Tag: ความเสื่อม

ศาสนาไม่ได้เจริญขึ้นเพราะเงิน

September 29, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,868 views 0

ศาสนาไม่ได้เจริญขึ้นเพราะเงิน

ศาสนาไม่ได้เจริญขึ้นเพราะเงิน

ทุกวันนี้ศาสนาไม่ได้ถูกใช้เป็นวิถีทางแห่งการดับทุกข์เหมือนอย่างในอดีต แต่กลับกลายเป็นช่องทางให้ใครหลายคนได้ใช้เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งด้วยชื่อเสียง เงินทอง บริวาร และสุขลวงๆ

ในยุคที่สังคมรีบเร่ง แก่งแย่งแข่งขัน ทำให้เราเหลือเวลาไม่มากพอที่จะใส่ใจแก่นแท้ของศาสนา นั่นทำให้เราเลือกที่จะไปทำบุญทำทานด้วยเงิน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คนไทยส่วนใหญ่ยึดถือและปฏิบัติ เรามีงานประเพณีมากมายที่ใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ว่างานบุญ งานกฐิน หรือแม้กระทั่งงานบวชก็ยังต้องมีเงินหมุนเวียนมากมาย

เราอาจจะเห็นวัดวาอารามใหญ่โต เจริญขึ้น มีความสะดวกสบายมากขึ้น นั่นเป็นผลมาจาก…เงิน หรือจะให้ชัดก็คือ ผลมาจากแนวคิดเชิงทุนนิยม วัตถุนิยม กิเลสนิยม

แต่หลักของพุทธนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างทางโลก พุทธไม่ได้สะสมวัตถุ ไม่ได้ต้องการวัดที่ใหญ่และความสะดวกสบายมากนัก เพราะศาสนาพุทธนั้นเป็นไปเพื่อการพราก ความมักน้อย ความไม่สะสม การขัดเกลากิเลส จนกระทั่งถึงการดับกิเลส

ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เงินทองเหมือนดังอสรพิษ” ความมีจนเกินพอดี จะทำให้คนมัวเมาในกิเลสกลายเป็นพิษเป็นภัย แม้แต่ผู้ที่ตั้งใจบวชก็ยังพ่ายแพ้ต่อพลังของเงิน ใช้เงินสร้างวัตถุที่เกินความจำเป็น เพื่อชื่อเสี่ยง เพื่อบารมี เพื่อสะสมบริวาร ทั้งหมดนี้มีรากมาจากความโลภทั้งสิ้น

ส่วนต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนั้นก็คือ คนที่หลงมัวเมาในการทำบุญทำทานอย่างไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า เงินที่ให้ไปนั้น จะไปเพิ่มกิเลสให้กับพระหรือไม่ ถ้าให้เงินนั้นไปแล้ว พระนำไปสร้างวัตถุเพื่อสนองกิเลสของตน ก็เป็นการเพิ่มกิเลสให้กับพระ เป็นทานที่ให้ไปแล้วผู้รับ “ไม่บริสุทธิ์” ย่อมไม่เกิดอานิสงส์ที่สมบูรณ์ และอาจจะกลายเป็นอกุศลไปได้ด้วย หากพระผู้นั้นใช้ทานเหล่านั้นเพื่อไปเสพสมใจในกิเลสของตนมากเกินไปจนทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในศาสนา

การร่วมบุญกับคนบาป นั้นจะไม่บาป ไม่มีอกุศล ไม่มีผลทางลบนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เราควรจะแยกคนพาล (คนผู้หลงมัวเมาในกิเลส) กับบัณฑิต(คนผู้มีสัจจะ เป็นไปเพื่อลด ล้างกิเลส) ออกให้ชัดเจน คนไหนเป็นคนพาลก็ให้ห่างไกลไว้ ไม่ร่วมกิจกรรมด้วย คนไหนเป็นบัณฑิต ก็ให้เข้าใกล้ ร่วมกิจกรรม ร่วมบุญกัน ก็จะเกิดกุศลและอานิสงส์มหาศาล

ทานที่ให้ควรประกอบด้วยความบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้ ผู้รับ และทานนั้นๆ ผู้ให้ควรบริสุทธิ์ด้วยกายวาจาใจ ไม่ได้ให้เพื่อหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ไม่ได้ให้ด้วยกิเลสตัณหา ผู้รับเองก็ควรบริสุทธิ์ด้วยศีล อันเป็นฐานะที่ควรทำให้เจริญขึ้นเรื่อยๆเพื่อยังประโยชน์แก่ผู้ให้ และทานนั้นก็ควรบริสุทธิ์ เป็นของที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อนใคร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง” ถ้าเราปล่อยให้พระได้ลำบากพอประมาณ ในขีดที่ไม่ทรมาน เปลี่ยนจากการทำบุญทำทานด้วยวัตถุ มาเป็นออกแรง เช่น ทำความสะอาดวัด ก็จะทำให้พระไม่ได้รับความสะดวกสบายจากปัจจัยที่มากเกินพอดีนัก นั่นคือช่วยให้พระได้ตั้งตนอยู่บนความลำบากบ้าง ท่านก็จะได้เจริญในธรรมยิ่งขึ้น และอานิสงส์เหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาถึงเราด้วย เช่น เมื่อท่านได้เรียนรู้ธรรมจากความลำบากบ้าง ท่านก็จะได้นำธรรมเหล่านั้นมาสอนเรา

และพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้อีกว่า “เมื่ออยู่ตามสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง” นั่นหมายถึง ถ้าเรายิ่งเลี้ยงพระด้วยอาหารอันมีมาก ด้วยทรัพย์อันเกินประมาณ ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่เกินพอดี ความเสื่อมจะยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กุศลธรรมจะเสื่อมลง อกุศลธรรมจะเจริญขึ้น สิ่งดีจะหายไป สิ่งชั่วจะเข้ามาแทนที่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราทำบุญทำทานกันอย่างหน้ามืดตามัว ทำทานกันอย่างเมาบุญ เห็นว่าที่ไหนพระดัง ก็พากันเอาเงินโถมเข้าไปทำลายวัดนั้นๆจนแตกกระเจิง ตบะแตกกันกระจาย ศีลแตกกันไม่มีเหลือ

พระส่วนมากก็คนธรรมดาเหมือนเรา จะไปมีพลังต้านทานกิเลสได้อย่างไร พอใส่เงินเข้าไปมากๆ ก็เริ่มจะโลภ เริ่มจะล่าบริวารมากขึ้น เริ่มตั้งลัทธิ ตั้งสำนัก เพื่อให้ตนเองนั้นได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ดังที่เคยเป็นข่าวให้เราเห็นกันอยู่เป็นประจำ

ดังนั้นการทำบุญทำทานอย่างไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าผู้รับนั้นเหมาะสมหรือไม่ ควรหรือไม่ โดยใช้ความเจริญทางจิตใจของศาสนาเป็นหลักในการพิจารณา ไม่ให้ความอยากในการทำบุญทำทานของเรานั้นไปเป็นส่วนหนึ่งในความเสื่อมของชาวพุทธ เพียงคิดได้แค่นี้ก็เกิดกุศลยิ่งใหญ่แล้ว เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา มิใช่ศาสนาที่พามัวเมาในบุญ ในสวรรค์ วิมาน เทวดา ฟ้าดิน แต่ท่านสอนให้เชื่อในเรื่องของกรรม

ชีวิตของคนเราจะดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าไปบริจาคเงินทำบุญแล้วมันจะดีเสมอไป เพราะ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าเราอยากจะให้เกิดสิ่งที่ดีในชีวิตเราต้องทำเอาเอง ไม่มีอะไรมาดลให้เกิดดีกับเราได้ นอกจากกรรมที่เราทำมา ยิ่งเราทำกรรมดีมากๆ แม้ไม่ได้ไปทำบุญหยอดตู้ใส่เงินให้กับวัด ชีวิตเราก็สามารถเกิดสิ่งที่ดีได้

และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเรายึด “กรรม” คือการกระทำของตนนั้นเป็นหลักในการปฏิบัติ ไม่ใช่ไปให้เงิน ให้วัตถุกับคนอื่นแล้วบอกให้เขาอวยพรให้มีความสุข ให้เราร่ำรวย ให้เราเจอแต่คนดี ให้เราไปสวรรค์ ให้เราไปนิพพาน อันนี้ไม่ถูกทางพุทธ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปลายทางนั้นมีแต่จะทุกข์ เป็นนรกอย่างเดียว

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ความฝันสีชมพู

September 28, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,922 views 0

ความฝันสีชมพู

ความฝันสีชมพู

ถ้าคนเราเลือกได้ ก็คงอยากจะมีความฝันดีๆทุกคืน และอยากให้ฝันเหล่านั้นกลายเป็นจริงเข้าสักวัน จึงได้เฝ้าฝันทั้งในยามหลับตาและยามลืมตา เฝ้ารอว่าวันใดวันหนึ่ง ฝันที่เคยหวังจะเป็นจริงดังที่เฝ้าฝันไว้

แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถฝันดีได้ทุกวัน บางวันเราก็ฝันร้าย หรืออาจจะไม่ได้ฝันอะไรเลย เหมือนกันกับชีวิตจริงที่อะไรก็ไม่เป็นไปดังฝัน แม้จะได้ดังใจหวัง ความสุขสมใจก็จะอยู่กับเราสักพักแล้วก็จะจางหายและจากไป

เหมือนกันกับความรัก เรามักเฝ้าฝันว่าเราจะได้พบกับคนที่ดี พบกันวันเวลาที่ดี พบกับรักที่ดี เราเชื่อเสมอว่าเราจะเจอสิ่งที่ดี เหมือนกับเรากำลังอยู่ในความฝัน แม้ว่าความจริงที่เกิดขึ้นรอบกายนั้นจะแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของความรักให้เห็นอย่างชัดเจน มีคู่รักหลายคนต้องเจ็บปวดทรมานความรักนั้นไม่สมหวัง มีคู่แต่งงานมากมายที่ต้องจบเรื่องราวความรักของพวกเขาไป เป็นความจริงที่ดูเหมือนจะโหดร้าย ทำไมมันต้องจบแบบนั้นทั้งที่ในตอนแรก ใครๆก็คิดว่าความรักของตนนั้นสวยงามที่สุด

คนที่คบหากัน เคียงข้างกัน แต่งงานกันด้วยความยินยอมต่อกัน ไม่มีใครสักคนที่จะคิดไปว่ารักของพวกเขานั้นจะพังทลายลงไปในวันใดวันหนึ่ง เรามักพูดกันแต่ในมุมของความเจริญ แต่กลับมองข้ามความเสื่อม ทำให้คู่รักหลายคนจมอยู่ในภาวะของความฝัน ความหวัง และอุดมคติจนกระทั่งวันหนึ่งความจริงได้พรากความฝันเหล่านั้นจากเขาหรือเธอไป

แต่นักฝันมักไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ ถึงเห็นก็ทำเป็นไม่เห็น และแม้จะเห็นก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ยังคงเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้เจอกับคนที่เหมาะสมกับตน คนที่มอบความรักให้กับตนคนที่จะเข้ามาเติมเต็มกิเลสให้กับตนได้เขาจึงเฝ้าฝันอย่างไม่สนใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เหมือนกับคนที่เดินเล่นอย่างเพลิดเพลินใจอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยสงคราม

ยังมีนักฝันจำนวนมากที่เคยข้ามผ่านความเจ็บช้ำจากความรัก การพบรัก การจากลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาและเธอเหล่านั้นก็ยังมีความฝัน ที่จะได้เจอกับรักแท้เข้าสักวัน โดยลืมไปว่ารักที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นก็เริ่มด้วยความรู้สึกที่คิดว่ารักเหล่านั้นเป็นรักแท้ทั้งสิ้น ลืมไปว่าเคยมั่นใจกับสิ่งเหล่านั้น เคยมั่นใจว่ารักนั้นดีจึงได้คบหาผูกพัน จนกระทั่งทุกอย่างจบลง นักฝันกลับกลบเรื่องในอดีตไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้แผลในอดีตไปทำลายฝันใหม่ที่ตนเองกำลังสร้างขึ้น

ซึ่งเขาเหล่านั้นก็มักจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่รู้ว่าสาเหตุของความผิดพลาดนั้นมาจากอะไร ได้แต่เฝ้าฝันว่าใครสักคนที่แสนดี ที่เพียบพร้อมอย่างใจต้องการ และพร้อมจะเข้าใจความคิดของเราจะมาเข้ามาในชีวิต

เหมือนกับคนที่ปิดตาตัวเองเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาใครสักคน พอไปเดินไปเจอกับต้นไม้ก็เผลอไปกอดเพราะคิดว่าเป็นคน แล้วก็เปิดตามาดูจึงพบว่าไม่ใช่ เก็บความผิดหวังนั้นไว้ ว่าแล้วก็ปิดตาเดินหาใครสักคนต่อไป ในป่ากว้างใหญ่…ซึ่งไม่มีคน

วิธีการที่จะเจอใครสักคนที่ดี ไม่ใช่การเฝ้าฝัน หลับหูหลับตาหาไปอย่างงมงาย แต่เป็นการเปิดตา เปิดโลกให้กว้างขึ้นว่าการที่เราจะได้สิ่งใดมาสักอย่างนั้น ต้องเกิดจากการที่เราทำอะไรสักอย่างที่เหมาะสมเช่นกัน ถ้าเราทำดีเข้ามากๆ ทำดีอย่างไม่หวังผล กุศลจะผลักดันให้เราเปลี่ยนจุดที่ยืนอยู่ จากป่าที่ไม่มีคน ก็อาจจะพบเจอใครได้บ้าง บางคนเข้าวัดทำบุญทำทาน แต่ไหว้พระทีไรก็เอาแต่ร้องขอในสิ่งที่ตนอยากได้เป็นการแลกเปลี่ยนทุกที ถ้าทำแบบนี้การจะได้เจอใครที่ดีก็คงจะเป็นไปได้ยาก

เช่นเดียวกับการทำชั่ว ถ้าเราทำชั่วมากๆ อกุศลก็อาจจะผลักดันให้เราเปลี่ยนจุดที่ยืนอยู่ จากป่าที่ไม่มีคน ก็อาจจะพบใครได้บ้างบางคนเข้าผับเข้าบาร์ หวังว่าจะเจอใครสักคน อันนี้ก็พอจะเป็นไปได้ เพราะถ้าเราขยันทำชั่ว ขยันเข้าไปในที่อโคจร เราก็อาจจะได้พบกับคนที่เหมาะสมกับความชั่วกับเราในวันใดวันหนึ่งก็ได้

การพบใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ควรสนใจคือใครคนนั้นจะเข้ามาทำให้เกิดสิ่งใดในชีวิตเรา การมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง สิ่งที่เราได้จากความรักที่เคยผ่านมานั้นเป็นอย่างไร แล้วรักใหม่นั้นจะดีจริงหรือ เขาจะบำรุงบำเรอกิเลสให้เราได้ตลอดไปจริงหรือ หรือเขาแค่จะมาหาผลประโยชน์จากเราแล้วจากไป

เราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความฝันและความจริงในเรื่องความรักกันอีกหลายภพหลายชาติ บางคนเจอความผิดหวังไปกี่ครั้งก็ยังไม่เข็ด ยังเฝ้าฝันปิดหูปิดตาตามหาความรักต่อไป บางคนแค่ได้ยินเรื่องของคนอื่นก็ถึงกับขยาดกับความรัก บางคนได้พบเจอเรียนรู้และผิดหวังในความรักก็สามารถที่จะเข้าใจคุณค่าและสาระของความรักได้

คนผู้มีปัญญาจะเข้าใจแก่นแท้ของความรักได้ เขาก็จะไม่วิ่งหา ไม่แสวงหา ไม่ยึดไว้เป็นของตน ไม่เหนี่ยวรั้ง ในขณะที่นักฝัน ก็ยังคงวิ่งตามหาความรัก แสวงหาใครสักคนที่จะพอให้ตนได้เสพสมใจ พอได้มาก็ยึดเขาไว้เป็นสมบัติของตน พอเขาจะจากไปก็พยายามจะเหนี่ยวรั้งไว้ และสุดท้ายจึงต้องพบเจอกับการจากพราก เกิดเป็นทุกข์ เป็นความเศร้าโศก คร่ำครวญรำพัน เสียใจ คับแค้นใจ วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป อย่างไม่มีวันจบสิ้น

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

September 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,137 views 1

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

การดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะในทางโลก หรือทางธรรมนั้น สิ่งที่จำเป็นประการหนึ่งก็คือผู้ชี้นำที่ดี…

เพราะคนนั้นเรามีขอบเขตการเรียนรู้ที่จำกัด มีสติที่จำกัด มีปัญญาที่จำกัดการที่เราจะสามารถขยายข้อจำกัดเหล่านั้นได้คือการพัฒนาตัวเอง แต่เราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไรในเมื่อเราไม่รู้วิธีที่จะเพิ่มหรือขยายสติปัญญาเหล่านั้น ดังนั้นการที่เรามีผู้ชี้นำ หรือครูบาอาจารย์ที่ดีนั้น จะสามารถนำพาเราไปสู่ความเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

1.คบหาผู้รู้

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเกี่ยวกับเหตุแห่งการหลุดพ้นไว้ในอวิชชาสูตร ว่าการที่เราหลงงมงายไปในสิ่งไร้สาระ หลงไปในกิเลสนั้นเกิดจากอวิชชา เป็นความโง่ เป็นความไม่รู้ ซึ่งเหตุแรกสุดของอวิชชานั่นก็คือการไม่คบหาสัตบุรุษ

สัตบุรุษ คือ คนผู้รู้สัจจะ รู้ความจริง รู้วิธีพ้นทุกข์ ท่านเหล่านั้นได้ร่ำเรียนมาจากพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ สะสมบารมีมาหลายภพหลายชาติ จนเกิดความรู้แจ้งในตนเอง เมื่อมีสัจจะ ก็สามารถสอนสัจธรรมได้ เป็นธรรมที่พาไปสู่การพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เพื่อความไม่สะสม เพื่อความมักน้อย เพื่อความสงบจากกิเลส เพื่อการละกิเลส ฯลฯ

ดังนั้นเมื่อเราไม่ได้คบหาสัตบุรุษ ก็ไม่มีทางที่จะทำลายอวิชชาได้ หรือเรียกได้ว่าไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้เลย

2.ลักษณะของผู้รู้

ผู้ที่เป็นสัตบุรุษนั้น จะสามารถแสดงธรรมอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ ไม่ประหม่า ไม่เขินอาย ไม่ลังเล ไม่สับสน เพราะรู้แน่ชัดว่าธรรมที่ตนมีนั้นเป็นของจริง พาพ้นทุกข์ได้จริง สามารถสอบถาม พร้อมทั้งให้ตรวจสอบกันได้ และยังเชื้อเชิญให้มาลองพิสูจน์ธรรมะนั้น เพราะรู้ว่าผู้ใดที่ศรัทธาและปฏิบัติจะเห็นและเข้าใจได้ ไม่ใช่สิ่งเร้นลับ ไม่ใช่เวทมนต์ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตลอดกาลไม่ว่ายุคใดสมัยใด และเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เกิดธรรมเหล่านั้นขึ้นในวิญญาณของตน

สามารถเล่า ชี้แจ้ง สภาวะ การปฏิบัติ ขั้นตอนต่างๆได้อย่างมีศิลปะ คือมีทั้งสาระและสุนทรียะ ปรับเปลี่ยนร้อยเรียงธรรมให้เข้าใจได้ง่ายอย่างวิจิตรพิสดารให้เหมาะกับผู้ฟังได้ โดยแสดงธรรมไปตามลำดับ หยาบ กลาง ละเอียด โดยมีเหตุผล มีที่อ้างอิง และมีความเอ็นดูเข้าใจต่อผู้อื่น ไม่พูดให้เกิดการกระทบ กดดัน บีบคั้น ทำร้ายทำลายใจ ไม่กักขังหรือผลักไส ไม่ได้สอนเพื่อให้คนมาศรัทธา ไม่สอนเพื่อแลกมาซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ บริวาร บารมีต่างๆ แต่สอนเพื่อให้คนลดกิเลส ให้คนพ้นทุกข์

ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น ไม่ได้อยากสอนและไม่ได้ไม่อยากสอน เพียงแต่มีเมตตาให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้ยังมีทุกข์อยู่ จึงใช้ความรู้ที่มีสร้างประโยชน์ให้กับตนคือสร้างกุศลและประโยชน์ของผู้อื่น คือช่วยชี้นำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

สัตบุรุษนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรรษาที่มาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศนักบวช ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่อง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพียงแค่มีโลกุตระธรรม คือธรรมที่พาสวนกระแส พาล้างกิเลส เป็นธรรมที่ไม่พาไปตามโลก ขัดกับโลก ขัดใจ แต่ไม่ขัดกับสัจจะ

3.คุณสมบัติของผู้รู้

คุณสมบัติหรือธรรมที่สัตบุรุษพึงมี (สัปปุริสธรรม ๗) ก็คือ ความเป็นผู้รู้ธรรม รู้ทั้งโลกียะธรรมและโลกุตระธรรม ,เป็นผู้รู้สาระประโยชน์ว่าทำสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล ,เป็นผู้รู้ตน คือรู้ว่าตนเองมีศักยภาพเท่าไหร่ แค่ไหน อย่างไร, เป็นผู้รู้ประมาณ สามารถประมาณ คาดคะเน สิ่งต่างๆให้พอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ,ผู้รู้เวลาอันควร รู้ว่าเวลาใดควรทำอะไร เท่าไหร่ อย่างไร, เป็นผู้รู้หมู่คน รู้ว่าคนหมู่นี้ต้องพูดอย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร ,เป็นผู้รู้บุคคล รู้ว่าบุคคลนั้นควรจะสอนอย่างไร ควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความเจริญ

4.การตามหาผู้รู้

การตามหาผู้รู้หรือสัตบุรุษนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาเจอ ไม่ว่าจะเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดิน ทั่วฟ้า ใต้มหาสมุทรก็ไม่มีทางเจอ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “กรรม

เรามักจะคิดกันไปว่าต้องหาอาจารย์ถูกจริต หาอาจารย์ที่ใช่ เราจะเลือกอาจารย์เอง หรืออาจารย์จะเลือกศิษย์เอง ความเข้าใจเหล่านี้ไม่เที่ยงทั้งนั้น เพราะบางทีก็เลือกได้ บางทีก็เลือกไม่ได้ บางทีที่เลือกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ที่ไม่เลือกกลับกลายเป็นดี ไม่มีอะไรแน่นอน จะยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นอกจากจะเชื่อใน “กรรม

กรรมจะเป็นผู้ที่เลือกให้เราได้พบกับใคร ได้พบกับอาจารย์ท่านไหน และอาจารย์ท่านไหนจะได้พบกับเรา เพราะการที่เราจะได้พบกับครูบาอาจารย์ท่านนั้น เป็นเพราะเราบำเพ็ญเพียร เรียนรู้ ศึกษาและปฏิบัติร่วมกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเราจะไปเจอครูบาอาจารย์ที่ใครเขาแนะนำว่าดีว่าเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลกันมา ก็มักไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ถึงจะพยายามก็จะอยู่กันได้ไม่นาน หรือที่เรียกว่าไม่ตรงจริตนั่นเอง

ผู้ที่ไม่มีกรรมดีมาหนุนนำ แม้จะพบสัตบุรุษอยู่ตรงหน้า ได้พูดคุยสนทนากันนานหลายชั่วโมง ก็อาจจะไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ ไม่ถูกใจก็ได้ เพราะวิบากบาปหรือบาปกรรมที่เขาเหล่านั้นได้กระทำไว้ ได้บังไม่ให้เขาได้เข้าถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่มีประโยชน์คอยขัดขวางไม่ให้เขาเจอกับผู้รู้ธรรม ให้เขาได้ทนทุกข์นานเท่าที่กรรมจะยังมีผล

5.การจะได้พบผู้รู้

การได้เกิดมาพบพระพุทธเจ้านั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก หากไม่เคยทำกุศลมามากพอ ก็จะไม่มีวันได้พบกับสัตบุรุษใดๆเลย ถึงแม้จะพบ ก็เหมือนไม่ได้พบ แม้จะใกล้ชิดก็เหมือนไม่ได้ใกล้ชิด

การที่เราจะได้พบผู้รู้นั้น จำเป็นต้องสร้างกุศลกรรม หรือการสะสมบุญบารมีที่มากพอเราจึงต้องทำดีไปเรื่อย ช่วยเหลือคนไปตามที่ทำได้ แบ่งปัน เสียสละ ทำทาน ถือศีล อดทนฝืนข่มสู้กับกิเลสเท่าที่จะทำได้ ในวันใดวันหนึ่งเมื่อเราทำกุศลไปเรื่อยๆ เมื่อสะสมบุญบารมีที่มากพอ กรรมจะจัดสรรให้เราได้เข้าถึงกุศลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

เช่น เมื่อเราทำบุญทำทานไปเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งก็บังเอิญไปทำทานให้กับพระอริยะ ซึ่งก็เป็นทานที่ทำให้เกิดอานิสงส์มากกว่าทำทานกับ สัตว์ คน หรือพระทั่วไป เมื่อได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้น ก็จะผลักดันให้เราได้เจอกับผู้รู้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เมื่อเราสะสมกรรมดีมากๆ กรรมดีก็จะผลักดันเราให้ทำกรรมดีที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากจากหยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสจากความเศร้ามองซึ่งมีที่มาจากกิเลส

ใครที่ยังรู้สึกว่าตามหาผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ ที่ตอบได้ทุกคำถามที่สงสัยไม่เจอ เป็นเพราะเรายังทำดีไม่มากพอ เหมือนเรายืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 5 แล้วการจะได้พบผู้รู้นั้นต้องขึ้นบันไดไปขั้นที่ 100 การขึ้นบันไดต้องอาศัยพลังกุศลเป็นตัวผลักดัน เมื่อเราทำกุศลมากๆ วันหนึ่งเราก็จะได้พบเจอเอง

ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่บันไดขั้นที่ 5 แล้วมีผู้ไม่รู้ ผู้หลงผิดเข้าใจว่าตนเป็นครูบาอาจารย์ อยู่ในบันไดขั้นที่ 3 เมื่อเราเผลอทำอกุศลหรือสิ่งชั่ว ทำสิ่งไม่ดีมากๆ อกุศลก็อาจจะพลักดันให้เราไปเจอกับอาจารย์ที่เป็นผู้มัวเมา หลอกลวง หรือพระอลัชชี พระนอกรีต ก็เป็นได้

การจะตามหาผู้รู้นั้น เพียงแค่ทำกุศลให้ถึงรอบ เมื่อถึงเวลาที่ควรเมื่อไหร่ก็จะได้พบเอง การตั้งจิตโดยไม่ได้ทำกุศลนั้น ก็เหมือนเรายืนอยู่ที่บันไดขั้นที่ 5 แต่เฝ้าฝันว่าจะไปถึงบันไดขั้นที่ 100 โดยที่ไม่ก้าวขาออกไป ดังนั้นในชีวิตนี้คงจะไม่มีวันเจอ

เมื่อไม่เจอก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เกิดมาตายไปเปล่าๆ หนึ่งชาติ แล้วก็ต้องเกิดมาหลงทางใหม่อีกหนึ่งชาติและเกิดต่อไปอีกหลายชาติ ถ้าจังหวะพอเหมาะวิบากบาปส่งผลก็อาจจะได้ไปเกิดในช่วงกลียุคที่ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐๐ ยามที่พุทธศาสนาสูญสิ้น มีแต่คนบาปเต็มโลก ไม่สามารถทำกุศลได้ มีแต่อกุศล ก็เป็นโอกาสที่คนชั่วจะได้สะสมบาป สะสมอกุศลเพื่อเก็บไว้ทรมานในนรกกันต่อไป

6. แล้วเป็นผู้รู้จริงรึเปล่า

เมื่อเราไปคบคุ้นคบหากับผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์ อ้างว่าตนนั้นเป็นผู้รู้ อ้างว่ารู้ธรรมของพระพุทธเจ้า อ้างว่าเป็นอรหันต์ อ้างว่าเป็นผู้ไม่กลับมาเกิดอีก

พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้เชื่ออะไรง่ายๆ ท่านได้ตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าได้เชื่อถือตามที่ได้ยินมา ตามที่เขาเล่ามา ตามที่เป็นข่าวลือ ตามตำเรา ตามที่เดาเอาเอง คาดคะเนเอาเอง นึกคิดเอาเอง อย่าเชื่อเพราะท่านเหล่านั้นคิดตรงกับเรา หรือเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ หรือแม้กระทั่งคนผู้นั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเราก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ท่านให้พิจารณาเอาว่าสิ่งนั้นหรือธรรมที่กล่าวอ้างนั้นปฏิบัติแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ปฏิบัติให้เข้าถึงที่สุดแห่งกุศลนั้น แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ถอยห่างออกมา

ในสมัยพุทธกาลก็มีพระที่หลงผิดอยู่มาก หลงเข้าใจว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ก็มี ทำให้อัครสาวกต้องคอยตามแก้มิจฉาทิฏฐิกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าในสมัยนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ความเสื่อมของพุทธนั้นได้มาถึงครึ่งทางแล้ว ความหลงผิด ความมัวเมาย่อมจะรุนแรงและขยายตัวมากกว่าในสมัยพุทธกาลอย่างแน่นอน

ถ้าอยากรู้ก็ลองปฏิบัติตามท่านที่เราศรัทธาดู ถ้าทำเต็มที่แล้ว ถามท่านก็แล้ว ยังคงสงสัย ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้วก็ยังรู้สึกว่า กิเลสไม่ลด ชีวิตยังเหมือนเดิม ปีที่แล้วชอบกินน้ำอัดลม ปีนี้ก็ยังชอบกินน้ำอัดลมเหมือนเดิม ก็ให้ลองถามท่านดูว่าจะกำจัดความอยากนี้ได้อย่างไร ถ้าเราคอยปรึกษาและทำตามท่านอย่างเต็มที่แล้ว ปฏิบัติไม่มาไม่ไป ไม่เจริญ ก็มีสองอย่าง 1.เรามีวิบากบาปที่จะกั้นไม่ให้เราบรรลุธรรม ให้ทำดีให้มากๆ 2. ท่านไม่ได้รู้จริง … ให้ลองแก้ที่ข้อ 1 ให้เต็มที่ก่อน คือปฏิบัติตามท่านแล้วทำดีให้มากๆ ก็จะรู้เองว่าสุดท้ายคำคอบคืออะไร

7.ไม่ต้องพบสัตบุรุษแล้วบรรลุธรรมได้ไหม?

เราทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอีกสักกี่ครั้งก็จะมีบาปบุญ ภูมิเก่า และกรรมสะสมมาด้วยเสมอ ถ้าหากท่านบำเพ็ญเพียรจนเป็นพระอรหันต์มีหลายภพหลายชาติแล้ว เก็บสะสมปัญญาบารมี สะสมโลกะวิทู คือการรู้โลกนี้(โลกียะ)และโลกหน้า(โลกุตระ)อย่างแจ่มแจ้ง มากพอที่จะทำให้จิตตั้งมั่นว่าจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพบสัตบุรุษในชาตินั้นๆ ดังจะสังเกตได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสอนธรรมะแท้ของพุทธให้กับท่านเลยในชาตินั้น นั่นเกิดมาจากการที่ท่านสะสมบุญบารมีมานานนับ 4 อสงไขย กับแสนมหากัป

ในสมัยนี้ก็มีมาก ที่มีผู้มัวเมา ตีขลุม ตีกิน ทึกทักเอาเอง อวดอ้างเอาเอง ว่าตนนั้นบรรลุธรรมมีบุญบารมีมาก ก็ขอให้ท่านใช้ปัญญาพิจารณากันเอาเองว่าท่านเหล่านั้นมีลักษณะและคุณสมบัติของสัตบุรุษหรือไม่

– – – – – – – – – – – – – – –

25.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ศรัทธาของคนใกล้ตัว

September 24, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,628 views 0

ศรัทธาของคนใกล้ตัว

ศรัทธาของคนใกล้ตัว

เราคงจะเคยสงสัยกันว่า ทำไมความรัก ความเคารพ ความเอื้ออาทรต่อกัน น้ำใจ สิ่งดีต่างๆ กลับมีให้กันน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป

ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อเริ่มแรกก็มักจะดึงดูดเข้ามาด้วยความชอบ ความรัก เราเข้าหาสิ่งของ สัตว์ และผู้คนด้วยความชอบ ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย พ่อแม่ พี่น้อง ต่างมีจุดเริ่มต้นกันด้วยความชอบหรือไม่ชอบทั้งนั้น

ความไม่ชอบนั้นทำให้เราผลักตัวเองออกจากสิ่งนั้นได้ง่าย ทำให้มันห่างหาย สลาย หรือตายจากออกจากชีวิตเราได้ง่าย นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะถ้าเราไม่ชอบ แล้วสิ่งนั้นไม่เกี่ยวกับเรามันก็จะหายไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าแม้เราจะไม่ชอบ แต่จะถูกความดี คุณค่าของสิ่งนั้น หรือกรรม ทำให้กลับกลายมาเป็นชอบ จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ดังนั้นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่จะดำเนินต่อไปก็มักจะเป็นความชอบ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ กลับเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทิศทางที่เป็นบวกและเป็นลบ เราจะมากล่าวถึงในทางลบกันก่อน

ศรัทธาที่ลดน้อยลง….

เด็กน้อย… เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก พ่อแม่ก็ให้ความรัก อุ้มชู เอาใจทุกอย่าง แต่พอโตมากลับเริ่มปล่อย เริ่มรู้สึกว่าไม่ศรัทธาลูกตัวเองเหมือนก่อน จากที่เคยเป็นเทวดาตัวน้อย กลับกลายเป็นภาระของชีวิต สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ นั่นเพราะอะไร? เพราะแรกรักนั้นมักเต็มไปด้วยความเสน่หา รักเพราะหลง แต่พอได้เจอกับนิสัยจริงของเขา ได้รับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ก็เริ่มจะหมดศรัทธาในตัวเขา นำมาซึ่งความไม่เชื่อใจกันในครอบครัว ตอนเขายังเป็นเด็กเรายังฟังเขา แต่พอเขาโตมาเราเริ่มไม่ฟังเขา นอกจากจะไม่ฟังเขาแล้วเรายังจะไปยัดเยียดความเป็นเราให้เขาอีก จนเกิดสภาพพูดกันยากในครอบครัว ดังจะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่มักจะไม่ปรึกษาปัญหาชีวิตกับพ่อแม่ แต่ไปปรึกษากับเพื่อนแทน เพราะอะไร เพราะเราศรัทธาเพื่อนมากกว่า ที่พ่อแม่ได้แสดงออกถึงความศรัทธาในกันและกันเหมือนเมื่อก่อน

คนในครอบครัว… เป็นภาพที่สะท้อนความเสื่อมศรัทธาภายในครอบครัวในปัจจุบันได้อย่างดี บางครั้งเราอาจจะนึกสงสัยว่าทำไม เพื่อน คนข้างนอก คนอื่นๆ กลับรู้จัก รู้ถึงคุณค่าของตัวเราได้มากกว่าครอบครัว บางครั้งเราไปสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ มีคนหลายคนรับรู้ แต่ครอบครัวกลับไม่รู้ บางทีก็ไม่ได้สนใจ นั่นก็เพราะความเคยชิน เราอยู่กันมา 20 ปี 40 ปี 60 ปี เราจึงเคยชินกับสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้จัก ทุกคนคิดว่าตนเองรู้จักคนอื่นในครอบครัวดี ทั้งๆที่ในความจริงแล้วแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา กิเลสของแต่ละคนทำให้เรามีเวลาร่วมกันน้อย คุยกันน้อย เข้าใจกันน้อย แต่ปัญหาคือเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเรารู้จัก เพียงแค่เพราะเราเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ความคิดนี้เป็นความประมาท เพราะไม่มีสิ่งใดเที่ยง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ความประมาทในความสัมพันธ์จึงนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาต่อกันและกัน ส่วนครอบครัวที่ศรัทธากันและกันนั้นคงมี แต่คงจะมีอยู่ไม่มาก

เพื่อนสนิท… เมื่อแรกพบกัน เป็นเพื่อนกันด้วยกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน ชอบในความสนุกเฮฮา มีน้ำใจ มีศรัทธาให้แก่กันเต็มเปี่ยม เชื่อใจกัน สามัคคีกัน แต่พออยู่ๆกันไป ทำกิจกรรมกันไป เริ่มจะมีปัญหา ต่างคนก็ต่างมีอัตตา เริ่มจะชิงดีชิงเด่น เอาตัวเองเป็นใหญ่ เริ่มจะไม่ยอมกัน ศรัทธาที่มีต่อกันก็เริ่มจะลด บางครั้งกลายเป็นแตกความสัมพันธ์ ทะเลาะกันจนถึงขั้นพยาบาทก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

คนรัก… เมื่อแรกรักกันก็หวานชื่น ชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้ ยอมให้กัน ตามใจกัน เอาใจกันทุกอย่าง พอได้เสพสมใจกัน ได้คบหากันสักพัก หรือแต่งงานกัน ก็จะเริ่มพบกับความเสื่อมของความรัก เห็นความรักนั้นค่อยๆคลาย และค่อยๆพรากจากไป ศรัทธาที่เคยเกิดขึ้นเพราะหมอกแห่งความรักก็จะค่อยๆเริ่มจางหายไป เมื่อได้พบกับชีวิตจริง เมื่อคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ด้วยกัน มันไม่ง่ายเลยที่จะสามารถสนองกิเลสให้กันได้ตลอด เมื่อสนองไม่ได้ก็เริ่มจะหมดศรัทธาต่อกันและกัน นำมาซึ่งความเบื่อหน่ายในความรัก อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง หรือหย่าร้างกันไป

คนที่เคารพ….หัวหน้าที่เคารพ ผู้นำที่เคารพ แรกๆมาเจอกันก็ยังรู้สึกศรัทธา รู้สึกว่าเก่ง แต่พออยู่กันไป ทำงานร่วมกันไปสักพัก กลับพบว่ามีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากมาย เดี๋ยวคนนั้นก็จะเอาอย่างนี้ เดี๋ยวคนนี้ก็จะเอาอย่างนั้น จากเจ้านายที่เคยเคารพศรัทธา กลายเป็นคนที่น่าเอือมระอาได้ในที่สุด

….การที่ศรัทธานั้นลดลง เป็นเพราะเขาเหล่านั้นมีกิเลส เมื่อคบหากันแรกๆคนเราก็จะไม่เอากิเลสของตัวเองออกมาเปิดเผย แอบซ่อนไว้ ทำให้ดูดี ทำให้น่าเคารพ แต่พอคบกันนานวันไป มันก็กดข่มยาก มันก็ปิดไม่มิด มันก็เอาความอยากได้เอาแต่ใจ เอาอารมณ์ไปใส่กับคนอื่น

เช่นเดียวกันกับตัวเรา การที่เราศรัทธาคนอื่นลดลง หรือคนอื่นศรัทธาเราลดลง เพราะเรามีกิเลส บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าทำไมเราต้องรู้สึกไม่ดีกับคนนั้นคนนี้ ทั้งๆที่ตอนแรกก็รู้สึกหลงรักชอบพอใจกับเขา นั่นก็เพราะเราติดดี ยึดดี หวังให้เขาดีดังใจเราทุกอย่าง เราเจอเขาครั้งแรก เราก็เห็นว่าเขาดี เราก็เลยอยากให้เขาดีอย่างใจเราหมายตลอด โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าความดีที่เห็นนั้นก็ไม่เที่ยงพอเขาคบกันไปก็เริ่มเห็นความไม่ดี เราก็ผิดหวัง เราทุกข์ บางทีคนเรายังไปคาดหวังให้คนอื่นดีขึ้นอีกด้วย การคงสภาพความดีว่ายากแล้ว การทำตัวให้ดีขึ้นนั้นยากยิ่งกว่า โอกาสในการผิดหวังก็จะยากขึ้นไปด้วย

และการที่คนอื่นศรัทธาตัวเราลดลงนั้น ก็เพราะเรามีกิเลสที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ทันระวังตัว เพราะเมื่อคนเราสนิทกันมากๆ ก็จะได้รับโอกาสในการเห็นธาตุแท้ของกันและกัน ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ง่ายนัก ถ้าเพื่อนผู้คบหาคนนั้นไม่ได้บอกข้อเสียนั้นแก่เรา บางครั้งอาจจะบอกหรือเตือนกันสายเกินไป อาจจะทำให้ใครบางคนหายไปจากชีวิตเรา หรือเกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะความเอาแต่ใจของเรา

กัลยาณมิตร…

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า การที่เราจะพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ผาสุกอย่างยั่งยืนได้นั้น เราต้องมีมิตรดี คือกัลยาณมิตร คือ เป็นผู้ที่เราไว้ใจ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษา สามารถเห็นข้อผิดพลาดในตัวเรา วิเคราะห์แยกแยะ ช่วยแก้ปัญหา ชี้แจงได้ สามารถเตือนเราได้และ เราสามารถยอมรับคำเตือนของมิตรคนนี้ได้โดยไม่โกรธเคือง และยังต้องพากันไปทางเจริญ

ตัวเราก็เช่นกัน นอกจากเขาจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อเราแล้ว เราเองก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อเขา ความสัมพันธ์ขาเดียวไม่มีทางไปได้ไกล หากใครคนใดคนหนึ่งหวังแต่จะพึ่งพาคนอื่น อีกคนก็คงต้องเหนื่อยและจากไปในวันใดวันหนึ่ง แต่ถ้าหากเราเกื้อกูลกัน เป็นมิตรดีของกันและกัน รักกัน เคารพกัน ให้อภัยกัน พากันสู่ความเจริญ แน่นอนว่าปัญหาในชีวิตนั้นจะแก้ง่ายขึ้นอีกมาก

ศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้น….

ศรัทธาที่จะเพิ่มมากขึ้นได้อย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้มาจากความหลง หรือความลำเอียงใดๆ เพราะความรู้สึก รัก ชัง หลง กลัว นั้นไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แปรเปลี่ยนผกผันได้ตลอดเวลา

การที่ศรัทธาจะเพิ่มได้นั้น เกิดจากการที่เราลดกิเลส เมื่อเราลดกิเลสด้วยการปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม ขัดเกลาจิตใจตัวเองให้ดี ไม่ให้กิเลสนั้นได้กระจายออกมาทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เมื่อเราทำกิจกรรมการงานในชีวิตโดยสังวรระวังไม่ให้กิเลสของตัวเองไปกระทบใคร ก็จะทำให้บาป ความชั่ว รวมทั้งวิบากกรรมก็จะลดน้อยลง เพราะเราไม่ได้ทำชั่วแล้ว ในทางเดียวกัน การทำดีในแต่ละกิจกรรมก็จะยิ่งส่งผลดีมากขึ้นเพราะไม่มีกิเลสมาคอยขัดขวาง นั่นหมายถึงเราสามารถเข้าถึงสิ่งที่ดี เข้าถึงบุญกุศลที่มากกว่าได้ หากเราลดกิเลส

คนรอบข้างที่เคยเสื่อมศรัทธาจากเราก็จะรู้สึกได้ถึงการพัฒนาของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปประกาศบอกใครว่าเราเป็นคนดี เป็นคนเก่งเพียงแค่เราลดกิเลสไปเรื่อยๆ ทำความดีไปเรื่อยๆ ความดีนั้นจะนำมาซึ่งศรัทธา เป็นศรัทธาที่แท้ และไม่เสื่อม เพราะเป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา เห็นถึงคุณค่าที่มีในตัวเรา ไม่ใช่ศรัทธาด้วยความรัก ความชัง ความหลง ความกลัว ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะต้านทานความเสื่อมได้ คือการทำให้เกิดผลเจริญขึ้นในตัวเรา เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นความไม่เที่ยงที่เป็นไปในทางบวก ทางเจริญ ทางแห่งบุญ

– – – – – – – – – – – – – – –

23.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์