Tag: คนโสด

วิธีป้องกันนารีพิฆาต(เท่าที่รู้)

June 26, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,046 views 0

จะว่ากันถึงวิธีการที่จะกันตัวเองร่วงลงไปถึงขั้นลงหลักปักฐานแต่งงานแต่งการ สำหรับชายที่ตั้งใจประพฤติตนเป็นโสด ต้องการแสวงหาทางเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมให้กับตนเอง ก็จะมาแบ่งปันเท่าที่ได้ศึกษามา

สรุปกันง่าย ๆ ก่อนว่า ถ้าจะกันให้ได้ 100 % นั้นก็ต้องล้างกิเลสในหมวดความอยากมีคู่ให้เกลี้ยง ถ้าเกลี้ยงก็จบ แต่มันก็ไม่ง่าย จึงต้องมีลำดับการปฏฺิบัติ

1.จนเข้าไว้

พระพุทธเจ้าตรัสถึงชาดกตอนหนึ่งว่า ” หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรจะถือเอาได้ เมื่อนั้น ก็ใช้วาจาอ่อนหวานชักนำบุรุษไปได้ เหมือนชาวกัมโพชลวงม้าด้วยสาหร่ายฉะนั้น เมื่อใด หญิงทั้งหลายผู้มุ่งหวัง ไม่เห็นทรัพย์ของบุรุษที่ควรถือ เอาได้ เมื่อนั้น ย่อมละทิ้งบุรุษนั้นไป เหมือนคนข้ามฟากถึงฝั่งโน้นแล้วละทิ้งแพไป ฉะนั้น” (กุณาลชาดก)

ความจนจะคัดผู้หญิงขี้โลภที่มุ่งหวังทรัพย์ของเราออกไปก่อน เรียกว่าตัดตัวเวรตัวกรรมออกไปได้เยอะ เขาอาจจะชอบเรา แต่เขาจะไม่ลงเอยกับเรา ความจนจึงเป็นเกราะชั้นต้น ซึ่งผู้ชายโดยมากมักจะทำตัวรวยเพราะสามารถดึงผู้หญิงมักมากเข้ามาหาตนได้เช่นนั้นเอง

จากประสบการณ์ ความจนจะกันได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายจะมีผู้ท้าชิงที่ไม่สนใจความจนความรวยหลุดมาได้อยู่ดี

2.ถือศีล ๕ ให้เข้ม

ศีลจะเป็นเกราะคุ้มกันอย่างดี คำว่า “เข้ม” ในการถือศีล คือมีการยกระดับของศีลให้ละเอียด เบียดเบียนน้อยลงไปเรื่อย ๆ เช่นข้อ ๑ ไม่ฆ่าแล้วก็ยังเลิกกินเนื้อสัตว์ สนับสนุนให้เลิกฆ่าเลิกกิน ก็จะคัดคนร้าย ๆ ออกไปได้เยอะ ข้อ ๒ ก็อย่าไปขโมยโอกาสของใครมา คือเจอหญิงแล้วอย่าออกอาการ แบบหมากระดิกหาง อย่าไปทำตัวเด่น แย่งความสนใจจากใคร ให้คนอื่นเขาเล่นบทของเขาไป

ข้อ ๓ คือไม่วิสาสะ คือไม่ทำตัวสนิทสนิมกับหญิงที่มีคู่อยู่แล้ว เพราะเขาจะชักนำผู้ท้าชิงหรือปัญหาอื่น ๆ เข้ามา ก็จะลดโอกาสพลาดได้เยอะ หญิงมีคู่นี่เขาจะรู้มาก เขาจะจับจุดอ่อนเราได้ไว เราจะพลาดได้ง่าย ข้อ ๔ คือไม่พูดหยอกล้อ ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่จีบเขา เพราะเป็นคำเพ้อเจ้อ ล่อลวง ข้อ ๕ ในระดับหยาบ ๆ ก็ไม่ไปที่อโคจรให้ต้องเจอคนที่จัดจ้านเกินไป

แม้ถือศีลได้แค่ควบคุมกาย ก็จะป้องกันได้มากแล้ว นับประสาอะไรกับศีลถึงใจ แต่เอาจริง ๆ ศีล ๕ ทั่วไปก็กันนารีพิฆาตไม่อยู่หรอก

3.หามิตรดี มีศีล ๘

จะเอาตัวรอดได้ ต้องมีพันธมิตร คือมิตรดี คอยช่วยยกระดับปัญญาและกำลังใจของเรา เพราะฐานคนโสดที่ปฏิบัติได้อย่างผาสุกจริง ๆ จะเป็นฐานศีล ๘ ขึ้นไป ศีล ๕ จะยังรุ่มร้อนจากไฟรักเผาใจอยู่

การคบมิตรดี คือคอยปรึกษา ถามปัญหา เกื้อกูล ช่วยเหลือ ตั้งใจปฏิบัติตาม เพื่อสร้างปัญญา กำลังใจและวิบากดีสะสมไปเรื่อย ๆ

ถ้าจะพอคบได้คือคนที่พยายามปฏฺิบัติตนเป็นโสด จะไม่ทำให้ตกร่วงไปมากกว่าฐานเดิม จะให้ดีคือคบหาคนที่เป็นโสดได้อย่างผาสุกจะทำให้เจริญขึ้น ส่วนคนที่หมกมุ่นในเรื่องคู่ หรือมีทัศนคติไปในทางที่ไม่เห็นโทษภัยในการมีคู่ ไม่ต้องไปคบ เพราะจะทำให้เสื่อมลงกว่าเดิม

4.รู้ทันมารยาหญิง

ถ้าเราโดนนารีพิฆาต หรือตกหลุมรักผู้หญิง แสดงว่าเราไม่ทันมารยาของเขา บางทีเขาไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่สวย เราก็ยอมตกหลุมนรกรักแล้ว

รูปสวยคืออาวุธอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่จะใช้ปราบผู้ชาย รูปคือสิ่งที่เห็น สวยคือ ดีงามตรงตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เอาง่าย ๆ ก็ที่เขาโชว์รูปสวยกันทุกวันนี้นี่แหละ ไม่ได้มีสาระอะไรเลย นอกจากจะโชว์ “รูป” ของเขา ก็เป็นการหว่านแบบกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจง อันนี้ด่านต้น ๆ มารยาหญิงยังมีอีกมาก

นิสัยดี คืออาวุธอีกอย่าง นิสัยคือสิ่งทีแสดงออก ดี คือดีงามตามอุปาทานที่เรายึดไว้ เขาก็จะแสดงสิ่งที่เขาว่าดีนั่นแหละ เดี๋ยวเราก็ตกหลุมลงไปเอง ไม่โดนคนนั้น ก็โดนคนนี้ โลกนี้มีผู้หญิงมากมาย เดี๋ยวมันจะต้องเจอนิสัยดีตรงใจมาลากลงหลุมไปสักคนนั่นแหละ

เราจำเป็นต้องรู้จักการรุกและรับของผู้หญิง รู้ว่าตอนนี้เขาเข้ามาแล้วนะ รู้ว่าตอนนี้เขากำลังต้อนเราเข้าคอกของเขานะ วิธีป้องกันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ไม่เล่นไปตามเกมของเขา เดี๋ยวเขาหมดความมั่นใจ เขาก็ไปยุ่งกับคนอื่นแทนเรา ถ้าเราพลาดเขาก็จะยิ่งรุก รับ ล่อ หนักข้อขึ้น มันจะพันใจ หลุดยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ความอ่อนของผู้หญิงคือธาตุที่อันตราย โดยค่ารวม ๆ ผู้ชายคือความแข็ง ผู้หญิงคือความอ่อน สิ่งที่ผู้หญิงส่วนมากถนัดที่สุดคืออ่อน ออดอ้อน อ่อนแอ ออเซาะ พึ่งพิง ไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่น โลเล และยอมแพ้ กระตุ้นต่อมอัตตาของผู้ชายที่เป็นสายแข็ง หลงกลเขา เหมือนไปเจอลูกแมวน่าเอ็นดูแล้วไปเก็บมาเลี้ยง

สุดท้ายจะแพ้เขา ตรงที่เขาทำเป็นแกล้งยอมแพ้นี่แหละ เราก็จะหลงไปว่าเป็นผู้ชนะ ที่ไหนได้ ตกหลุมตามแผนเขาเป๊ะ ๆ

ข้อนี้พักไว้แค่นี้ ถ้าจะขยายจริงมันจะยาวมากกกกกก ย่อไว้เท่านี้แล้วกันครับ

5.รู้ทันตัวเอง

ก็รู้จักกิเลสตัวเองนั่นแหละ ให้ศึกษากิเลสตัวเอง หลงติดหลงยึดอะไร เรื่องไหน ประเด็นไหนที่ทำให้อยากมีคู่ หรือประเด็นอะไรที่ทำให้รู้สึกใจอ่อน พลาดพลั้งได้ หรือเห็นด้วย เห็นดีกับความพลาดท่าเสียทีด้วยลีลาต่าง ๆ

จับได้ก็พิจารณาเหตุของมันให้ชัด ๆ แม่น ๆ เจาะลงไป อยากได้อยากเสพอะไร จับให้ชัดประเด็น เป็นเรื่อง ๆ ทีละเรื่อง แล้วก็ใช้ธรรมที่ศึกษามา ปรับใจให้มันถูก โดยปกติแล้วจิตมันจะไปตามกิเลส ต้องใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์มาเทียบ มันจะเห็นส่วนเกิน นั่นคือกิเลสที่ต้องกำจัด การกำจัดคืออบรมจิตให้เห็นโทษชั่ว ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่มีสาระหรือตัวตนของสิ่งนั้น อุดรูรั่วไปเรื่อย ๆ สักวันปัญญามันจะเต็มของมันเอง ถ้ารู้จักตัวเองหมด จะป้องกันมารยาหญิงทั้งหมดได้

…ถือว่าเรื่องนี้พิมพ์แบบ sketch กันไปก่อน ร่างกันไว้คร่าว ๆ แต่คิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับหนุ่ม ๆ ทั้งหลายครับ ผู้หญิงก็อ่านแล้วไปปรับใช้กันเอา มีประเด็นไหนสนใจก็ถามเพิ่มได้ครับ

ตึงจนเครียด?

May 22, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 439 views 0

ก็เห็นโพสที่เขาแสดงความเห็นกันแบบตึงจนเครียด ก็เลยมาตรวจตัวเองว่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เช่นนั้นรึเปล่า

งานที่ผมทำ ที่คนอื่นจะพอเห็นได้ คือบทความ และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโสดและคนคู่ ซึ่งถ้าเลื่อนดู บางทีก็จะมีติดกันหลายวันหลายตอนจนบางคนอาจจะเข้าใจว่าผมจริงจังมาก

จริง ๆ ก็ไม่ใช่หรอก งานหลักของผมคือทำสวน งานรองทำงานสื่อจิตอาสา ถ้าเหลือเวลาว่างอีกคิดอะไรออกก็เอามาพิมพ์ เรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์นั่นแหละ

ส่วนที่พิมพ์ติด ๆ กันบ้าง เพราะมันเป็นประโยชน์ไง บางทีพิมพ์บทแรกไป ก็คิดบทสองได้ เอ้อ มันก็น่าจะเป็นประโยชน์นะ ก็พิมพ์ไปซะหน่อย คนเขาสนใจ เขาก็อ่าน ไม่สนใจเขาก็ผ่าน เฟสบุ๊คมันดีตรงนี้นี่แหละ คือคนเขามีอิสระในการอ่านหรือไม่อ่านก็ได้ เราก็ไม่ได้บังคับใครมาอ่านซะหน่อย

ส่วนตัวผมสบายมาก ทั้งใจทั้งกาย สบายใจเพราะได้แบ่งปันสิ่งดี สบายกายเพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักเหนื่อยจากงานมาพิมพ์หรือไม่ก็ตอนค่ำ ๆ ที่มีเวลาผ่อนคลายค่อนข้างเยอะ

ถ้าความตึงมันไม่ได้เกิดที่เรา แล้วมันจะเกิดกับคนอื่นได้ไหม? ก็ตอบว่าได้ ถ้าเขามีความชังมาก ๆ หรือเขาอินทรีย์พละอ่อน พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับพวกอินทรีย์พละอ่อนหรือพวกภูมิธรรมอ่อนแอว่า สอนอะไรก็ไม่ทำ สอนอะไรก็ว่ายาก สอนอะไรก็แย้ง ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นธรรมดาในโลก เก่งสุดอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนหาว่าตึงเลย อันนี้มันก็เป็นเรื่องของโลกไป

เรื่องโสดนี่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากแบ่งปันสิ่งดีนะ ใครเห็นประโยชน์เขาก็มาเอาเอง เพราะรู้ว่าจริง ๆ มันยาก มันยากกว่าฐานศีล ๕ อีก แค่ถือศีล ๕ ละอบายมุข หมั่นทำดี ก็ใช่ว่าจะมีกำลังที่จะพาตนเองเป็นโสดได้ เพราะการจะปฏิบัติตนเป็นโสด มันก็ต้องฝืนกิเลสมากกว่า แต่คนจะมาถือศีล ๕ ละอบายมุขได้เขาก็ดีมากแล้วแหละ ดีกว่าคนทั่วไป แต่เรื่องเป็นโสดนี้บางทีมันก็ไม่ใช่ฐานเขา

แต่ถึงมันจะยาก มันก็ยังเป็นดี ที่ควรประกาศไว้ เพราะทุกวันนี้ในสังคมส่วนใหญ่จะมีความรู้ตันอยู่แค่ มีคู่ดีอย่างไร ใช้ชีวิตคู่ปล่อยวางอย่างไร มันติดเพดานตรงนี้ ผมก็คิดว่าเราน่าจะขยายแนวคิดไปให้ครบจบถึงการพ้นทุกข์อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่ใช่มาติดอยู่ที่เสพกามอย่างผาสุก อันนี้ไม่เจริญ

คนที่มีภูมิธรรม มีของเก่ามา หรือตั้งใจปฏิบัติเขาจะได้มีทางเดินต่อ ไม่ใช่ไปหลงอยู่กับการหาคู่ดีคู่ไม่ดี มันเสียเวลาชีวิตมาก แทนที่จะได้เอากำลังที่มีไปทำสิ่งที่มีประโยชน์กว่า ก็ต้องเสียเวลาเพราะไม่รู้ว่าอะไรมันดีกว่าการมีคู่ที่ดี

อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ที่พิมพ์ไปเยอะ ๆ นั่น พิมพ์แบบไม่มีหวังเลย เพราะขนาดผมเจอคนที่เขาศรัทธามากเลยนะ เกื้อกูลมากด้วย คือมีทั้งศรัทธาและสร้างวิบากดีร่วมกัน ยังไม่รอดเลย

การจะมาหวังให้พิมพ์ ๆ กันแค่นี้แล้วอ่านจนโสดอย่างผาสุกได้นี่ก็เก่งเกินคนไปแล้ว เพราะที่ให้ไปก็มีแค่ความรู้กับสภาวะ แต่ถ้าไม่มีวิบากดี ที่ทำดีมามาก หรือเคยเกื้อกูลกันมา นี่มันจะไม่มาไม่ไปหรอก แต่อย่างน้อยก็จะไม่เสื่อมไปมากกว่าที่ตนเองเป็น

การตั้งจิตปฏิบัติตนเป็นโสด คือ อยู่คนเดียวให้ได้อย่างผาสุก การอยู่คนเดียว อยู่เป็นโสดนั่นแหละคือโจทย์ ว่าเราจะแส่หาความไม่โสดหรือเปล่า

คนโสดอยู่คนเดียวก็เป็นสุข อยู่กับเพื่อนก็เป็นสุข เพราะขนาดคู่ยังไม่เอา แล้วจะไปเอาอะไรกับเพื่อน ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แล้วไปติดเพื่อน ไปหวั่นไหวกับเพื่อนนะ ถ้าโสดได้จริงมันจะแกร่งขนาดไม่ติดเพื่อน แต่ก็จะอาศัยเพื่อนในการสร้างความเจริญ จะไม่มีหรอกทะเลาะกันหรืออาการง้องอน ซึ่งเป็นธาตุแห่งความเป็นคนคู่เช่นนั้น ก็เป็นเพื่อนแค่ร่วมงาน ปรึกษา ร่วมพัฒนากันไป แต่ไม่ได้ผูกกัน ไม่ได้ยึดกัน แค่อาศัยกันเท่านั้น

จะว่าไปคนอินทรีย์พละอ่อน นี่ถ้าเขาไปอ่านพระไตรปิฎก เขาจะรู้สึกตึงเครียดมากเลยนะ มีแต่ประโยคย่ำยีกิเลส มันจะอึดอัดในใจเพราะกิเลสไม่ชอบธรรมะ มันก็เป็นธรรมดาของมันแบบนี้แหละ

วิธีตรวจสอบ ความเต็มรอบของการปฏิบัติตนเป็นโสด

February 23, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 529 views 0

หลักฐานอันหนึ่งที่จะเอามาเทียบกับสภาวะตนเองได้นั่นก็คือ ข้อความในอนุตริยสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นเลิศยอดที่สุดในโลก กับสิ่งยอดแย่ที่คนโลกีย์หลงแสวงหา

ในหัวข้อ “ลาภานุตตริยะ” ท่านกล่าวถึงการได้ลาภในโลกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการได้มีลูกและได้คู่ครอง

แล้วท่านก็ตรัสสอนต่อไปว่า “ลาภแบบนี้มีอยู่ แต่ล้วนเป็นลาภเลว

ก็เอาจิตตัวเองนี่แหละไปเทียบ ถ้าปฏิบัติจนถึงผล ความเห็นจะแนบเป็นเนื้อเดียวกับพระพุทธเจ้าโดยไม่มีแม้ขอบเผยอขึ้นมาเลย เนียนกว่าแปะเทปแล้วละลายเป็นเนื้อเดียวกันเสียอีก เพราะถ้าเห็นถูกมันจะเป็นจิตเดียวกันแบบไม่มีข้อแม้เลย

แต่ถ้าคนยังไม่ถึงผล มันจะมีสารพัดข้อแม้และเงื่อนไข จะมีคำแย้งในหัวขึ้นมาเช่น “แต่ว่า…” หรือก็ไม่เชื่อจริง ๆ หรอกว่าเป็นลาภเลว หรือก็ไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนั้นหรอกมั้ง จิตมันจะไม่น้อมเข้าตามธรรมนี้ มันจะมีความไม่ชัดเจน เกิดความขุ่นข้อง ขัดเคือง หมองใจ ไม่ยินดี จะไม่สดชื่น ไม่สดใส ไม่ร่าเริงในธรรม คือไม่อยากรับรู้ความเห็นเช่นนี้นั่นแหละ

จริง ๆ ก็มีอีกหลายสูตร เช่น นั่งข้างงูพิษ ก็ยังดีกว่านั่งคุยกับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น คนที่สภาวะเต็มรอบจะเห็นภัยตามนั้น รู้ภัยตามที่พระพุทธเจ้าว่า แม้จะไม่ชัดในปริมาณของโทษ แต่จะชัดในแนวทางของพิษภัย

ผมก็ใช้วิธีเหล่านี้แหละตรวจสอบใจไปเรื่อย ๆ ศึกษาไปก็เห็นตามท่านจริง ๆ เพราะถ้าทำผิดไปจากที่ท่านว่า มันจะเกิดความเสียหายขึ้นมา แม้จิตเราจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันจะมีวิบากเกิดขึ้น สร้างความลำบากให้ชีวิตอยู่เหมือนกัน

แล้วแบบที่เขาหลงไปว่ามีลูกดี มีเมียดี มีผัวดี นี่ไม่ต้องห่วงเลย ก็แช่อยู่แถว ๆ นั่นแหละ จมอยู่กับลูกดี คู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน ตราบที่เขายังมีความเห็นเหล่านั้นอยู่

ประพฤติตนเป็นโสด คือความเป็นกลาง

January 9, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 966 views 0

ได้ไปเห็นความเห็นที่คนเขามองว่าการปฏิบัติตนเป็นโสด มันจะออกไปทางโต่ง ๆ ตามความเห็นของเขา อ่านแล้วก็เห็นใจเขา เพราะจริง ๆ ประพฤติตนเป็นโสดนั้น คือความเป็นกลาง เป็นทางพ้นทุกข์อย่างหาทางอื่นไม่ได้เลย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต” นั่นหมายถึงก็มีแต่คนที่มีปัญญาเท่านั้นแหละ ที่จะตั้งตนอยู่ในความเป็นโสด ท่านยังตรัสไปต่ออีกว่า “ส่วนคนเขลาฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง” นั่นก็หมายถึงคนที่เขาไม่มีปัญญา หรือที่เรียกกันว่าคนโง่ คนหลง เขาก็จะเศร้าหมองเพราะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการอยู่เป็นคู่ ๆ อยู่กับเรื่องคนคู่

ท่านยังตรัสไว้ใน พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 29 ไว้อีกว่า “บุคคลผู้มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย เราเรียกว่า เป็นบัณฑิต

คนที่ประพฤติตนเป็นโสดนี่ทำไมถึงเป็นบัณฑิต แล้วทำไมบัณฑิตถึงไม่มีภัย นั่นก็เพราะการประพฤติตนเป็นโสด จะไม่สร้างเวรแค่ใคร ไม่มีภัยแก่ใคร เพราะไม่ทำให้ใครหลงรัก หรือหลงชัง ไม่ไปเป็นข้าศึกในวัฏสงสารอันยาวนานของเขา ออกจากวังวนแห่งการหลงสุขหลงเสพ อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ทั่วไป

การที่คนเข้าไปรักกัน ไปแสดงความรักกันนั้น ก็ยังสร้างเวรสร้างภัยให้แก่กันอยู่ ด้วยการมอมเมาด้วยกาม ด้วยตัณหา ด้วยราคะ ด้วยอัตตา ก็ตาม ดังนั้นผู้ที่สร้างเวรสร้างภัย จะเรียกว่าเป็นบัณฑิตก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าตั้งตนอยู่บนทางสายกลางก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าปฏิบัติสู่ความเจริญก็ไม่ใช่

ทางสายกลางในมิติของคนโสดคนคู่นั้น จะอยู่ตรงการประพฤติตนเป็นโสด ส่วนทางโต่งสองด้านนั้น หนึ่งคือฝั่งของการหลงไปในทิศของกาม จะหลงใหลหมกมุ่นใคร่อยากในเรื่องคู่ครอง สองคือทิศของอัตตา จะเป็นความยึดดี ถือดี หลงดี จนเกิดความชังขึ้นในจิต อธิบายง่าย ๆ ว่าเกลียดความรัก เหม็นความรักอะไรทำนองนี้ เห็นเขารักกันก็จะไม่ชอบใจ อันนี้เป็นทางโต่งในทิศของอัตตา

แต่บัณฑิตที่ประพฤติตนเป็นโสดนั้น จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นว่าเขาติดกามก็เห็นใจเขา เพราะเขาหลงไปสุข ไปเสพกับสิ่งลวง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็มัวเมาอยู่กับกาม เขาก็ให้ค่ามัน ให้ความสำคัญกับมันเป็นธรรมดา แค่เขาหลงเขาก็ทุกข์พออยู่แล้ว มันก็น่าเห็นใจ

ส่วนทิศอัตตานี่ก็น่าสงสารอีก เขาจะยึดดีจนอึดอัด กดดัน บีบคั้น มีแต่รังสีอำมหิต เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วยความยึดดี มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรใครเลย ทำลายทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง ดีไม่ดี ตบะแตก อดทน อดกลั้นการมีคู่ไหมไหว กลับไปหาฝั่งกามก็มีเยอะเหมือนกัน ก็คล้าย ๆ พวกทำเป็นเก๊ก แล้วสุดท้ายใจแตก ก็น่าเห็นใจเขา

ความจริงมันก็ไม่มีอะไรน่ายึด เพียงแต่มันจะมีจุดอาศัยที่พอดี เป็นกลาง เป็นความเบาสบาย ถ้าทั้งสองฝั่งคือพื้นที่ที่มีไฟลุกเผาใจอยู่ทุกวี่วัน การประพฤติตนเป็นโสดจนหลุดพ้นจากความอยากมีคู่ก็คือตรงกลางระหว่างนรกทั้งสองฝั่ง เป็นแดนสวรรค์ของจิตที่พ้นจากความเดือดเนื้อร้อนใจ

ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า บัณฑิตคือผู้ที่มีความเกษมสำราญในธรรม ไม่มีเวรไม่มีภัยแก่ใคร ใครจะมีคู่ก็เข้าใจ ใครจะชังการมีคู่ก็เข้าใจ แต่ก็จะทำงานของตนต่อไปคือเผยแพร่สิ่งที่ดี ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” เมื่อมีความรู้ ก็ควรจะแบ่งปันแจกจ่ายเป็นธรรมทาน เก็บไว้ หวงไว้ ซ่อนไว้ ไม่แบ่งแจก ก็เหมือนพรามห์ผู้เห็นผิดในโลหิจจสูตร ที่เห็นว่าผู้บรรลุธรรมนั้นไม่ควรเปิดเผยธรรม

พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้อีกว่า ธรรมะของท่าน ยิ่งเปิดเผย ยิ่งเจริญ แต่คนที่เขาไม่มีปัญญาเขาจะไม่ชอบใจหรอกนะ เขาจะค้านแย้ง ดังที่ท่่านได้ตรัสไว้ว่า ธรรมที่พาพ้นทุกข์ อสัตบุรุษจะไม่ยินดี ไม่ชอบใจ ให้พาออกจากกาม ออกจากอัตตานี่เขาจะไม่เอา เขาจะแย้ง มันก็เป็นธรรมดาของโลก ที่จะมีความเห็นทั้งสองทางมาค้านกัน

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดต่าง จะเข้าใจว่าทางสายกลางกลางกามก็เป็นสิทธิ์ที่พึงทำได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำตามใจของตน และผลกรรมก็เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนพึงได้รับเช่นกัน ทำดีก็ได้รับผลดีสะสมไว้ ทำชั่วก็ได้รับผลชั่วสะสมไว้ ก็ให้อิสระในการเลือกกันเองว่าจะทำอะไรแบบไหน