ข้อคิด

หัดจนให้เป็น เพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น

October 17, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,477 views 0

อาจจะเป็นบทความที่ดูแปลกๆหน่อย เพราะเรื่องจนนี่เป็นอะไรที่คนทั่วไปเขาอยากจะหลีกหนี หลีกเลี่ยง หลีกให้ไกล แต่ทำไมผมจึงพิมพ์บทความให้หัดจน

อาจจะดูน่าหมั่นไส้มากหน่อยแต่ให้ทนๆอ่านไปนะครับ ผมเองนั้นก็ไม่ค่อยได้ลำบากเท่าไหร่ในชีวิต ความมี ทำให้เรามองข้ามความสำคัญของเงินและการสูญเสียทรัพยากรในการไปหาเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นสำคัญมาก หลายๆครั้ง หลายๆโอกาสในชีวิตผมได้ทดลองปล่อยตัวให้จมไปกับความจน แต่ความจนนี้ก็เหมือนกับล้มบนฟูก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลอง ทำให้ผมพบว่าหากเราหัดจน เป็นนิสัย เราจะลดการฟุ่มเฟือยในชีวิตไปได้มากเลย

ดังที่เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในโลกหลายคนนั้น มาจากคนที่จน หรือมีน้อยมาก่อน ทำให้เขาได้เรียนรู้ค่าของเงินและ ค่าของเวลาที่จะเอาไปแลกเงิน ความขยันและความประหยัดจึงเป็นคุณสมบัติของผู้มั่งคั่ง (ไม่ฉาบฉวย)

ความจนในมุมของผมนั้นไม่ใช่ไม่มี แต่หมายถึงนิสัยที่ทำให้ดูจน เรากินน้อย ใช้น้อย ใช้เท่าที่พอเพียง ใช้เท่าที่จำเป็น ดังนั้นภาพของเราก็จะออกมา “จน” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีกิน ไม่มีใช้ เราอาจจะเหลือกินเหลือใช้เหลือเก็บเพียงแต่เราไม่มีภาพเหล่านั้นให้เห็นเท่านั้นเอง

ความจนก็เหมือนเกราะที่ปกป้องภัยต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิต ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น คนที่ดูจนก็ไม่มีใครอยากเข้ามาเอาประโยชน์แบบโลกๆ จากเรา เพราะดูเหมือนเราไม่มีอะไรไปสนองกิเลสเขาเหล่านั้น ทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีใครที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากเราเหมือนคนรวยๆที่มีแต่คนเข้าหาเพียงเพื่อจะหาประโยชน์บางอย่างเท่านั้น และนั้นจะทำให้ชีวิตลำบากในภายหลัง

สวัสดี

เดินเก็บเกี่ยวความรู้สึก

August 24, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,867 views 0

เมื่อวันก่อนไปงานรวมญาติ มาแถวสวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบฯ หาดที่นั่นก็ยาว ยาวไปถึงเขาตะเกียบ มองไปก็เห็นอยู่ไกลๆ ไม่รู้ระยะทางเท่าไหร่ไม่ได้วัด มองด้วยตาก็เดาๆมั่วๆไป 3-4 กิโลเมตรละมั้ง…

การได้เดินริมทะเลก็เป็นอะไรที่แปลกดี สำหรับคนไกลๆทะเล ซึ่งผมเลือกที่จะเดินไปในตอนเช้า เริ่มตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง พกกล้องไปด้วยเผื่อว่าพระอาทิตย์ยามเช้าจะสวย สวมเสื้อสบายๆ รองเท้าแตะ เดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว สำหรับที่หมายในครั้งนี้คือเขาตะเกียบที่ห่างออกไปไกลเท่าที่มองเห็น ส่วนเป้าหมายคือการดูความรู้สึกตัวเองในขณะที่เดินไปตามระยะทางที่มี

เดินเก็บเกี่ยวความรู้สึก

การมีที่หมาย หรือจุดหมาย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องมุ่งไปที่นั่นเสมอไป ถ้าเทียบกับการบริหาร จุดหมายที่ตั้งไว้เขาก็ใช้คำว่า Goal  ส่วนจะถึงไม่ถึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้าเรามีกระบวนการ การจัดการที่ดีแล้วจุดหมายมันจะไกลยังไงก็ถึงอยู่ดี ดังนั้นผมจึงตั้ง Goal ไว้แบบหลวมๆ ให้มันมี แต่ไม่ต้องไปยึดมัน เราจะเดินถึงก็ดี ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งสำคัญ คือเราได้เดินแล้ว

เป้าหมายที่วางไว้คือเดินเก็บเกี่ยวความรู้สึกทุกก้าว ที่ก้าวเดินไปบนพื้นทราย ทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาและเรียนรู้ธรรมชาติยามเช้าของทะเลที่นี่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ว่าจุดหมายจะใกล้ไกลแค่ไหน มันจะสำเร็จได้ก็เพราะเราเริ่มทำ ดังนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือการตื่น และเริ่มออกเดินทาง…

…ชีวิตของผม นอนมามากพอแล้ว ชีวิตที่เหลือจะอยู่กับการตื่น และการเดินทาง ไปสู่จุดหมายที่ห่างไกล จุดหมายที่เดินทางมานานไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่เพียงตอนนี้เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้า และหน้าที่ของผมก็มีเพียงแค่เดินไปให้ถึงที่นั่นเท่านั้น

เรียนรู้เพื่อเพิ่มมิติในชีิวิต

June 25, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,018 views 0

กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้วิถีชีวิตที่ต่างออกไป ห่างออกไปไกลจนเกือบขอบประเทศ ผมพาตัวเองไปในที่ที่คิดจะได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากขึ้น

การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการไปเรียนรู้ว่าผมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะอื่นๆนอกจากที่เคยเป็นได้หรือไม่ ครั้งนี้ผมได้ไปศึกษาอยู่กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว ซึ่งทางกลุ่มได้ต้อนรับและดูแลผม พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้รู้อย่างเต็มที่

ผมมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งความเคยชินมันจะฆ่าผม มันทำให้ผมตายใจและประมาทอย่างช้าๆ ดังนั้นก่อนที่ผมจะชินกับความเป็นปัจจุบันที่อยู่นิ่งๆเป็นการดำเนินชีวิตที่วนซ้ำไปมา ก่อนที่จะสายเกินไป ผมเลือกเดินทางไปตามหามิติใหม่ หามุมมองที่ผมยังไม่เคยรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในครั้งนี้ผมเลือกเดินทางไปใช้วิถีชีวิตแบบไทยๆพื้นบ้าน ในถิ่นของชาวนาต่างจังหวัดห่างไกลกรุงเทพฯ ผมเลือกที่จะไปเรียนรู้รากเหง้า ชาติกำเนิดของเราเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการเกษตร น้ำเราดี ดินเราเยี่ยม เรามีต้นไม้มากมาย ไม่มีที่ใดในโลกที่เหมาะกับการเกษตรเท่านี้อีกแล้ว แต่ถึงจะมีผมก็คงจะไม่เดินทางไปให้ลำบากหรอก เพราะเมืองไทยนี่แหละ ดีพอแล้ว เมื่อเข้าใจว่าดีพอที่จะเรียนรู้เราก็ไปกันเลย

ปกติแล้วเวลาผมท่องเที่ยวเอง ผมก็จะพยายามใช้เวลาเดินดูเมือง คน วิถีชีวิต ต่างๆเท่าที่จะเห็นได้ตามเหตุและปัจจัย แต่ในครั้งนี้มีโอกาสดีกว่า ผมไปฝังตัวเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆจากกลุ่มชาวนาคุณธรรมรวม 17 วัน ได้ไปพักก็หลายบ้าน หลายอำเภอ กลุ่มชาวนาคุณธรรมเมตตากับผมมาก มีโอกาสมากมายให้คนเมืองอย่างผมได้เรียนรู้ ได้มอง ได้เห็น ได้เข้าใจ และได้ลงมือทำบ้าง ทำให้เห็นชีวิตที่แตกต่างไป

เราอาจจะคิดได้ว่า เราคนเมืองไปทำไร่นา เสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน แต่จริงๆมันไม่เหมือนนะครับ ที่นี่เวลาแต่ละวันไหลช้า ไม่รีบเร่ง แต่มีการทำงานทุกวัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้่อง มีแต่หน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ กับผลผลิต เป็นผู้ผลิตที่รู้ที่มาที่ไปของแหล่งอาหาร ชีวิตที่มีอิสระจากระบบ ห่างไกลจากกิเลส มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก ไปคุยก็ไม่เข้าใจ ต้องเข้าไปคลุกวงใน

ที่ผมสามารถบอกได้แบบนี้เพราะไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนรอบนี้ ปกติจะไปกับทีวีบูรพา จัดเป็นทัวร์พามาเรียนรู้ แน่นอนข้อจำกัดมันเยอะมาก ผมเลยเลือกที่จะลดข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการเดินทางมาเองเสียเลย

มิติในชีิวิตที่เพิ่มขึ้น

มาถึงเนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จริงๆเสียที ที่บอกว่าเพิ่มมิติในชีวิตนั้น อธิบายได้ง่ายๆ ก็เหมือนเพิ่มขนาดพื้นที่ความปลอดภัยในความรู้สึกเรานั้นแหละ ผมรู้จักชีวิตชาวนา คนต่างจังหวัด อาหารท้องถิ่น ชีวิตแบบเกือบจะเสื่อผืนหมอนใบ แน่นอนถ้าชีวิตผมต้องมีเหตุให้เปลี่ยนแปลง ผมจะยังสามารถดำรงชีวิตในรูปแบบอื่นนอกจากวิถีคนเมืองได้ ในขณะที่คนเมืองอาจจะทุกข์ทรมาณกับการกินอาหารที่ไม่เคยกิน นอนที่ที่ไม่เคยนอน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ให้นึกถึงน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านกันมา คนเมืองอย่างเราถูกจำกัดในสภาวะที่ของกินหายาก อาหารขาดแคลน น้ำไฟโดนตัด โชคดีหน่อยก็หนีได้ แต่ถ้าหนีไม่ได้จะทนอยู่อย่างไรไหว เครียดแย่เลย ไม่เคยหัดใช้ชีวิตลำบาก แน่นอนตามธรรมชาติของมนุษย์เราจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าใครปรับตัวได้ไวกว่า เข้าใจได้ไวกว่ามันก็ทุกข์น้อยกว่า มันวัดกันตรงนี้

ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนเรียนรู้กันขนาดนี้ ถ้าเกิดค่อยทำแล้วกัน ในมุมมองผมก็จะตอบว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฝึก”ลองคิดดูว่าคนที่ประมาทกับคนที่พร้อม คนไหนจะมีโอกาสรอดมากกว่ากัน

แต่การเพิ่มมิติในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นการปรับลดปัจจัยเสมอไป เราอาจจะลองเข้าไปอยู่ในสังคมที่คิดว่าใช้ปัจจัยในการดำรงชีวิตเยอะก็ได้ ก็เป็นการเพิ่มมิติ มุมมองในชีวิตได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะลองเพิ่มมุมไหน มุมไหนที่จะเป็นประโยชน์ มุมไหนที่ทำแล้วมันมีแต่จะแย่ลง ก็ลองเรียนรู้กันดูนะครับ

สวัสดี

ศิลปบริหารกรรม

June 1, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,436 views 0

หลังจากที่ชีวิตได้เล่าเรียนมาในหลายๆศาสตร์ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน จนมาถึงปัจจุบัน ผมได้พาตัวเองเข้าสู่หลักสูตรใหม่ หลักสูตรนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว และจะจบลงเมื่อกรรมเท่ากับศูนย์

ศิลปบริหารกรรม ผมได้คำนี้มาจากการคิดเล่นๆจากการได้เรียน ป.ตรี เกี่ยวกับศิลปะ ป.โท เกี่ยวกับบริหารการจัดการ และความรู้ทางศาสนาพุทธ ที่ได้ศึกษามาบ้าง จนรวมมาเป็น ศิลป + บริหาร + กรรม คำนี้คิดไว้นานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้หยิบยกกันมาอีกที

ศิลปบริหารกรรม ( Art of karma management) มีความหมาย หรือนิยามที่ผมได้ให้ไว้เป็นส่วนตัว คือ  ” การใช้ศิลปะในการบริหารจัดการ กรรมหรือผลของการกระทำที่เกิดขึ้น ” แน่นอนว่าคำว่าศิลปะนั้นมีความหมายมากกว่าความงาม อาจจะเป็นความพอดี ความเหมาะสม ก็ได้สำหรับผม

ในการบริหารกรรมที่ดีนั้น มีทั้งการจัดการหลากหลาย ถ้ามองเป็นขั้นตอนก็ต้นเหตุ ปลายเหตุ หรือความเป็นเหตุเป็นผลนั่นเอง ถ้าสามารถหยุดเหตุได้ ก็ไม่มีผล ไม่ว่าจะบริหารเหตุหรือผล สุดท้ายก็ต้องยอมรับกับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆอยู่ดี

ศิลปบริหารกรรม

จึงกลายเป็นวิชาใหม่ที่ผมกำลังจะลงเรียนอย่างเต็มตัว ในมหาวิทยาลัยชีวิต วิชานี้สามารถเรียนได้ตั้งแต่เกิดจนตาย ตายจนเกิด แล้วก็เกิดไปจนตายใหม่ เรียนกันไม่จบไม่สิ้นกว่าจะผ่านได้ในวิชานี้ก็มี 4 เกรดด้วยกัน ซึ่งถ้าได้เกรดต่ำก็คงต้องไปเรียนใหม่อีกจนกว่าจะได้เกรดสูง สำหรับเกรดในวิชานี้คงไม่ใช่ A B C D หรือ F อย่างแน่นอน แต่เป็นระดับของจิตวิญญาณมากกว่า เดาๆกันเองนะครับว่าผมหมายถึงอะไร…

สวัสดี