Tag: ความเกลียดชัง
ทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา
เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คือข้อธรรมที่เผยแพร่เป็นที่รู้กันโดยมาก เนื้อหาสั้น ๆ เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่จริง ๆ เข้าใจได้ยากมาก
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสมันจะบังไว้ไม่ให้เห็นธรรม จะมีก็แค่ได้เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชีวิตไม่เจอสัตบุรุษ ไม่มีทางเห็นธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้เลย
คนทั่วไป เมื่อมีทุกข์จากความรัก เขาจะไม่สามารถย่อยทุกข์นั้นไปเพิ่มเป็นปัญญาได้ เขาทำได้แค่เปลี่ยนทุกข์นั้นเป็นตัณหา
เช่นเขาอกหัก ช้ำรัก เขาก็เอาความทุกข์นั้นแหละ เป็นพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้น่าเสพมากขึ้น คือเอาไปเพิ่มกามเพิ่มอัตตา เพื่อที่จะได้เพิ่มกำลังในการล่อลวงหลอกใจคนให้หลงในตัวตนของเขามากขึ้น หรือไม่ก็ไปเพิ่มข้อเรียกร้องในการเลือกคู่ให้มากขึ้น กลัวมากขึ้น กังวลมากขึ้น หวังจะเสพสุขที่มากขึ้นจากความผิดหวังในความรัก
ถ้าไม่ไปเพิ่มฝั่งกาม คือฝั่งหาคู่ยิ่ง ๆ ขึ้น ก็เพิ่มฝั่งอัตตา คือยึดดี ยึดมั่นถือมั่น เกลียดความรัก ชังความรัก เหม็นความรัก เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือจริง ๆ ตัวเองต้องการเสพความรัก แต่มันเจ็บ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยกดไว้ด้วยความเกลียดชัง ยึดดีถือดี
คนโลกีย์เขาก็ทำได้แค่เท่านี้ ไปได้สองฝั่ง ไม่กามก็อัตตา นรกทั้งสองฝั่ง
ที่ว่าทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา นั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพื่อที่จะใช้ทุกข์นั้นเป็นตัวพิจารณาในการละหน่ายคลายจากความหลงรัก ใช้ทุกข์นั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจธรรมะ เข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีรักเลย ไม่ทุกข์เลย คือสภาพจิตเช่นใด
มันจะเป็นปัญญาก็ตรงนี้ ตรงที่ใช้ประโยชน์ให้ถูก คือใช้ทุกข์มาเป็นเครื่องมือในการล้างโลภ โกรธ หลง ถ้าเอาทุกข์ไปใช้เพิ่ม โลภ โกรธ หลง อันนั้นจะกลายเป็นว่าทุกข์คืออาหารของตัณหา
แม้ทุกข์แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน แต่จิตคนต่างกัน มีความเห็นความเข้าใจต่างกัน ก็จะปฏิบัติต่างกันไป
ดังนั้นเวลาศึกษาธรรมก็ระวังให้ดี ไปเจอคนมิจฉาทิฏฐิเรื่องความรักสอนธรรมนี่จะไปคนละทิศเลย คือไปทิศเพิ่มตัณหา เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ เพิ่มความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ยามรัก ยามชัง ผูกเงื่อน แก้เงื่อน
ยามรัก เหมือนผูกเงื่อนในบึงน้ำ
เย็น สบาย ค่อยๆผูก ค่อยๆพัน
ยามชัง เหมือนแก้เงื่อนบนกองไฟ
ร้อน ทรมาน ยิ่งรีบแก้ ก็ยิ่งพันแน่น
……………………….
คนเราโดยทั่วไปนั้น เมื่อยามหลงรักก็เหมือนกับการผูกเงื่อน ค่อยๆผูกความสัมพันธ์ ค่อยๆยึดมั่นถือมั่นเอาเขาคนนั้นมาเป็นตัวตนของเรา เป็นคู่ของตน กลายเป็นคนรู้ใจ เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นเงื่อนที่มัดแน่นและซับซ้อนขึ้น
การผูกเงื่อนเมื่อยามหลงรักนั้นก็เหมือนกับการผูกอยู่ในบึงน้ำที่สงบเย็น อยู่ในห้วงแห่งการเสพสุขต่างๆที่พาให้หลงไป ยิ่งสุขก็ยิ่งเสพ ยิ่งเสพก็ยิ่งผูก ยิ่งผูกก็ยิ่งจะพัน และพันไปพันมาซับซ้อนมากเท่าที่จะมากได้ เช่น เราจะไม่แยกจากกัน เราจะดูแลกันไปจนตาย เราจะรักกันชั่วนิรันดร์
แต่พอถึงวันหนึ่งที่ไม่ได้เสพสมใจหมาย สิ่งนั้นไม่ได้ดีดังใจฝัน เวลาจะออกมันไม่ง่าย เราไม่สามารถแก้เงื่อนที่ผูกไว้ได้ง่ายเหมือนตอนที่ผูก เพราะตอนผูกก็ผูกด้วยความหลง เลยไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง แถมยังต้องแก้บนความเกลียดชัง ความไม่พอใจที่เหมือนกับไฟที่คอยเผา ให้ต้องเร่งรีบทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความไม่พอใจนั้นๆ
การแก้ความยึดมั่นที่ผูกมาไม่ได้ง่ายเพียงแค่การตัด เพราะถ้าเราสามารถตัดความยึดมั่นถือมั่นได้ง่ายเพียงแค่คิดก็คงจะไม่มีใครทุกข์ แต่เงื่อนแห่งนามธรรมที่เต็มไปด้วยกิเลสนี้ต้องตัดด้วยปัญญาเท่านั้น แต่จะเอาปัญญามาจากไหน? เคยสร้างมันขึ้นมาหรือไม่? เมื่อไม่มีแล้วจะเอามาใช้ได้อย่างไร? สุดท้ายมันก็ต้องทนแก้เงื่อนไปบนกองไฟอยู่นั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
15.6.2558