Tag: การหาคู่

ตึงจนเครียด?

May 22, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 455 views 0

ก็เห็นโพสที่เขาแสดงความเห็นกันแบบตึงจนเครียด ก็เลยมาตรวจตัวเองว่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เช่นนั้นรึเปล่า

งานที่ผมทำ ที่คนอื่นจะพอเห็นได้ คือบทความ และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโสดและคนคู่ ซึ่งถ้าเลื่อนดู บางทีก็จะมีติดกันหลายวันหลายตอนจนบางคนอาจจะเข้าใจว่าผมจริงจังมาก

จริง ๆ ก็ไม่ใช่หรอก งานหลักของผมคือทำสวน งานรองทำงานสื่อจิตอาสา ถ้าเหลือเวลาว่างอีกคิดอะไรออกก็เอามาพิมพ์ เรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์นั่นแหละ

ส่วนที่พิมพ์ติด ๆ กันบ้าง เพราะมันเป็นประโยชน์ไง บางทีพิมพ์บทแรกไป ก็คิดบทสองได้ เอ้อ มันก็น่าจะเป็นประโยชน์นะ ก็พิมพ์ไปซะหน่อย คนเขาสนใจ เขาก็อ่าน ไม่สนใจเขาก็ผ่าน เฟสบุ๊คมันดีตรงนี้นี่แหละ คือคนเขามีอิสระในการอ่านหรือไม่อ่านก็ได้ เราก็ไม่ได้บังคับใครมาอ่านซะหน่อย

ส่วนตัวผมสบายมาก ทั้งใจทั้งกาย สบายใจเพราะได้แบ่งปันสิ่งดี สบายกายเพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักเหนื่อยจากงานมาพิมพ์หรือไม่ก็ตอนค่ำ ๆ ที่มีเวลาผ่อนคลายค่อนข้างเยอะ

ถ้าความตึงมันไม่ได้เกิดที่เรา แล้วมันจะเกิดกับคนอื่นได้ไหม? ก็ตอบว่าได้ ถ้าเขามีความชังมาก ๆ หรือเขาอินทรีย์พละอ่อน พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับพวกอินทรีย์พละอ่อนหรือพวกภูมิธรรมอ่อนแอว่า สอนอะไรก็ไม่ทำ สอนอะไรก็ว่ายาก สอนอะไรก็แย้ง ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นธรรมดาในโลก เก่งสุดอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนหาว่าตึงเลย อันนี้มันก็เป็นเรื่องของโลกไป

เรื่องโสดนี่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากแบ่งปันสิ่งดีนะ ใครเห็นประโยชน์เขาก็มาเอาเอง เพราะรู้ว่าจริง ๆ มันยาก มันยากกว่าฐานศีล ๕ อีก แค่ถือศีล ๕ ละอบายมุข หมั่นทำดี ก็ใช่ว่าจะมีกำลังที่จะพาตนเองเป็นโสดได้ เพราะการจะปฏิบัติตนเป็นโสด มันก็ต้องฝืนกิเลสมากกว่า แต่คนจะมาถือศีล ๕ ละอบายมุขได้เขาก็ดีมากแล้วแหละ ดีกว่าคนทั่วไป แต่เรื่องเป็นโสดนี้บางทีมันก็ไม่ใช่ฐานเขา

แต่ถึงมันจะยาก มันก็ยังเป็นดี ที่ควรประกาศไว้ เพราะทุกวันนี้ในสังคมส่วนใหญ่จะมีความรู้ตันอยู่แค่ มีคู่ดีอย่างไร ใช้ชีวิตคู่ปล่อยวางอย่างไร มันติดเพดานตรงนี้ ผมก็คิดว่าเราน่าจะขยายแนวคิดไปให้ครบจบถึงการพ้นทุกข์อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่ใช่มาติดอยู่ที่เสพกามอย่างผาสุก อันนี้ไม่เจริญ

คนที่มีภูมิธรรม มีของเก่ามา หรือตั้งใจปฏิบัติเขาจะได้มีทางเดินต่อ ไม่ใช่ไปหลงอยู่กับการหาคู่ดีคู่ไม่ดี มันเสียเวลาชีวิตมาก แทนที่จะได้เอากำลังที่มีไปทำสิ่งที่มีประโยชน์กว่า ก็ต้องเสียเวลาเพราะไม่รู้ว่าอะไรมันดีกว่าการมีคู่ที่ดี

อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ที่พิมพ์ไปเยอะ ๆ นั่น พิมพ์แบบไม่มีหวังเลย เพราะขนาดผมเจอคนที่เขาศรัทธามากเลยนะ เกื้อกูลมากด้วย คือมีทั้งศรัทธาและสร้างวิบากดีร่วมกัน ยังไม่รอดเลย

การจะมาหวังให้พิมพ์ ๆ กันแค่นี้แล้วอ่านจนโสดอย่างผาสุกได้นี่ก็เก่งเกินคนไปแล้ว เพราะที่ให้ไปก็มีแค่ความรู้กับสภาวะ แต่ถ้าไม่มีวิบากดี ที่ทำดีมามาก หรือเคยเกื้อกูลกันมา นี่มันจะไม่มาไม่ไปหรอก แต่อย่างน้อยก็จะไม่เสื่อมไปมากกว่าที่ตนเองเป็น

การตั้งจิตปฏิบัติตนเป็นโสด คือ อยู่คนเดียวให้ได้อย่างผาสุก การอยู่คนเดียว อยู่เป็นโสดนั่นแหละคือโจทย์ ว่าเราจะแส่หาความไม่โสดหรือเปล่า

คนโสดอยู่คนเดียวก็เป็นสุข อยู่กับเพื่อนก็เป็นสุข เพราะขนาดคู่ยังไม่เอา แล้วจะไปเอาอะไรกับเพื่อน ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แล้วไปติดเพื่อน ไปหวั่นไหวกับเพื่อนนะ ถ้าโสดได้จริงมันจะแกร่งขนาดไม่ติดเพื่อน แต่ก็จะอาศัยเพื่อนในการสร้างความเจริญ จะไม่มีหรอกทะเลาะกันหรืออาการง้องอน ซึ่งเป็นธาตุแห่งความเป็นคนคู่เช่นนั้น ก็เป็นเพื่อนแค่ร่วมงาน ปรึกษา ร่วมพัฒนากันไป แต่ไม่ได้ผูกกัน ไม่ได้ยึดกัน แค่อาศัยกันเท่านั้น

จะว่าไปคนอินทรีย์พละอ่อน นี่ถ้าเขาไปอ่านพระไตรปิฎก เขาจะรู้สึกตึงเครียดมากเลยนะ มีแต่ประโยคย่ำยีกิเลส มันจะอึดอัดในใจเพราะกิเลสไม่ชอบธรรมะ มันก็เป็นธรรมดาของมันแบบนี้แหละ

เรียนรู้เรื่องคู่จาก พระนางพิมพา

June 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,946 views 0

เรียนรู้เรื่องคู่จาก พระนางพิมพา

เรียนรู้เรื่องคู่จาก พระนางพิมพา

คงจะมีเหตุบางอย่างให้คนในยุคนี้ได้เรียนรู้เรื่องราวของความเป็นคู่บุญคู่บารมีในรูปแบบของคู่รัก ซึ่งเป็นคู่แบบหนึ่งที่เรียกได้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ใช่ว่าเส้นทางเหล่านี้จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเราได้ศึกษาจะพบว่าท่ามกลางความรักที่ดูน่าหลงใหลได้ปลื้มนั้น ยังมีความทุกข์และวิบากบาปจำนวนมหาศาลที่ต้องแบกรับอีกด้วย

เราอาจจะเข้าใจผิด หลงคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีคู่บุญคู่บารมีในรูปแบบของคู่รักแล้วตนจะมีได้บ้าง จึงมักจะยกเจ้าชายสิทธัตถะและนางพิมพาเป็นต้นแบบ โดยไม่ตระหนักว่าสาระสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไร เรามักจะยินดีรับรู้เรื่องราวเท่าที่เราอยากเสพเท่านั้น นั้นก็เพื่อให้เราสามารถมีคู่ได้ด้วยความชอบธรรม

ความเป็นคู่นั้นแม้จะรักกันเกื้อกูลกันเพียงใด แต่การผูกกันไว้ด้วยสภาพของ “คู่รัก” ซึ่งจะกลายเป็นกรรมที่ต้องชดใช้กันไปไม่รู้อีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ ใช่ว่าคู่บุญคู่บารมีพระพุทธเจ้าจะเกื้อกูลให้เจริญเสมอไป กว่าจะถึงวันที่เราเห็นดังที่ได้เรียนรู้มา ท่านทั้งสองผ่านกันมามากมาย ทั้งพากันทำบาป ทั้งถ่วงความเจริญกัน ทั้งหึงหวง ทั้งทะเลาะ ทั้งเป็นภาระ ทั้งถูกทิ้ง ทั้งเป็นเหตุให้อีกคนเจ็บปวดและตาย กว่าจะแบกกันมาจนถึงชาติสุดท้ายนี่ต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าไหร่ เราคงไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด ทำได้เพียงศึกษาข้อมูลบางส่วนเท่านั้น

ถ้าใครอยากรู้ก็ลองนึกดูก็ได้ว่า คู่ที่เราทะเลาะกัน เกลียดกัน ทำร้ายกันนั่นแหละจะมาจองเวรจองกรรมกันทุกชาติไม่จบไม่สิ้น พากันลงนรกไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะปีนป่ายขึ้นมาจากนรก แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ง่าย ต้องผลัดกันแบกกันและกันปีนขึ้นจากเหวนรก บางทีอีกคนก็ฉุด บางทีเราก็ไปฉุดอีกคนลงนรก ใช่ว่าจะพบความสุขความเจริญได้ง่ายนัก

โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ ซึ่งมักเอาเรื่องเกื้อกูลกัน พัฒนาไปด้วยกัน เจริญในธรรมไปด้วยกัน มาบดบังกิเลสคือความอยากมีคู่ของตน กลายเป็นหลอกตัวเองว่าถ้าคู่ไม่ดีก็ไม่ควรมี แต่ถ้าคู่ดีก็มีได้

แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องมีคู่บุญที่อยู่ในรูปของคู่รักเลย ให้เป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ที่ต้องสะสมโลกวิทูหรือการรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง งานของพระโพธิสัตว์คือเรียนรู้ทุกบท ทุกเหตุการณ์ ทุกเหลี่ยม ทุกมุม ทุกความรู้ในเรื่องโลก แต่คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ถึงขนาดนั้น พระพุทธเจ้าบอกให้เราเรียนรู้แค่ใบไม้กำมือเดียวเท่านั้น ยังไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ทั้งป่า

การที่เราจะหาคู่รักมาทำเหมือนเกื้อกูลและเจริญไปด้วยกันนั้นเป็นความเห็นของกิเลสล้วนๆ เพราะแท้จริงแล้วความเกื้อกูลและความเจริญก็สามารถหาได้ในหมู่กัลยาณมิตรเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็น “คู่รัก” ให้ต้องสร้างกรรมชั่ว จองเวรจองกรรมกันไปอีกหลายภพหลายชาติ

แม้พระพุทธเจ้าจะเป็นตัวอย่างของภาพความรักที่เกื้อกูลตามที่หลายคนเข้าใจ แต่ท่านก็ไม่เคยบอกให้เราไปมีคู่ ไม่มีเหตุผลใดที่สมควรมีคู่ ซ้ำยังบอกให้พยายามออกจากความหลงในเรื่องคู่ ซึ่งคนที่หลงในความรักจะยึดพุทธประวัติมาเป็นที่ตั้ง แต่มักจะไม่เอาธรรมเพื่อความพ้นทุกข์มาศึกษา

หนึ่งในความจริงที่ยากจะปฏิเสธคือ การมีคู่ของพระพุทธเจ้านั้นคือการมีเพื่อให้เห็นทุกข์และเพื่อทอดทิ้งอย่างในพระเวสสันดรชาดกก็เป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่ามีไว้เพื่อให้ทิ้ง ให้เห็นว่าสิ่งที่รักที่สุดก็สามารถสละได้ ไม่ใช่การเป็นคู่รักเพื่อเสพสุขแต่อย่างใด

เมื่อเราศึกษาพุทธประวัติแล้วพยายามอย่าเอาอย่างท่านทุกอย่างเพราะแต่ละสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ พึงระลึกไว้เสมอว่านั่นคือบารมีระดับพระพุทธเจ้า ส่วนเราเป็นผู้น้อยต้องประมาณกำลังให้เหมาะสม สิ่งที่เราควรศึกษาและปฏิบัติตามคือคำสอนของท่านหลังจากที่ท่านตรัสรู้ ท่านว่าอย่างไรก็ศึกษาไปตามนั้น ท่านว่าสิ่งใดไม่ควรก็จงพิจารณาให้เกิดปัญญาว่าไม่ควรอย่างไร ท่านว่าสิ่งใดควรก็จงพิจารณาให้เกิดปัญญาว่าควรอย่างไร

ผู้มีปัญญาจะรู้ชัดว่าการผูกกันด้วยความเป็นคู่รักนั้นมีแต่ความทุกข์ พวกเขาจึงพยายามออกจากความเป็นคู่นั้น เพราะงานสำคัญในชีวิตนั้นไม่ใช่การหาคู่ แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อดับทุกข์ เมื่อมีวิชาดับทุกข์ ศึกษาและปฏิบัติจนทำให้ทุกข์ดับจนสิ้นเกลี้ยงได้แล้ว จะไปลองศึกษาการมีคู่หรือไปเรียนรู้ทุกข์ในมุมอื่นๆ ก็สามารถทำได้ตามประสงค์

– – – – – – – – – – – – – – –

26.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่

June 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,827 views 0

ทำอย่างไรดี ฉันอยากมีคู่

แม้ว่าจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับทุกข์ของการมีคู่มามากมาย ได้รู้ธรรมะที่ว่าการมีคู่นั้นสุขน้อยทุกข์มาก ทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ผูกพันเราอยู่ในวิถีโลกียะ จำที่เขาสอนได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่สิ่งที่ว่างเปล่าไม่มีแก่นสาระอะไร แต่กระนั้นกิเลสข้างในก็ยังไม่ยอมรับความโสด ยังคงมีเหตุผลมากมายที่จะมาหักล้างความดีงามของความโสด จนความอยากมีคู่นั้นล้นทะลักออกมาเป็นความคิดที่ปักมั่นว่า “ฉันจะต้องมีคู่

แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อกิเลสนั้นทรงพลังมาก แต่ธรรมะที่มีนั้นอ่อนแอเสียเหลือเกินมองไปทางไหนเห็นคนมีคู่ก็สุขใจ ได้ยินเรื่องราวความรักก็แอบอมยิ้ม อิจฉา อยากได้อยากมีแบบเขาบ้าง

ก่อนที่เราจะพลาดพลั้งเสียทีให้กับกิเลสจนตัดสินใจที่จะต้อนรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต เราก็ควรจะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการมีคู่ เพราะการมีคู่นั้นมีความเสี่ยงสูง ผู้ที่คิดจะมีคู่ควรตัดสินใจให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และทั้งหมดนี้ไม่ใช่การลงทุน

1).เราหลงสุขในอะไร

ความอยากมีคู่นั้นคือผลที่สุกงอมของกิเลส ซึ่งอาจจะเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามนุษย์ต้องเกิดมาเพื่อสืบพันธุ์ มีครอบครัวจึงจะสมบูรณ์ หรือไม่ก็ในมุมที่อยากเสพสุขทางกามอารมณ์ใดๆสักอย่าง

การหลงว่าการสืบพันธุ์เป็นหน้าที่ คนเราต้องมีครอบครัว การมีคนรักคือเครื่องยืนยันความสมบูรณ์ ฯลฯ ความเห็นทั้งหลายเหล่านี้เป็นความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องโลก(โลกียะ) ซึ่งไม่แปลกอะไรถ้าใครจะเห็นเช่นนี้ แต่ความเห็นที่จะพาออกจากโลก (โลกุตระ) จะไม่เห็นเช่นนี้ เพราะรู้ดีว่าความเห็นเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เลย มีแต่จะทำให้หลงในสุขลวง หลงในความเชื่อ หลงวนเวียนในวิสัยแห่งโลกไปเรื่อยๆ

ในส่วนของความอยากเสพสุขในกามอารมณ์ใดๆ สักอย่าง อยากเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรืออยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สนองอัตตาใดๆก็ตาม เป็นสาเหตุหลักที่ผูกคนไว้กับการมีคู่ ทำให้คนเหล่านั้นไม่ยอมปิดโอกาสในการมีคู่ของตน เพราะรู้ดีว่าถ้าโสดก็จะไม่ได้เสพ แต่ถ้ามีคู่ก็จะได้เสพอย่างที่ตนเองหวังไว้

โดยเฉพาะเรื่องของการสมสู่ เป็นเรื่องที่ติดกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะยากดีมีจน คนเลวคนดี ก็ล้วนเสพติดสุขจากการสมสู่ด้วยกันทั้งนั้น หากอยากจะลองดูว่าเราติดจริงไหมก็ให้ตั้งตบะเลิกสมสู่ทั้งชีวิตก็จะเห็นอาการของกิเลสที่ดิ้นรนหาเหตุผลให้ได้เสพ ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ตัวเองหรือกับคู่ครองก็ตาม

ทั้งหมดนี้คือความสุขที่เราเข้าใจว่าจะได้เสพต่อเมื่อมีคู่ครอง ดังนั้นเมื่อเราอยากเสพ เราก็ต้องหาคู่ครอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลสวยหรูงดงามแค่ไหน การมีคู่นั้นก็ยังเป็นสภาพที่จมอยู่ในกามภพ คือสภาวะที่ยังเสพสุขจากกามอยู่เป็นนิจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สมสู่กัน ก็ยังเสพสุขในการมีกันและกันอยู่ดี

2). โทษภัยของการมีคู่

แม้ว่าเราจะมองว่าการมีคู่นั้นจะทำให้เราได้เสพสุขจากกิเลสนั้นๆที่เรายึดติด จนทำให้เรามองข้าม ทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงสะสมผลของอกุศลกรรมที่ทำลงไปเรื่อยๆและรอวันให้ผล

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ยังเป็นประโยคอมตะที่ไม่มีใครลบล้างได้ แม้เราจะหมายมั่นว่าเราสามารถยอมรับและจัดการทุกข์จากการมีคู่ได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องวนเวียนทุกข์อยู่เรื่อยไป ไม่สามารถหนีพ้นพลังแห่งความจริงที่ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ ในเมื่อยังมีความอยาก(ตัณหา) เกิดขึ้น ก็ยังมีอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ภพ(ที่อาศัย) ชาติ(การเกิด) ชรา(ความแก่) มรณะ(ความตาย) โสกะ(ความเศร้าโศก) ปริเทวะ(คร่ำครวญรำพัน) ทุกข์ โทมนัส(เสียใจ) อุปายาส(ความคับแค้นใจ) เกิดขึ้นตามไปด้วย

และแท้จริงแล้วความสุขจากกิเลสนั้นเป็นความสุขลวง เป็นพลังงานที่เราสร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง สร้างรสสุขให้ตัวเอง สร้างเองเสพเอง เสียพลังงานไปเปล่าๆ ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาบำเรอเพื่อที่จะได้เสพสุขที่ตนหลงยึดมั่นถือมั่นว่าจะได้เสพจากสิ่งนั้น นั่นหมายถึงการมีคู่แท้จริงแล้วไม่มีรสสุขใดๆเลย สุขที่เห็นและเข้าใจว่ามีนั้น เป็นรสสุขที่เกิดจากพลังของกิเลสทั้งสิ้น

ถึงรสสุขจะเป็นสิ่งลวง แต่ทุกข์นั้นกลับเป็นของจริง ทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์จริงๆที่ต้องรับทั้งหมด เพราะเป็นผลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกิเลส เราอาจจะเคยชั่งน้ำหนักว่า ถ้ามีคู่ก็สุขครึ่งหนึ่ง ทุกข์ครึ่งหนึ่ง หรือไม่ก็สุขมากทุกข์น้อย ซึ่งในความเป็นจริงแท้ๆแล้วนั่น สุขไม่มีจริงเลย มีแต่ทุกข์แท้ๆอย่างเดียวเท่านั้น

การมีคู่นั้นสร้างทุกข์ให้มากมาย ทั้งการต้องคอยบำเรอคู่ วิบากกรรมที่ต้องร่วมรับ เช่นเขาไปทำความผิด ทำให้เราและครอบครัวต้องเดือดร้อน เขาต้องเป็นภาระให้เราคอยดูแล เป็นห่วงกังวล เขาล้มป่วยหรือตายก่อนถึงวันที่พร้อม ทำให้เราต้องประสบทุกข์อย่างมาก และยังมีเรื่องราวทุกข์จากการมีคู่ให้ได้เห็นอีกมากมายในสังคม

โทษภัยที่ร้ายที่สุดของการมีคู่คือการดึงรั้งกันไว้ในโลกีย์ ไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆ ใช่ว่าคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วอีกคนจะยอมให้ทำได้อย่างอิสระ หรือถ้าปฏิบัติธรรมทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสลัดกันออกได้ง่ายๆ เพราะสิ่งที่ผูกกันไว้ใช่ว่าจะตัดกันได้ง่ายๆ สายสัมพันธ์ที่ถูกสอดร้อยด้วยกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นและยากจะแกะออกได้ แม้ว่าเป้าหมายของทั้งคู่คือการบรรลุธรรม แต่การครองคู่นั่นเองคือสิ่งที่ถ่วงและเหนี่ยวรั้งไม่ให้พบกับความเจริญ

3). ประโยชน์ของความโสด

หากเราจะกล่าวถึงประโยชน์ของความโสด ก็เรียกได้ว่ามีประโยชน์กว่าการมีคู่อย่างหาประมาณไม่ได้ แต่คนมักจะไม่ให้ค่าความโสด เพราะหากโสดแล้วก็จะไม่ได้เสพสุขจากการครองคู่ ทั้งที่จริงแล้วความโสดมีคุณประโยชน์มากมาย

ในชีวิตทั่วไป ความโสดทำให้เราคล่องตัวในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องผูกพันกับใครมากจนเป็นภาระ เปิดโอกาสให้เพื่อนได้เข้ามาช่วยเหลือจุนเจือ เป็นสังคมเกื้อกูลมากกว่าต้องพึ่งพากันในสภาพของคู่ครองอย่างที่สังคมมักจะทำกัน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นประโยชน์ตนที่ทุกคนควรทำเป็นอันดับแรก

ความคล่องตัวในชีวิตหมายถึงความสามารถไขว่คว้าโอกาสในการเจริญได้ง่าย เช่นถ้ามีเพื่อนชวนไปทำสิ่งที่ดี คนโสดแทบจะไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เห็นประโยชน์แล้วปัจจัยพร้อมก็ไปได้ทันที แต่คนคู่นั้นมีปัจจัยที่ผูกพันมากกว่า จึงอาจเสียโอกาสในการเข้าถึงสิ่งที่ดีได้

ความโสดยังลดโอกาสในการสร้างวิบากกรรมชั่ว ที่หากยังครองคู่อยู่คงจะต้องสร้างบาปและอกุศลเช่นนี้เรื่อยไป เช่น สมสู่กันอยู่เป็นนิจ พากันเสพสุขลวงจากของอร่อย สถานที่ท่องเที่ยว การสะสม ฯลฯ ซึ่งเมื่ออยู่เป็นโสด จะไม่มีกำลังของกิเลสมากพอจะผลักดันให้ไปทำชั่ว แต่เมื่ออยู่เป็นคู่ คนมีกิเลสสองคนจะรวมพลังกิเลสกันแล้วร่วมใจกันเสพ จึงมีโอกาสทำชั่วได้ง่าย

ทั้งนี้การมองเห็นความดีความชั่วขึ้นอยู่กับฐานศีล ถ้าศีลต่ำก็มองไม่เห็นชั่ว ถ้าศีลสูงก็จะเห็นชั่ว แต่ถึงแม้เห็นหรือไม่เห็น ชั่วก็ยังเป็นชั่ว กิเลสก็ยังเป็นกิเลส มันก็เป็นพลังงานอกุศลของมันอยู่แบบนั้น

4). พรากออกห่าง

เมื่อศึกษาเหตุจากความหลงสุข โทษ และประโยชน์แล้ว แต่ยังไม่สามารถหักห้ามใจได้ ก็พยายามออกห่างจากสถานการณ์ที่ชวนให้กำหนัด ให้รู้สึกหลงรัก ให้เกิดความอยากมีคู่ สร้างระยะห่างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองพลาดพลั้งให้กับพลังของกิเลสได้ง่าย

เพราะยิ่งอยู่ใกล้สิ่งที่อยากเสพมากเท่าไหร่ หากเราไม่มีกำลังสติมากพอ ก็อาจจะข่มใจไม่ไหว หลวมตัวหลงรัก ตกลงปลงใจคบหากันก็ได้ ยิ่งถ้าพูดถึงปัญญานี่ไม่ต้องห่วงเลย มันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะถ้ามีปัญญา ต่อให้มีกำลังสติน้อยมันก็ไม่คิดจะไปเอาใครเข้ามาเป็นคู่ครอง เพราะมันรู้แจ้งในโทษชั่วของการมีคู่แล้ว แต่โดยทั่วไปนั้นจะต้องใช้กำลังสติเป็นเครื่องยับยั้งใจ และใช้ศีลเป็นกำแพงขวางกั้น

5). กำแพงศีลธรรม

เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าผู้ที่จะคบหาเป็นมิตรกันได้นานนั้น จะต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน ซึ่งความเสมอนั้นไม่ว่าดีหรือชั่ว ต่ำหรือสูง เพียงแค่เสมอก็ทำให้สามารถเป็นมิตรผูกภพผูกชาติไปด้วยกันได้แล้ว

คนชั่วก็จะมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาระดับคนชั่ว คนดีก็จะมีระดับของคนดีเช่นกัน แล้วเราอยากให้คนชั่วหรือคนดีเข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าเราอยากให้คนดีเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็จะต้องพัฒนาองค์ประกอบทั้งหมดให้ยกระดับขึ้นไปอีก ถ้าในไตรสิกขาก็จะเริ่มด้วยอธิศีล คือศึกษาศีลให้ยิ่งกว่าเดิม

เช่นเราไม่เคยกินมังสวิรัติเลย แต่ก็ไม่อยากเจอคนไม่ดีเลยถีบตัวเองขึ้นไปกินมังสวิรัติด้วยกำลังของศรัทธาที่เห็นประโยชน์ในการลดเนื้อกินผักและเกิดปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดี มีจาคะพอที่จะสละความสุขลวงในความติดรสของตน

ถ้ารู้สึกว่ายังดีไม่พอ ยังเจริญไม่พอ กินมังสวิรัติแล้วยังเจอคนชั่วอยู่ ก็ให้ขยับอธิศีลขึ้นอีก มาศึกษาการกินมื้อเดียว พอมาฐานนี้จะเริ่มมีคนตามได้ยากแล้ว ใครจะปีนกำแพงศีลธรรมมาต้องแกร่งพอสมควร แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนทำได้ เราก็ก่อกำแพงขึ้นมาอีกเป็นศีล “อพรหมจริยา เวรมณี” คือละเว้นการประพฤติที่ไม่ใช่พรหม ที่เข้าใจได้ง่ายๆคืองดเว้นการสมสู่แตะเนื้อต้องตัวกัน พอมาฐานศีลนี้ก็จะป้องกันตัวเองจากคนกิเลสหนาและกามจัดได้มากขึ้นอีก ถ้าอยากปลอดภัยอีกก็มีศีลระดับสูงอีกมากมายที่จะป้องกันไม่ให้เราต้องเจอกับตัวเวรตัวกรรม

ทั้งนี้การศึกษาศีล หรือศึกษาไตรสิกขานั้นไม่ใช่จะกระทำได้ง่าย ใช่ว่าจะสำเร็จผลได้ง่าย หากเราถือศีลเป็นคราวๆก็จะได้กำแพงศีลเป็นคราวๆ ซึ่งไม่รู้ว่าวิบากกรรมชั่วจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราใช้การศึกษาศีลเพื่อให้เกิดปัญญาจนไปชำระกิเลสได้ ก็เรียกว่าได้กำแพงถาวร เกิดเป็นสภาพศีลที่มีโดยปกติ มีศีลได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องพยายาม

6). กิเลสนี้เองคือไส้ศึก

แม้ว่ากำแพงศีลธรรมจะมีอยู่ แต่ก็มักจะมีผู้พลาดพลั้งเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเพราะมีไส้ศึก คือกิเลสซึ่งเป็นศัตรูร้ายที่อยู่ภายในจิตใจเรา ซึ่งจะคอยชักนำสิ่งที่ดีไม่งามเข้าสู่ชีวิตเรา

การที่มีใครสักคนหลุดทะลุเข้ากำแพงศีลธรรมมาได้โดยไม่ได้ผ่านมาตรฐานอะไรเลยนั้น ดังเช่นสภาพที่ว่า ไม่ได้ชอบแบบนี้แต่สุดท้ายก็ไปคบกับเขา ก็มักจะเกิดจากกิเลสซึ่งเป็นไส้ศึกลากศัตรูเข้ามาในช่องลับ หรือไม่ก็ทำลายกำแพงศีลธรรมเข้ามาเองเลย

การลากศัตรูเข้ามาในช่องลับคือการที่กิเลสของเราหาช่องทางเล็ดรอดให้พ้นกำแพงของศีลเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขจากคนที่หมายนั้นโดยไม่ต้องผ่านการคัดครองของศีลแต่อย่างใด ทั้งนี้มักจะเกิดจากความอยากเสพในคนนั้นที่มากเกินควบคุมแล้วจึงหาข้ออ้าง หาช่องให้ได้เสพโดยที่ตนไม่ต้องรู้สึกผิดบาป

การทำลายกำแพงศีลก็คือเมื่อเจอกับคนที่ชอบแล้วก็ยอมลดศีลตนเอง เช่นปกติแล้วเป็นคนกินมังสวิรัติ แต่พอเจอกับคนที่ถูกใจแต่เขายังกินเนื้อสัตว์ก็จะเริ่มอนุโลมไปกินเนื้อสัตว์กับเขา ยอมลดศีลยอมเสพเนื้อสัตว์ไปพร้อมๆกับเสพสุขจากเขาเป็นต้น

7). วิบากกรรมเพื่อเรียนรู้

สุดท้ายเมื่อพยายามอย่างที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังของกิเลส ซึ่งมาในรูปรวมของคำว่า”วิบากกรรม” หรือกรรมเก่า ซึ่งหมายรวมไปถึงกิเลสที่สะสมมาจนมีกำลังมากพอที่จะพาให้รู้สึกหลงรักจนคบหาได้เช่นกัน

สรุปได้ว่าเราไม่สามารถโทษกรรมเก่าแต่ปางก่อนได้เสมอไป เพราะมีกิเลสเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย แต่ถ้าคิดว่ากำจัดกิเลสได้จนสิ้นเกลี้ยงหรือไม่มีความอยากเสพใดๆปรากฏให้รู้ได้ทั้งสามภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว การต้องรับคู่เข้ามาในชีวิตก็คือเรื่องของวิบากกรรมที่จำเป็นต้องรับไว้ด้วยองค์ประกอบทางโลกบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นภาระ แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องแบกไว้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นบางอย่างเช่นกัน

คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ต้องรับใครเข้ามาในชีวิต ถึงเราจะมีคู่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรที่สังคมให้ความสนใจ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดสิ่งดีงามอะไรขึ้นมา

นั่นหมายความการพ่ายแพ้ต่อแรงของกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการไปมีคู่ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ยากจะห้ามได้ ในเมื่อเขาเหล่านั้นไม่ได้มีกรรมดีที่ทำไว้มากพอที่จะช่วยดึงเขาออกจากนรกคนคู่ ซ้ำยังมีกรรมชั่วที่สั่งสมอุปาทานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสุขไว้อย่างมากมาย เขาเหล่านั้นจึงต้องไปทดลองมีคู่เพื่อเรียนรู้วิบากกรรมกิเลสที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมานั่นเอง

มีคนจำนวนไม่น้อย มีคู่แล้วประสบทุกข์อย่างมาก ในตอนแรกก็คาดหวังไว้ว่านี้คือคู่ชีวิตที่จะรักและดูแลกันไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งคู่แต่งงานก็มักจะประกาศถ้อยคำที่มีนัยเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สุดท้ายต้องตะเกียกตะกายออกมาจากนรกคนคู่ แม้จะพยายามปีนป่ายก็จะโดนวิบากกรรมลากกลับไปทุกข์อยู่ไม่จบไม่สิ้น

คนที่หลุดออกมาได้ก็จะมีสภาพบาดเจ็บ ถูกทำร้ายจิตใจ บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกายด้วย ส่วนคนที่ทุกข์แต่ยอมทนเพราะไม่กล้าพอจะแบกรับผลก็อยู่กันทั้งรักทั้งชัง หวานก็ไม่ค่อยมี ขมก็ต้องฝืนกลืน

คนบางพวกที่ยังประสบทุกข์น้อยสุขมากยิ่งน่ากลัว เพราะจะหลงว่าความรักดีๆสามารถสร้างได้ เช่นในกลุ่มคนดีก็มักจะสร้างกุศลกรรมเป็นแรงหนุนให้ได้เสพสุขอยู่ในรักร่วมกันจนแก่เฒ่า เป็นความประมาทที่ร้ายสุดร้าย เพียงเพราะหลงสุขลวงในชาตินี้เท่านั้น เหตุจากไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จึงมองการเสพสุขแบบโลกีย์เช่นนี้เป็นเป้าหมายในชีวิต

สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การรับใครเข้ามาในชีวิตด้วยกิเลสคือการสร้างหนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้ว่า กามฉันทะ คือความเป็นหนี้ กามฉันทะนั้นกินความหมายกว้างมากไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเพศ แต่หมายรวมไปถึงความสุขจากการได้เสพทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของกามภพ

นั่นหมายความว่าหากเรายังต้องคอยเสพสุขลวงจากการมีคู่อยู่ เราก็ต้องคอยใช้หนี้กรรมอยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น…

– – – – – – – – – – – – – – –

20.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)