Tag: อาหาร

ทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา

March 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 677 views 0

เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คือข้อธรรมที่เผยแพร่เป็นที่รู้กันโดยมาก เนื้อหาสั้น ๆ เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่จริง ๆ เข้าใจได้ยากมาก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสมันจะบังไว้ไม่ให้เห็นธรรม จะมีก็แค่ได้เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชีวิตไม่เจอสัตบุรุษ ไม่มีทางเห็นธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้เลย

คนทั่วไป เมื่อมีทุกข์จากความรัก เขาจะไม่สามารถย่อยทุกข์นั้นไปเพิ่มเป็นปัญญาได้ เขาทำได้แค่เปลี่ยนทุกข์นั้นเป็นตัณหา

เช่นเขาอกหัก ช้ำรัก เขาก็เอาความทุกข์นั้นแหละ เป็นพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้น่าเสพมากขึ้น คือเอาไปเพิ่มกามเพิ่มอัตตา เพื่อที่จะได้เพิ่มกำลังในการล่อลวงหลอกใจคนให้หลงในตัวตนของเขามากขึ้น หรือไม่ก็ไปเพิ่มข้อเรียกร้องในการเลือกคู่ให้มากขึ้น กลัวมากขึ้น กังวลมากขึ้น หวังจะเสพสุขที่มากขึ้นจากความผิดหวังในความรัก

ถ้าไม่ไปเพิ่มฝั่งกาม คือฝั่งหาคู่ยิ่ง ๆ ขึ้น ก็เพิ่มฝั่งอัตตา คือยึดดี ยึดมั่นถือมั่น เกลียดความรัก ชังความรัก เหม็นความรัก เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือจริง ๆ ตัวเองต้องการเสพความรัก แต่มันเจ็บ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยกดไว้ด้วยความเกลียดชัง ยึดดีถือดี

คนโลกีย์เขาก็ทำได้แค่เท่านี้ ไปได้สองฝั่ง ไม่กามก็อัตตา นรกทั้งสองฝั่ง

ที่ว่าทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา นั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพื่อที่จะใช้ทุกข์นั้นเป็นตัวพิจารณาในการละหน่ายคลายจากความหลงรัก ใช้ทุกข์นั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจธรรมะ เข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีรักเลย ไม่ทุกข์เลย คือสภาพจิตเช่นใด

มันจะเป็นปัญญาก็ตรงนี้ ตรงที่ใช้ประโยชน์ให้ถูก คือใช้ทุกข์มาเป็นเครื่องมือในการล้างโลภ โกรธ หลง ถ้าเอาทุกข์ไปใช้เพิ่ม โลภ โกรธ หลง อันนั้นจะกลายเป็นว่าทุกข์คืออาหารของตัณหา

แม้ทุกข์แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน แต่จิตคนต่างกัน มีความเห็นความเข้าใจต่างกัน ก็จะปฏิบัติต่างกันไป

ดังนั้นเวลาศึกษาธรรมก็ระวังให้ดี ไปเจอคนมิจฉาทิฏฐิเรื่องความรักสอนธรรมนี่จะไปคนละทิศเลย คือไปทิศเพิ่มตัณหา เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ เพิ่มความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

October 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,617 views 0

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

ฉลาดทำบุญทำทานด้วยอาหารมังสวิรัติ

ว่าด้วยการทำบุญทำทานในสมัยนี้ ไม่ว่าจะทำบุญตักบาตรให้กับพระ ทำบุญเลี้ยงอาหารผู้ยากไร้ ทำบุญในงานมงคลต่างๆ หรือการทำการกุศลที่มีอาหารเป็นส่วนประกอบในงานใดๆก็ตาม โดยส่วนมากก็มักจะเป็นอาหารที่พรั่งพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ไปเสียทุกงาน

เรามักเข้าใจไปว่าการให้อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เหล่านั้นเป็นการทำบุญ เราหลงเข้าใจไปว่าสัตว์ตายเพื่อเป็นอาหารสัตว์นั้นก็ได้บุญ เราหลงเข้าใจกันว่าเนื้อสัตว์ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้กันมานานแสนนาน ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นการทำบุญที่ได้บาป…

ทำบุญได้บาปอย่างไร?

ในพระไตรปิฏกบทหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องทำบุญได้บาป ได้ชี้แจงไว้ดังนี้ ๑.บุญได้บาปเพราะมีการสั่งให้ไปเอาสัตว์ตัวนั้นมา ๒.ได้บาปเพราะสัตว์นั้นต้องโศกเศร้า เพราะถูกบังคับมา ๓.ได้บาปเพราะมีการสั่งให้ฆ่าสัตว์นั้น ๔.ได้บาปเพราะสัตว์นั้นได้รับความทุกข์ทรมาน ๕.ได้บาปเพราะทำให้ผู้ปฏิบัติสู่ความสงบจากกิเลสทั้งหลาย เกิดความยินดีที่ได้กินเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควรกิน (เนื้อสัตว์ที่ได้มาด้วยการเบียดเบียน)

จึงจะเห็นได้ว่า การนำเนื้อสัตว์มาบริจาคเป็นทานนั้น มีส่วนแห่งบาปปะปนอยู่มากมาย จนเรียกได้ว่า อาจจะไม่คุ้มกันกับการทำบุญทำทานด้วยการเบียดเบียนสัตว์อื่น

กว่าจะได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ ต้องผ่านความทุกข์ทรมาน ผ่านความเศร้าโศกเสียใจมากมาย สัตว์ที่จะถูกฆ่าต่างก็มักจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นจะต้องถูกฆ่า บ้างก็น้ำตาไหล บ้างก็วิ่งหนี ดิ้นรนเท่าที่มันจะสามารถทำได้ แต่สุดท้ายสัตว์เหล่านั้นก็ไม่มีทางหนีจากบ่วงกรรม จากบาปที่สัตว์เหล่านั้นเคยทำมา ไม่มีทางหนีคมหอกคมดาบจากคนผู้มีใจเหี้ยมโหด

โดยทั่วไปมนุษย์นั้นมักจะไม่สามารถทนเห็นการกระทำที่แสนจะโหดร้ายทารุณได้ แต่ก็มักจะหลงติดในกามรส ติดในโลกธรรม หลงยึดว่าเนื้อสัตว์อร่อย หลงยึดว่าคนส่วนใหญ่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หลงยึดว่าเนื้อสัตว์นั้นจำเป็นกับชีวิตหลงยึดว่าเนื้อสัตว์ดี

มนุษย์ผู้มีใจสูง หากได้รับรู้ถึงความโหดร้ายทารุณ รู้ถึงความทรมาน รู้ถึงบ่วงกรรมที่จะเกิดขึ้น รู้ถึงโทษชั่ว รู้ถึงภัยจากกิเลสคือความอยากเสพเนื้อสัตว์ เขาเหล่านั้นจะพยายามออกจากการเบียดเบียนเหล่านั้น เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าถ้ายังฝืนเบียดเบียนต่อไปจะนำมาซึ่งทุกข์ โทษ ภัย ต่อตัวเอง ดีไม่ดี อาจจะเป็นเขาเองก็ได้ที่ต้องกลายเป็นสัตว์เหล่านั้นไปในชาติใดชาติหนึ่ง

เพราะโดยสัจจะแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับ เราทำมาแล้วทั้งนั้น สัตว์ที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน และถูกฆ่าเหล่านั้น เขาก็เคยก่อกรรมชั่วมามากมาย และในชาติที่เราเห็นเขาเป็นสัตว์ เขาก็กำลังชดใช้กรรมของเขาอยู่ ใช้แล้วก็หมดไปเรื่องหนึ่ง ถ้ายังไม่หมดก็อาจจะเกิดเป็นสัตว์ไปชดใช้กรรมอีกเรื่อยๆก็เป็นได้ จนชาติใดชาติหนึ่งกรรมชั่วได้เบาบาง ส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ด้วยความที่มีกิเลสมากก็กลับไปเบียดเบียนสัตว์กินเนื้อสัตว์อีก สะสมบาป เวร ภัย สะสมความชั่วอีกมากมาย เมื่อตายก็อาจจะวนกลับไปเป็นสัตว์ได้อีก วนเวียนไปเช่นนี้ เราจึงจะเห็นได้ว่ามีสัตว์ที่ถูกฆ่าและคนที่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันเสมอ มีสัตว์ มีคนกินเนื้อสัตว์ ก็มีคนฆ่าสัตว์ และมันจะวนเวียนกันไปจนกว่าคนใดคนหนึ่งจะหลุดพ้นจากกิเลสได้นั่นเอง

ฉลาดทำบุญด้วยการละเว้นเนื้อสัตว์

เมื่อเราเห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว เรายังคิดจะทำบุญด้วยเนื้อสัตว์อยู่อีกหรือ? เรายังสนับสนุนให้ผู้อื่นกินเนื้อสัตว์อยู่อีกหรือ? แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถเลิกเนื้อสัตว์ได้ แต่ทำไม่เราไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้สัมผัสอาหารมังสวิรัติบ้างเล่า

อย่างเช่น การทำบุญตักบาตรให้พระ ถ้าเราใส่แต่อาหารมังสวิรัติ ใส่ผักไป พระท่านก็จะได้โอกาสพิจารณาอาหาร ได้โอกาสที่จะกินมังสวิรัติแม้ว่าตัวท่านเองจะยังมีกิเลสอยากเสพเนื้อสัตว์อยู่ก็ตาม แต่หากสังคมช่วยกันด้วยการไม่ส่งเสริมกิเลสให้พระ ไม่ใส่เนื้อสัตว์ให้พระ ก็จะสามารถช่วยบำรุงความเจริญให้ศาสนาได้

เพราะผู้บวชในพระพุทธศาสนานั้น บวชไปเพื่อความพราก เพื่อความไม่มี เพื่อความลด และดับกิเลส ดังนั้นเราจึงควรส่งเสริมให้ท่านได้ลดกิเลสในเรื่องเนื้อสัตว์นี้ ไม่เอาเนื้อสัตว์ไปถวายท่าน เพราะพระที่ยังมีกิเลสมาก ก็มักจะกินเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควร เป็นเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา เราจะได้บาปเพราะทำให้พระผู้ปฏิบัติสู่การลดกิเลส กินเนื้อสัตว์ที่ประกอบไปด้วยบาป ซ้ำยังไปส่งเสริมกิเลสในตัวท่านอีก จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลยหากชาวพุทธจะทำการใดๆ เพื่อส่งเสริมกิเลสพระ

การเลี้ยงพระด้วยอาหารมังสวิรัตินั้นจะเป็นกุศลอย่างยิ่งเพราะไม่ประกอบด้วยบาปใดๆ ปรุงรสให้จืด ทำด้วยวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษ เสริมโปรตีนให้ท่านด้วยถั่วและธัญพืช มีรายงานและการวิจัยมากมาย รวมถึงหลักฐานชนิดที่ว่าเป็นคนทั่วไปว่าการกินมังสวิรัตินั้นไม่ได้ทำให้เสียสุขภาพแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังมีสุขภาพที่ดี ร่างกายเบาสบาย สดชื่น แข็งแรง มีโรคน้อย

ซึ่งจะไปตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การไม่เบียดเบียนทำให้มีโรคน้อยและอายุยืน” ดังนั้น หากเราคิดจะทำบุญให้ได้กุศลสูงสุด เป็นไปเพื่อสร้างความเจริญให้กับศาสนา ก็พึงพิจารณาหาอาหารมังสวิรัติมาถวายพระ นำอาหารมังสวิรัติไปจัดกิจกรรมการกุศลต่างๆ นำอาหารมังสวิรัติมาทำบุญตักบาตร ส่วนท่านจะฉันหรือไม่ฉันนั้นก็ให้เป็นไปตามกิเลสของท่าน ส่วนเรามีหน้าที่ไม่เสริมกิเลสของท่านก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่แล้ว

เมื่อจิตของเราคิดจะสละทรัพย์บริจาคทานให้ผู้อื่นเพื่อเป็นบุญแล้ว ก็ควรพิจารณาสิ่งที่จะนำไปบริจาคนั้นให้ดีด้วย เพื่อทำกุศลให้ถึงพร้อม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากทานที่เราให้ไปนั้น ให้แล้วกลับกลายเป็นเพิ่มกิเลส เพิ่มบาปให้กับผู้อื่น เราก็ไม่สมควรให้ หรือให้แต่น้อย ส่วนทานใดที่เราให้ไปแล้วพาให้เขาลดกิเลส พาให้เขาเกิดความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมไปในทางเดียวกัน ทานนั้นจึงเป็นทานที่สมควรให้

– – – – – – – – – – – – – – –

29.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

August 22, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,099 views 0

แมลงทับ... ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านสวน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นสิ่งแปลกตาที่ไม่น่าจะอยู่บนพื้นดิน เดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นซากแมลงทับตัวหนึ่งที่ห้อมล้อมไปด้วยฝูงมด

ผมไม่ได้เห็นแมลงทับมานานมาแล้วเพราะอยู่แต่ในเมืองกรุง สีสันของแมลงทับเป็นสีเขียวมันเงาสวยงามเหมือนสีของอัญมณี ผมชอบมันนะ ตอนเด็กก็ยังเคยซื้อแมลงทับมาเลี้ยงอีกด้วย …ผมกำลังคิดจะเก็บมันขึ้นมา แต่เมื่อเห็นฝูงมดรอบๆ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าซากแมลงทับตัวนี้คงมีประโยชน์กับพวกมันมากกว่าตัวผมแน่นอน

ฝูงมดพยายามรุมล้อมแมลงทับ คงจะขนย้ายหรือหาอะไรที่พอจะกินได้ มดมันคิดแค่เรื่องดำรงชีวิต ไม่เหมือนกับที่ผมคิด…เพราะเมื่อกี้นี้ ผมคิดจะหยิบมันขึ้นมาเพราะความสวยงามของมัน

…. ผมเดินออกมาจากซากแมลงทับและฝูงมด พร้อมกับคิดว่า…ทำไมเราถึงไปติดกับความสวยงามเหล่านั้นนะ ทั้งที่จริงมันไม่ใช่สาระ หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ สิ่งที่มดเห็นคือคุณค่าของชีวิตจริงๆ เป็นอาหารจริงๆ ไม่ใช่เอามาประดับตกแต่งอะไรอย่างคนเรา

ความคิดมันขยายต่อไปอีกว่า การที่คนเรามานั่งแต่งหน้า แต่งตัว ประดับประดา แต่งรถ แต่งบ้าน แต่งสวน…ฯลฯ นี่มันไม่มีสาระทั้งนั้นเลย มีแต่ความอยากสวยอยากงาม …ความอยากที่มดมันยังไม่มีเลย …ถ้าเกิดมาเป็นคนแล้วขยันให้ได้อย่างมด เอาแต่สาระที่จำเป็นให้ได้อย่างมด สามัคคีให้ได้อย่างมด ก็คงจะดีนะ

…ซากแมลงทับถึงคนจะไม่สนใจ แต่มดก็ยังสนใจ แต่ซากคนนี่สิ สวยแค่ไหนก็ไม่มีใครเอา เผาทุกราย ยกเว้นแต่ว่าเป็นคนดี มีคุณค่า น่ากราบไหว้จริงๆ ก็คงจะมีบ้างที่จะมีใครอยากเก็บซากคนดีเหล่านั้นไว้ เพื่อประโยชน์อะไรสักอย่าง

– – – – – – – – – – – – – – –
22.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์