Tag: คุณค่า

อยู่เป็นโสดดี หรือมีคู่ อยู่ที่การให้คุณค่า

June 20, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 457 views 0

ถ้าเราให้คุณค่ากับสิ่งไหน สิ่งนั้นก็จะสำคัญกับเรา แม้ว่าแท้จริงมันจะเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตก็ตามที เพียงแค่เราหลงให้คุณค่ากับมัน มันก็จะมีคุณค่า มีมูลค่า มีราคา ที่เราจะยอมจ่ายให้กับมัน

เรื่องคู่ก็เช่นกัน มันก็อยู่ที่ใครจะให้คุณค่ากับสิ่งนั้น ถ้าให้มาก ก็จะรู้สึกว่ามันมีค่ามาก ไม่ให้เลย มันก็ไม่มีค่าอะไรเลย

ตัวแปรที่จะส่งผลต่อการให้ค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือ “กิเลส”

กิเลสไม่มีจุดจบ แต่ความไม่มีกิเลสมีจุดจบ ดังนั้นพระพุทธเจ้าและสาวกจึงพากันสละกิเลส ตั้งแต่วัตถุหยาบ ๆ ไปจนถึงขั้นสละตัวตนทิ้งไปเสีย

คู่นั้นคือวัตถุที่อยู่ระหว่างทางที่จะต้องสละต่อไปจนหมดกิเลส ก็เรียกว่าประมาณต้น ๆ ทางนั่นแหละ ไม่ได้ลึกลับอะไรมากมาย เพราะเป็นรูปของความเบียดเบียนที่เห็นได้ชัดอยู่ ยังไม่ถึงขั้นนามธรรมที่มองไม่เห็น

ถ้าเราลดกิเลสได้ตามลำดับ ละอบายมุข ถือศีล ๕ และพัฒนาไปเรื่อย ๆ การให้คุณค่าในการมีความรักแบบคนคู่จะลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะจะเริ่มเห็นว่ามีอะไรที่ดีกว่า สุขกว่า เบากว่า สบายกว่า

เมื่อมีสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าการมีคู่ การไปแสวงหาคู่ครองหรือหมกมุ่นเรื่องความรักก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ในทันที

แต่การจะเห็นว่าสิ่งใดมีคุณค่ามากกว่าการมีคู่ เช่น เห็นว่าการอยู่เป็นโสดนั้นดีกว่าการมีคู่นั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยธรรมะเป็นเครื่องชี้นำและอาศัยพุทธสาวกเป็นผู้ชี้ทาง

ซึ่งจะเป็นการกระทำที่สวนกระแสโลกอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกต่างชี้นำให้ไปมีคู่ มีคู่ให้เป็นตัวอย่าง พลอดรักกันเป็นตัวอย่าง ทำท่าทีเป็นสุขให้เป็นตัวอย่าง แล้วคนส่วนใหญ่เขาจะไปทางไหน เขาก็ไปตามกระแสโลกนั่นแหละ

ดังนั้นการสวนกระแสโลกมาให้คุณค่ากับการอยู่เป็นโสดจึงเป็นเรื่องยากจริง ๆ

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

May 8, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,561 views 0

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

            ความงามของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อมัดใจชายมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ชายนั้นลุ่มหลงมัวเมา อยากได้อยากครอบครองหญิงงาม แต่ทันทีที่เธอหลงใช้ความงามมัดใจชายใด กรรมก็ได้ผูกมัดตัวเธอไว้กับบ่วงแห่งความทุกข์เช่นกัน

ความงามนั้นเป็นสิ่งที่มีได้ แต่ไม่ควรให้คุณค่า ไม่ควรเปิดเผย ไม่ควรทำให้เป็นที่น่าสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสถึงสามสิ่งที่ควรปิดบังไว้ เปิดเผยจะไม่เจริญ หนึ่งในสามนั้นคือผู้หญิง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าให้ปิดบังตัวหรือแอบซ่อนแต่อย่างใด แต่หมายถึงให้ปิดบังความเป็นหญิง จริตแบบหญิง มารยาแบบหญิง นิสัยแบบหญิง ที่แม้แต่ผู้ชายบางคนก็ยังมีความเป็นหญิงปนอยู่มาก เช่น อาการขี้งอน ขี้ประชด ฯลฯ เหล่านี้คือความเป็นหญิงในเชิงจิตใจ นั่นหมายรวมถึงการปิดบังสิ่งหยาบๆ ที่เห็นได้ทางภายนอกเช่นความงามของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะปิดบัง ไม่ส่งเสริม ไม่ควรเอามาเป็นคุณค่า ให้ค่าแล้วจะไม่เจริญ

แต่เมื่อคนเราอยากมีคู่ ก็มักจะต้องสร้างจุดเด่น สัตว์หลายชนิดมีวิธีการเรียกร้องให้เพศตรงข้ามเกิดความสนใจที่แตกต่างกัน คนก็เช่นกัน มีวิธีเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่ยั่วยวนด้วยเรื่องทางเพศ ใช้ความงดงามของร่างกายเพื่อดึงดูด ล่อหลอกด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข มัวเมาด้วยมารยาจนกระทั่งถึงการโน้มน้าวด้วยคุณงามความดีที่ตนมี ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวกันในเฉพาะในส่วนของการมัดใจด้วยความงาม เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด เป็นของหยาบและมีโทษมาก

ธรรมชาติของคนเมื่ออยากมีคู่ ก็จะเริ่มเสริมความงามของตน แต่งหน้าทาปากทำผม แต่งตัวให้น่าสนใจหรือจนถึงขั้นยั่วยวน ถ้าทำยังไงมันก็ไม่สวยดังใจหมายก็ไปศัลยกรรมปรับแต่งเอาให้สวยสมใจเลย แม้ในปัจจุบันจะมีผู้ชายที่มัวเมาในความงามของรูปร่างหน้าตาตนเองมากขึ้น แต่โดยค่ารวมๆ แล้ว ก็จะเป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับความงามของตนมากกว่า

บางคนงามตั้งแต่เกิดก็อาจจะไม่ต้องแต่งเติมอะไรมาก ส่วนบางคนก็ต้องเติมมากหน่อยถึงจะเรียกว่างามได้ แต่งเติมมากแค่ไหนก็เบียดเบียนชีวิตตนเองไปตามลำดับ เมื่อเบียดเบียนตนเองแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกไปเบียดเบียนคนอื่น นั่นคือการพยายามแสดงให้ผู้อื่นเห็นความงามของตนโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ตนเห็นว่าควร บางคนก็ถ่ายรูปตนในชุดวาบหวิวลงอวดในอินเตอร์เน็ต หรือบางคนก็แค่หวีผมแต่งตัวสวยออกไปทำงาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีความอยากที่จะให้คนมาสนใจ เพราะจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นทำให้เกิดความเสื่อมได้มากกว่า

การหาคู่นั้นหากจะยกตัวอย่างเปรียบกับการตกปลา ก็ต้องใช้เหยื่อที่ปลานั้นสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ชนิดหรือขนาดของปลาตามที่คาดหวัง บางครั้งตกขึ้นมาได้ไม่ถูกใจก็ปล่อยไปบ้าง โยนทิ้งอย่างไร้เมตตาบ้าง แม้ปลาที่ถูกเลือก สุดท้ายก็ต้องตายเพราะกลายเป็นอาหารอยู่ดี ก็เหมือนกับหญิงที่ใช้ความงามล่อลวงผู้ชายให้เข้ามาสนใจ แน่นอนว่าทุกคนไม่ใช่เป้าหมาย เธออาจจะคัดเลือกเพียง 1-2 ตัวเลือก ในขณะที่คนมากมายนั้นต้องทนทุกข์จากความอยากได้อยากครอบครองแต่ก็ไม่มีวันได้สิ่งนั้น สุดท้ายก็มักจะเหลือเพียงแค่คนเดียวที่ถูกเลือก คือคนที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่เวรคู่กรรม ณ จุดนี้แม้จะได้คู่มาก็ตาม แต่การใช้ความงามเป็นเหยื่อในการคัดคนเข้ามานั้นจะสร้างวิบากบาปจำนวนมาก ซึ่งจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไปในอนาคต

อย่างที่ยกตัวอย่างไปว่าเหมือนกับปลาที่กินเบ็ด ปลากินเบ็ดย่อมเจ็บปวดจากขอเบ็ดที่เกี่ยวปาก ชายผู้หลงในความงามก็ย่อมจะเป็นทุกข์จากกิเลสเช่นกัน แต่ความทุกข์เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ง่ายนัก เพราะกิเลสนั้นลวงให้เราเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนที่หลงมัวเมาในความรักทั้งหลายก็ย่อมจะเห็นว่าการหลงรักเป็นของดี แต่ในความจริงแล้ว นั่นคือการหลอกลวงที่สุดแสนจะร้ายกาจ ที่ทำคนให้จองเวรจองกรรมกันอีกหลายภพหลายชาติยากที่จะสิ้นสุด ดังนั้นคนที่ถูกเลือกนั้นจึงเหมือนปลาที่โดนเลือกไปกิน เพราะจะได้รับทุกข์ทรมานจากหญิงคนนั้นมากที่สุด

และแน่นอนว่าปลาที่กินเหยื่อ ย่อมเป็นปลาที่ชอบเหยื่อ ล่อด้วยความงาม ก็ย่อมได้พบกับชายที่บ้ากาม ล่อด้วยลาภ ก็จะได้พบกับชายขี้โลภ ล่อด้วยยศก็จะได้พบกับชายที่บ้าอำนาจ ล่อด้วยสรรเสริญก็จะได้พบกับชายที่บ้ายอ ฯลฯ สรุปว่าล่อด้วยสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น การที่จะได้เจอคนดี ได้เจอพ่อพระเพียงแค่การใช้เหยื่อล่อที่ชื่อว่าความงาม คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นการจะหวังความสงบในชีวิตที่จะยกตัวอย่างในส่วนต่อไปย่อมไม่มี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการล่อชายที่แสนดีด้วยความดีนั้นจะไม่เป็นทุกข์

จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อหญิงนั้นหลอกล่อมัดใจชายด้วยความงาม 5 หน่วยของเธอ ความคาดหวังของชายคนนั้นเดิมอยู่ที่ 3 หน่วย เมื่อได้รับความงามเกินความคาดหวัง คือได้คบหาคนสวยกว่าที่เคยคิดไว้ (+2) เขาก็ย่อมยินดีเต็มใจที่จะครอบครองเธอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้ชายคนเดิมเมื่อเสพหญิงงามไปทุกวัน ก็จะความเคยชินกับความงาม และบวกกับกิจกรรมเพิ่มกิเลสที่พากันทำในชีวิตประจำวัน ทำให้ความคาดหวังว่าจะได้รับสุขจากเสพเพิ่มขึ้นเป็น 5 หน่วย ซึ่งหญิงงาม 5 หน่วยก็ต้องพยายามทำตนเองให้งามขึ้นอีก เพื่อที่จะทำให้เกิดการสนองต่อความคาดหวังให้ชายนั้นรักชายนั้นหลง เลยไปออกกำลังกาย เข้าสปา เรียนแต่งหน้า หัดแต่งตัว ผ่าตัดศัลยกรรม ทำอะไรต่อมิอะไรให้ดูงดงามขึ้นอีก สุดท้ายก็ดูดีกว่าสมัยคบกันแรกๆ มีค่างามอยู่ที่ 6 หน่วย (+1) ผู้ชายคนเดิมเมื่อได้รับสิ่งที่มากเกินความคาดหวังก็จะเกิดความสุขสมกิเลสและหลงมัวเมาต่อไป

แต่วงจรนี้ก็มีวันสิ้นสุด เมื่อหญิงนั้นไม่มีวันงามได้ตลอดไป และชายคนนั้นลดกิเลสไม่เป็น เมื่อถึงจุดหนึ่งความงามของเธอที่เคยมีกลับจางหายไป ริ้วรอยเข้ามาแทนที่ ความเหี่ยวย่นหย่อนยานและหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเสื่อมนั้นเข้ามาอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้เธอจะเคยเป็นคนงาม แต่ก็เป็นคนงามที่แก่แล้ว ค่างามจึงลดจาก 6 เหลือ 3 ในขณะที่ผู้ชายติดใจความงามระดับที่ 6 ตามที่เคยได้เสพได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไว้ ทีนี้จะทำอย่างไร เมื่อสิ่งที่ใช้มัดใจชายคือความงาม และผู้ชายคนนั้นให้คุณค่ากับความงามเป็นหลัก ผู้หญิงก็ต้องสร้างคุณค่าอื่นขึ้นมาแทนความงามเพื่อให้ผู้ชายเสพ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หรือคุณงามความดีของตน แม้กระทั่งแลกด้วยเซ็กส์ที่วิตถาร บางคนอาจจะถึงขั้นยอมให้คู่ครองไปมีหญิงอื่นเพื่อรักษาสถานะไว้ เพื่อที่จะเพิ่มคะแนนที่จะคอยดึงดูดชายคนนั้นไว้

มีบ้างที่ผู้ชายยอมอดทน ฝืนเสพความงามน้อยหน่อยแต่ชีวิตยังปกติสุข เช่น อยู่กับผู้หญิงหน้าตาไม่ดีแต่รวยก็ถือว่าสร้างความสุขได้ หรือเห็นคุณงามความดีของเธอก็เลยยอมทนอยู่แม้ว่าความงามจะลดลงกว่าเดิมมาก แต่ก็มีอีกมากที่ไม่คิดจะทนเมื่อไม่ได้เสพสมดังใจหวัง เมื่อเขาไม่ได้ตามที่คาดหวัง ก็มักจะมีปัญหาตั้งแต่การนอกใจเล็กน้อยจนกระทั่งถึงขั้นมีเมียน้อย

ผู้หญิงที่ให้คุณค่ากับความงามเพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับการวางไข่ไว้บนกระจาดใบเดียว เมื่อกระจาดล้มไข่ก็แตกหมด เมื่อวันที่ความงามของเธอหมดความหมาย ในขณะที่ผู้หญิงในโลกมีอีกหลายล้านคนที่มีความงามมากพอที่จะบำเรอชายคนรักของเธอ ดังนั้นจะสรุปไว้ก่อนเลยว่าการใช้ความงามมัดใจใครนั้นต้องลงทุนลงแรงมาก แถมยังมัดไว้ได้ไม่นานอีก เพราะเมื่อกำลังของความงามนั้นน้อยกว่าพลังกิเลสของเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะแหวกกรงที่มัดไว้แล้วออกไปหาสิ่งที่เขาต้องการ

ความงามนั้นยังสามารถลวงความจริงบางประการได้ เช่น ผู้ชายไม่ชอบและรังเกียจอาการบางอย่างของผู้หญิง แต่ความงามของเธอนั้นทำให้เขาหลงใหลจนมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ แท้จริงแล้วอาการไม่ชอบนั้นยังคงอยู่ แต่เขายอมเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขที่มากกว่า เหมือนกับที่ผู้ชายบางคน อดทน ทุ่มเท รอคอย ในการตามจีบหญิงงามคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะใจและพิชิตร่างกายของหญิงคนนั้น เขาก็อาจจะเลิกสนใจก็ได้ เหมือนกับคนที่พยายามปืนขึ้นยอดเขา แต่แค่ปักธงเสร็จก็ลงมา ไม่มีอะไรมากกว่าการที่เขาได้เสพสุขในการเอาชนะเพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่บนยอดเขา แต่เขาต้องการเอาชนะยอดเขา เหมือนกับชายบางพวกที่เพียงแค่อยากพิสูจน์คุณค่าของตนโดยการพิชิตหญิงงาม ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลวงความจริงได้อย่างน่ากลัวทีเดียว

การมีความงามนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่า ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นอยู่มากในสังคม แต่มันก็เป็นสิ่งล่อคนที่มัวเมาในกามเข้ามาหา ซึ่งอาจจะมาในคราบของเทพบุตรก็ได้ และยังเป็นสิ่งที่ปิดบังความจริงหลายๆ ประการ ดังที่ยกตัวอย่างมา ผู้ชายเขาอาจจะไม่ได้สนใจเราเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ได้มีความงามเท่านี้ เขาอาจจะมาเสพมาให้คุณค่าเพียงแค่ความงามของเราก็ได้ใครจะรู้ ซึ่งถ้าเรายังหลงติดกับเปลือกกับเนื้อหนังเหล่านี้ยากนักที่เราจะรู้ความเป็นจริง

ศาสนาพุทธนั้นมีวิธีที่จะทำให้ความจริงนั้นปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น เมื่อคนปฏิบัติถึงระดับของศีล ๘ จะมีข้อปฏิบัติที่เข้ามาขจัดภัยอันเกิดจากความบิดเบี้ยวของความจริงเกี่ยวกับความงาม แก้ความเห็นผิดกลับ ทำให้เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นกงจักร อย่างแรกคือการฝึกปฏิบัติเพื่อเว้นขาดจากการประดับตกแต่ง ถ้าหยาบๆ ก็ไม่แต่งตัวโป๊ ถ้าละเอียดขึ้นมาก็คือไม่ยินดีในการแต่งหน้าหรือการเสริมสวยใดๆ เลย อย่างที่สองที่จะเข้ามาชี้ชัดให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้ของคนคนนั้น หรือเป็นเพียงแค่วัตถุสนองกาม ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่กัน อยู่กันอย่างพรหม รักกัน เมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ทำร้ายกัน ในข้อนี้จะแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจนมากว่าคบหากันไปเพื่ออะไร เพื่อสนองความต้องการทางเพศ หรือเพราะอยากเมตตาเกื้อกูลกัน คือแยกขาวแยกดำให้ชัด ไม่ใช่สีเทาๆ

ซึ่งการปฏิบัติในฐานศีล ๘ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ขัดเกลากิเลสอย่างมาก ถ้ากิเลสมากจะถือศีลไม่ได้ เหมือนผีในละครที่โดนสายสิญจน์แล้วเจ็บปวดทรมาน จะมีทุกข์มาก ทรมานมาก อึดอัด กดดัน เพราะปฏิบัติเกินอินทรีย์พละของตน ดังนั้น เพื่อให้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น เราก็ไม่ควรสร้างปัญหาตั้งแต่แรก เมื่อไม่สร้างปัญหา ก็ไม่ต้องมาคอยแก้ปัญหา เราจึงไม่ควรมัดใจใครด้วยความงาม และในท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรมัดใจใครไว้เลยด้วยอะไรเลยก็ตามแม้แต่คุณงามความดีของเรา

และการที่เราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาหรืออะไรคือสิ่งที่จะพาให้คลาดแคล้วจากปัญหา เราจะต้องคบกับมิตรดี มิตรที่ดีจะชี้ให้เราเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย โดยมีหลักยึดว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากกิเลสนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนั้นมิตรดีจะกล่าวแต่สิ่งที่จะพาให้ออกห่างจากกิเลส ซึ่งต่างกับมิตรชั่ว คือคนที่พาให้หลงมัวเมาในกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าการมีคู่และมีลูกนั้นเป็นบ่วง มิตรชั่วก็จะบอกตรงสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เว้นขาดจากการประดับตกแต่ง มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ประพฤติตนเป็นโสดคนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม การคบมิตรดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรมีในการเดินทางสู่ความผาสุกในชีวิต ถ้าไม่มีมิตรดี ต่อให้ขยันพากเพียรปฏิบัติอีกล้านล้านปี…ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

7.5.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

December 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,100 views 0

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

ถาม: คุณดิณห์ ช่วยบอกผมหน่อย ว่าการฆ่าตัวตาย บาปได้อย่างไร ในเมื่อ เราตายคนเดียว คนอื่นไม่ได้ตายด้วย สมมติว่าถ้าเราไม่เหลือใครแล้ว และไม่มีใครให้ห่วง ไม่มีใครห่วง การตายของเราก็ไม่น่าทำให้ใครเดือดร้อนนะครับ

ตอบ: เป็นบาปเพราะทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นการเบียดเบียนตนด้วยความเห็นผิดครับ

เพราะเราอาจจะเห็นว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ทำอะไรไปก็ไม่มีผล เช่นเดียวกับการฆ่าตัวตายไม่มีผล ย่อมดับสูญไป สลายไป สิ่งที่ทำลงไปแล้วถูกยกเลิกทั้งหมด จึงมักคิดเห็นว่าการฆ่าตัวตายในเงื่อนไขที่ว่าไม่เหลือใครไม่มีผลกระทบกับใครเพราะเรามองแต่องค์ประกอบในชาตินี้ ไม่ได้รู้เหตุที่มา และไม่รู้ที่ไปของมัน

ซึ่งจริงๆ การฆ่าตัวตาย มีผลกระทบกับตัวเราเองโดยตรงเลย ด้วยความที่เราสำคัญผิด คิดว่าตัวเราเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ขาดที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ได้ แน่นอนว่าภาพที่เห็นคงจะเป็นเช่นนั้น แต่การกระทำใด ๆ ล้วนมีผลดีและร้ายอยู่ ถ้าเราทำดีเราก็จะได้รับผลดี ถ้าเราทำชั่วเราก็จะได้รับผลชั่ว

ทีนี้ชีวิตและร่างกายที่เราได้มานี่มันไม่บังเอิญนะ การที่เราเกิดมาครบ 32 มีสติปัญญาสามารถเข้าถึงคำสอนในศาสนาได้นี่มันไม่ได้มาลอยๆ มันไม่ใช่จับฉลากมาได้ มันมีเหตุมีที่มา เอาง่ายๆว่าเราต้องทำคุณงามความดีมาพอสมควรถึงจะได้สิทธิ์นั้น

สมมุติว่าเราต้องทำดีสัก 100 หน่วย ถึงจะมีสิทธิ์เกิดมาบนแผ่นดินที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าประกาศอยู่ เราก็ทำดีสะสมมาหลายต่อหลายชาติกว่าจะสะสมได้ความดี 100 หน่วย ทีนี้พอเกิดมาเราก็มีความเห็นว่า เราไม่มีญาติเป็นห่วง เราตายไปก็ไม่น่าจะทำให้ใครเดือดร้อน ว่าแล้วเราก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งความดี 100 หน่วยที่ได้สะสมมาอย่างไม่เสียดาย

กรรมดีเมื่อได้รับแล้วก็หมดไป เมื่อเราได้รับผลนั้น คือทำดีจนเกิดมาบนแผ่นดินที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าประกาศอยู่ ผลนั้นก็จบไป ดี 100 หน่วยที่ทำมาก็หายไป ถ้าอยากได้ใหม่ก็ต้องทำดีใหม่

ชี้กันชัดๆว่าการฆ่าตัวตายคือการโยนสิ่งที่ดีทิ้งไปโดยไม่รู้ว่ามันดี ชีวิตนี่มันดีนะ มันมีคุณค่า คนเกิดมาแล้วสามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้ จะตกต่ำจนเป็นมหาโจรก็ได้ จะดีจนเป็นพ่อพระก็ได้ หรือจะพัฒนาจนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ก็ได้ หนึ่งชีวิตมันมีโอกาส มีคุณค่าแบบนี้ แล้วทีนี้เราไม่สนใจเลยว่ามันมีที่มายังไง เราได้มาเราไม่เห็นค่า เห็นแค่ว่าถึงโยนชีวิตทิ้งไปก็ไม่เดือดร้อนใคร เราก็โยนสิ่งดีทิ้งไปแบบนั้น

ซึ่งลักษณะนี้ก็เข้ากับอุปกิเลสแบบหนึ่งคือ ลบหลู่คุณท่าน คือลบหลู่ ตีทิ้ง มองข้ามคุณความดีที่ตนทำมานี่แหละ แทนที่จะเอาร่างกาย ทรัพย์สิน ปัญหา ไปสร้างคุณค่าสร้างกรรมดีให้เราและโลกได้ใช้ แต่เรากลับเอาทั้งหมดไปโยนทิ้ง

ลองนึกภาพว่าเราต้องสร้างบันไดเพื่อไปให้ถึงยอดเขา เราก็เพียรสร้างมาหลายภพหลายชาติ แล้วชาติใดชาติหนึ่งก็เกิดความเห็นว่าจะสร้างทำไม ว่าแล้วก็พังบันไดเหล่านั้นทิ้ง สุดท้ายมันก็ต้องวนกลับไปเริ่มสร้างใหม่อยู่ดีนั่นแหละ เพราะนอกจากจะหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยการทำลายกิเลสแล้ว ทางอื่นไม่มี ก็ต้องทำใหม่ เริ่มใหม่ แล้วชาติใดเห็นผิดอีก ก็ทำลายที่ตนเองสร้างมา แล้วก็วนกลับไปเกิดในกองทุกข์ พอทุกข์แล้วก็อยากพ้นทุกข์ ก็สร้างบันไดหนีทุกข์ใหม่ แล้วก็ทำลายไปอีก วนเวียนไปอยู่เช่นนี้

สภาพของคนที่คิดฆ่าตัวตายมักจะเกิดจากการไม่เห็นคุณค่าในตนเอง เป็นสภาพของความหดหู่ ซึมเศร้า หรือโกรธจัดซึ่งเกิดจากความไม่ได้ดั่งใจ ฯลฯ เป็นลักษณะหนึ่งของกิเลสที่สามารถแก้ไขได้ อยู่ในระดับของอบาย คือหยาบ ฉิบหาย เสียหายมาก เพราะถือว่าล้มโต๊ะ ทำลายคุณค่าที่ทำมาทั้งหมด

จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราไม่มีคุณค่ากับใครหรอก เพียงแค่เราไม่รู้เท่านั้นเองว่ามี และไม่รู้จักการสร้างคุณค่า การที่เราหายไปนั้นมีผลกับคนอื่นไม่มากก็น้อย

ทรัพยากรที่เราใช้มาตั้งแต่เด็กจนโต สัตว์กี่ตัวที่ตายไปเพราะเรากิน ต้นไม้กี่ต้นหายไปเพราะการเรียนรู้ของเรา หลายสิ่งที่เราผลาญมาจนถึงวันนี้ เราสร้างคุณค่าชดเชยคืนให้กับมันอย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง เราใช้ชีวิตเพื่อโลกให้มากพอกับที่เราเคยเอามาจากโลกแล้วหรือยัง หรือเราจะมาเพื่อเพียงเสพสุขแล้วเลือกที่จะจากโลกนี้ไปโดยทิ้งหนี้กรรมไว้ ไม่ยอมชำระสะสาง

ถึงแม้เราจะเหลือเป็นคนสุดท้ายในโลก ไม่มีใครให้ห่วง ไม่เหลือใครมาห่วงเรา ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องทิ้งคุณค่าที่ตนมีไปเลย เรายังสามารถใช้ชีวิตสร้างสรรค์โลกได้นานตราบเท่าที่เราจะอยู่ไหว ถึงเวลาที่สมควรก็ปล่อยให้ร่างกายมันตายไปเอง ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่รีบเร่ง ไม่ฝืน ไม่ต่อต้าน มีแต่จะเสริมให้โลกนั้นหมุนเวียนไปอย่างสงบร่มเย็น

ในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ หากสิ่งใดจะสำคัญที่สุดก็คือตัวเราเอง มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างกรรม และเป็นผู้รับผลกรรมเหล่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

7.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

November 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,610 views 9

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

เราอยู่ในยุคสมัยที่อุดมไปด้วยความรู้ที่ช่วยให้สนองกิเลสได้ง่ายเพียงแค่ควักเงินจ่าย อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ ไม่ว่าจะความสุข ความสวยความงาม หรือแม้แต่ความดีก็ตาม

การปรับแต่งรูปร่างหน้าตาในยุคปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมยอมรับ เราสามารถผ่าตัดปรับเปลี่ยนหน้าได้ตามต้องการเท่าที่กำลังเงินจะอำนวย จึงมีคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้” ข้อความนี้จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ลองมาอ่านบทวิเคราะห์กันดู

ในพระพุทธศาสนานั้นมีความรู้ที่จะช่วยให้บุคคลผู้ต้องการความงามนั้นสร้างความงามอยู่เช่นกัน นั่นคือการเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะทำให้มีโภคทรัพย์มาก โดยทั่วไปหมายถึงทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะฐานะ มิตรสหาย หรือกระทั่งองค์ประกอบทางด้านร่างกายก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์ทางโลกุตระ

และการเจริญพรหมวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ทำชีวิตนี้แล้วไปให้ผลในชีวิตหน้า แต่หมายถึงทำเท่าไหร่ก็ให้ผลเท่านั้นทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่นๆต่อไป นั่นหมายความว่า ถ้าเราเจริญพรหมวิหารเราก็จะมีโภคทรัพย์ที่จะเจริญไปโดยลำดับ เราอาจจะเคยสังเกตเห็นคนที่เขาไม่สวยไม่งาม แต่กลับมีเสน่ห์ น่าเข้าใกล้ น่าพูดคุย น่าคบหา เหมือนมีธรรมรังสีเปล่งประกายออกมา จนบางครั้งหลงชอบใจทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบทางร่ายกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่เราเคยชอบใจเลยสักนิด

จึงสรุปไว้ก่อนเลยว่า “ทำบุญชาตินี้ ก็งามในชาตินี้แหละ

แต่หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องทำดีเพื่อรอรับผล ไม่ยินดีรอเวลา ใจร้อน หรือเรียกว่า “โลภ” อยากให้ดีเกิดมากกว่าเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น ที่มันไม่สวยไม่งามมันก็ฟ้องอยู่ในตัวแล้วว่า “เป็นผู้ที่มักโกรธ ผูกโกรธ พยาบาท” ไม่มีพรหมวิหาร ก็ควรจะเร่งสร้างความเจริญขึ้นในจิตใจ

แต่คนส่วนมากไม่ทำเช่นนั้น เขามองข้ามความเจริญทางจิตวิญญาณ แล้วไปสนใจเพียงแค่ร่างกาย บางคนเกิดมามีวิบากกรรมที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะร่างกายไม่สมประกอบ การจะผ่าตัดตกแต่งให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกตินั้นก็สามารถเอื้อกันได้โดยไม่ผิดอะไร แต่คนที่มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์ตามปกติดีอยู่แล้ว จะไปเสริมเติมแต่งให้มันมากขึ้น ให้มันสวยขึ้น ให้มันสมใจยิ่งขึ้น อันนี้มันก็เป็นการสนองกิเลส

ซึ่งการสนองกิเลสในระดับที่ไปผ่าให้มันสวยขึ้น ไปเติมให้มันใหญ่ขึ้น ฯลฯ เป็นกิเลสในระดับที่หยาบมาก รองลงมาคือพวกที่แต่งเนื้อแต่งตัว รองลงมาก็พวกที่แต่งหน้าแต่งตา ถ้าให้ดีก็ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาให้มันเสียเงินเสียเวลาก็จะดีที่สุด

เพราะคนนั้นไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี แล้วหลงว่าร่างกาย เนื้อหนังนั้นเป็นสิ่งเลิศ จึงเกิดการแส่หา ไขว่คว้าสิ่งที่ตนอยากได้อยากเสพมาเป็นของตน ในขั้นเริ่มต้นก็มักจะแต่งหน้า โพสท่า แล้วแต่งรูปให้ดูดี แต่ถ้าสะสมกิเลสไปมาก ๆ ก็จะเริ่มไม่พอใจ จะแต่งหน้าแต่งตาไปทำไม? ผ่าตัดให้มันสวยทีเดียวไปเลยดีกว่าจะได้เสพสมใจ

แท้จริงแล้วมันมีความซ้อนในการเสพความสวยงามอยู่ เพราะถึงจะผ่าตัดมาให้สวยปานใด น้อยคนนักที่จะใช้เวลาทั้งวันในการมองหน้าตาและรูปร่างของตัวเอง โดยส่วนมากก็จะแต่งไปให้คนอื่นเขามองมากกว่า ซึ่งมันมีความหลงโลกธรรมซ้อนเข้าไปว่า สนใจฉันสิ มองฉันสิ ชมฉันสิ จนกระทั่งฝังลึกกลายเป็นอัตตาว่า ฉันสวย ฉันน่าสนใจ ฉันมีคุณค่า แล้วก็หลงมัวเมากับความสุขลวงในคุณค่าของเนื้อหนังเช่นนั้นต่อไป

หลอกตัวเองยังไม่พอ ยังเอากาม (ความสวยงาม) เหล่านั้นไปหลอกคนอื่นต่ออีก ให้เขารัก ให้เขาทุ่มเท ให้เขาหลงงมงายอยู่กับเนื้อหนังที่ถูกตัดต่อปรุงแต่งขึ้นมา อีกฝ่ายก็หลอกซ้อนเข้าไปอีกว่าเนื้อหนังนั้นคือคุณค่า เนื้อหนังนั้นน่าสนใจ ก็บำเรอกิเลสกันไป มันก็เลยหลงวนเวียนกันทั้งสองฝ่าย แก้กันไม่ได้ง่าย ๆ

การทำรูปร่างหน้าตาให้สวยขึ้นเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามกิเลส จริงอยู่ที่ว่า “ทำหน้าสวยชาตินี้” มันก็ดูสวยขึ้นได้จริงตามสมมุติโลก แต่มันก็มีวิบากบาปซ้อนเข้าไปอีก เพราะถูกเติมแต่งด้วยกิเลส ทีนี้พอเริ่มต้นด้วยกิเลส แล้วเอาไปสนองกิเลส สุดท้ายก็เมากิเลส มันจะมีที่ไปที่ไหน มันก็มีแต่นรก(ความเดือดเนื้อร้อนใจ) เท่านั้น

พอไม่ได้ศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าคุ้ม ฉันขอสวยไว้ก่อน เพราะถ้าฉันสวยฉันก็จะได้เสพอะไรอีกหลายอย่าง เช่น หาคู่ได้, มีคนชม, มั่นใจ ฯลฯ นั่นกิเลสทั้งนั้น เป็นการลงทุนที่สุดท้ายยังไงก็ต้องขาดทุน มีแต่เสียกับเสีย มีแต่สุขลวงกับทุกข์แท้ๆ แต่ก็ยังอยากได้อยากมีกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คุณค่าของคนมันไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่ทำ เป็นคนเบียดเบียนโลกหรือทำประโยชน์ให้โลก บ้านเมืองไม่ได้ต้องการคนสวย แต่ต้องการคนดี ถ้าคนดีไปมัวแต่ห่วงสวยแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำดี ก็มีแต่คนดีที่ยังโง่อยู่เท่านั้นแหละ จึงยอมเสียเวลาอันมีค่าไปกับการมัวเมาในเนื้อหนังที่เสื่อมไปตามธรรมชาติทุกวันๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

7.11.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)