ข้อคิด

เรียนรักให้ถูกสัมมาทิฏฐิ

May 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 495 views 0

กิเลสคืออำนาจที่เลวร้ายที่สุด ครอบงำ บิดเบือน สร้างความเข้าใจกลับหัวกลับหาง อยากผาสุกแต่กลับทำทุกข์ พาให้ฉลาดในทางโลก คือหาทางเสพให้ดูดีดูน่ายกย่อง คือทำคนให้เป็นคนโง่ที่ดูฉลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความรักก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบันนี่ก็เรียกว่าเละเทะแล้ว มีธรรมประยุกต์มากมาย แต่ก็ไม่ได้อ้างอิง ไม่ได้เข้ากันกับหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกัน เรียกว่ากล่าวกันแล้วเหมือนธรรมที่ดูเท่ ดูปล่อยวาง ดูฉลาด แต่กลับหัวกลับหางกับพุทธะโดยสิ้นเชิง

เป้าหมายของพุทธไม่ใช่ความหยุดอยู่ ความตั้งอยู่ ความดำรงอยู่ แต่เป็นการชำระโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า จะไม่มีคำสอนใด ๆ ที่ให้หยุดชีวิตไว้ที่ความรัก หรือให้หยุดพักที่การมีคู่

คำตรัสที่ว่ามีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย คำความเหล่านี้คือตัวบอกจุดหมายของการปฏฺิบัติธรรมในศาสนาพุทธ คือให้เข้าถึงความพ้นทุกข์สูงสุด มีธรรมสูงสุดเป็นเป้าหมาย

คือให้ปฏิบัติสู่ความไม่มีทุกข์เลย ไม่ใช่หยุดอยู่ในสภาพเทวดา สภาพทาสที่คอยเสพสมใจตามกิเลสที่ได้มุ่งหมาย หรือสภาพที่ไร้อำนาจต่อต้านเพศตรงข้ามต้องยอมสยบไว้ใต้เท้าเขา

ดังนั้นเป้าหมายของสาวกที่จะเจริญ คือควรจะประพฤติตนเป็นโสดให้ได้สำเร็จ สมบูรณ์ทั้งรูปและนาม ส่วนจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง คือพยายามแล้วมันไปไม่ถึงก็ยังดีกว่าไม่พยายาม

ไม่ใช่ว่าให้ความสำคัญกับการมีคู่ การมีคู่จะพาเจริญ หรือการมีคู่ดีจะขัดเกลากัน อันนี้ไม่ใช่ มันคือเฉโก ความลามกของกิเลสคือพาให้คนหลงเสพโดยมีความคิดเท่ ๆ มาแปะป้ายไว้ให้ดูดี ดูฉลาดปราดเปรื่อง แต่จริง ๆ กลิ่นกามนี่เหม็นคลุ้งเลย

การมีคู่มันจะมีอะไรดี มันก็มีแต่เรื่องเบียดเบียนกันเท่านั้นแหละ คนมีปัญญาเขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เลยนะ ดังเช่นว่ามีคู่แล้วก็ต้องไปนอนเตียงเดียวกันให้มันนอนลำบากทำไม? ให้มันเบียดกัน ให้มันหลับยาก อันนี้คือความโง่ของกิเลสที่พาให้คนหลงยึด ผูกกันไว้ เข้าใจว่านอนเตียงเดียวกันคือความสุข จริง ๆ นอนเตียงใครเตียงมัน ห้องใครห้องมันนี่จะหลับสบายกว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกนอกจากเรื่องการสมสู่ การมีคู่ก็มีเหมือนซื้อบริการทางเพศแบบเหมานั่นแหละ เอาไว้ใกล้ ๆ ตัว จะได้เสพง่าย ๆอยากเมื่อไหร่ก็เสพได้เลย ก็เป็นการขายตัวอย่างถูกจารีตแบบหนึ่ง แต่ไม่ถูกธรรม คือไม่พาพ้นทุกข์

เรื่องพวกนี้คนเขาก็ไม่พูดกันหรอก เขาก็พูดกันแต่มุมพาเจริญ ส่วนมุมสกปรก ที่มันเน่า ๆ เละ ๆ เขาก็เก็บมันไว้ ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดา

มันก็ใช่ถ้าจะบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์หรอก ไม่ได้ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลใด ๆ ก็อยากแค่ใช้ชีวิตบำเรอกามตนอย่างเต็มที่ ใครจะว่าอย่างนั้นก็คงจะไม่ขัดศรัทธากัน

แต่ถ้าจะมาบอกว่าการมีคู่คือเรื่องดี พาเจริญอะไรนี่ ก็บอกตรง ๆ ว่าต้องวิจารณ์ไว้ เพราะเห็นใจคนอื่นที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วมาเจอธรรมลามกพวกพาหลงในรสรัก เขาจะเสียเวลามาก อุตส่าห์เกิดมาเป็นคน ได้มีพระพุทธศาสนาประกาศอยู่ ยังจะมาเจอพวกมิจฉาดักตีหัว เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วโดนทัวร์โจรดักตีหัวพาเที่ยวนรกยังไงอย่างนั้น

ทุกวันนี้มิจฉาธรรม มันก็เยอะมากพออยู่แล้ว ใครรู้ตัวก็อย่าพยายามเพิ่มอีกเลย แค่เจอสารพัดนักเขียนชื่อดังประกาศธรรมที่ยินดีในคู่ก็พาคนฉิบหายมากอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก เพราะมันไม่พาเจริญ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้มิจฉาทิฏฐิ ปิดบังไว้จะเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดังนั้นถ้ายิ่งพยายามเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิในเรื่องคู่มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความเสื่อมเกิดมากเท่านั้น ทั้งตนเองและผู้อื่นนั่นแหละ

มาจับที่มีหลักฐานกันชัด ๆ ไปขยายดีกว่า เอาอันนี้ “ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์” ไปขยายกัน ไปทำความเข้าใจกันดี ๆ อย่าไปเอาเป้าหมายที่มันนอกกรอบ นอกขอบเขตพุทธ ถ้าไปเอาที่มันนอกรีตมันจะไม่พ้นทุกข์ เอาที่มันอยู่ในกรอบ ในจารีต ในวิถีพุทธมันจะเจริญ

พระอริยะชั้นสูง ๆ ท่านไม่เอาเรื่องคู่ทั้งนั้นแหละ เธอไปทาง ฉันไปอีกทาง พระมหากัสสปะเถระเป็นอีกท่านที่บำเพ็ญบารมีตามพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่ท่านปฏิบัติในเรื่องคู่นี่ลอกพระพุทธเจ้ามาชัด ๆ เลย บทเดียวกันแต่เปลี่ยนคนแสดง พอท่านรู้ตัวว่ามีสิ่งเจริญกว่าท่านก็ให้เมียไปทาง ท่านก็ไปอีกทาง ไม่มีหรอกจะมามัวปะปนกันอยู่ อย่างคนโลก ๆ อันนั้นบางทีเขาก็มั่วนิ่ม จริง ๆ ก็ยึดมาก แต่ฉลาดในการพูด มันก็ดูเหมือนจะดี แต่ถ้าจะเทียบสภาวะจริง ๆ ก็มีพระพุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะอยู่แล้ว ก็เทียบจากตัวอย่างที่ดีไป อย่าไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดี

มีคู่ดี หนียาก พ้นทุกข์ยาก

May 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 630 views 0

วันก่อนพิมพ์บทความเกี่ยวกับความผาสุกของคนที่มีคู่ดีเมื่อเทียบกับคนโสด วันนี้จะมาบอกโทษของการมีคู่ที่ดี เป็นคนดี นิสัยดี ฯลฯ

การมีคู่ดี ก็เป็นเรื่องที่คนในโลกส่วนมากใฝ่หาอยู่แล้ว ใครล่ะจะอยากมีคู่ไม่ดี เขาก็อยากมีดี ๆ กันทั้งนั้น เหมือนอาหาร เขาก็อยากกินแต่ของอร่อย ใครมันจะไปอยากกินของไม่อร่อย ความอยากมันก็แบบนี้ มันจะเสพมาก เอามาก เป็นภพที่ฝังวิญญาณอยู่ สะกดไม่ให้ได้ออกไปไหน

แต่โทษภัยในคู่ดีนั้นยิ่งล้ำลึกออกยาก เรียกว่าถ้าคนจะประพฤติตนเป็นโสดแล้วดันมาเจอคู่ดี ถ้าไม่มีปัญญาจริงก็เรียกว่าไปไม่เป็นกันเลย คือไปไหนไม่รอด ต้องจมปลักอยู่กับความดีของเขา

เพราะคู่ไม่ดี คู่ชั่ว ผิดศีลกันชัด ๆ นี่เขาก็มีโทษมาก มีเหตุผลให้ออกได้ง่าย ๆ แต่เชื่อไหม แม้จะมีคู่ชั่ว ผิดศีล คบชู้ นอกใจ ใช้ความรุนแรง หลายคนก็ยังออกไม่ได้เลย เขาชั่วอยู่ชัด ๆ ก็ยังออกไม่ได้เลย ด้วยความหลงสุขบ้าง หลงทรัพย์จากเขาบ้าง ไม่มีอำนาจเหนือเขา ต้องยอมอยู่ภายใต้การผิดศีลเบียดเบียน

ไม่ต้องคิดเลยว่าคู่ดีจะออกยากขนาดไหน มันจินตนาการไม่ออกเลยที่จะทิ้งคนที่ดีพร้อมตามที่เราต้องการ ยิ่งดีเหนือคนอื่น อัตตามันจะยิ่งโตไปกันใหญ่ จะยิ่งภูมิใจ ยิ่งยึดมาก

ที่ยึดมากเพราะเราไปให้คุณค่าเขาไว้เอง คือเขาดี มันก็ดีของเขา แต่เราไปเอาดีของเขามาเป็นของเรา มันก็จะให้ความสำคัญกับเขา แล้วมันก็จะไม่ยอมพราก เพราะเข้าใจว่าคู่ดีมีศีลคือสิ่งสำคัญ เป็นของหายากในโลก

โทษของคู่ดีก็คือผูกเราไว้ในนรกนั่นแหละ จะว่าคู่ดีมันทุกข์น้อยกว่าคู่ไม่ดีมันก็ใช่ แต่มันยังทุกข์มากอยู่ เมื่อเทียบกับสถานะดี ๆ อีกมากมาย

ก็เหมือนนางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่ 7 ขวบ แต่จนโตก็ตันอยู่ที่โสดาบัน เพราะหลงในความรัก คู่ครอง ครอบครัว มันก็ตันอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า เทศน์ให้ฟัง ให้ก้าวขึ้นมาจากความทุกข์ ให้ออกมาจากนรก ก็ไม่ได้มีสัญญาณใด ๆ ว่าพยายามจะขึ้นมา

หลักฐานจากพระไตรปิฎกก็มีอยู่แค่นี้ คือได้สอน แต่ไม่มีบทบรรยายว่าได้ฟังแล้วบรรลุธรรมหรือร่าเริงในธรรมเหมือนท่านอื่น ๆ ก็สรุปความได้ว่านางก็คงจะยินดีอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ

ปฏิบัติธรรมมาประมาณหนึ่ง ชีวิตมันก็จะดี แถมเจอคนดีอีกต่างหาก มันจะก็จะออกยาก รักคู่ รักครอบครัว รักไปหมด มันก็ผูกไว้ ฝังไว้กับทุกข์ มันก็เป็นกิเลสนั่นแหละ ที่ดันไว้ไม่ยอมให้ขึ้นไปมากกว่านั้น แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุดช่วยอยู่ แต่ถ้าไม่พาตนเองปีนขึ้นมาจากทุกข์มันก็ไปต่อไม่ได้

คู่ดีก็มีโทษประมาณนี้แหละ ก็อาจจะมีมรรคผลระดับหนึ่ง มีวิบากกรรมที่ดีระดับหนึ่งเลย ได้มาเจอคนที่ดี ที่เขามีศีล ไม่เบียดเบียนมาก

แต่มันก็ยังมีทุกข์มากอยู่ไง ทุกข์จนร้องห่มร้องไห้ เพราะความรักเป็นเหตุนั่นแหละ

ทุกข์มากที่ว่านี่มันก็เห็นกันได้ยาก คนทั่วไปเขาก็เห็นกันว่าทุกข์น้อย เขาเห็นว่ามีคู่ดี เขาก็ยอมทนทุกข์ที่จะเกิด เพราะเขาคิดว่ามันไม่น่าจะเยอะ ขนาดคู่ไม่ดีไม่มีศีล คนส่วนใหญ่เขายังยอมทนทุกข์กันเลย เพราะเขาหลงว่าสุขมันมากกว่าทุกข์ หรือแม้จะทุกข์ก็มีสุขให้เสพ

พระพุทธเจ้าบอกรักมีแต่ทุกข์ … ส่วนสุขท่านไม่ได้กล่าวถึง คือมันไม่มีนั่นแหละสุข แต่คนเขาปั้นขึ้นมาตามกิเลสเขา กิเลสมากก็สุขจากรักมาก กิเลสน้อยก็สุขจากรักน้อย ไม่มีกิเลส รักก็ไม่มีสุขเลย เพราะสุขมันลวงไปตามอำนาจของกิเลส

ความสุขความทุกข์ในรัก จะรุนแรงแปรผันตามกิเลส สุขเท่าใด ทุกข์เท่านั้น มีน้ำหนักที่จะเกิดแรงตามการปรุงแต่งในจิต

ถ้าจะเปรียบการมีคู่ดี ก็คงจะเหมือนได้เงินมา 100 ล้านแล้วพอใจนั่นแหละ ตามที่เขาว่า “เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร” คือคนรักนี่มันมีค่ามาก แต่เขาไม่รู้ว่า ที่ดีที่เลิศกว่าคนรักที่ดีก็ยังมีอยู่ ถ้าพ้นความอยากมีคู่ดีไปได้ ก็เทียบได้ว่ามีเงินเป็นอนันต์ ใช้ไม่มีวันหมด

แต่ 100 ล้านนี่มีหมด มันใช้หมดได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งนั่นแหละ เพราะกามราคะเปรียบเหมือนหนี้ สุดท้ายมีเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้จนหมด

คู่ดีนี่มีค่าใช้จ่ายนะ คือต้องทำกรรมดีมามากพอถึงจะเจอคนดี แต่ถ้าเอากรรมดีไปแลกตามกิเลสนี่มันจะหมดไปอย่างรวดเร็ว พวกทำดีแลกกิเลส ภาพก็จะคล้ายเศรษฐีตกอับ วันหนึ่งมี อีกวันหนึ่งหมด พอหมดแล้วหมดเลย เป็นยาจกเลย

คู่ดีก็เหมือนกัน เขามีเวลาจำกัดของเขา เขาไม่เที่ยง เขาไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน แปรผันได้ตลอดเวลา แต่ความตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดนี่สามารถทำให้ยั่งยืนไม่เวียนกลับไม่แปรผันได้ คือสามารถทำให้ความโสดนั้น “เที่ยง” ได้

พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับสภาวะนิพพาน 7 ประการ คือสภาพที่กิเลสดับ หนึ่งในนั้นคือ เที่ยง คือกิเลสดับอย่างแน่นอน ไม่แปรกลับ ไม่แปรปรวน คนที่ประพฤติตนเป็นโสดอย่างถูกมรรคผล จึงมีความผาสุกที่ยั่งยืน ยาวนาน ถาวร

ต่างจากคนมีคู่ดี ที่แม้จะดี แต่ก็จะมีความทุกข์ต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดด้วยเหตุแห่งคู่ครองหรือครอบครัวอยู่ทุกวี่วัน ต่างจากคนโสดที่จัดการความอยากของตนได้แล้ว เขาย่อมไม่เป็นทุกข์ อยู่ผาสุกสบายทุกวี่วัน

สรุปว่าโทษของการมีคู่ดี ก็คือมันยังพาทุกข์มากอยู่นั่นเอง เพราะสุขที่มากกว่านั้นมันยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าการมีคู่ดีคือสภาพที่เลิศยอด แต่ที่ยอดกว่าคือไม่มีคู่ชีวิตก็ยังดีอยู่ อันนี้สิดี

มีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม?

May 15, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 819 views 0

เห็นความเห็นนี้ในพวกเว็บบอร์ด ก็นำมาวิจารณ์กันหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตั้งใจที่จะออกจากนรกคนคู่

คนที่เขาหลงเขาก็ว่ามีคู่เป็นสุขกันหมดนั่นแหละ ยิ่งคู่ดียิ่งเป็นสุขกว่าโสด นั่นเขาฟันธงอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นหมดใจเลย

ก็เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากได้ของเล่นแพง ๆ พอได้มาเขาก็จะเป็นสุขใช่ไหม? ลองนึก ๆ ดูตัวเราในอดีตก็น่าจะตอบว่าใช่ ได้ของเล่นมันก็เป็นสุข

แต่ถ้าลองคิดดูว่าผู้ใหญ่ได้ของเล่นแบบนั้นมันจะสุขไหม ได้ของเล่นดีมากเลยนะ ดีมากแพงมาก หายากมาก มันจะสุขไหม ตุ๊กตาแพง ๆ ได้มา มันจะสุขไหม … เอามาทำไม ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นสุขหรอก ส่วนใหญ่ก็น่าจะเข้าใจได้แบบนี้ ยกเว้นพวกติดของเล่นไม่เลิก

เรื่องคู่ก็เหมือนกัน คนที่เขาโตแล้ว มีปัญญาแล้ว เขาก็ไม่ไปเป็นสุขกับของที่มันไม่สามารถสร้างสุขได้จริงหรอก เวลาคนหลงอะไรมันก็เป็นสุขกับสิ่งนั้น เหมือนเด็กเล่นของเล่น เขาหลง เขาชอบ เขาก็สุข คู่ก็เหมือนกัน คนหลง คนชอบ แม้ได้คู่ไม่ดีมาเขาก็เป็นสุข ไม่ต้องไปพูดถึงคู่ดีเลย ทุกวันนี้คู่ร้าย ๆ เขาก็ยังยินดีคบหากัน ใช่ว่าร้ายแล้วเขาจะเลิกกันซะที่ไหน

ถ้ามีใครมาถามมีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม? มันก็ตอบได้ทั้งสองมุมนั่น มุมโลกีย์ หรือมุมที่ยังหลงสุข ยังโง่อยู่ เขาก็เป็นสุขของเขาแบบนั้น

แต่ถ้าตอบมุมโลกุตระ ก็ตอบได้ง่าย ๆ คือ ไม่จริง เพราะบัณฑิต(ผู้ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เขาประพฤติตนเป็นโสดกัน ไม่แส่หา ไม่ป้อล้อ ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นโดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้มันปวดหัวหรอก เพราะมันเป็นทุกข์ยังไงล่ะ ส่วนสุขน่ะหรอ ไม่มีจริงอยู่แล้ว ไอ้ที่เขาสุข ๆ นั่นกิเลสเขายึดเขาปั้นเขาเสพของเขาเอง แล้วเขาก็หลงของเขานั่นแหละ

ผมเห็นเขาไปถามในเว็บบอร์ด ว่าโสดหรือมีคู่สุขกว่ากัน ดูแล้วก็เห็นใจ เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกว่า ชุ่มไปด้วยกามกันทั้งนั้น สุดท้ายถ้าไม่มีของเก่าจริง ๆ ก็จะโดนโน้มน้าวไปทางโลกีย์วิสัย คือไปหาสิ่งที่โลกเข้าใจว่าดีมาเสพ

ใครจะลองศึกษาเทียบดูก็ได้ ให้มาเปรียบเทียบกันเลย เอาสิ่งที่ว่าสุขมาจดไว้ทุกวัน เล่าความสุขของการมีคู่ดีให้ได้ทุกวันนะ เอาแค่ความสุขนะ ยังไม่ต้องเขียนทุกข์ เดี๋ยวกระดาษจะไม่พอ

เอาให้ได้ทุกวันนะ เพราะผมเป็นโสดนี่เป็นสุขทุกวัน เพราะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องระวัง กังวล ระแวง หวั่นไหวเพราะมีคู่ยังไงล่ะ สรุปมันสุขเพราะไม่ต้องมีคู่นี่แหละ

จะได้ศึกษากันไปชัด ๆ ว่าตกลงว่ามีคู่ดีมันสุขกว่าที่เข้าใจจริงไหม

เพ่งโทษฟังกัน

March 25, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 634 views 0

เวลาที่คนมีความโกรธ เกลียด ชิงชัง จะฟังกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเคยแต่เพ่งโทษ หาโทษ มองแต่โทษ ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่โทษจริงหรอก แต่ฟังไม่ครบบ้าง ไม่พยายามทำความเข้าใจบ้าง แล้วจิตพยาบาทมันก็ปรุงไปต่อจนคิดว่าเป็นโทษจริง ๆ

ในชีวิตผมก็เจอบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว คนที่เขาเพ่งโทษนี่เขาจะอ่านหรือฟังไม่รู้เรื่องหรอก จับสาระไม่ได้ เราตอบไปแล้ว เขาก็จะอ่านไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่ได้ บางทีจับประเด็นเพี้ยนอีก กลายเป็นฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดไปซะอีก

คือฟังแล้วมีการเพ่งโทษร่วมด้วย สภาวธรรมไม่ถึงด้วย ไม่เข้าใจ ก็จับไปกระเดียด ไปต่อเติมแต่ง ความความเข้าใจของตนเอง แล้วหลงว่าตนถูกซะด้วยนะนั่น

หรืออีกอาการที่เจอคืออาการหูดับ คือเขาจะเลือกฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ แต่พอได้ฟังสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เขาคิด ก็จะหูดับ ไม่ฟัง ไม่จำ ไม่รับรู้ ไม่แก้ไขความเห็นผิด

พวกเพ่งโทษฟังกันนี่ผมไม่เอาภาระหรอก ก็ให้เขาเป็นไปตามแบบของเขา คือเขาไม่สามารถรับการสื่อสารของเราได้ แม้ขั้นต่ำก็รับไม่ได้ ดีไม่ดีตีกลับ เป็นตีความผิดอีก กลายเป็นเข้าใจผิด เพ่งโทษ ถือสา ฯลฯ

อาจารย์สอนว่า “ให้ช่วยคนที่ศรัทธา” ถ้าจะให้ผมเอาภาระจริง ๆ ก็จะเอาเท่าที่เขาศรัทธานี่แหละ ส่วนพวกถือสานี่ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาดีกว่า

ถ้ามีอาการในหมวดพยาบาท คือ โกรธ เกลียด อาฆาต เพ่งโทษ หรือหมวดอัตตา เช่น ถือดี อวดดี ยกตนข่ม สำคัญตนว่าเหนือกว่า ฯลฯ อะไรทำนองนี้ จะฟังกัน สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรอก

เพราะจิตมันจะไม่เอาประโยชน์ มันจะจ้องเอาแต่โทษ เพ่งแต่โทษ เป็นธาตุของคนพาล เป็นกำลังของคนพาล เราก็ห่าง ๆ ไว้ ชีวิตจะผาสุก

อยู่ใกล้คนขี้โกรธ ขี้หงุดหงุด ใครคิด/พูด/ทำ ไม่ถูกใจก็ขุ่นเคืองใจ ว่าแล้วก็ด่าบ้าง เหน็บบ้าง แขวะบ้าง ประชดประชันบ้าง ฯลฯ สารพัดลีลาอิตถีภาวะ(สภาพมีกิเลส) คนพวกนี้พระพุทธเจ้าว่าไม่ควรคบหา ไม่ควรเข้าใกล้ เปรียบเหมือนบ่อขี้ มีอะไรตกใส่กลิ่นก็เหม็นฟุ้ง