ข้อคิด
มนต์รักวาเลนไทน์
มนต์รักวาเลนไทน์
…วันแห่งความคาดหวัง ที่ยากจะหยุดยั้งพลังของกิเลส
วันพิเศษที่ใครหลายคนเฝ้ารอคอย วันที่ถูกสมมุติว่าเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งวันวาเลนไทน์นี้จะมีความเป็นมาอย่างไรนั้น ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการให้ความหมายของคนในปัจจุบัน
วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความคาดหวัง เป็นวันที่พลังกิเลสของคนมีคู่หรือคนอยากมีคู่จะพุ่งพล่านเป็นพิเศษ คนที่ให้ความสำคัญกับวันนี้ต่างก็มีความกระหายใคร่อยากจะได้ในสิ่งที่จะมาบำเรอกิเลสของตน ซึ่งในสากลของประเทศที่เราอยู่นี้ก็มักจะเป็นฝ่ายหญิงที่จะถูกสนองก่อนและสนองกันและกันหลังจากนั้นอีกที
สิ่งที่ได้รับอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของเช่น ของขวัญชิ้นใหญ่ กระเป๋าใบงาม ดอกไม้ช่อโต ดินเนอร์สุดหรู ซึ่งเธออาจจะอยากได้เป็นเชิงสัญลักษณ์หรืออยากได้ของชิ้นนั้นจริงๆก็ได้ หรือบางคนที่ต้องการมากกว่าวัตถุก็จะเสพทางนามธรรมเช่น อยากได้ความรัก การเอาใจใส่ดูแล คำมั่นสัญญา คำหวาน คำชื่นชม การขอเป็นแฟน การขอแต่งงาน เป็นต้น
สำหรับมุมของผู้ชายนั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเป็นคู่ที่ยังคบกันไม่ลึกซึ้งก็หวังว่าจะลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เป้าหมายที่เห็นได้โดยมากก็คือการสมสู่ สรุปแล้วที่ผู้ชายปรนเปรอกิเลสผู้หญิงก็หวังจะได้มีเซ็กส์นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายทุกคนจะใจร้อนเสมอไป ซึ่งโดยค่ารวมๆแล้ววันวาเลนไทน์นี่ก็เหมือนวันสมสู่แห่งชาติดีๆนั่นเอง
บำเรอกิเลส
ในวันที่พลังของกิเลสพุ่งพล่าน สังคมสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปตามโลกต่างก็เกื้อหนุนพากันกระตุ้นให้หลงระเริง แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองนั้นหลงไปตามกิเลส เพราะปกติเราก็มีกิเลส คู่ของเราก็มีกิเลส พอทั้งตัวเองและคู่โดนกระตุ้นกิเลส จากสิ่งสมมุติที่เรียกว่า “วันแห่งความรัก” ก็เลยไปกันใหญ่
เมื่อความอยากได้อยากเสพทะลุเพดานศีลธรรม ความโสด พรหมจรรย์ หรือของสงวน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเก็บไว้เสมอไป เพราะอยากเสพมากเสียจนยอมแลกทุกอย่าง ดังที่เขาว่าเป็น “วันเสียตัว”
จริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหรอก เพราะมีแต่ได้ทั้งคู่ ได้ทั้งบาป ทั้งสุขลวง เพราะได้เสพสมใจตามกิเลสทั้งคู่ แม้ว่าฝ่ายหญิงจะไม่ยินดีนัก แต่เพื่อแลกมาด้วยคำว่ารักและคำมั่นสัญญาหรือสิ่งที่เธอต้องการก็มักจะยินยอม ส่วนฝ่ายชายก็ไม่ซับซ้อนอะไร แค่เพียงเกี้ยวพาราสีให้ฝ่ายหญิงเชื่อใจ เมื่อเธอเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า “ชายคนนี้นี่แหละคู่ของฉัน คนนี้นี่แหละคือคนที่สนองกิเลสฉันได้ คนนี้นี่แหละที่จะรักและดูแลฉันตลอดไป” ฝ่ายชายผู้ใจเย็นก็จึงค่อยๆลงมือละเลงไปตามความอยากของตัวเองเพื่อบำเรอกิเลสของเธอทันที
ความทรงจำดีๆ
หลายคนอาจจะคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้สร้างความทรงจำดีๆไว้ก่อน หาความสุขไว้ก่อน อนาคตไม่แน่นอนมีความสุขกับปัจจุบันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?
ถ้าเราจะคิดแบบนั้นมันก็คิดได้ ทำได้ แต่มันอยู่ที่ว่าสิ่งที่ทำนั้นอยู่บนพื้นฐานของกุศลหรืออกุศล ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยกิเลส นั่นหมายถึงเต็มไปด้วยบาปและอกุศล ความทรงจำนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือ?จะลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพ 4 ข้อ ดังนี้
1).ถ้าเรามีความทรงจำดีๆกับคู่รัก แล้วเขาได้จากไปก่อนเวลาอันสมควร เราก็ต้องมาเสียดาย เสียใจที่คนดีๆจากไป เป็นทุกข์เพราะมีแต่ความทรงจำดีๆที่เต็มไปด้วยการบำรุงบำเรอกิเลสมาหลอกหลอนอย่างไม่จบไม่สิ้น แถมยังสร้างกำแพงอัตตาไว้ขังตัวเองกับความทรงจำดีๆเหล่านั้นอีกด้วย
ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากภาพคนแก่ที่แม้คู่ตายจากไปแล้วก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม บูชาความรัก จนสามารถผลักดันให้เดินวันละหลายกิโลเมตร ไปสีซอหน้าหลุมศพคู่ครอง นั่นเพราะมีความทรงจำดีๆจนยึดมั่นถือมั่นแล้วเสพสุขกับสิ่งเหล่านั้นไปแม้สิ่งนั้นจะสลายไปแล้วก็ตาม ติดภพอยู่แบบนั้น ติดอยู่ในความสุขที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแบบนั้น จนไปไหนไม่ได้
2). ถ้าเรามีความทรงจำดีๆแต่วันหนึ่งเขาทิ้งเราไปมีคนใหม่ หรือเขาทำให้เราไม่สมความคาดหวังจนต้องเลิกรากัน ความทรงจำนั้นเองก็จะตามมาหลอกหลอน เหมือนแผลที่ไม่มีวันหาย คิดถึงทีไรก็ยังเจ็บ ยังทุกข์ ยังคร่ำครวญอยู่เรื่อยไป จมกับทุกข์แบบนี้มันดีหรืออย่างไร
ซ้ำร้ายความผิดหวังยังไปเพิ่มพลังของโทสะในใจ จนเกิดอาการพยาบาท ผูกโกรธ จองเวรจองกรรม ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากอยู่ร่วมโลก กลายเป็นเพิ่มกิเลสในตัวเองเข้าไปอีก สร้างกำแพงอัตตา สร้างมาตรฐานคู่ครองขึ้นมาใหม่ว่าคนต่อไปต้องดีกว่านี้ ต้องบำรุงบำเรอกิเลสฉันได้มากกว่านี้ และยังต้องมั่นคง ซื่อสัตย์ ให้คุณค่าแก่ฉันมากกว่านี้ด้วย ก็สร้างภพที่จะเสพกิเลสมากขึ้นเข้าไปอีก
3. ถ้าเรามีความทรงจำดีๆ ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะจบอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ได้มีทั้งรักทั้งชัง ไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด ล้างกิเลสเหตุแห่งความอยากมีคู่ได้สำเร็จ สุดท้ายความทรงจำดีๆก็จะกลายเป็นแค่เรื่องน่าอายที่ไม่น่าเปิดเผย เพราะมีแต่เรื่องของกิเลส พูดไปก็ไม่งาม เล่าไปก็มีแต่อกุศล กลายเป็นความทรงจำที่เปื้อนเปรอะ ไม่สวยงาม ใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับลีลาของกิเลสตัวเองได้เท่านั้นเอง
4. ถ้าเราหวังจะมีความทรงจำดีๆ แต่สุดท้ายมันไม่ดีดังใจหวัง นี่คือความจริงที่มักจะเกิดขึ้น เรามักจะไม่สมใจและผิดหวัง แม้ท่าทีตอนแรกจะตั้งต้นมาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในตอนจบจะได้รับสิ่งที่หวัง เราหวังว่าวันวาเลนไทน์นี้จะเป็นวันที่สร้างความทรงจำที่ดีแต่กลับมีแต่สิ่งที่ไม่สมใจหรือเลวร้ายเกิดขึ้นในวันนั้น คนที่คาดหวังก็เลยอกหักอกพังกันหมด
เช่น นัดไว้อย่างดิบดี สุดท้ายก็เลื่อนนัด , ไม่ได้นัดกันด้วยเหตุบางอย่าง แต่สุดท้ายก็รู้ข่าวว่าแฟนอยู่กับคนอื่นหรือไปกับเพื่อน , นัดเจอกันสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ,หรือกระทั่งคิดจะสมสู่กันแต่สุดท้ายกลับไม่เป็นดังใจหวัง หรือกระทั่งเป็นเหตุให้ตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจและเหตุจากปัจจัยภายนอกอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ
….ดังจะเห็นได้ว่า การแสวงหาความทรงจำที่จะเสพสมใจในกิเลสตามแรงผลักดันของกิเลส ไม่มีผลดีอะไรเลย ไม่มีดีทั้งต้น กลาง ปลาย ไม่มีสาระ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย มีแต่ความสุขลวงเพื่อให้หลงเสพไปเท่านั้น กิเลสมันลวงให้เราเล่นตามบท ให้เราหมกมุ่นกับวันวาเลนไทน์ ให้เราจริงจังกับสิ่งที่เรียกว่าความรักที่เติบโตบนความใคร่และความอยากที่หลากหลาย ให้เราทำบาป ทำชั่ว สะสมทุกข์เป็นสมบัติของเราไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงเพื่อแลกกับสุขจากเสพเพียงชั่วครู่เท่านั้น
– – – – – – – – – – – – – – –
6.2.2558
การสะสมว่ายากแล้ว การเลิกสะสมนั้นยากกว่า
การสะสมว่ายากแล้ว การเลิกสะสมนั้นยากกว่า
ในชีวิตเรานั้นตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ อาจจะรู้จักแค่คำว่าสะสม ไม่ว่าจะสะสมการเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ สะสมทรัพย์สินเงินทอง สะสมสิ่งของ สะสมบ้านและรถ สะสมบริวาร สะสมบารมีชื่อเสียง สะสมความรัก สะสมความสุข ฯลฯ
เป็นเรื่องสามัญที่คนเขาทำกันทั่วไปในโลก จะว่ายากก็ยาก เพราะกว่าจะได้มาในแต่ละอย่างที่หวังไว้นั้น บางทีเอาทั้งชีวิตไปแลกก็ไม่พอ
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้ามีพลังของกิเลสเป็นตัวผลักดันแล้วล่ะก็ เราก็จะยินดีถวายชีวิตเพื่อที่จะให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาเสพมาสะสม กิเลสจะทำให้เรายินดีเผาพลังชีวิตไปเพื่อให้ได้ความสุขที่ได้สะสมสิ่งเหล่านั้น
แต่การเลิกสะสมนั้นยากกว่าการสะสมมากนัก มีนักสะสมที่เก่งมากมาย รวบรวมของหายากมาไว้กับตัว เราสามารถเห็นนักสะสมทั้งสิ่งของ ความรู้ความสามารถ ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของ โลกธรรมได้ไม่ยากนัก เพราะมีตัวอย่างให้เห็นโดยทั่วไปในโลก แต่เรากลับไม่สามารถหาคนที่เลิกสะสมได้ง่ายนัก
การเลิกสะสมจึงเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในโลก ใครที่มีความรู้สึกที่อยากจะเลิกสะสม อยากสละ ไม่อยากเอามาเป็นภาระ เขาเหล่านั้นก็คือผู้พ้นภัยจากการสะสมจากสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง
การจะสะสมนั้นต้องมีกลยุทธ์ในการแสวงหา มีขั้นตอนในการหามาครอบครอง เช่นอยากรวยก็ต้องเรียนในเรื่องที่ทำรายได้สูงๆ อาชีพที่รายได้ดี มีการเติบโตเจริญก้าวหน้าที่รวดเร็วหรือถ้าอยากรวยลัดก็เล่นพนัน หวย หุ้น ถ้าระดับหยาบๆ รวยลัดและมักง่ายก็ขายของเถื่อนหรือขโมยของกันเลย
การเลิกสะสมนั้นก็ต้องมีกลยุทธ์ในการสละออกเหมือนกัน เพราะในปัจจุบันนี้ สิ่งที่คนเราสะสมล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไร้สาระและมอมเมาคน หากเราสละออกอย่างไม่มีศิลปะ สิ่งที่เราคิดว่าสละแล้วพ้นจากตัวของเราอาจจะไปก่อเวรภัยสร้างภาระให้กับคนอื่นก็ได้ การสละออกต้องใช้ปัญญาและศิลปะอย่างมาก ไม่ใช่แค่ปัดให้พ้นตัวเราเพียงอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย
ตอนที่เราสะสมมันจะมีกิเลสมาสร้างสุขลวงให้ แต่ตอนที่เราเลิกสะสมแล้วมันจะไม่มีกิเลสตัวเดิมนั้น ไม่มีความรู้สึกอะไรให้อยากเก็บไว้ ดังนั้นสิ่งที่เก็บสะสมไว้ก็จะกลายเป็นภาระทันที แต่เรามักจะไม่สามารถโยนภาระออกไปทันทีได้ เพราะวิบากบาปที่เราสะสมมาจะทำให้เราสลัดออกได้ไม่ง่ายนัก เราจึงต้องเรียนรู้การสละออกอย่างไม่ให้เป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น
ซึ่งการสละออกอย่างไม่เป็นโทษ นั้นยากกว่าการแสวงหาและสะสมมากนั้น ต้องมีศิลปะและชั้นเชิงอย่างมากเพราะต้องรักษาความเป็นกุศลไว้ ส่วนการสะสมนั้นไปในทางอกุศลอยู่แล้ว จะมากจะน้อยก็อกุศลอยู่ดี ดังนั้นทุกวันนี้จึงมีผู้รู้ทั้งหลายออกมาเผยแพร่วิธีให้เป็นนักสะสมกันมากขึ้น เพราะมันไม่ต้องระวังอะไร แค่มีให้สะสมก็พอ ยิ่งสะสมได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเท่าไหร่ยิ่งดี เป็นอกุศลเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเห็นอกุศลเป็นกุศล เห็นสิ่งชั่วเป็นสิ่งดี เหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
5.2.2558
มรณสติ
มรณสติ
การระลึกถึงความตายหรือ “มรณสติ” นั้น คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต และยังให้ผลเจริญในทางธรรมอย่างมากอีกด้วย
คนส่วนมากใช้อยู่ชีวิตทุกวันนี้ ก็เพื่อแสวงหาความเจริญและความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เกินความจำเป็นของการดำรงชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนบนโลกนั้นเกิดมาเพื่อไขว่คว้าเสมอ และสิ่งหนึ่งที่จะชะลอหรือหยุดความกระหายในการแสวงหาโลกธรรมเหล่านี้ก็คือมรณสติ
การระลึกถึงความตายจะทำให้เราตระหนักได้ว่าทุกอย่างต้องมีจุดสิ้นสุด ซึ่งอาจจะถึงก่อนเวลาที่เราหวังไว้เสมอ โลกธรรมนั้นสนองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็มอิ่ม เพราะกิเลสนั้นไม่เคยพอ เราไม่สามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อแสวงหาเรื่องทางโลกเหล่านั้นจนพอใจได้
การระลึกถึงความตายจะเข้ามาช่วยหยุดกระแสโลกธรรมเหล่านี้ โดยการสร้างความเห็นความเข้าใจว่า สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นนั้นไม่เที่ยง เราจะต้องตายในวันใดวันหนึ่ง แบบใดแบบหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน การระลึกนั้นคือการคิดพิจารณาในใจโดยแยบคายว่า หากความตายมาถึงแล้ว ฉันจะเป็นอย่างไร ฉันจะต้องทำอย่างไร คนรอบข้างฉันจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของฉันจะเป็นอย่างไรฯลฯ
การพิจารณาถึงความตายบ่อยๆจะทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นและสร้างความตระหนักในหน้าที่ เป็นผลที่ทำให้เจริญทั้งในทางโลกและธรรมไปในเวลาเดียวกัน
การระลึกถึงความตาย
1).วันนี้ต้องเดินทาง จะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไรบ้าง แล้วจะตายได้แบบไหนบ้าง จะต้องสูญเสียหรือพิการอย่างไรบ้าง ถึงเราไม่ประมาทแต่คนอื่นก็สามารถประมาทได้ใช่ไหม? เวลาวิบากกรรมมันมา เราป้องกันไม่ได้ใช่ไหม? แล้วเราจะเตรียมใจรับอย่างไร เราพร้อมจะตายหรือยัง เรามีสิ่งใดที่ควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ สิ่งใดที่เป็นสาระสำคัญกับชีวิตของเราจริงๆ หากเรามีเวลาเหลืออยู่เพียงไม่กี่นาที เราจะพูดอะไร กับใคร เพื่ออะไร
2).วันนี้อยู่บ้าน จะเกิดเหตุอย่างไรได้บ้าง ไฟไหม้ ขโมยเข้าบ้าน หรืออุบัติเหตุในบ้านเช่นไฟดูด ตกบันได งูกัด ฯลฯ แล้วเราจะตายท่าไหนได้บ้าง ความตายแบบนี้เรายอมรับมันได้หรือไม่ เราพร้อมหรือยัง
3). วันนี้ขยันทำงานอย่างเต็มที่ คิดฝันว่าอนาคตจะสร้างครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ในอนาคตนั้นจะยังเหลือใครที่จะอยู่กับเราบ้าง พ่อแม่ พี่น้อง คู่ครอง ลูกหลาน ยังจะอยู่กับเราถึงวันนั้นไหม เราพร้อมจะรับไหมหากเขาเหล่านั้นได้จากไปก่อนเวลาที่เราคิดว่าควร
…เวลาวิบากกรรมมันไล่ล่าเรา เราไม่รู้หรอกว่ามันจะส่งผลให้เราตายแบบไหน ความตายนั้นไม่ได้หมายแค่การเสียชีวิต แต่หมายรวมถึงการเสียสภาพในการมีชีวิตแบบเดิมเช่น ต้องกลายเป็นอัมพาต พิการแขนขาขาด คือตายจากสภาพเดิมๆ สูญเสียสิ่งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
เราต้องพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ความตายจากสิ่งที่รักนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา นั่นหมายถึงสภาพที่สุขใจ พอใจ จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องธรรมดา วันนี้เราอาจจะทำงานมีเงินใช้และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ในวันใดวันหนึ่งความสุขเหล่านั้นก็จะต้องจากไปเป็นธรรมดา อาจจะมีหลายปัจจัยเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตเปลี่ยนไป หากเราเองยังไม่สามารถยอมรับความตายในมิติที่กว้างกว่าความตายของชีวิตได้ เราก็จะยังต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป
ผู้ที่ประมาทมักจะคิดว่าตัวเองจะยังไม่ตายจนกว่าจะถึงเวลานั้นเวลานี้ หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงความตายเลยด้วยซ้ำ ก็จะแสวงหาไขว่คว้าหาสมบัติ หาสิ่งบันเทิงใจ บำเรอกิเลสตัวเอง แสวงหาสุข จนกระทั่งวันหนึ่งวิบากกรรมส่งผลให้สิ่งเหล่านั้นได้ตายจากเราไป หรือเราตายจากมันไป คือเกิดการพลัดพรากจากกัน ผลก็คือการสูญเสีย ผู้ที่ไม่เคยระลึกถึงความตายเลยก็จะเกิดอาการอกหักอกพัง
แต่ผู้ที่ระลึกถึงความตายทั้งในด้านที่ว่าชีวิตนั้นต้องตายเป็นธรรมดา และในด้านที่ว่าสภาพที่เคยสุขนั้นๆจะต้องตายเป็นธรรมดา จะเข้าใจและเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด อยู่กับสิ่งที่ควร ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่แสวงหาหรือไขว่คว้าจนไปทำลายความปกติสุขในชีวิต
– – – – – – – – – – – – – – –
4.2.2558
ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง
ความรักของเรา เธอรักฉัน ฉันรักเธอ… หรือฉันรักตัวเอง
…ความรักที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร?
ในบทความก่อนหน้านี้ได้ขยายเหตุว่าทำไมฉันจึงไปหลงรักเขาในมุมของกรรมกันมาแล้ว ในบทความนี้ก็จะมาขยายกันในมุมของกิเลสบ้าง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพกิเลสได้ชัดเจนแค่ไหนก็ลองอ่านแล้วค่อยๆพิจารณาตามกันดู
ความรัก นั้นคือความอยาก แต่ในความอยากนั้นก็มีมิติที่ซับซ้อนทั้งดีและร้าย ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นไปในทางร้าย คือมีกิเลสปนอยู่ในความอยากนั่นเอง กิเลสเป็นตัวที่ผลักดันให้เราหลง ทำให้เราให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้เราตัดสินใจรัก หากเรายังไม่สามารถ “เห็น” กิเลสในตัวเองอย่างชัดเจน จนมั่นใจว่าความรักของฉันครั้งนี้นี่มันเกิดจากกิเลสตัวนั้นตัวนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจความรักที่แท้จริงได้ เพราะโดนกิเลสบังไว้จนกลายเป็น “ความรัก(จากกิเลส)ทำให้คนตาบอด”
ในบทความนี้เราก็จะนำเสนอเรื่องกิเลสด้วยกันสี่หัวข้อคือ
- 1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส : เริ่มต้นกันตั้งแต่เริ่มหาคู่กันเลย เป็นการเกิดขึ้นของกิเลส
- 2). ทาสกิเลส : สภาพการตั้งอยู่ของความรักจากกิเลส
- 3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร : สภาพการดับลงไปของความรักที่เต็มไปด้วยกิเลส
- 4). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา : เป็น “ผล” ที่เกิดขึ้นจากความรักที่มีแต่บาปและอกุศล
หัวข้อทั้งหมดที่ได้เรียบเรียงมานั้นก็เพื่อจะนำเสนอให้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้น การดำเนินอยู่ จนกระทั่งการจบลงไป ซึ่งหากเราได้สำรวจและทบทวนดีๆก็จะเห็นได้ว่าในการคบหากันนั้นมีสภาพของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร มันตั้งอยู่นานเท่าไหร่ แล้วมันดับไปได้อย่างไร เราจะมาเรียนรู้กิเลสตามหัวข้อเหล่านี้กัน
1). กลยุทธ์ในการหาคนมาบำเรอกิเลส
การจะมีคู่ได้นั้น บางคนก็เป็นเรื่องยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร บางคนก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สังเคราะห์ขึ้นมาเช่น หน้าตาดี มีความมั่งคั่ง มีชื่อเสียง พูดจาดี อาจจะเป็นสิ่งที่ติดมาตั้งแต่เกิดหรือสิ่งที่ฝึกฝนหรือสร้างใหม่ขึ้นในชาตินี้ก็ได้
กลยุทธ์ในการมีคู่หรือหาคนมาบำเรอกิเลสนั้น จะอธิบายกันด้วยภาพกว้างๆ 3 ลักษณะ คือ รุก , รอสวนกลับ , รับ ซึ่งจะมีลีลาอาการที่แสดงออกต่างกัน ไม่จำเป็นว่าต้องมีแผนเดียวเสมอไป สลับสับเปลี่ยนแผนได้ตามกำลังกิเลสที่มี
1.1). รุก (จีบ)
คนที่เป็นฝ่ายรุกนั้นจะเป็นใครก็ได้ จะเป็นคนหน้าตาดีก็ได้ หน้าตาไม่ดีก็ได้ การรุกคือการเข้าไปจีบ การแสดงความอยากครอบครองโดยการสนองกิเลสต่างๆให้กับเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่หวัง โดยมากมักจะเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เช่น คนสวย คนรวย คนมีชื่อเสียง แต่ถึงจะไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกระตุ้น แค่ใช้แรงกระตุ้นจากธรรมชาติในแบบชายหญิงตามสัญชาติญาณของคนมีกิเลสทั่วๆไป ก็สามารถที่จะรุกได้เหมือนกัน หรือถ้าเขาหรือเธอสามารถกระตุ้นกิเลสเราได้มากพอที่เราจะอยากได้เขาจนตัวสั่นความอยากก็จะทำให้เรารุกเช่นกัน
คนที่ไม่มีวาสนาเก่ามาเช่น หน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย ก็อาจจะต้องเล่นเกมรุก เพราะคงจะหาคนมารุกตัวเองได้ยาก ตั้งรับไปก็ไม่มีใครมารุก แห้งเหี่ยวอยู่อย่างนั้น แต่กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราแห้งตายอยู่แบบนั้น แม้จะหน้าตาไม่ดี บ้านไม่รวย พูดไม่เก่ง แต่พลังกิเลสจะกระตุ้นให้เราพัฒนา ออกกำลังกาย แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี ทำศัลยกรรม ขยันทำงาน เก็บเงิน สร้างภาพ หัดพูดกับคนเยอะๆ นี่คือพลังของกิเลสที่สามารถสร้างพลังที่จะใช้ “รุก” ได้นั่นเอง
แม้คนที่มีหน้าตาดี บ้านรวย มีชื่อเสียง พูดจาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบเล่นเกมรับเสมอไป เขาหรือเธออาจจะชอบเล่นเกมรุกด้วยปัจจัยที่มีมากกว่าคนอื่น จึงสามารถรุกไปจับจิตใจของใครหลายๆคนได้โดยง่าย จึงเกิดเป็นสภาพของ “คนเจ้าชู้” เพราะเขาเหล่านั้นต้องการเสพสิ่งที่มากกว่า สิ่งที่ดีกว่าอย่างไม่จบไม่สิ้น
การรุกนั้นมักจะถูกใช้เมื่อเราต้องการได้สิ่งนั้นมากๆ ความอยากเสพสุขจากกิเลสนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เสพไปก็อยากได้เพิ่ม อยากได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการที่เรารุกเข้าไปในชีวิตใครก็สังเกตให้ดีว่าเรากำลังอยากได้ อยากมี อยากเสพอะไรในตัวเขากันแน่
1.2). รอสวนกลับ (รอจับ)
คนที่รอสวนกลับมักจะไม่รุกในทีแรก ทำเหมือนไม่สนใจใคร แต่จะเปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาได้บ้าง ไม่ปิดตัวเองเสียทีเดียว พอมีคนหลงเข้ามา หากถูกใจก็จะรุกในทันทีจนเหยื่อตั้งรับไม่ทัน เรียกว่า “โดนจับ” มีให้เห็นโดยมาก เป็นสภาพซ้อนของการรุกที่มีชั้นเชิงของกิเลสมากขึ้น
สาเหตุของการรอสวนกลับ นั่นเพราะเขามักจะมีโลกธรรมสูง เช่นขี้อาย กลัวคนนินทา กลัวทำตัวไม่ถูก จึงมีฟอร์ม มีการวางท่า มีความลึกลับซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา ไม่จริงใจ ทีเล่นทีจริง อยากรุกแต่ก็รุกไม่เป็น กลัวว่าถ้ารุกไปแล้วจะพลาดพลั้งหรือเสียฟอร์มก็เลยวางเกมรับแล้วรอสวนกลับ
เรียกง่ายๆว่ารอคนอื่นเปิดเกมก่อนแล้วจะเล่นตาม ซึ่งกิเลสก็จะมาเสริมทัพในด้านการเพิ่มโอกาสให้มีคนเข้ามาหา เหมือนกับวิธีรุก คือทำตัวให้ดูดี น่าคบหา ยั่วกิเลสกันไป เหมือนกับดอกไม้กินแมลงที่พอเหยื่อหลงเข้ามาแล้วก็จะงับทันที
1.3). รับ (มีให้เลือก)
คนที่ใช้กลยุทธ์รับโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีพร้อมด้วยกามคุณและโลกธรรม เช่นมีรูปร่างที่สวย หน้าตาดี เสียงเพราะ ฐานะดี การงานดี มีชื่อเสียง เป็นต้น
ในสมัยนี้แค่หน้าตาดีก็รับกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว จะมีคนมาแจกขนมจีบจนแทบไม่ได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ต้องมาคอยบริหารเสน่ห์ จัดการกับผู้ที่วนเวียนเข้ามาในชีวิต
ผู้รับมักจะเป็นผู้เลือก แต่ก็มักจะไม่เลือกในทันที เพราะมีให้เลือกมาก ทำเหมือนจะเลือกแต่ก็ไม่เลือก แทงกั๊กอยู่เสมอ เหมือนแมวที่เล่นเหยื่อแต่ไม่ยอมกินเหยื่อ จนกระทั่งมั่นใจว่าคนนั้นแหละคือคนที่จะมาบำเรอกิเลสของฉันได้ ก็จะจับเหยื่อในท้ายที่สุด
การรับนั้นเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเองเช่นกัน เพราะยิ่งมีเสน่ห์เท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างกระแสแห่งบาปมากเท่านั้น เพราะจะทำให้คนหลง คนมัวเมา ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงหน้าตาดี ถ้ายิ่งแต่งตัวโป๊คนก็จะยิ่งมอง และถ้ายิ่งมนุษย์สัมพันธ์ดีคุยกับเขาไปทั่วเขาก็จะหลงกันหมด ที่หลงนั่นคือหลงอยากเสพ จึงกลายเป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่น
การจะคงสภาพ “รับ“ ได้นั้นจำเป็นต้องบริหารเสน่ห์ตัวเองไปเรื่อยๆ ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม สร้างภาพ สับราง บริหารเสน่ห์ โดยที่ต้องแข่งกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและแข่งขันกับคู่แข่งมากมายที่อาจจะมารุกใส่คนที่เราหมายตาอยู่ก็ได้
คนที่เอาแต่รับนั้นยากที่จะเปลี่ยนเป็นรุก เพราะมักจะสั่งสมกิเลสไว้มาก สร้างโลกธรรม สร้างอัตตามาครอบตัวเองไว้ ว่าฉันนี้ดีพร้อม คนอื่นต้องวิ่งเข้าหาฉัน ทำตัวเหมือนดอกไม้ที่รอแมลงเข้ามา ไม่สามารถขยับไปหาแมลงได้ กลายเป็นติดภพ จมอยู่ในภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
2). ทาสกิเลส
ไม่ว่าจะรุก รอสวนกลับ หรือตั้งรับ สุดท้ายเป้าหมายก็คือการได้มาซึ่งคู่ครองที่หมายตาไว้อยู่ดี ซึ่งอาจจะดีดังใจหวัง มากกว่าที่คาดหวัง หรือจะแย่กว่าที่หวังนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ “ฉันเลือกเขามาเพราะฉันคิดว่าเขาจะสามารถบำเรอกิเลสของฉันได้”
นั่นคือเราจะเลือกคนที่เราคิดว่าในอนาคตเราจะได้เสพสิ่งที่หวังไว้ สิ่งที่หวังของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน หนาบางลึกตื้นไปตามกิเลส
…บางคนแค่อยากสมสู่ก็หาใครก็ได้ที่ใจง่ายๆมาคบกันเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะได้สมสู่ สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาสนองความใคร่
…บางคนแค่อยากมีเพื่อนร่วมเสพในกิจกรรมต่างๆ กินเที่ยวด้วยกันก็หาคนที่คิดเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ได้คู่มาช่วยสนองกิเลสกันและกัน
…บางคนแค่อยากรวยก็หาใครก็ได้ที่มีเงิน ไม่จำเป็นว่าต้องหล่อหรือจิตใจดีขอแค่รวยก็พอ เพราะรู้ว่ายังไงเราก็จะได้เงินใช้สุดท้ายเราก็แค่อยากรวยโดยไม่ต้องลำบาก
…บางคนแค่อยากมีลูกก็เลยหาใครก็ได้มาเป็นพ่อแม่ของลูก เอาที่ดูดีหน่อย เชื้อจะได้ดีๆ สุดท้ายเราก็แค่อยากเสพอารมณ์ในการมีลูก
…บางคนแค่อยากมีชื่อเสียง ก็เลยหาคนที่มีชื่อเสียงในสังคมแล้วก็ใช้เขาเป็นตัวกระตุ้นชื่อเสียงตัวเอง สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาเสริมโลกธรรมของเรา เพิ่มสรรเสริญให้กับเรา
…บางคนแค่ขี้เกียจทำงานอยากมีคนดูแลก็เลยหาคนที่พอจะมีศักยภาพในการดูแลทั้งชีวิตนี้ได้และเกาะเขาไปเป็นที่พึ่ง สุดท้ายเราก็แค่อยากได้คนมาเลี้ยงดูชีวิต
…บางคนแค่หลงว่าเกิดมาแล้วต้องมีคู่จึงจะมีคุณค่า ก็เลยหาใครสักคนที่พอสมน้ำสมเนื้อมาควงคู่ไม่ให้ใครเขานินทาว่าอายุปูนนี้แล้วยังไม่มีใครเอา สุดท้ายเราก็แค่เอาเขามาปกป้องโลกธรรมของเรากลัวคนนินทา
…บางคนแค่หลงว่าชีวิตที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานมีครอบครัว ก็เลยหาใครสักคนที่เหมาะจะมาเป็นสามีหรือภรรยา สุดท้ายเราก็แค่สนองความหลงของเรานั่นเอง
…บางคนแค่อยากหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ก็เลยหาใครสักคนที่ดูมั่นคงและซื่อสัตย์และพร้อมจะดูแลเราเข้ามาในชีวิต สุดท้ายเราก็แค่กลัวลำบากไม่มีใครดูแล
…บางคนแค่หลงว่าเราสามารถมีคู่ใช้ชีวิตร่วมกันทำกุศล สร้างความดี ความเจริญร่วมกันได้ ก็เลยหาคนที่ดูมีบุญบารมีที่เหมาะควร สุดท้ายเราก็แค่หลงไปในกิเลส หาเรื่องครองคู่โดยใช้ข้ออ้างที่สวยหรูมาบังหน้าเพื่อเสพกามและอัตตา
…บางคนแค่เหงาก็เลยหาใครสักคนคนเข้ามาในชีวิตเพื่อเป็นเพื่อนคุย สุดท้ายพอหายเหงา หลุดจากสภาพที่ต้องทนเหงา หรือมีคนอื่นที่ดีกว่ามาแก้เหงา ใครคนนั้นก็หมดค่าเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เขาสนองกิเลสอีกต่อไป
สรุปแล้วคนที่เราเลือกมาเป็นคู่นี่แหละคือคนที่ซวยสุดซวย เพราะต้องมารองรับกิเลสของเรา ต้องคอยสนองกิเลสของเรา เป็นทาสกิเลสของเรา ต้องบำเรอเรา เป็นสิ่งที่มาสนองกิเลสของเรา “ฉันเลือกเธอมาเพราะฉันคิดว่าเธอจะดูแล(กิเลส) ของฉันได้ “
หลายคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ! ฉันก็รักเขา ฉันก็ดูแลเขา ฉันก็จริงใจกับเขานะ …ความรู้สึกนี้มันก็ใช่ แต่มันทำไปเพื่ออะไรล่ะ เรายอมสละ ยอดอดทน ยอมทุ่มเท แรงกาย แรงใจ พลีกายถวายชีวิต ทั้งหมดก็เพื่อเสพบางสิ่งจากคู่ครองใช่ไหม นั่นแหละคือสิ่งที่เราจ่ายไปเพื่อที่จะได้สิ่งที่เราคิดว่ามากกว่ามาเสพ “ที่ฉันทุ่มเทให้เธอเพราะฉันคิดว่าเธอจะสามารถบำเรอสุขให้ฉันได้มากกว่าที่ฉันทำไป”
เมื่อใช้กิเลสเข้ามาเป็นแรงผลักดันในการครองคู่กันสุดท้ายก็จะเกิดเป็นกรรมชั่วในที่สุด กลายเป็นคู่เวรคู่กรรม สะสมกรรมชั่วกันเพิ่มในชาตินี้ เช่น ไปกินของอร่อยบำเรอกิเลสด้วยกัน ไปท่องเที่ยวตามกิเลสด้วยกัน ไปร่ำรวยสนองกิเลสด้วยกัน ไปมีชื่อเสียงเติมกิเลสของกันและกัน
ในการครองคู่นั้นยากนักที่จะหลีกเลี่ยงการสนองกิเลสให้แก่กันและกัน แทบจะทุกเหตุการณ์ของชีวิตที่เป็นการเพิ่มกิเลส ได้เสพสมใจก็กิเลสเพิ่ม อยากเสพอีก ไม่ได้เสพก็ทุกข์ใจคับแค้นใจ โกรธจนสะสมกิเลสอีก ดังนั้นการครองคู่จึงสะสมเชื้อทุกข์ สะสมกิเลสพอกไปเรื่อยๆ ออกดอกออกผลแห่งบาปไปเรื่อยๆ
3). คะนองกิเลส บทพิสูจน์ว่าฉันรักใคร
ในตอนที่เราหลงติดหลงยึดจนอยากเสพ มันจะมีภาพฝันสวยๆของการครองคู่ เช่น เราจะรักกันไปจนแก่ เราจะมีลูกด้วยกัน มีบ้านน่ารักๆ ดูลูกหลานวิ่งเล่นพร้อมกับใช้ชีวิตรักอย่างเป็นสุข หรือถึงแม้เขาหรือเธอจะแก่ไปฉันก็จะรัก แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ป่วย พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ฉันก็จะดูแลเธอเอง
กิเลสก็จะพาให้ฝันหวานไปแบบนี้เอง เพราะจินตนาการมันถูกผลักดันด้วยกิเลส พอใจมันอยากเสพก็จะพิจารณาแต่ประโยชน์ คือจะมองเห็นแต่ข้อดีของการมีคู่ เห็นแต่สุข ไม่เห็นทุกข์เลย มันจะไม่มองความจริงตามความเป็นจริง ตามันมองเห็นแต่ก็มืดบอดมองความจริงไม่เห็น หลงอยู่ในสภาพสุขที่กิเลสหลอกไว้
แล้วก็ใช้เวลาครองคู่สนองกิเลสกันบ้าง ไม่สนองกันบ้าง เพราะความจริงแล้วคู่ที่เราเลือกมาเขาก็ใช้เราเป็นสิ่งสนองกิเลสของเขาเหมือนกัน เขาก็มีความอยากของเขา แรกๆมันก็จะยอมกันไปได้บ้าง พลัดกันเสพ ฉันยอมให้เธอ เธอยอมให้ฉัน เรารักกัน ให้อภัยกัน พลัดกันเสพสุขกันไป
แต่กิเลสมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อชีวิตของการครองคู่คือการสนองกิเลสของกันและกัน ก็จะมีแต่การเพิ่มกิเลสกันไปกันมา สุดท้ายวันหนึ่งกิเลสก็จะก้อนใหญ่ขึ้น อยากเสพมากขึ้นในขณะที่ประสิทธิภาพของการสนองกิเลสนั้นลดลง จึงนำมาซึ่งการผิดใจกัน ขัดใจกัน ไม่ยอมกัน
…ในตอนนี้เราจะเริ่มรู้ได้ชัดแล้วว่า ”เรารักใคร ” ในตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่าน อยากได้อยากเสพ คิดว่าตัวเองถูกต้อง เอาแต่ใจนั่นแหละ เราจะเห็นว่าที่แท้จริงเรารักใคร
ที่เราโกรธ ไม่พอใจ ขัดใจ ขุ่นมัวในใจ เป็นเพราะเราไม่ได้เสพสมใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ นั่นเพราะเราไม่ได้รักเขาตั้งแต่แรก เรารักตัวเองแล้วเราเอาเขามาเป็นเครื่องสนองกิเลสตัวเอง พอเขาสนองไม่ได้เราก็จะมีอาการหงุดหงิดเหล่านี้เพราะมันไม่สมใจตัวเอง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในลักษณะเหล่านี้เองเป็นตัวสรุปว่าแท้จริงแล้ว “ฉันรักตัวเอง”
5). กรรมกิเลส ที่สร้างขึ้นมา
เพราะความ “รักตัวเอง” นี่เองเราจึงยินดีสร้างกรรมขึ้นมา คือยินดีที่จะไปหาใครสักคนมาสนองกิเลสของเรา มาเป็นคนบำรุงบำเรอกิเลสเรา โดยใช้ข้ออ้างว่ามันคือ “ความรัก” แน่นอนว่ามันคือความรัก แต่เป็นความรักตัวเองจนต้องหาผู้อื่นมาบำเรอตน นั่นหมายถึง “ความเห็นแก่ตัว” อย่างยิ่งยวด
ความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเอง มองแต่ตัวเอง คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง กลายเป็นให้ความสำคัญกับตัวเองมากที่สุด เมื่อให้ความสำคัญกับตนเองมากที่สุด ก็หมายถึงมี “อัตตา” ที่มาก
นั่นจึงนำมาสู่การเบียดเบียนผู้อื่นโดยที่ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้ว่าการไปกระตุ้นกิเลสหรือการไปยั่วกิเลสของคนอื่นเป็นบาปแค่ไหน เพราะตนนั้นหลงเสพสุขในอัตตาของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นมาเติมเต็มความเป็นตัวของตัวเอง เช่นฉันเป็นคนแบบนี้, ต้องแต่งตัวแบบนี้, กินอาหารแบบนี้, เธอต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้, วันพิเศษต้องทำแบบนี้, เวลาฉันโกรธต้องง้อฉันก่อน ฯลฯ เหล่านี้คือสภาพของความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพสวยๆในอุดมคติของสิ่งที่เรียกว่าความรัก
ความฝันที่สวยงามในชีวิตคู่ คงไม่จริงเท่าความเห็นแก่ตัวที่เห็นกันอยู่ชัดๆ จนกระทั่งสามารถเอาชีวิตอื่นมาบำเรอกิเลสตนได้ นั่นจึงเป็นการสะสมบาปและอกุศลกรรมร่วมกัน สร้างทุกข์ โทษ ภัยสะสมไว้ส่งผลกับตัวเองทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าและชาติอื่นๆต่อไป
เป็นกรรมจากกิเลสที่ต้องรับในอนาคต เหมือนดังที่หลายคนได้เจอกับสภาพที่ต้องทุกข์เพราะความรัก ทุกข์เพราะคนรัก นั่นก็เพราะมันมีหนี้บาปกันมา เคยสนองกิเลสกันมา พอมาเจอกันในชาตินี้เชื้อชั่วในจิตใจก็จะดูดดึงกันเหมือนกับสภาพรักตั้งแต่แรกเจอ นั่นแหละ “ตัวเวรตัวกรรม” มันจะลากให้ไปทำชั่วกันต่อ ให้ไปสั่งสมกิเลสร่วมกันต่อ ให้วนเวียนอยู่ในโลกไปด้วยกันต่อ แล้วก็ต้องเจอทุกข์จากความรักวนเวียนไปไม่รู้จบ
เพราะยิ่งครองคู่ก็จะยิ่งสร้างกรรมชั่ว ไม่มีการครองคู่ใดเป็นไปในฝั่งกุศลฝ่ายเดียวอยู่แล้ว มันจะมีอกุศลหรือสิ่งชั่วปนไปด้วยเสมอ และโดยส่วนมากมันก็จะชั่วมากกว่าดี ดังนั้นยิ่งมีคู่มาก มีรักบ่อย เปลี่ยนคนรักบ่อยก็ยิ่งต้องรับผลชั่วที่ทำไว้มาก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีคู่คนเดียวแล้วจะดีเสมอไป การมีคู่โผล่มาคนเดียวในชีวิต โดยความเข้าใจทั่วไปก็จะเหมือนคู่แท้ ที่ผูกกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ซื่อสัตย์จริงใจ ไม่เคยคบใครนอกจากคนนี้ แต่นั่นหมายถึงกรรมชั่วทุกอย่างมันก็จะมารวมที่คนนี้คนเดียวนั่นแหละ กรรมเขาก็จะจัดสรรเหตุการณ์ที่เจ็บปวด เผ็ด แสบร้อนให้ต้องทุกข์ในท้ายที่สุดทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ดี
ดังนั้น การไม่มีคู่เสียเลยยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องลากใครเข้ามาเพิ่มในบ่วงกรรมของเรา ไม่ต้องให้เขาต้องมาคอยบำเรอกิเลสเรา เราก็ไม่ต้องลำบากไปสนองกิเลสเขา เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว จึงยอมปล่อยให้เขาไปเผชิญกับชีวิตตามกรรมของเขา ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เองคือความเมตตา คือความรักที่แท้จริง คือความรักที่มีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นความรักที่เต็มไปด้วยปัญญารู้แจ้งในกิเลสและกรรม เมื่อเข้าใจและปล่อยวางได้เช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่า “ฉันรักเธอ” ได้อย่างแท้จริง
– – – – – – – – – – – – – – –
28.1.2558