Tag: เปรียบเทียบ

มีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม?

May 15, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 800 views 0

เห็นความเห็นนี้ในพวกเว็บบอร์ด ก็นำมาวิจารณ์กันหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตั้งใจที่จะออกจากนรกคนคู่

คนที่เขาหลงเขาก็ว่ามีคู่เป็นสุขกันหมดนั่นแหละ ยิ่งคู่ดียิ่งเป็นสุขกว่าโสด นั่นเขาฟันธงอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นหมดใจเลย

ก็เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากได้ของเล่นแพง ๆ พอได้มาเขาก็จะเป็นสุขใช่ไหม? ลองนึก ๆ ดูตัวเราในอดีตก็น่าจะตอบว่าใช่ ได้ของเล่นมันก็เป็นสุข

แต่ถ้าลองคิดดูว่าผู้ใหญ่ได้ของเล่นแบบนั้นมันจะสุขไหม ได้ของเล่นดีมากเลยนะ ดีมากแพงมาก หายากมาก มันจะสุขไหม ตุ๊กตาแพง ๆ ได้มา มันจะสุขไหม … เอามาทำไม ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นสุขหรอก ส่วนใหญ่ก็น่าจะเข้าใจได้แบบนี้ ยกเว้นพวกติดของเล่นไม่เลิก

เรื่องคู่ก็เหมือนกัน คนที่เขาโตแล้ว มีปัญญาแล้ว เขาก็ไม่ไปเป็นสุขกับของที่มันไม่สามารถสร้างสุขได้จริงหรอก เวลาคนหลงอะไรมันก็เป็นสุขกับสิ่งนั้น เหมือนเด็กเล่นของเล่น เขาหลง เขาชอบ เขาก็สุข คู่ก็เหมือนกัน คนหลง คนชอบ แม้ได้คู่ไม่ดีมาเขาก็เป็นสุข ไม่ต้องไปพูดถึงคู่ดีเลย ทุกวันนี้คู่ร้าย ๆ เขาก็ยังยินดีคบหากัน ใช่ว่าร้ายแล้วเขาจะเลิกกันซะที่ไหน

ถ้ามีใครมาถามมีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม? มันก็ตอบได้ทั้งสองมุมนั่น มุมโลกีย์ หรือมุมที่ยังหลงสุข ยังโง่อยู่ เขาก็เป็นสุขของเขาแบบนั้น

แต่ถ้าตอบมุมโลกุตระ ก็ตอบได้ง่าย ๆ คือ ไม่จริง เพราะบัณฑิต(ผู้ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เขาประพฤติตนเป็นโสดกัน ไม่แส่หา ไม่ป้อล้อ ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นโดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้มันปวดหัวหรอก เพราะมันเป็นทุกข์ยังไงล่ะ ส่วนสุขน่ะหรอ ไม่มีจริงอยู่แล้ว ไอ้ที่เขาสุข ๆ นั่นกิเลสเขายึดเขาปั้นเขาเสพของเขาเอง แล้วเขาก็หลงของเขานั่นแหละ

ผมเห็นเขาไปถามในเว็บบอร์ด ว่าโสดหรือมีคู่สุขกว่ากัน ดูแล้วก็เห็นใจ เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกว่า ชุ่มไปด้วยกามกันทั้งนั้น สุดท้ายถ้าไม่มีของเก่าจริง ๆ ก็จะโดนโน้มน้าวไปทางโลกีย์วิสัย คือไปหาสิ่งที่โลกเข้าใจว่าดีมาเสพ

ใครจะลองศึกษาเทียบดูก็ได้ ให้มาเปรียบเทียบกันเลย เอาสิ่งที่ว่าสุขมาจดไว้ทุกวัน เล่าความสุขของการมีคู่ดีให้ได้ทุกวันนะ เอาแค่ความสุขนะ ยังไม่ต้องเขียนทุกข์ เดี๋ยวกระดาษจะไม่พอ

เอาให้ได้ทุกวันนะ เพราะผมเป็นโสดนี่เป็นสุขทุกวัน เพราะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องระวัง กังวล ระแวง หวั่นไหวเพราะมีคู่ยังไงล่ะ สรุปมันสุขเพราะไม่ต้องมีคู่นี่แหละ

จะได้ศึกษากันไปชัด ๆ ว่าตกลงว่ามีคู่ดีมันสุขกว่าที่เข้าใจจริงไหม

น้ำหนักของความรู้สึกในการห่างไกลคนพาล

February 28, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 602 views 0

จากชิคุจฉสูตร จะมีตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเปรียบโทษของการเข้าไปคบหา เข้าไปชิดใกล้คนพาล มีความเน่าในตน ผิดศีล ฯลฯ ว่าเหมือนกับการเข้าไปใกล้งูที่อยู่ในบ่อขี้ แม้ไม่กัดแต่ถ้าไปใกล้ก็จะทำให้เหม็นได้

คนทั่วไปถ้าไม่ได้ศึกษาและปฏิบิติธรรม เขาจะไม่เข้าใจน้ำหนักที่ควรจะห่างไกลคนพาลเหล่านี้ เขาก็คิดว่าไม่เป็นโทษขนาดนั้นล่ะมั้ง ไม่อันตราย ไม่ถึงขนาดต้องห่างไกลหรอกน่า หรือไม่ก็ทำเป็นไม่รู้จัก ไม่สนใจความเป็นภัยของคนพาลไปเลย

การที่พระพุทธเจ้าจะยกอะไรขึ้นมาเปรียบเทียบนั้น ท่านก็มักจะยกสิ่งที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกันเพื่อเปรียบเทียบให้รู้สึก ให้เข้าใจ ให้พอเห็นภาร่วมกันได้ง่ายขึ้น

คนพาลนั้นก็เหมือนกับงูในบ่อขี้ ทั้งอันตราย ทั้งเหม็น แม้ไม่กัดแต่มาเข้าใกล้ก็เหม็น มงคลสูตรที่ว่า ห่างไกลคนพาลนั้น คือต้องมีปัญญาเข้าถึงสภาวะว่าคนพาลเป็นโทษดังนี้ คือเหมือนความอันตรายของงู และเหม็นเหมือนขี้

รู้สึกอย่างไรกับงู ก็รู้สึกกับคนพาลนั้นใกล้เคียงกัน คืออันตราย เป็นภัย ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าเข้าไปยุ่งใด ๆ แม้มันจะมีหรือไม่มีพิษ หรือแม้จะกัดหรือไม่กัดก็ตาม คนทั่วไปเขาก็จะไม่อยากเข้าไปใกล้งู อันนี้คือสภาพจิตของคนที่คนใจภัยของคนพาล ก็จะห่างคนพาลไว้ เพราะพิษภัยอันตรายเหล่านั้น

ส่วนบ่อขี้ หรือขี้นี่ก็เป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่รังเกียจอยู่แล้ว ยิ่งงูตกถังขี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะปกติขี้มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น จะเหม็นโชยขึ้นมาก็เพราะมีอะไรไปเขี่ยหรือทำให้ขยับ แต่ถ้ามีงูไปตกถังขี้แล้วเลื้อยมาทางเรา ก็คล้าย ๆ จะกลายเป็นขี้เดินได้ ทั้งอันตรายทั้งน่ารังเกียจ

ความเห็น ความเข้าใจและชื่อเสียงที่ไม่ดีของคนพาลเช่นกัน ก็เหมือนกับขี้นั่นแหละ คนทั่วไปรังเกียจอย่างไร กับความเน่าในของคนพาลก็มีน้ำหนักเท่านั้นเช่นกัน

ถ้าเห็นความพาลในคนพาล เห็นการโทษของการผิดศีลในคนผิดศีล เห็นความเน่าในตนของคนเสแสร้งได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจริง ๆ จะเข้าใจน้ำหนัก ว่าควรจะรักษาระยะห่างในการคบหาเท่าไหร่จึงจะดี ควรจะห่างไปไกลเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย

มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เข้าใจได้ยากมากถึงยากที่สุด เพราะคนพาลนั้นรู้ไม่ได้ง่าย ๆ ส่วนมากก็จะเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี หลอกคน ถึงขนาดว่าขี้ที่เปื้อนก็ยังเป่ามนต์ให้หอมได้ เป็นของวิเศษได้ แบบนั้นก็มีเหมือนกัน

แต่บางคนเขามีวิบากกรรมที่ต้องหลง เพราะเคยไปส่งเสริมมามาก มีกรรมก็ต้องรับกรรม แต่เมื่อรู้แล้ว ชัดแล้ว เห็นความเป็นพาล เห็นความผิดศีลเน่าในแล้ว ก็ควรจะถอยห่างออกมา

ความเห็นในการละสิ่งที่เป็นภัย (ลฑุกิโกปมสูตร)

June 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,069 views 0

อ่านพระไตรปิฎกเจอบทที่น่าสนใจ สรุปมาอ่านกัน

เมื่อพระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า “จงละสิ่งนี้” ก็จะมีผู้ที่เห็นต่างกันออกไป โมฆบุรุษบางคน ก็มักจะเห็นว่า จะมาขัดเกลาอะไรกันนักกันหนา กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องทำด้วยหรือ เมื่อไม่เห็นควรตามนั้นจึงไม่ยอมละ ทั้งยังไม่พอใจ

บางพวกสนใจศึกษาแต่อินทรีย์พละอ่อนก็มองว่าสิ่งที่ท่านให้ละนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ยังยากที่จะละสิ่งนั้น

บางพวกสนใจศึกษาแต่มีิอินทรีย์พละมากก็มองว่าสิ่งที่ท่านให้ละนั้นสามารถทำ ได้โดยง่าย จึงทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก แม้เรื่องยากกว่านี้ก็ทำได้

(ความตอนหนึ่งของ ลฑุกิโกปมสูตร)

…………………………………….

จะเห็นได้ว่าการละสิ่งใดได้ยากหรือง่ายนั้นเกิดจากอินทรีย์พละที่สะสมมา ซึ่งแต่ละคนมีต้นทุนที่ปฏิบัติมาต่างกัน คนทำมามากก็มีมาก คนทำมาน้อยก็มีน้อย บางคนมีน้อยถึงขั้นหลงผิดไม่พอใจพระพุทธเจ้าก็ยังมี

คนที่มีมากเขาก็ละสิ่งที่เป็นภัยได้ง่าย เช่น ศึกษากันไม่นานก็สามารถถือศีลยากๆได้ ส่วนคนที่มีน้อยแค่เจอศีลง่ายๆเขาก็หงายแล้ว

เรื่องแข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้ ดังนั้นปฏิบัติธรรมอย่าเปรียบเทียบกับใคร อย่าคิดว่าคนนั้นคนนี้ทำได้แล้วเราจะทำได้ โดยเฉพาะการศึกษาพระไตรปิฎกจะเห็นว่าบรรลุธรรมกันง่ายๆ แค่ฟังไม่กี่ประโยคก็บรรลุแล้ว

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้ ถึงแม้เราจะอ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ใช่ว่าจะเข้าใจหรือบรรลุธรรมใดๆได้ ดังนั้นปฏิบัติธรรมอย่าไปเปรียบเทียบกับใคร อย่าไปลอกใคร ให้เอากระบวนการปฏิบัติเป็นหลักส่วนได้มรรคผลอย่างไรเป็นเรื่องของแต่ละคน

ไม่เช่นนั้นก็จะท้อมากเมื่อเห็นเพื่อนกัลยาณมิตรก้าวหน้าไปไกลแต่เรากลับยัง อยู่ที่เดิม นั่นเพราะมีเหตุปัจจัยต่างกัน มีอินทรีย์พละต่างกัน และอาจจะมีทิฏฐิที่ต่างกัน ซึ่งตรงนี้ต้องศึกษาและตรวจสอบให้ดี

ความรักกับเด็กอยากได้ของ

May 22, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,279 views 0

นึกขึ้นมาได้ ลองเอามาเปรียบเทียบกันดู ตอนที่เด็กอยากได้ของเล่นนี่จะพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้มา พ่อแม่ไม่ให้ก็งอแงจะเอา หลากหลายเหตุผลที่คิดขึ้นมาได้ พร้อมกับแสดงลีลา งอน ประชด เหวี่ยงเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา…ก็เหมือนคนอยากมีคู่นั่นแหละ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสพ ถ้ามีใครมาห้ามหรือมาเห็นแย้งก็ไม่อยากฟัง

ถ้าได้มาก็มีสองอย่างหนึ่งคือสุขแป๊ปๆแล้วก็เบื่อ เลิกเล่น อยากได้ของใหม่ หรืออีกอย่างคือยึด เหมือนกับตุ๊กตาเน่าๆ ที่ทั้งเหม็นและเก่า แต่ไม่ยอมให้ใครแย่งไป ไม่ยอมห่าง ยึดไว้อย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องจากกันไปอยู่ดี

พอโตแล้วก็ไม่ไปซื้อหรือเล่นของเล่นเหมือนเด็กๆอีก เพราะไม่ได้มีความพอใจในสิ่งเหล่านั้นแล้ว เปลี่ยนไปอยากได้สิ่งอื่นแทน แต่ก็ยังเข้าใจว่าเด็กทุกคนต้องเล่นของเล่น ต้องอยากได้ของเล่น

ก็เหมือนกับความรัก พอมีอายุมากขึ้นผ่านความรักในมุมคนคู่มาได้ แม้ตนเองจะไม่อยากไปมีคนรักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปัญญาเห็นโทษของความอยาก ยังเห็นว่าความรักในมุมของการมีคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้

ความเบื่อในความรักเมื่ออายุมากนี้เองเรียกว่าการเบื่อหน่ายแบบทั่วๆไป ไม่ต้องปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมีปัญญามากขึ้น มันก็เกิดขึ้นได้เอง เป็นเรื่องสามัญ เป็นธรรมชาติของโลก ซึ่งความอยากนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่มันเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปเสพอีกเรื่องหนึ่งนั่นเอง

สรุปแล้ว…ความอยากก็ทำให้เราเป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้เดียงสา แต่ความไม่อยากนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่

เด็กในมุมของธรรมะนั้นคือผู้ที่ยังมัวเมาอยู่กับกิเลส ส่วนผู้ใหญ่นั้นคือผู้ที่ปลดเปลื้องกิเลสได้อย่างแท้จริงแล้ว