Tag: มัดใจ

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

May 8, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,547 views 0

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

อย่ามัดใจชายด้วยความงาม

            ความงามของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อมัดใจชายมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ชายนั้นลุ่มหลงมัวเมา อยากได้อยากครอบครองหญิงงาม แต่ทันทีที่เธอหลงใช้ความงามมัดใจชายใด กรรมก็ได้ผูกมัดตัวเธอไว้กับบ่วงแห่งความทุกข์เช่นกัน

ความงามนั้นเป็นสิ่งที่มีได้ แต่ไม่ควรให้คุณค่า ไม่ควรเปิดเผย ไม่ควรทำให้เป็นที่น่าสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสถึงสามสิ่งที่ควรปิดบังไว้ เปิดเผยจะไม่เจริญ หนึ่งในสามนั้นคือผู้หญิง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าให้ปิดบังตัวหรือแอบซ่อนแต่อย่างใด แต่หมายถึงให้ปิดบังความเป็นหญิง จริตแบบหญิง มารยาแบบหญิง นิสัยแบบหญิง ที่แม้แต่ผู้ชายบางคนก็ยังมีความเป็นหญิงปนอยู่มาก เช่น อาการขี้งอน ขี้ประชด ฯลฯ เหล่านี้คือความเป็นหญิงในเชิงจิตใจ นั่นหมายรวมถึงการปิดบังสิ่งหยาบๆ ที่เห็นได้ทางภายนอกเช่นความงามของร่างกาย สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะปิดบัง ไม่ส่งเสริม ไม่ควรเอามาเป็นคุณค่า ให้ค่าแล้วจะไม่เจริญ

แต่เมื่อคนเราอยากมีคู่ ก็มักจะต้องสร้างจุดเด่น สัตว์หลายชนิดมีวิธีการเรียกร้องให้เพศตรงข้ามเกิดความสนใจที่แตกต่างกัน คนก็เช่นกัน มีวิธีเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่ยั่วยวนด้วยเรื่องทางเพศ ใช้ความงดงามของร่างกายเพื่อดึงดูด ล่อหลอกด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข มัวเมาด้วยมารยาจนกระทั่งถึงการโน้มน้าวด้วยคุณงามความดีที่ตนมี ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวกันในเฉพาะในส่วนของการมัดใจด้วยความงาม เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด เป็นของหยาบและมีโทษมาก

ธรรมชาติของคนเมื่ออยากมีคู่ ก็จะเริ่มเสริมความงามของตน แต่งหน้าทาปากทำผม แต่งตัวให้น่าสนใจหรือจนถึงขั้นยั่วยวน ถ้าทำยังไงมันก็ไม่สวยดังใจหมายก็ไปศัลยกรรมปรับแต่งเอาให้สวยสมใจเลย แม้ในปัจจุบันจะมีผู้ชายที่มัวเมาในความงามของรูปร่างหน้าตาตนเองมากขึ้น แต่โดยค่ารวมๆ แล้ว ก็จะเป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับความงามของตนมากกว่า

บางคนงามตั้งแต่เกิดก็อาจจะไม่ต้องแต่งเติมอะไรมาก ส่วนบางคนก็ต้องเติมมากหน่อยถึงจะเรียกว่างามได้ แต่งเติมมากแค่ไหนก็เบียดเบียนชีวิตตนเองไปตามลำดับ เมื่อเบียดเบียนตนเองแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกไปเบียดเบียนคนอื่น นั่นคือการพยายามแสดงให้ผู้อื่นเห็นความงามของตนโดยวิธีใดวิธีหนึ่งที่ตนเห็นว่าควร บางคนก็ถ่ายรูปตนในชุดวาบหวิวลงอวดในอินเตอร์เน็ต หรือบางคนก็แค่หวีผมแต่งตัวสวยออกไปทำงาน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีความอยากที่จะให้คนมาสนใจ เพราะจิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นทำให้เกิดความเสื่อมได้มากกว่า

การหาคู่นั้นหากจะยกตัวอย่างเปรียบกับการตกปลา ก็ต้องใช้เหยื่อที่ปลานั้นสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ชนิดหรือขนาดของปลาตามที่คาดหวัง บางครั้งตกขึ้นมาได้ไม่ถูกใจก็ปล่อยไปบ้าง โยนทิ้งอย่างไร้เมตตาบ้าง แม้ปลาที่ถูกเลือก สุดท้ายก็ต้องตายเพราะกลายเป็นอาหารอยู่ดี ก็เหมือนกับหญิงที่ใช้ความงามล่อลวงผู้ชายให้เข้ามาสนใจ แน่นอนว่าทุกคนไม่ใช่เป้าหมาย เธออาจจะคัดเลือกเพียง 1-2 ตัวเลือก ในขณะที่คนมากมายนั้นต้องทนทุกข์จากความอยากได้อยากครอบครองแต่ก็ไม่มีวันได้สิ่งนั้น สุดท้ายก็มักจะเหลือเพียงแค่คนเดียวที่ถูกเลือก คือคนที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่เวรคู่กรรม ณ จุดนี้แม้จะได้คู่มาก็ตาม แต่การใช้ความงามเป็นเหยื่อในการคัดคนเข้ามานั้นจะสร้างวิบากบาปจำนวนมาก ซึ่งจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำลงไปในอนาคต

อย่างที่ยกตัวอย่างไปว่าเหมือนกับปลาที่กินเบ็ด ปลากินเบ็ดย่อมเจ็บปวดจากขอเบ็ดที่เกี่ยวปาก ชายผู้หลงในความงามก็ย่อมจะเป็นทุกข์จากกิเลสเช่นกัน แต่ความทุกข์เหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ง่ายนัก เพราะกิเลสนั้นลวงให้เราเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นกงจักรเป็นดอกบัว คนที่หลงมัวเมาในความรักทั้งหลายก็ย่อมจะเห็นว่าการหลงรักเป็นของดี แต่ในความจริงแล้ว นั่นคือการหลอกลวงที่สุดแสนจะร้ายกาจ ที่ทำคนให้จองเวรจองกรรมกันอีกหลายภพหลายชาติยากที่จะสิ้นสุด ดังนั้นคนที่ถูกเลือกนั้นจึงเหมือนปลาที่โดนเลือกไปกิน เพราะจะได้รับทุกข์ทรมานจากหญิงคนนั้นมากที่สุด

และแน่นอนว่าปลาที่กินเหยื่อ ย่อมเป็นปลาที่ชอบเหยื่อ ล่อด้วยความงาม ก็ย่อมได้พบกับชายที่บ้ากาม ล่อด้วยลาภ ก็จะได้พบกับชายขี้โลภ ล่อด้วยยศก็จะได้พบกับชายที่บ้าอำนาจ ล่อด้วยสรรเสริญก็จะได้พบกับชายที่บ้ายอ ฯลฯ สรุปว่าล่อด้วยสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น การที่จะได้เจอคนดี ได้เจอพ่อพระเพียงแค่การใช้เหยื่อล่อที่ชื่อว่าความงาม คงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นการจะหวังความสงบในชีวิตที่จะยกตัวอย่างในส่วนต่อไปย่อมไม่มี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการล่อชายที่แสนดีด้วยความดีนั้นจะไม่เป็นทุกข์

จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อหญิงนั้นหลอกล่อมัดใจชายด้วยความงาม 5 หน่วยของเธอ ความคาดหวังของชายคนนั้นเดิมอยู่ที่ 3 หน่วย เมื่อได้รับความงามเกินความคาดหวัง คือได้คบหาคนสวยกว่าที่เคยคิดไว้ (+2) เขาก็ย่อมยินดีเต็มใจที่จะครอบครองเธอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผู้ชายคนเดิมเมื่อเสพหญิงงามไปทุกวัน ก็จะความเคยชินกับความงาม และบวกกับกิจกรรมเพิ่มกิเลสที่พากันทำในชีวิตประจำวัน ทำให้ความคาดหวังว่าจะได้รับสุขจากเสพเพิ่มขึ้นเป็น 5 หน่วย ซึ่งหญิงงาม 5 หน่วยก็ต้องพยายามทำตนเองให้งามขึ้นอีก เพื่อที่จะทำให้เกิดการสนองต่อความคาดหวังให้ชายนั้นรักชายนั้นหลง เลยไปออกกำลังกาย เข้าสปา เรียนแต่งหน้า หัดแต่งตัว ผ่าตัดศัลยกรรม ทำอะไรต่อมิอะไรให้ดูงดงามขึ้นอีก สุดท้ายก็ดูดีกว่าสมัยคบกันแรกๆ มีค่างามอยู่ที่ 6 หน่วย (+1) ผู้ชายคนเดิมเมื่อได้รับสิ่งที่มากเกินความคาดหวังก็จะเกิดความสุขสมกิเลสและหลงมัวเมาต่อไป

แต่วงจรนี้ก็มีวันสิ้นสุด เมื่อหญิงนั้นไม่มีวันงามได้ตลอดไป และชายคนนั้นลดกิเลสไม่เป็น เมื่อถึงจุดหนึ่งความงามของเธอที่เคยมีกลับจางหายไป ริ้วรอยเข้ามาแทนที่ ความเหี่ยวย่นหย่อนยานและหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเสื่อมนั้นเข้ามาอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้เธอจะเคยเป็นคนงาม แต่ก็เป็นคนงามที่แก่แล้ว ค่างามจึงลดจาก 6 เหลือ 3 ในขณะที่ผู้ชายติดใจความงามระดับที่ 6 ตามที่เคยได้เสพได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไว้ ทีนี้จะทำอย่างไร เมื่อสิ่งที่ใช้มัดใจชายคือความงาม และผู้ชายคนนั้นให้คุณค่ากับความงามเป็นหลัก ผู้หญิงก็ต้องสร้างคุณค่าอื่นขึ้นมาแทนความงามเพื่อให้ผู้ชายเสพ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข หรือคุณงามความดีของตน แม้กระทั่งแลกด้วยเซ็กส์ที่วิตถาร บางคนอาจจะถึงขั้นยอมให้คู่ครองไปมีหญิงอื่นเพื่อรักษาสถานะไว้ เพื่อที่จะเพิ่มคะแนนที่จะคอยดึงดูดชายคนนั้นไว้

มีบ้างที่ผู้ชายยอมอดทน ฝืนเสพความงามน้อยหน่อยแต่ชีวิตยังปกติสุข เช่น อยู่กับผู้หญิงหน้าตาไม่ดีแต่รวยก็ถือว่าสร้างความสุขได้ หรือเห็นคุณงามความดีของเธอก็เลยยอมทนอยู่แม้ว่าความงามจะลดลงกว่าเดิมมาก แต่ก็มีอีกมากที่ไม่คิดจะทนเมื่อไม่ได้เสพสมดังใจหวัง เมื่อเขาไม่ได้ตามที่คาดหวัง ก็มักจะมีปัญหาตั้งแต่การนอกใจเล็กน้อยจนกระทั่งถึงขั้นมีเมียน้อย

ผู้หญิงที่ให้คุณค่ากับความงามเพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับการวางไข่ไว้บนกระจาดใบเดียว เมื่อกระจาดล้มไข่ก็แตกหมด เมื่อวันที่ความงามของเธอหมดความหมาย ในขณะที่ผู้หญิงในโลกมีอีกหลายล้านคนที่มีความงามมากพอที่จะบำเรอชายคนรักของเธอ ดังนั้นจะสรุปไว้ก่อนเลยว่าการใช้ความงามมัดใจใครนั้นต้องลงทุนลงแรงมาก แถมยังมัดไว้ได้ไม่นานอีก เพราะเมื่อกำลังของความงามนั้นน้อยกว่าพลังกิเลสของเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะแหวกกรงที่มัดไว้แล้วออกไปหาสิ่งที่เขาต้องการ

ความงามนั้นยังสามารถลวงความจริงบางประการได้ เช่น ผู้ชายไม่ชอบและรังเกียจอาการบางอย่างของผู้หญิง แต่ความงามของเธอนั้นทำให้เขาหลงใหลจนมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ แท้จริงแล้วอาการไม่ชอบนั้นยังคงอยู่ แต่เขายอมเพื่อที่จะให้ได้เสพสุขที่มากกว่า เหมือนกับที่ผู้ชายบางคน อดทน ทุ่มเท รอคอย ในการตามจีบหญิงงามคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะใจและพิชิตร่างกายของหญิงคนนั้น เขาก็อาจจะเลิกสนใจก็ได้ เหมือนกับคนที่พยายามปืนขึ้นยอดเขา แต่แค่ปักธงเสร็จก็ลงมา ไม่มีอะไรมากกว่าการที่เขาได้เสพสุขในการเอาชนะเพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง เขาไม่ได้ต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่บนยอดเขา แต่เขาต้องการเอาชนะยอดเขา เหมือนกับชายบางพวกที่เพียงแค่อยากพิสูจน์คุณค่าของตนโดยการพิชิตหญิงงาม ดังนั้นความงามจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลวงความจริงได้อย่างน่ากลัวทีเดียว

การมีความงามนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่า ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นอยู่มากในสังคม แต่มันก็เป็นสิ่งล่อคนที่มัวเมาในกามเข้ามาหา ซึ่งอาจจะมาในคราบของเทพบุตรก็ได้ และยังเป็นสิ่งที่ปิดบังความจริงหลายๆ ประการ ดังที่ยกตัวอย่างมา ผู้ชายเขาอาจจะไม่ได้สนใจเราเลยก็ได้ ถ้าเราไม่ได้มีความงามเท่านี้ เขาอาจจะมาเสพมาให้คุณค่าเพียงแค่ความงามของเราก็ได้ใครจะรู้ ซึ่งถ้าเรายังหลงติดกับเปลือกกับเนื้อหนังเหล่านี้ยากนักที่เราจะรู้ความเป็นจริง

ศาสนาพุทธนั้นมีวิธีที่จะทำให้ความจริงนั้นปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น เมื่อคนปฏิบัติถึงระดับของศีล ๘ จะมีข้อปฏิบัติที่เข้ามาขจัดภัยอันเกิดจากความบิดเบี้ยวของความจริงเกี่ยวกับความงาม แก้ความเห็นผิดกลับ ทำให้เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นกงจักรเป็นกงจักร อย่างแรกคือการฝึกปฏิบัติเพื่อเว้นขาดจากการประดับตกแต่ง ถ้าหยาบๆ ก็ไม่แต่งตัวโป๊ ถ้าละเอียดขึ้นมาก็คือไม่ยินดีในการแต่งหน้าหรือการเสริมสวยใดๆ เลย อย่างที่สองที่จะเข้ามาชี้ชัดให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้ของคนคนนั้น หรือเป็นเพียงแค่วัตถุสนองกาม ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่กัน อยู่กันอย่างพรหม รักกัน เมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ทำร้ายกัน ในข้อนี้จะแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจนมากว่าคบหากันไปเพื่ออะไร เพื่อสนองความต้องการทางเพศ หรือเพราะอยากเมตตาเกื้อกูลกัน คือแยกขาวแยกดำให้ชัด ไม่ใช่สีเทาๆ

ซึ่งการปฏิบัติในฐานศีล ๘ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ขัดเกลากิเลสอย่างมาก ถ้ากิเลสมากจะถือศีลไม่ได้ เหมือนผีในละครที่โดนสายสิญจน์แล้วเจ็บปวดทรมาน จะมีทุกข์มาก ทรมานมาก อึดอัด กดดัน เพราะปฏิบัติเกินอินทรีย์พละของตน ดังนั้น เพื่อให้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น เราก็ไม่ควรสร้างปัญหาตั้งแต่แรก เมื่อไม่สร้างปัญหา ก็ไม่ต้องมาคอยแก้ปัญหา เราจึงไม่ควรมัดใจใครด้วยความงาม และในท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ควรมัดใจใครไว้เลยด้วยอะไรเลยก็ตามแม้แต่คุณงามความดีของเรา

และการที่เราจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาหรืออะไรคือสิ่งที่จะพาให้คลาดแคล้วจากปัญหา เราจะต้องคบกับมิตรดี มิตรที่ดีจะชี้ให้เราเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย โดยมีหลักยึดว่ากิเลสเป็นเหตุแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากกิเลสนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนั้นมิตรดีจะกล่าวแต่สิ่งที่จะพาให้ออกห่างจากกิเลส ซึ่งต่างกับมิตรชั่ว คือคนที่พาให้หลงมัวเมาในกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าการมีคู่และมีลูกนั้นเป็นบ่วง มิตรชั่วก็จะบอกตรงสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เว้นขาดจากการประดับตกแต่ง มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ประพฤติตนเป็นโสดคนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต มิตรชั่วก็จะบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม การคบมิตรดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรมีในการเดินทางสู่ความผาสุกในชีวิต ถ้าไม่มีมิตรดี ต่อให้ขยันพากเพียรปฏิบัติอีกล้านล้านปี…ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์

– – – – – – – – – – – – – – –

7.5.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ประสบการณ์ความรักโลกไม่สวย

May 21, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,453 views 0

ประสบการณ์ความรักโลกไม่สวย

ภาพความคิดเห็นจากในเพจ ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ได้อ่านความคิดเห็นที่โพสเข้ามา ข้อความเพียงสั้นๆที่ตอกย้ำให้เห็นว่าความไม่เที่ยงนั้นมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ

สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าจะใช่ วันหนึ่งมันกลับไม่ใช่ มีคนจำนวนหนึ่งได้ทดลองไปพิสูจน์สิ่งนั้น และนำประสบการณ์อันแสนจะเจ็บปวดที่มีค่าให้ผู้อื่นได้ศึกษากัน

….ลองอ่านดูก่อนนะ

….ลองเปิดใจยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่แม้เขาจะไม่มาบอก มันก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆในสังคมอยู่ดี

….ลองสังเกตุดูว่าตนเองยอมรับความจริงนั้นได้ไหม หากวันหนึ่งจะต้องเกิดกับตน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ จะเป็นอย่างไร จะดีกว่าไหมถ้าไม่รับเขาเข้ามาในชีวิตตั้งแต่แรก

….แต่ถ้ารู้สึกประมาณว่า ฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้หรอก, ฉันจะต้องทำให้ดีกว่านี้, ฉันจะเรียนรู้ความรักไปพร้อมกับการแก้ปัญหา ,ฉันเป็นคนดีต้องได้เจอสิ่งที่ดี, แม้แต่การบอกว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตน แล้วไม่สนใจศึกษาเรื่องของผู้อื่นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้เสพโดยไม่ต้องกังวล

แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเจอวิบากกรรมแบบไหน ผลของกรรมชั่วทั้งหลายก็มักจะมาในรูปแบบที่ยั่วยวนให้เสพทั้งนั้น อาจจะมีมารในร่างเทวดาเข้ามาในชีวิตก็ได้ ใครจะรู้… อาจจะหนักกว่าคนอื่นเขาก็ได้นะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการโลกสวย มันก็เกิดจากอัตตา ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันเยี่ยมยอดนั่นแหละ มันจะมองเห็นคนอื่นด้อยไปหมด โดยเฉพาะคนหน้าตาดี มีฐานะ มีชื่อเสียงก็จะยิ่งประมาทมาก เพราะเข้าใจว่าจะใช้สิ่งที่ตนมีเหล่านั้น มัดใจอีกฝ่ายได้ตลอดกาล เพราะตนมีสิ่งเหล่านั้นที่เหนือกว่าคนอื่น จึงคิดว่าตนจะต้องไม่มีทางผิดหวังช้ำรักเหมือนคนอื่นๆแน่นอน…..กิเลสมันก็ พาให้คิดไปเองแบบนี้ละนะ