย

ถ้าอ่านรู้แล้วสึกว่า มันอะไรกันนักกันหนากับผู้หญิง จะยกเนื้อหาเพิ่มเติมให้ศึกษา คือตอนที่แม่ที่เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะมาตั้งแต่ยังเด็ก จะมาขอบวช แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงอนุญาต ขอแล้วขออีก น้ำตานองหน้า โกนหัว นุ่งผ้าฝาด เดินจนเท้าพองมาขอ ท่านก็ยังไม่ให้บวช จนพระอานนท์ต้องตื้อแล้วตื้ออีก จนพระพุทธเจ้ายอมแบบมีข้อแม้ คือนักบวชหญิงต้องปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ ตลอดชีวิต เป็นข้อธรรมที่หนัก และทำได้ยาก ทำลายอัตตาผู้หญิงแบบสุด ๆ ผู้หญิงที่ยอมทำตามเท่านั้นจึงจะให้บวชได้

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าได้สอนว่าถ้ารับผู้หญิงเข้าบวชมาในศาสนา อายุศาสนาจะสั้นลงเท่าหนึ่ง เช่น จาก 1,000 ปี ก็เหลือ 500 ปี ท่านเปรียบไว้เช่นว่า “เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน”  สุดท้ายพระพุทธเจ้าสรุปว่าคุรุธรรม 8 ประการนั้นแหละ จะเป็นตัวกั้นไม่ให้เสื่อม เหมือนกับทำขอบสระให้ใหญ่พอที่จะกั้นไม่ให้น้ำไหลออกได้ ดังนั้นความเสื่อมจะเกิดน้อยที่สุด เท่าที่นักบวชหญิงทั้งหลายยังถือปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ

เรื่องเหล่านี้นี่เอง คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เห็นโทษภัยแม้เล็กแม้น้อยที่มีในผู้หญิง และยังมีอีกหลายสูตรเกี่ยวกับความเป็นภัยของผู้หญิง ดังนั้น ผู้ชายอย่างเราก็ควรจะรักษาตนให้เป็นโสด ไม่คลุกคลีกับผู้หญิงโดยไม่จำเป็น ชีวิตก็จะเป็นอยู่ผาสุก ห่างไกลบาปกรรมและการทำสารพัดเรื่องชั่วได้นั่นเอง

19.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

 

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

February 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 599 views 0

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

มีคำถามมาว่าผู้หญิงจะอยู่อย่างไรให้ปลอดภัย ในองค์ประกอบที่เรียกว่าอยู่ในดงเสือสิงห์กระทิงแรด ในสังคมไม่มีศีล ต้องพบกับคนที่มีครอบครัวแต่ยังไม่เลิกเจ้าชู้  และอีกมากหน้าหลายตาที่ยังไม่เปิดเผยตัวตน

เป็นคำถามที่รู้สึกว่า ถ้าตอบไปแล้วอาจจะปฏิบัติได้ยากสำหรับหลาย ๆ คน เพราะการเป็นอยู่ในยุคนี้มันไม่เอื้อให้เข้าถึงความปลอดภัยได้ง่าย ๆ เป็นข้อจำกัดที่กิเลสสร้างขึ้นมาจากรุ่นสู่รุ่น ยากที่จะฝ่าไปได้ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ผมจะยกมาต่อจากนี้ก็จะเป็นหนทางที่พาให้ปฏิบัติตนให้อยู่รอดปลอดภัยได้จริง ๆ

ในสมัยพุทธกาล จุดรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนา มีพระอรหันต์ฝ่ายภิกษุณี คือ อุบลวรรณาเถรี ผู้เป็นเลิศด้านฤทธิ์ แต่ก็ไม่วายถูกหนุ่มแอบบุกเข้ามาเพื่อขืนใจ แม้ท่านจะมีปัญญาขนาดที่บอกทางพ้นทุกข์ให้กับหนุ่มคนนั้นว่า “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย” ถึงสองครั้ง ถึงจะเตือนสติกันแรง ๆ ก็ยังไม่สามารถหยุดความกำหนัดของหนุ่มคนนั้นได้ ทำบาปสำเร็จในที่สุด สุดท้ายหนุ่มคนนั้นก็ถูกธรณีสูบตายเพราะกรรมนั้น หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ภิกษุณีอยู่ในชุมชน เพราะถ้าห่างออกไปภายนอกจะถูกคนพาล คนบ้ากาม คนลามก เบียดเบียน ทำร้ายเอาได้

ที่ยกมานั้น จะนำมาเทียบให้เห็นว่า แม้ขนาดในยุคที่มีบุญกุศลสูงสุด แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุด แม้จะเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสุด ก็ยังถูกคนพาลเบียดเบียนได้ ดังนั้น การจะหาความปลอดภัยในยุคสมัยที่เวลาได้ไหลไปสู่กลียุคอย่างรวดเร็วนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นการที่เราดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ศีลธรรมตกต่ำเช่นนี้ ยิ่งไม่ควรประมาท ไม่ประมาทว่าชีวิตจะไม่มีภัย ไม่ประมาทว่าสังคมหรือคนใกล้ตัวจะไม่ทำร้าย เพราะในยุคที่เจริญกว่า ในคนที่สูงกว่า ก็ยังโดนทำร้ายได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท

สังคมสมัยนี้ก็ไม่มีศีลธรรม ศาสนาก็อ่อนกำลังเพราะมีคนพาลเข้ามาแทรกเยอะ คนเลยหันไปพึ่งการมีครอบครัว เพื่อความปลอดภัย แต่ที่ไหนได้ สุดท้ายก็โดนคนที่รักนั่นแหละ ทำร้ายจิตใจ หรือไม่ก็ร่างกาย อย่างเก่งก็ทุกข์แบบผ่อนส่ง ไม่ผาสุกตามหลักปฏิบัติของพุทธ แต่เป็นไปตามวิถีแบบโลกียะ

การจะอยู่รอดปลอดภัยในยุคนี้นั้น ยังต้องอาศัยธรรมะ คือปฏิบัติตนให้มีศีล ละ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงโดยลำดับ แต่ทำตนเองให้ดีนั้นก็ไม่พอ เพราะสังคมมันโหดร้าย มันก็ต้องห่างไกลคนพาล ไกลคนชั่ว ไกลคนไม่มีศีล ถ้าเขาไม่เอาธรรมะ เขาก็ไม่เอาศีล ไม่เอาความดีเช่นกัน เขาก็ดีในแบบของเขา ดีในแบบที่เขายึด แต่มันไม่ดีในแบบที่มันปลอดภัย ดีแบบโลกีย์คือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และส่วนใหญ่จะร้าย

ดังนั้นเมื่อห่างไกลคนพาลแล้ว ก็ต้องคบหากับกลุ่มคนดีที่มุ่งปฏิบัติดี เป็นหมู่บัณฑิต ก็สังเกตให้ชัดว่าพวกเขาพากันประพฤติตนเป็นโสดหรือฝักใฝ่ในคู่ครอง ถ้าพากันเป็นโสด ก็คือกลุ่มบัณฑิต แต่ถ้ามุ่งหาคู่ก็คือกลุ่มคนหลง ก็เลือกเข้าไปคบหาทำความคุ้นเคยแต่กับกลุ่มคนดี พึ่งพาเกื้อกูลกัน หาคนที่มีศีลเสมอกันหรือมากกว่า ถ้าต้องเข้ากลุ่มที่มีศีลต่ำ ให้พยายามหาคนที่มีศีลสูงกว่าจะดีกว่า แต่ถ้าหาไม่เจอก็หาครูบาอาจารย์ที่ควรเคารพก็ยังดี เพราะองค์ประกอบในการพ้นทุกข์ ก็จะมีครูบาอาจารย์ดี มีสหายดี มีสังคมที่ดี จะสร้างองค์ประกอบที่ปลอดภัยจากทุกข์ทั้งใจและกาย ทางกายก็ต้องเป็นไปตามวิบากของแต่ละคน แต่ทางใจนี่ฝึกอย่างมุ่งมั่นตามอาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะสำเร็จผลได้โดยลำดับ

สรุป ดำรงชีวิตอยู่โดยห่างธรรม ไม่มีวันปลอดภัย มีแต่ภัยและทุกข์แสนสาหัส แต่ถ้าดำรงชีวิตใต้ธงธรรม ในขอบเขตพุทธ ลดกิเลสไปตามลำดับ ก็จะปลอดภัย แม้มีภัย แต่จะไม่ทุกข์มาก

7.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์