ข้อคิด

คู่กรรม (สอบถาม)

August 12, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,357 views 2

ผมเคยพิมพ์เรื่องกรรมกับเรื่องคู่ไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความที่เราทนความอยากที่จะมีคู่ไม่ได้นั้นเป็นเพราะผลกรรมเก่าทุกคน เพราะจริงๆ มันมีกรรมใหม่ร่วมด้วย

ถ้ายังไม่เคยได้รับรู้ธรรมะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการมีคู่นั้นเป็นเหมือนบ่วง ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นทางที่ตรงกับข้ามกับการเป็นบัณฑิต(ผู้รู้ธรรม) แล้วไปมีคู่นั้น ก็เรียกว่าโดนโลกมอมเมา เป็นเพราะแรงกรรมส่วนหนึ่ง แรงกิเลสในขณะนั้นส่วนหนึ่ง หรือจะเรียกว่าผลของกรรมมันบังปัญญาที่เคยมี ให้ปัญญานั้นต่ำกว่ากิเลสก็เลยไปมีคู่

แต่คนที่มาศึกษาธรรมะแล้ว ได้มารู้โทษของการมีคู่แล้ว ได้รู้แล้วว่าทางหลุดพ้นจริงๆ สุดท้ายทุกคนก็จะเป็นโสด ฯลฯ คือรู้แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วดันไปเลือกมีคู่ อันนี้จะโมเมอ้างกรรมเก่าไม่ได้แล้วครับ เพราะคุณมีโอกาสตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเอาธรรมะหรือเอากิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำกรรมของแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสเท่านั้นแหละ

ถ้าคนมีของเก่ามามาก แล้วได้รู้ธรรมจะหลุดได้ง่ายครับ แต่ถ้าไม่มีนี่อาจจะจมยาวเลย มีคู่ มีลูก มีหลานอะไรกันไปตามเรื่องตามราว

ประเด็นนี้มีใครสนใจจะเสริม หรือสอบถามอะไรเพิ่มเติมไหมครับ? คิดว่าวันหนึ่งจะเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นมาใหม่ครับ

แม่หวังให้เจ้า…

August 12, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,485 views 0

แม่หวังให้เจ้า…

เมื่อแม่ให้กำเนิดลูกขึ้นมาแล้ว แม่หวังอะไรในตัวลูก? ถ้าเป็นยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ก็คงจะหวังให้ลูกมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เจริญก้าวหน้ากันไปตามสมมุติโลก แต่ในบทความนี้เราจะยกความหวังของแม่ในสมัยพุทธกาลมาเล่ากัน

หญิงชาวพุทธผู้มีศรัทธาตั้งมั่น เธอวอนขอให้ลูกซึ่งเป็นที่รักของเธอ ว่าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะออกบวชก็ดี ก็จงทำตนให้เป็นพระอรหันต์ เพราะหากแม้ว่าลูกจะเป็นพระเสขะ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ถึงกระนั้นลูกก็ยังจะต้องเผชิญอันตรายจากลาภสักการะและชื่อเสียง ที่ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย ซึ่งเป็นภัยต่อการบรรลุความผาสุกที่แท้จริง(สรุปความจาก ปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๕๗๐)

จะเห็นได้ว่า แม่สมัยพุทธกาลนั้นหวังให้ลูกเป็นพระอรหันต์อย่างเดียวเลย แต่ไม่ได้หวังให้ลูกเป็นอรหันต์เพื่อให้ลูกได้รับการเคารพ ได้รับชื่อเสียง ได้รับความสบาย ได้โลกีย์ทรัพย์อะไรทำนองนั้นเลย เพียงแต่หวังให้ลูกนั้นพ้นภัยอันตรายจากลาภสักการะและชื่อเสียง คือให้ลูกอยู่เป็นสุข ซึ่งการจะเข้าถึงความสุขที่สุดในโลกก็คือให้ลูกนั้นเพียรพยายามศึกษาจนเป็นพระอรหันต์นั่นเอง

ส่วนแม่ในสมัยปัจจุบันก็เป็นไปตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน ศรัทธามากก็จะชัดเจนว่าไม่มีอะไรดีกว่าการส่งเสริมให้ลูกเป็นพระอรหันต์อีกแล้ว ถ้าศรัทธาน้อยก็จะโดนกระแสโลกีย์พาไป จนผลักดันลูกให้เป็นเจ้าคนนายคนบ้าง เป็นผู้มั่งคั่งบ้าง เป็นผู้มีชื่อเสียงบ้าง เป็นผู้มีอำนาจบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามความหลงติดหลงยึดของแม่แต่ละคน

โดยพื้นฐานนั้น สิ่งที่แม่พึงให้ลูกก็คือปัจจัยสี่ แต่จะให้ดี ให้เลิศ ให้ประเสริฐก็คือให้ลูกได้มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาที่มากยิ่งขึ้น ยิ่งนำพาให้ลูกได้สิ่งนั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น ให้เหตุเหล่านั้นเจริญไปถึง ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาในระดับอริยะเลยยิ่งดี และดีที่สุดคือส่งเสริมให้ลูกเป็นพระอรหันต์นั่นแหละ พอเป็นอรหันต์แล้วลูกจะทำอะไรต่อก็เรื่องของลูก แต่ลูกจะไม่เป็นทุกข์แน่นอน

แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่พ่อแม่จะส่งเสริมให้ลูกมีความเจริญทางด้านจิตใจได้ ถ้าตัวเองยังไม่รู้จักความเจริญนั้นจริงก็ยังไม่สามารถแนะนำสิ่งที่ดีกว่าที่ตนรู้จักให้ลูกได้ การจะทำให้ลูกนั้นเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญานั้น จึงต้องทำสิ่งนั้นให้มีในตนก่อน หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็พาลูกไปพบกับสัตบุรุษ ไปพบกับคนที่รู้ธรรมะ มีธรรมนั้นในตนจริง เข้าใจอริยสัจ อย่างแจ่มแจ้งและทำตนเองให้หมดกิเลสได้จริง แล้วให้โอกาสเขาได้ฟังสัจธรรม ได้ศึกษาเรียนรู้ และนำธรรมเหล่านั้นมาปฏิบัติจนลูกได้เกิดความเจริญเหล่านั้นขึ้นในตน

หน้าที่ของลูกก็เช่นกัน ดูแลพ่อแม่ด้วยปัจจัยสี่อันพอประมาณ แต่ถ้าถามว่าต้องดูแลพ่อแม่แค่ไหนถึงจะได้ชื่อว่า “ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่” พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบไว้ว่า ต่อให้แบกพ่อแม่ไว้บนบ่าทั้งสองข้างตลอดร้อยปี คอยเช็ดล้างทำความสะอาดให้ คอยนวดคอยดูแล มอบสมบัติ ปราสาท ราชวังให้ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าได้ตอบแทนคุณแล้ว แต่ท่านบอกว่า ลูกที่สามารถพาให้พ่อแม่มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ที่เจริญขึ้นนั่นแหละ คือลูกที่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แล้ว

มันกลับหัวกลับหางกับทางโลกเขาเลยนะ ทางโลกเขาถือเอาวัตถุสิ่งของเป็นสำคัญ ส่วนทางธรรมนี่วัตถุก็เอาแค่พอเลี้ยงชีพ แต่ให้น้ำหนักในด้านความเจริญของจิตใจมากกว่า เราไม่จำเป็นต้องสมดุลโลกธรรมหรอก เพราะโลกที่มีแต่กิเลสเป็นตัวนำนั้นมีแต่ทุกข์ เกิดมากี่ชาติก็แสวงหาแต่ความเจริญทางโลก ไม่เคยยอมปล่อยยอมวางเสียที แม่ก็คลอดมาชาติแล้วชาติเล่า แทนที่จะศึกษาหาความรู้ที่จะทำให้แม่ไม่ต้องลำบากอีก ก็ไม่สนใจใยดีในการศึกษาหาความรู้ในการพ้นทุกข์ แต่กลับไปแสวงหาแต่สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ ก็เลยพากันวนเวียนกันอยู่ในโลก วนอยู่กับวัตถุสิ่งของ วนอยู่กับความสุขลวง วนอยู่กับอุดมการณ์ทั้งหลาย กอดโลกไม่ยอมปล่อย ก็เลยทำให้แม่ลำบากไปทุกชาติ เกิดแล้วก็เกิดอีก ไม่มีจุดจบ ไม่มีเป้าหมายในการหยุดแสวงหา ไม่มีความพอใจในเรื่องโลก

พอตนเองไม่สร้างความเจริญให้ตน ไม่นำพาความเจริญให้พ่อแม่ ไม่พากันลดกิเลส ตนเองก็ต้องเป็นทุกข์ พ่อแม่ก็ต้องเป็นทุกข์ วันเวลาผ่านไปก็มีแต่กิเลสเพิ่มขึ้นทุกวัน ได้สมใจก็เพิ่มกิเลส ไม่ได้สมใจก็เพิ่มกิเลส มันก็พากันทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์นั่นแหละ ดังนั้นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลูกที่ทำให้พ่อแม่เจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญานั้น คือผู้ที่ตอบแทนบุญคุณแล้ว นั่นคือธรรมเหล่านั้นเอง ที่จะทำให้ตนเองและพ่อแม่พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนถึงขั้นไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพราะแรงแห่งกิเลสตัณหาอีกต่อไป

ดั้งนั้น ไม่ว่าแม่จะหวังอะไรก็ตามแต่ แม้ท่านจะไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ หน้าที่หลักของลูกก็คือการนำพาความเจริญมาสู่จิตวิญญาณของแม่ โดยการทำตนให้เป็นตัวอย่าง เป็นการทำดีที่ตน ทำให้เกิดในตน ให้แม่ได้เห็นคุณค่าของความดีนั้น เห็นคุณค่าของการลดกิเลส แม้จะยากเย็นขนาดไหนก็ต้องทำ ถึงจะขนาดจะเรียกว่าทำดีให้คนตาบอดเห็นได้ก็ต้องทำ เพราะเป็นคุณประโยชน์ที่สุดที่ลูกจะพึงทำให้กับแม่ได้แล้ว และผู้ที่กระทำคุณเหล่านั้นได้ ก็ถือได้ว่าได้ตอบแทนบุญคุณแม่แล้วนั่นเอง

11.8.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำไมจึงนอกใจ

July 28, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,977 views 1

ทำไมจึงนอกใจ

ได้อ่านกระทู้ที่เข้ามาเสนอความคิดกันในเรื่องที่ว่า ทำไมถึงนอกใจ? ทำไมถึงมีคนอื่น? ผมอ่านแล้วก็คิดว่าน่าจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้หน่อย เพราะน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยังไม่ชัดเจนว่าแท้จริงนั้นปัญหาเกิดจากอะไร

เมื่อความเป็นครอบครัวสั่นคลอน

ไม่ว่าคู่ครองจะเลวร้ายอย่างไร ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไปมีคนใหม่ เพราะความจริงนั้นเราสามารถทำให้ถูกต้องได้ คือพูดคุยทำความเข้าใจ ว่ากำลังเกิดปัญหาอะไรขึ้น แล้วหาวิธีที่จะร่วมกันแก้ปัญหา นี้คือสภาพที่ใจยังเป็นครอบครัวอยู่ ยังไม่เอาอัตตาเป็นใหญ่ แต่เอาครอบครัวเป็นใหญ่ ถ้าไม่ยินดีจะปรับปรุงทั้งคู่ จะเลิกรากันด้วยความเข้าใจก็ทำได้ แต่ถ้าจะไปหักอีกคนหนึ่งเพื่อเอาตัวรอดนั้น ก็เป็นการก่อเวรโดยไม่สมควร การเลิกกันนั้นควรเป็นความสมัครใจและไม่สร้างความแค้นเคืองใจแก่กันและกัน จากนั้นจะไปมีคนใหม่หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เราไม่สมควรทำตัวเหมือนเด็กที่ทิ้งของเล่นชิ้นเก่าแล้วไปสนุกกับชิ้นใหม่เพราะเบื่อได้ เพราะคนนั้นต่างจากวัตถุ มีชีวิตจิตใจ ที่สำคัญคือมีการจองเวรจองกรรม หากเราทำร้ายจิตใจเขา เขาก็มีสิทธิที่จะโกรธแค้นอาฆาตเราได้ บางครั้งทำร้ายกันแค่ในชาตินี้ชาติเดียว แต่เขาก็ถึงกับสาปแช่งจะจองเวรจองกรรมกันไปทุกชาติก็มี

ในตอนแต่งงานเราก็ต้องเตรียมตัวยอมรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลังแต่งงานอยู่แล้ว แต่ในความจริงน้อยคนนักที่จะยอมรับชีวิตแต่งงานได้ นั่นเพราะไม่รู้จริงว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร แต่ก็มีหลายคู่ที่ยอมทนทุกข์เพื่อที่จะได้เสพสุขบางอย่าง คนทนได้ก็ทนไป แต่คนที่ทนไม่ได้ก็มักจะเกิดปัญหา

การครองคู่นั้น จะต้องร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่เกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาแล้วก็สร้างอีกปัญหาหนึ่ง การมัวแต่โทษอีกฝ่ายนั้นไม่เกิดผลดีอะไร เพราะเมื่อเป็นครอบครัวแล้ว จะต้องแก้ปัญหาแบบครอบครัว ไม่ใช่แก้แบบฉันแก้ เธอแก้ แยกเป็นส่วนตน ไปตามอัตตาของแต่ละคน แน่นอนว่าส่วนตนก็ต้องแก้ แต่ต้องเอาความผาสุก ความสามัคคีของครอบครัวเป็นที่ตั้งด้วย บางครั้งการแก้ปัญหาอาจจะไม่ตรงจุดเสียทีเดียว แต่ก็ต้องยอมอะลุ่มอล่วยกันไปบ้าง ทั้งนี้ทิศทางที่ปัญหาจะคลายลงไปได้คือการแก้ไปสู่การลดความโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย ถ้าทำตรงข้ามจะเป็นการพอกพูนปัญหา

สาเหตุของการนอกใจ

การที่คนเรานอกใจคู่ครองไปหาคนอื่นนั้น ไม่มีสาเหตุอะไรนอกจากความใคร่อยากของตัวเองที่มากไปกว่าระดับของศีลธรรมที่ตนมี เพราะถ้าคนมีศีลธรรมสูง ถึงจะเจอปัญหาก็จะไม่ออกจากกรอบศีลธรรมนั้นๆ ของตน แต่ที่ออกจากกรอบศีลธรรม นั่นเพราะไม่เคยมีกรอบศีลธรรมนั้นจริงนั่นเอง

ศีล ๕ นั้นคือข้อปฏิบัติพื้นฐานสู่ความมั่นคงในการเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีศีล ๕ อย่างตั้งมั่น แบบที่เห็นว่ามี วันหนึ่งอาจจะไม่มีก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นไปตามสภาพการพัฒนาของจิตวิญญาณ คนจะเจริญได้มันต้องจากต่ำมาสูง ไม่มีใครสูงตั้งแต่แรก ดังนั้นคนโดยมากจิตจึงแกว่งอยู่ระหว่างภพของมนุษย์ กับเปรต อสูร เดรัจฉาน ฯลฯ ไปจนกว่าจะเต็มรอบ จึงจะเป็นมนุษย์ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์ได้นั่นเอง

เมื่อคนเรามีพื้นฐานศีลธรรมไม่เท่ากัน นั่นหมายถึงการแก้ปัญหาของคนที่ต่างกัน ถ้าคนมีศีลธรรมสูง เขาจะแก้เฉพาะปัญหาที่เกิด จะไม่สร้างปัญหาใหม่ ที่นอกกรอบศีลธรรมนั้นๆ แต่ถ้าคนไม่มีศีลธรรม เขาก็จะแก้ปัญหาโดยไม่มีกรอบ เอาความพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งอาจจะนำมาสู่ปัญหาใหม่

การนอกใจนั้นไม่ใช่เรื่องของกรรมบันดาล แต่เป็นเรื่องของเจตนาที่คนคนหนึ่งตั้งใจทำด้วยเหตุอันมี ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลเหตุ

เมื่อคนเรามีกิเลสมาก และมีกรอบศีลธรรมต่ำ จึงมีแนวโน้มที่จะนอกใจได้ง่าย เมื่อเขามีราคะมาก เขาจึงมีความใคร่อยากในการเสพกามที่มาก เมื่อกรอบศีลธรรมต่ำ เขาจะไม่สนใจสิ่งใด ขอแค่ให้ตนได้เสพก็พอ, เมื่อเขามีโลภะมาก เขาจะไม่พอใจในการได้ครอบครองคู่เพียงแค่คนเดียว เขาจะอยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก ให้มีสำรองไว้บำเรอเขามากๆ, เมื่อเขามีโทสะมาก เขาจะไม่มีสติที่จะรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ทุกคนจะผิดยกเว้นเขา คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดีดั่งใจเขา เขาก็จะใช้ความผิดของคนอื่นตามที่เขาเข้าใจนี่แหละ เป็นเหตุผล เป็นน้ำหนัก เป็นความเห็นอกเห็นใจที่เขาจะนอกใจได้อย่างชอบธรรมตามที่เขาคิด ทั้งหมดนั้นคือความหลงของเขา(โมหะ) เพราะเขาหลงว่าการนอกใจเป็นสิ่งที่ดี หลงว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ หลงว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ เขาจึงยินดีนอกใจ แม้ว่ามันจะสร้างปัญหาอีกมากมายก็ตามที

คนกิเลสมากก็มักจะมีศีลธรรมต่ำเป็นธรรมดา เขาจะไม่มีปัญญารู้ถึงโทษของสิ่งที่กระทำลงไป เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลายคนมักจะเห็นว่าการนอกใจของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นคำตอบของชีวิต เป็นสิ่งที่สมควรเลือก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นอกใจ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นความเห็นที่สร้างแต่ความฉิบหายให้ชีวิต นี่คือสภาพของคนที่หลง

จริงๆ ตอนแต่งงานนั่นแหละ คือตอนที่คนคิดจะหยุดแล้ว พร้อมแล้ว พอใจแล้วกับคนที่จะแต่งงานด้วย ถ้าไม่โดนคลุมถุงชนหรือท้องก่อนแต่งโดยมากก็จะเป็นเช่นนั้น แต่เขาคิดแต่ตอนนั้น เขาไม่รู้จักกิเลสตัวเอง เขาไม่รู้ว่ามันไม่รู้จักพอ กิเลสมันอยากได้อยากเสพไม่มีหยุด มันก็เลยนอกใจในท้ายที่สุด พร้อมด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ว่าการนอกใจที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากปัญหาของครอบครัวหรือสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ความจริงปัญหามันอยู่ที่ตัวศีลธรรมของผู้ที่นอกใจเอง

ตอนที่เราเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ ตกลงกัน แต่งงานกัน หลายคู่ก็จะมีคำมั่นสัญญา ที่ดูซาบซึ้ง อบอุ่น มั่นคง จริงใจ เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ซึ่งตอนนั้นเขาก็มักจะคิดอย่างนั้นจริงๆ จะอยู่คู่กันไปจนแก่เฒ่า เขาก็คิดแบบนั้นกันจริงๆ ทีนี้วันหนึ่งเขาก็ผิดสัจจะของตัวเอง นี่ไปผิดศีลข้อ ๔ อีก การนอกใจคู่นี่พาให้ผิดศีลทุกข้อนั่นแหละ เรียกว่าลากลงนรกกันไปเลย

ถ้ามันผิดคำสัญญาแล้วไปทางเจริญกว่า เช่น จะไปบวชไม่สึก ไปแสวงหาความผาสุกที่ยิ่งกว่า นี่มันก็ไปทางธรรมะ แต่ถ้าผิดคำสัญญาแล้วไปทางเสื่อม เช่นไปนอกใจ มีกิ๊ก มีชู้ มีเมียน้อย นี่มันไปทางอธรรม โลกนี้ไม่เที่ยงอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าไปยึดสัญญาว่าเที่ยง อย่าไปหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ดังนั้นถ้าเขาผิดสัญญาแล้วไปทางธรรมะมันก็น่าอนุโมทนา แต่ถ้าเขาผิดสัญญาแล้วไปทางอธรรมก็ควรจะเมตตาเขา เพราะคนที่เห็นการผิดศีลเป็นสิ่งดีนี่เขาก็สร้างทุกข์ให้ตนเองมากพออยู่แล้ว เราจะไปเหยียบย่ำซ้ำเติมให้เขาลงนรกลึกลงไปอีกทำไม

รู้อย่างนี้แล้วคนที่คิดจะนอกใจก็อย่าไปพยายามหาเหตุผลให้มันมากมาย ถึงมันจะมีเหตุผลที่ดูดีแค่ไหน แต่กรรมจากการนอกใจคู่ครองนั้นให้ผลเจ็บแสบกว่าที่คิดแน่นอน เพราะการผิดศีลในระดับต่ำกว่าศีล ๕ ก็เหยียบภพที่ต่ำกว่ามนุษย์ทั้งนั้น ส่วนคนที่ทำไปแล้วก็ควรสังวร ยอมรับบาปที่ได้ทำลงไป ยอมรับว่ากิเลสเรานี่มันร้าย อย่าไปโทษคนอื่น เรียกว่ายอมรับผิด แล้วแก้ไขจิตที่บิดเบี้ยวให้มันถูกตรง จะมีโอกาสเจริญได้ในวันใดวันหนึ่ง

แต่โดยสามัญของกิเลสแล้ว เมื่อมีกามมาก ก็จะมีอัตตามากเป็นเงาตามตัว ผู้ที่ผิดศีลผิดธรรมนอกใจคู่ครอง ก็ใช่ว่าจะยอมรับกันได้ง่ายๆ เพราะอัตตานั้นเอง คือตัวที่จะขวางกั้นไม่ให้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง คนมีอัตตาจัด จะสำคัญตนผิด จะเอาตนเป็นหลัก โลกจะหมุนรอบตน ทุกคนต้องบำเรอตน ตนไม่มีวันผิด ถึงตนผิดก็ผิดน้อยกว่าผู้อื่น เมื่อผู้มีอัตตาจัดทำผิด ความจริงจึงถูกบิดเบี้ยว ไปโทษคนนั้นที คนนี้ที จึงเป็นความเสื่อมที่ต่อเนื่องของผู้ที่ผิดศีลนั่นเอง

ล้างใจจากคนนอกใจ

ทีนี้หลายคนที่ถูกคู่ครองนอกใจก็มักจะเป็นทุกข์ โกรธ ผูกโกรธ อาฆาต จองเวรจองกรรม บางคนก็สาปแช่ง ว่าให้เขาเจอแบบที่เราเจอ เขาถึงจะได้รู้สึกว่ามันชั่ว มันทุกข์ มันทรมานแค่ไหน … ก็นี่ไง เรากำลังเจออยู่นี่ไง การที่เราถูกเขานอกใจนี่แหละคือผลกรรมที่เราเคยหลงทำมา ชาติใดชาติหนึ่งเราก็หลงมาเหมือนเขานั่นแหละ เราก็เลยต้องมารับผลกรรมที่เราทำมาในชาตินี้

ดังนั้นจะไปโกรธคนที่นอกใจมันก็ไม่ถูก เพราะสิ่งนั้นเราทำมาเอง เป็นผลจากเหตุของเราเอง แล้วเราจะไปโกรธแค้นชิงชังรังเกียจเขาทำไม ในเมื่อเราก็เคยทำสิ่งนั้นมาก่อน จริงๆ แล้วเราควรจะเมตตาเขาด้วยซ้ำ นี่เขาหลงอยู่นะ เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่รู้ดีรู้ชั่ว เรื่องศีลธรรมนี่มันก็พอจะบอกกันได้ แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้งถึงโทษภัยของการไม่มีศีลธรรมนี่มันต้องเรียนผิดเรียนถูกกันอีกหลายชาติ สรุปคือเราไม่ควรจะไปจองเวรจองกรรมเขาอีก ผลกรรมใดที่เรารับแล้วก็จบไป ไม่ต้องไปต่อความยาวสาวความยืด แล้วก็ทำความเข้าใจและเมตตาเขา คนมีกิเลสก็แบบนี้ คนหลงก็แบบนี้ คนไม่มีศีลธรรมก็แบบนี้ ก็เรานี่แหละที่หลงเลือกเขามาเป็นคู่เอง สุดท้ายปัญญาเราก็เท่านี้ จะไปหวังให้เขาดีอะไรกันมากมาย เขาก็ดีได้เท่าที่เขาจะดีนั่นแหละ

ส่วนคนที่เขานอกใจ เขาก็ต้องเรียนรู้จากการรับผลกรรมจากการกระทำนั้นอีกหลายชาติ จนกว่าเขาจะรู้ซึ้งว่าการนอกใจนี่มันชั่วนะ มันไม่ดีนะ มันไม่มีประโยชน์ มันทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นนะ พอเขามีปัญญาเต็มรอบ เขาก็จะเลิกทำเอง พอเขาเลิกทำชั่ว ทีนี้มันก็จะเหลือแต่รับผลกรรมชั่วที่เขาเคยทำมาเท่านั้น นั่นคือ ชาติใดชาติหนึ่งในอนาคต แม้เขาจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เขาก็จะเจอกับคนที่มาทำผิดศีลต่อเขา มานอกใจเขา เหมือนอย่างที่เราต้องมารับผลกรรมในวันนี้

นั่นหมายถึงว่าไม่ว่าเราจะทำดีแสนดี เป็นคนดี มีศีลธรรมแค่ไหน เราก็จะต้องเจอกับผลกรรมที่เราทำไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อเราไม่อยากเป็นทุกข์? เราก็ต้องล้างกิเลสในส่วนของเรา ส่วนที่เราจะไปผิดศีลนั้นเราอาจจะไม่ทำแล้ว แต่ถ้าคนอื่นมาทำผิดศีลกับเราแล้วเรายังชั่วอยู่ไหม? ชั่วในส่วนนี้คือ เรายังไปหลงชิงชังรังเกียจ เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท จองเวรจองกรรมกับเขาอยู่หรือไม่ เรายังมีความหลงไม่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรมอยู่หรือไม่ นี่คือส่วนของความชั่วที่เราจะต้องชำระล้างบาปในตัวเรา

บาป หรือกิเลสของเขา เขาก็ต้องล้างของเขา เราบอกได้ก็บอก ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยวาง แต่บาปของเรา เราก็ต้องล้างเอง จะรอให้รับผลกรรมชั่วหมดแล้วมีแต่คนดีรอบตัวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ นั่นหมายความว่าไม่มีวันที่จะมีอะไรสมบูรณ์แบบอย่างที่ใจเราคิด ดังนั้นถ้าเราหมั่นล้างความยึดมั่นถือมั่นในความสมบูรณ์แบบ ล้างความยึดดีถือดี พร้อมกับวางใจ ให้อภัยกับความผิดพลาดของผู้อื่น เราก็จะได้พบกับความผาสุกที่มั่นคงและยั่งยืนในวันใดก็วันหนึ่ง

27.7.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

May 8, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,659 views 0

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

            ความงามของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อมัดใจชายมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ชายนั้นลุ่มหลงมัวเมา อยากได้อยากครอบครองหญิงงาม แต่ทันทีที่เธอหลงใช้ความงามมัดใจชายใด กรรมก็ได้ผูกมัดตัวเธอไว้กับบ่วงแห่งความทุกข์เช่นกัน

ความงามนั้นเป็นสิ่งที่มีได้ แต่ไม่ควรให้คุณค่า ไม่ควรเปิดเผย ไม่ควรทำให้เป็นที่น่าสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสถึงสามสิ่งที่ควรปิดบังไว้ เปิดเผยจะไม่เจริญ หนึ่งในสามนั้นคือผู้หญิง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าให้ปิดบังตัวหรือแอบซ่อนแต่อย่างใด แต่หมายถึงให้ปิดบังความเป็นหญิง จริตแบบหญิง มารยาแบบหญิง นิสัยแบบหญิง ที่แม้แต่ผู้ชายบางคนก็ยังมีความเป็นหญิงปนอยู่มาก เช่น อาการขี้งอน ขี้ประชด ฯลฯ เหล่านี้คือความเป็นหญิงในเชิงจิตใจ นั่นหมายรวมถึงการปิดบังสิ่งหยาบๆ ที่เห็นได้ทางภายนอกเช่นความงามของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะปิดบัง ไม่ส่งเสริม ไม่ควรเอามาเป็นคุณค่า ให้ค่าแล้วจะไม่เจริญ

แต่เมื่อคนเราอยากมีคู่ ก็มักจะต้องสร้างจุดเด่น สัตว์หลายชนิดมีวิธีการเรียกร้องให้เพศตรงข้ามเกิดความสนใจที่แตกต่างกัน คนก็เช่นกัน มีวิธีเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่ยั่วยวนด้วยเรื่องทางเพศ ใช้ความงดงามของร่างกายเพื่อดึงดูด ล่อหลอกด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข มัวเมาด้วยมารยาจนกระทั่งถึงการโน้มน้าวด้วยคุณงามความดีที่ตนมี ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวกันในเฉพาะในส่วนของการมัดใจด้วยความงาม เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด เป็นของหยาบและมีโทษมาก

ธรรมชาติของคนเมื่ออยากมีคู่ ก็จะเริ่มเสริมความงามของตน แต่งหน้าทาปากทำผม แต่งตัวให้น่าสนใจหรือจนถึงขั้นยั่วยวน ถ้าทำยังไงมันก็ไม่สวยดังใจหมายก็ไปศัลยกรรมปรับแต่งเอาให้สวยสมใจเลย แม้ในปัจจุบันจะมีผู้ชายที่มัวเมาในความงามของรูปร่างหน้าตาตนเองมากขึ้น แต่โดยค่ารวมๆ แล้ว ก็จะเป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับความงามของตนมากกว่า

บางคนงามตั้งแต่เกิดก็อาจจะไม่ต้องแต่งเติมอะไรมาก ส่วนบางคนก็ต้องเติมมากหน่อยถึงจะเรียกว่างามได้ แต่งเติมมากแค่ไหนก็เบียดเบียนชีวิตตนเองไปตามลำดับ เมื่อเบียดเบียนตนเองแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกไปเบียดเบียนคนอื่น นั่นคือการพยายามแสดงให้ผู้อื่นเห็นความงามของตนโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ตนเห็นว่าควร บางคนก็ถ่ายรูปตนในชุดวาบหวิวลงอวดในอินเตอร์เน็ต หรือบางคนก็แค่หวีผมแต่งตัวสวยออกไปทำงาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีความอยากที่จะให้คนมาสนใจ เพราะจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นทำให้เกิดความเสื่อมได้มากกว่า

การหาคู่นั้นหากจะยกตัวอย่างเปรียบกับการตกปลา ก็ต้องใช้เหยื่อที่ปลานั้นสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ชนิดหรือขนาดของปลาตามที่คาดหวัง บางครั้งตกขึ้นมาได้ไม่ถูกใจก็ปล่อยไปบ้าง โยนทิ้งอย่างไร้เมตตาบ้าง แม้ปลาที่ถูกเลือก สุดท้ายก็ต้องตายเพราะกลายเป็นอาหารอยู่ดี ก็เหมือนกับหญิงที่ใช้ความงามล่อลวงผู้ชายให้เข้ามาสนใจ แน่นอนว่าทุกคนไม่ใช่เป้าหมาย เธออาจจะคัดเลือกเพียง 1-2 ตัวเลือก ในขณะที่คนมากมายนั้นต้องทนทุกข์จากความอยากได้อยากครอบครองแต่ก็ไม่มีวันได้สิ่งนั้น สุดท้ายก็มักจะเหลือเพียงแค่คนเดียวที่ถูกเลือก คือคนที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่เวรคู่กรรม ณ จุดนี้แม้จะได้คู่มาก็ตาม แต่การใช้ความงามเป็นเหยื่อในการคัดคนเข้ามานั้นจะสร้างวิบากบาปจำนวนมาก ซึ่งจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไปในอนาคต

อย่างที่ยกตัวอย่างไปว่าเหมือนกับปลาที่กินเบ็ด ปลากินเบ็ดย่อมเจ็บปวดจากขอเบ็ดที่เกี่ยวปาก ชายผู้หลงในความงามก็ย่อมจะเป็นทุกข์จากกิเลสเช่นกัน แต่ความทุกข์เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ง่ายนัก เพราะกิเลสนั้นลวงให้เราเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนที่หลงมัวเมาในความรักทั้งหลายก็ย่อมจะเห็นว่าการหลงรักเป็นของดี แต่ในความจริงแล้ว นั่นคือการหลอกลวงที่สุดแสนจะร้ายกาจ ที่ทำคนให้จองเวรจองกรรมกันอีกหลายภพหลายชาติยากที่จะสิ้นสุด ดังนั้นคนที่ถูกเลือกนั้นจึงเหมือนปลาที่โดนเลือกไปกิน เพราะจะได้รับทุกข์ทรมานจากหญิงคนนั้นมากที่สุด

และแน่นอนว่าปลาที่กินเหยื่อ ย่อมเป็นปลาที่ชอบเหยื่อ ล่อด้วยความงาม ก็ย่อมได้พบกับชายที่บ้ากาม ล่อด้วยลาภ ก็จะได้พบกับชายขี้โลภ ล่อด้วยยศก็จะได้พบกับชายที่บ้าอำนาจ ล่อด้วยสรรเสริญก็จะได้พบกับชายที่บ้ายอ ฯลฯ สรุปว่าล่อด้วยสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น การที่จะได้เจอคนดี ได้เจอพ่อพระเพียงแค่การใช้เหยื่อล่อที่ชื่อว่าความงาม คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นการจะหวังความสงบในชีวิตที่จะยกตัวอย่างในส่วนต่อไปย่อมไม่มี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการล่อชายที่แสนดีด้วยความดีนั้นจะไม่เป็นทุกข์

จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อหญิงนั้นหลอกล่อมัดใจชายด้วยความงาม 5 หน่วยของเธอ ความคาดหวังของชายคนนั้นเดิมอยู่ที่ 3 หน่วย เมื่อได้รับความงามเกินความคาดหวัง คือได้คบหาคนสวยกว่าที่เคยคิดไว้ (+2) เขาก็ย่อมยินดีเต็มใจที่จะครอบครองเธอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้ชายคนเดิมเมื่อเสพหญิงงามไปทุกวัน ก็จะความเคยชินกับความงาม และบวกกับกิจกรรมเพิ่มกิเลสที่พากันทำในชีวิตประจำวัน ทำให้ความคาดหวังว่าจะได้รับสุขจากเสพเพิ่มขึ้นเป็น 5 หน่วย ซึ่งหญิงงาม 5 หน่วยก็ต้องพยายามทำตนเองให้งามขึ้นอีก เพื่อที่จะทำให้เกิดการสนองต่อความคาดหวังให้ชายนั้นรักชายนั้นหลง เลยไปออกกำลังกาย เข้าสปา เรียนแต่งหน้า หัดแต่งตัว ผ่าตัดศัลยกรรม ทำอะไรต่อมิอะไรให้ดูงดงามขึ้นอีก สุดท้ายก็ดูดีกว่าสมัยคบกันแรกๆ มีค่างามอยู่ที่ 6 หน่วย (+1) ผู้ชายคนเดิมเมื่อได้รับสิ่งที่มากเกินความคาดหวังก็จะเกิดความสุขสมกิเลสและหลงมัวเมาต่อไป

แต่วงจรนี้ก็มีวันสิ้นสุด เมื่อหญิงนั้นไม่มีวันงามได้ตลอดไป และชายคนนั้นลดกิเลสไม่เป็น เมื่อถึงจุดหนึ่งความงามของเธอที่เคยมีกลับจางหายไป ริ้วรอยเข้ามาแทนที่ ความเหี่ยวย่นหย่อนยานและหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเสื่อมนั้นเข้ามาอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้เธอจะเคยเป็นคนงาม แต่ก็เป็นคนงามที่แก่แล้ว ค่างามจึงลดจาก 6 เหลือ 3 ในขณะที่ผู้ชายติดใจความงามระดับที่ 6 ตามที่เคยได้เสพได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไว้ ทีนี้จะทำอย่างไร เมื่อสิ่งที่ใช้มัดใจชายคือความงาม และผู้ชายคนนั้นให้คุณค่ากับความงามเป็นหลัก ผู้หญิงก็ต้องสร้างคุณค่าอื่นขึ้นมาแทนความงามเพื่อให้ผู้ชายเสพ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หรือคุณงามความดีของตน แม้กระทั่งแลกด้วยเซ็กส์ที่วิตถาร บางคนอาจจะถึงขั้นยอมให้คู่ครองไปมีหญิงอื่นเพื่อรักษาสถานะไว้ เพื่อที่จะเพิ่มคะแนนที่จะคอยดึงดูดชายคนนั้นไว้

มีบ้างที่ผู้ชายยอมอดทน ฝืนเสพความงามน้อยหน่อยแต่ชีวิตยังปกติสุข เช่น อยู่กับผู้หญิงหน้าตาไม่ดีแต่รวยก็ถือว่าสร้างความสุขได้ หรือเห็นคุณงามความดีของเธอก็เลยยอมทนอยู่แม้ว่าความงามจะลดลงกว่าเดิมมาก แต่ก็มีอีกมากที่ไม่คิดจะทนเมื่อไม่ได้เสพสมดังใจหวัง เมื่อเขาไม่ได้ตามที่คาดหวัง ก็มักจะมีปัญหาตั้งแต่การนอกใจเล็กน้อยจนกระทั่งถึงขั้นมีเมียน้อย

ผู้หญิงที่ให้คุณค่ากับความงามเพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับการวางไข่ไว้บนกระจาดใบเดียว เมื่อกระจาดล้มไข่ก็แตกหมด เมื่อวันที่ความงามของเธอหมดความหมาย ในขณะที่ผู้หญิงในโลกมีอีกหลายล้านคนที่มีความงามมากพอที่จะบำเรอชายคนรักของเธอ ดังนั้นจะสรุปไว้ก่อนเลยว่าการใช้ความงามมัดใจใครนั้นต้องลงทุนลงแรงมาก แถมยังมัดไว้ได้ไม่นานอีก เพราะเมื่อกำลังของความงามนั้นน้อยกว่าพลังกิเลสของเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะแหวกกรงที่มัดไว้แล้วออกไปหาสิ่งที่เขาต้องการ

ความงามนั้นยังสามารถลวงความจริงบางประการได้ เช่น ผู้ชายไม่ชอบและรังเกียจอาการบางอย่างของผู้หญิง แต่ความงามของเธอนั้นทำให้เขาหลงใหลจนมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ แท้จริงแล้วอาการไม่ชอบนั้นยังคงอยู่ แต่เขายอมเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขที่มากกว่า เหมือนกับที่ผู้ชายบางคน อดทน ทุ่มเท รอคอย ในการตามจีบหญิงงามคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะใจและพิชิตร่างกายของหญิงคนนั้น เขาก็อาจจะเลิกสนใจก็ได้ เหมือนกับคนที่พยายามปืนขึ้นยอดเขา แต่แค่ปักธงเสร็จก็ลงมา ไม่มีอะไรมากกว่าการที่เขาได้เสพสุขในการเอาชนะเพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่บนยอดเขา แต่เขาต้องการเอาชนะยอดเขา เหมือนกับชายบางพวกที่เพียงแค่อยากพิสูจน์คุณค่าของตนโดยการพิชิตหญิงงาม ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลวงความจริงได้อย่างน่ากลัวทีเดียว

การมีความงามนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่า ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นอยู่มากในสังคม แต่มันก็เป็นสิ่งล่อคนที่มัวเมาในกามเข้ามาหา ซึ่งอาจจะมาในคราบของเทพบุตรก็ได้ และยังเป็นสิ่งที่ปิดบังความจริงหลายๆ ประการ ดังที่ยกตัวอย่างมา ผู้ชายเขาอาจจะไม่ได้สนใจเราเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ได้มีความงามเท่านี้ เขาอาจจะมาเสพมาให้คุณค่าเพียงแค่ความงามของเราก็ได้ใครจะรู้ ซึ่งถ้าเรายังหลงติดกับเปลือกกับเนื้อหนังเหล่านี้ยากนักที่เราจะรู้ความเป็นจริง

ศาสนาพุทธนั้นมีวิธีที่จะทำให้ความจริงนั้นปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น เมื่อคนปฏิบัติถึงระดับของศีล ๘ จะมีข้อปฏิบัติที่เข้ามาขจัดภัยอันเกิดจากความบิดเบี้ยวของความจริงเกี่ยวกับความงาม แก้ความเห็นผิดกลับ ทำให้เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นกงจักร อย่างแรกคือการฝึกปฏิบัติเพื่อเว้นขาดจากการประดับตกแต่ง ถ้าหยาบๆ ก็ไม่แต่งตัวโป๊ ถ้าละเอียดขึ้นมาก็คือไม่ยินดีในการแต่งหน้าหรือการเสริมสวยใดๆ เลย อย่างที่สองที่จะเข้ามาชี้ชัดให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้ของคนคนนั้น หรือเป็นเพียงแค่วัตถุสนองกาม ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่กัน อยู่กันอย่างพรหม รักกัน เมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ทำร้ายกัน ในข้อนี้จะแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจนมากว่าคบหากันไปเพื่ออะไร เพื่อสนองความต้องการทางเพศ หรือเพราะอยากเมตตาเกื้อกูลกัน คือแยกขาวแยกดำให้ชัด ไม่ใช่สีเทาๆ

ซึ่งการปฏิบัติในฐานศีล ๘ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ขัดเกลากิเลสอย่างมาก ถ้ากิเลสมากจะถือศีลไม่ได้ เหมือนผีในละครที่โดนสายสิญจน์แล้วเจ็บปวดทรมาน จะมีทุกข์มาก ทรมานมาก อึดอัด กดดัน เพราะปฏิบัติเกินอินทรีย์พละของตน ดังนั้น เพื่อให้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น เราก็ไม่ควรสร้างปัญหาตั้งแต่แรก เมื่อไม่สร้างปัญหา ก็ไม่ต้องมาคอยแก้ปัญหา เราจึงไม่ควรมัดใจใครด้วยความงาม และในท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรมัดใจใครไว้เลยด้วยอะไรเลยก็ตามแม้แต่คุณงามความดีของเรา

และการที่เราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาหรืออะไรคือสิ่งที่จะพาให้คลาดแคล้วจากปัญหา เราจะต้องคบกับมิตรดี มิตรที่ดีจะชี้ให้เราเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย โดยมีหลักยึดว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากกิเลสนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนั้นมิตรดีจะกล่าวแต่สิ่งที่จะพาให้ออกห่างจากกิเลส ซึ่งต่างกับมิตรชั่ว คือคนที่พาให้หลงมัวเมาในกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าการมีคู่และมีลูกนั้นเป็นบ่วง มิตรชั่วก็จะบอกตรงสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เว้นขาดจากการประดับตกแต่ง มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ประพฤติตนเป็นโสดคนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม การคบมิตรดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรมีในการเดินทางสู่ความผาสุกในชีวิต ถ้าไม่มีมิตรดี ต่อให้ขยันพากเพียรปฏิบัติอีกล้านล้านปี…ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

7.5.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)