ข้อคิด

ความตายชนะทุกสิ่ง

August 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,724 views 0

ความตายชนะทุกสิ่ง

ความตายชนะทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หรือต่ำต้อยเพียงใด ชีวิตก็ต้องดำเนินมาถึงความตาย แม้ชีวิตจะมีแต่ความสุข ที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง อำนาจ คนรัก ญาติมิตร บริวาร หรือกระทั่งความทุกข์ โรค ภัย ไข้เจ็บ ความเหงา เศร้า ทรมาน ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความตาย ทุกสิ่งช่างไร้ค่า…เมื่อต้องเผชิญกับความตาย

เมื่อความตายมาถึง สิ่งที่สั่งสมมาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ จะผ่านไปได้ก็เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนทางที่ไปนั้น ก็เป็นไปตามกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้ทำมา คงจะมีหลายคนในโลกที่ไม่เชื่อและยังไม่เข้าใจเรื่องตายแล้วไปไหน?

ความตายไม่ได้นำไปสู่การดับสูญ เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนสภาพจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง เปลี่ยนจากคนที่นอนป่วยกลายเป็นสิ่งอื่น ตามกรรมที่เขาได้ทำมา ทำชั่วก็ไปชั่ว ทำดีก็ไปดี ทำชั่วดีปนกัน กรรมเขาก็คำนวณให้ออกไปอย่างเหมาะสม นั่นก็เพราะกฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ดังจะเห็นได้ว่าตัวเราที่นั่งอ่านบทความอยู่ตรงนี้ก็เป็นผลจากกรรมในอดีต เราเกิดมาพร้อมกับกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาแต่ชาติปางก่อน

การที่เราเกิดมามีกินมีใช้เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยสี่ โดยทั่วไปก็มักมองว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญ เป็นเรื่องของโชค แต่ในทางพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญหรือโชคดีอะไรทั้งนั้น มีแต่ความจริงที่ว่า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งดีสิ่งชั่วเหล่านั้นที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมาทั้งนั้น

ความตายที่ผ่านเข้ามาก็เป็นเพียงการชำระล้างของกรรม เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ ผู้ที่สะสมโลกียะทรัพย์ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขลวงๆ ก็จะต้องพลอยสิ้นเนื้อประดาตัว ขาดทุนไปตามๆกัน คงจะมีแต่ผู้ที่สะสมอริยทรัพย์ คือบุญและกุศลเท่านั้นที่พอจะสามารถกอบโกยทุนบางส่วน ไปลงทุนในละครบทต่อไปได้

ความตาย และการเกิดของกิเลส…

แต่ความตายก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าการเกิด การเกิดนั้นย่อมเป็นทุกข์ยิ่งกว่า เพราะความเกิดเป็นเหตุแห่งความตาย ตายแล้วก็เกิดวนกันไปอยู่อย่างนี้ ดังที่กิเลสเกิดในแต่ละวัน เช่น เราอยากกินของที่ชอบ กิเลสก็เกิดขึ้นมา แล้วมันก็ตั้งอยู่สักพัก ไม่ว่าจะได้กินหรือไม่ได้กิน มันก็จะดับไปของมันเอง แต่แล้ววันต่อมามันก็เกิดอีก แล้วก็ตั้งอยู่สักพัก ไม่นานไปก็ดับไปอีก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้วนเวียนไปเรื่อย ไม่มีวันจบสิ้น

แม้ว่าความตายนั้นจะชนะทุกสิ่งได้ แต่ความตายของกิเลสนี้ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นเอง กิเลสคือศัตรูร้ายที่ฝังตัวแอบซ่อนอยู่ข้างในจิตใจเรา เป็นตัวบงการให้มีการเกิด แต่ตัวมันเองจะไม่ยอมตาย ถ้ามัวแต่เลี้ยงมันไว้ คนที่ตายก็เป็นตัวเราเองนี่แหละ แล้วมันก็จะสั่งให้เราเกิด เพื่อหาอาหารให้มัน ให้เสพสมใจมัน ใช้งานเราจนร่างกายที่ได้รับมาทรุดโทรม เจ็บป่วย แก่เฒ่า แล้วก็ตายจนต้องทิ้งร่างนี้ไป เบิกทุนบุญกุศลในชาติก่อนเพื่อเกิดมาตายไปชาติหนึ่งเปล่าๆ โดยไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ คือการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวอริยทรัพย์ เพราะมัวแต่ทำตามคำสั่งกิเลสให้ไปสะสมโลกียะทรัพย์

การจะเอาชนะกิเลสนั้น จึงจะเป็นต้องสวนกระแส ต้องคอยต้าน คอยฝืน ไม่ทำตามกิเลส พิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่เกิดจากการทำตามคำสั่งของกิเลสนั้นๆ ค้นหาว่าจริงๆแล้วเราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร และเข้าไปค่อยๆพิจารณาตามจริงถึงสาระแท้ของสิ่งนั้นว่ามีคุณค่าจริง หรือแค่กิเลสต้องการ เมื่อเราใช้ปัญญาพิจารณาอย่างตั้งมั่น จนเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วว่ากิเลสนั้นไม่ใช่ตัวเรา เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีประโยชน์หรือสาระใดๆเลย กิเลสก็จะยอมถอย ยอมตายไปจากใจของเราเอง เป็นการชนะศึกจากการรบกับกิเลสโดยใช้ปัญญา

เป็นการมอบความตายให้กับกิเลส โดยที่มันเองก็ยินดีที่จะตาย และตายไปตลอดนิรันดร์กาล เป็นความตายที่เอาชนะได้แม้แต่กิเลส เป็นความตายที่ไม่ต้องมีการกลับมาเกิดอีก และไม่ต้องมีการตายอีกต่อไป

– – – – – – – – – – – – – – –
28.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

August 28, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,226 views 0

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เกิดมาไม่สวยตามที่คนอื่นเขาเข้าใจ ยังต้องไปลำบากทำให้มันสวยของมันมาดีอยู่แล้วก็ไปเสริมเติมแต่งตัดต่อให้มันเป็นไปตามความอยาก โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่จริงแล้วทำไปเพื่ออะไร…

การมีความสวยงาม มักดูเป็นเรื่องดี มีแต่คนอิจฉา อยากจะเป็น อยากจะสวยบ้าง อยากจะดูดีบ้าง เหล่าหญิงผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองมีหน้าตาธรรมดาทั่วไปก็เลยต้องลำบากไปหาเครื่องเสริมเติมแต่งให้หน้าตาออกมาดูดี หรือถ้ายังไม่พอใจก็จะเริ่มแต่งตัว ไปจนถึงเปิดนั่นนิด เปิดนี่หน่อย จนถึงกระทั่งใช้ร่างกายของตนเป็นจุดขาย โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราอยากจะสวยไปทำไม…

มีหลายคนที่ไม่ได้เกิดมาสวยเลิศเลอ ก็เลยต้องพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสวย ต้องหาเครื่องบำรุง เครื่องประดับ เสื้อผ้าหน้าผม จนกระทั่งการไปผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ออกมาสวยหรือดูดี เหตุที่ผลักดันความอยากสวยเหล่านี้ ถ้าจะอ้างกันไปคงจะมีหลายประการ แต่ถ้าจะเจาะลงรากลึกๆก็คงจะเป็นเรื่องของความหลงในรูปของตัวเอง กับอยากให้ผู้อื่นสนใจ

ความหลงในรูปและ อยากให้ผู้อื่นสนใจ

คือเข้าใจว่า สวยจึงจะดี ต้องดูดีผิวเนียนหุ่นดี จึงจะดี ต้องมีหน้าตาแบบนั้น แต่งกายแบบนี้จึงจะดี ฯลฯ และหลงไปในความสวยของตัวเอง เสพติดความสวยจนต้องหาสิ่งมาปรนเปรอบำเรอความสวย

ความหลง ความอยากหรือกิเลสเหล่านี้ ถ้ามีมากๆก็จะทะลักออกข้างนอก ไม่อยู่ข้างในตัว คือจะเริ่มเผยแพร่ความสวยของตนออกไป เช่นถ่ายรูปตัวเอง ทำท่าแบบนั้นแบบนี้ เริ่มเปิดโป้เปลือยออกสู่สาธารณะ เพราะความหลงในความสวยของตัวเองมันมากจนควบคุมไม่ไหว และหลงเข้าใจผิดว่าเป็นของควรอวด เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งควรค่าแก่การนิยม เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งดี จึงทำให้ไม่สำรวมกายแจกจ่ายออกให้ผู้อื่นรู้ว่าฉันสวย ฉันดูดี สนใจฉันสิ ดังนั้นเหตุหลักๆที่ผลักดันให้คนเกิดความอยากสวยก็คือ ความอยากให้ผู้อื่นสนใจ เป็นที่สนใจ เป็นที่นิยมชมชอบ หรือติดโลกธรรมนั่นเอง

ความอยากให้ผู้อื่นสนใจไม่ได้หมายเพียงแค่เรื่องคู่ แต่เป็นเรื่องที่ขยายไปไกลถึงกระทั่งหมกมุ่นในคำสรรเสริญ คำชม ความนิยมชมชอบ ดังที่จะเห็นได้ชัดในปัจจุบัน มีผู้หญิงมากมายสร้างตัวเองให้เป็นที่นิยม บ้างก็ขายความสวย บ้างก็ขายความน่ารัก บ้างก็ขายเรื่องราว บ้างก็ขายไปถึงร่างกาย เช่น เอาร่างกายส่วนนั้นส่วนนี้มาโชว์ เปิด โป้ เปลือยกันไปเพื่อแลกกับความนิยมชมชอบ

ความนิยมชมชอบเป็นเสมือนแหที่หว่านลงไปในทะเล แท้ที่จริงแล้ว คนเราก็มักจะมีแรงผลักดันจากความเหงา การต้องการคนเข้าใจ เธอเหล่านั้นใช้วิธีด้านปริมาณเพื่อจะมาคัดคุณภาพของสิ่งที่จะได้รับ เพราะเมื่อสร้างความสวยงามที่มากขึ้น ก็จะมีคนเข้ามามากขึ้น เมื่อมีคนเข้ามามากขึ้นก็จะสามารถเลือกได้มากขึ้น สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของการมีคู่

แต่ในความจริง ความสวยงามหรือความนิยมเหล่านั้นจะดึงเอามาได้เฉพาะคนที่มีกิเลส เหมือนการตกปลาก็คงจะมีเฉพาะปลาที่หิวโหยและโง่เท่านั้นที่จะมากินเหยื่อ ดังนั้นการตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาความสวยดังที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นบทความจนกลายมาเป็นที่นิยม ก็เพียงแค่หาเหยื่อโง่ๆ ที่มาหลงไปกับความสวยและยินยอมพร้อมใจจะมาปรนเปรอกิเลสของตัวเองได้เท่านั้นเอง

จริงอยู่ที่ว่าผู้ชายนั้นชอบคนสวย ก็ไม่ต่างกันจากผู้หญิงที่ชอบผู้ชายดูดี เป็นความหลงในรูปของร่างกาย เป็นเรื่องธรรมดาเพราะเป็นของหยาบ รู้ได้เพียงแค่ใช้การมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากิเลสของผู้ชายเหล่านั้นจะหยุดลงแค่เสพรูปกาย เขาเหล่านั้นยังมีความต้องการอีกมากมายที่คุณอาจจะคิดไม่ถึง จึงเรียกได้ว่า สวยอย่างเดียวไม่เพียงพอจะเติมเต็มกิเลสเขาได้หรอก

ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามที่จะสวยเพื่อบำรุงบำเรอกิเลสตัวเอง หรือปรนเปรอกิเลสของผู้อื่น ก็มีปลายทางเป็นนรก ที่เดือดร้อนใจ และความผิดหวังด้วยกันทั้งนั้น เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเติมได้เต็ม ยิ่งเติมก็ยิ่งพร่อง ยิ่งเติมก็ยิ่งขาด

ผู้ที่ยังอยากสวยพึงพิจารณาให้เห็นลึกลงไปถึงความอยากของตัวเองว่า อยากสวยไปทำไม? สวยแล้วอยากจะได้อะไร ?อยากได้มาแล้วจะเอามาทำอะไร? ได้มาแล้วจะสุขจริงไหม? แล้วจะสุขเช่นนั้นไปตลอดไหม? ทั้งหมดที่ทำมาคืออะไร?เป็นไปเพื่อสร้างสุขหรือแท้จริงแล้วเป็นทุกข์?

หากว่าเราเข้าใจว่าความอยากสวยเหล่านั้นเป็นเพียงแค่คำสั่งของกิเลสที่เข้ามาหลอกให้เราหลงไป เราก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง สุดท้ายแล้วถึงจะมีความสวยแต่ก็ไม่ยึดติดความสวย ถึงจะไม่สวยก็ไม่ไขว่คว้าหาความสวย เพราะรู้แน่ชัดในใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สาระแท้ของชีวิต

– – – – – – – – – – – – – – –
28.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

นรกคนสวย

August 27, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,791 views 0

นรกคนสวย

นรกคนสวย

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เพราะใช่ว่าความสวยที่มีจะทำให้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเสมอไป และคนที่มีความสวยตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็ใช่ว่าจะพอใจในความสวยที่ตนมีกันทุกคน ยังต้องหลงวนเวียนไขว่คว้าหาวิธีที่จะพัฒนาหรือคงสภาพของความสวยนั้นไปตลอดกาล

ในบทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องความทุกข์ หรือนรกของความสวยงามในมุมของผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่เกิดมาก็มีทุกข์พิเศษแถมมามากกว่าเพศชายอยู่หลายประการ จึงขอยกเรื่องนี้มาเขียนในเฉพาะมุมทุกข์ของผู้หญิง

นรกของคนสวย…

ในสังคม ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหม ก็ต้องมีหญิงงาม แต่ถึงอย่างนั้นคำว่างามในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน บางยุคต้องอ้วนบ้าง บางยุคต้องผอมเอวคอด บางยุคต้องหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ เป็นความงามที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามกิเลสของคน

ชีวิตของคนสวยไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ความมีเสน่ห์นั้นก็ทำให้ชีวิตยากลำบากหรือเป็นภัยได้เหมือนกัน เหมือนกับมีแม่เหล็กติดไว้ที่ตัว จะดูดอะไรต่อมิอะไรมาติดตอนไหนก็ได้ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชายที่มีกิเลสเข้ามาหา ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าหาผู้หญิงสวยก็มักจะหลงในรูป อยากเสพรูป เอาง่ายๆคืออยากจะได้แค่ความสวยนั้นแหละ ความสวยก็จะดึงคนมีกิเลสเหล่านี้เข้ามาพัวพันใกล้ๆตัว สร้างทุกข์ สร้างปัญหา สร้างความลำบากใจกันไป

คนที่สวยมากๆ ก็จะมีแต่คนเข้ามาในชีวิต อยากคุยด้วย อยากคบหา อะไรก็ว่ากันไป ทั้งมาแบบทีเล่นทีจริงและแบบจริงจัง จนถึงกระทั่งแบบที่เป็นภัย …แรกๆมันก็คงจะดี เพราะมีคนมาชอบ แต่พอเยอะๆเข้าก็เริ่มไม่ไหว เพราะต้องมาคอยตอบคำถามซ้ำๆเดิมๆ ถ้าไม่ตอบไม่รักษาน้ำใจก็กลัวเขาจะว่าหยิ่งเดี๋ยวความนิยมจะลดลง ด้วยความที่ตัวเองก็ติดภาพลักษณ์ ติดสรรเสริญ ติดโลกธรรม ว่าต้องดูดี ก็เลยต้องทำใจรักษามารยาทไปพร้อมๆกับรักษาสภาพความสวยของตนจึงกลายเป็นทุกข์ที่หนีไม่ได้ต้องยอมข่มยอมทนรักษาภาพความสวยต่อไป

ความสวยยังมีค่าบำรุงรักษาที่มาก ต้องจ่ายไปทั้งเงิน ทั้งเวลา ดังเช่นการซื้อเครื่องสำอางมากมายมาแต่งหน้าแต่งตา ใช้เวลาอยู่นาน เขียนแล้วเขียนอีก โดยทำไปเพื่อรักษาความสวยงามให้คงสภาพเดิม และยังมีกระบวนการรักษาความสวยหรือพัฒนาความสวยอีกมากมาย เช่น เข้าสปา ทำผม ผ่าตัด ฯลฯ ผู้หญิงที่หลงในความสวยจะต้องทุกข์จากตรงนี้อีกจุดหนึ่ง เพราะต้องหาปัจจัยมาบำรุงบำเรอตนโดยไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสวยไปเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเพื่อความมั่นใจ บ้างก็ว่าเพื่อให้คนสนใจ บ้างก็ว่าใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าสังคมเขาก็ทำกัน ก็เป็นเหตุผลที่ที่กิเลสใช้เป็นคำที่หลอกใจตัวเอง ทำให้คนสวยหลงวนเวียนอยู่กับความสวยของตน ทั้งๆที่สามารถเอาเวลาและเงินเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย

….กิเลสที่ผลักดันความสวย

หนึ่งในรากแห่งกิเลสของความสวย แท้จริงแล้วคือความอยากมีคู่ เหมือนกับสัตว์ทั่วไปที่ต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมาสนใจ ความเป็นสัตว์เหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่เต็มที่ในคนเหล่านั้น และพัฒนาความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้นเมื่ออยู่ในรูปของคน

เมื่อคนอยากมีคู่ ก็เลยต้องทำให้ตัวเองสวยเด่น เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคู่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นคนที่พอจะปรนเปรอกิเลสของตนเองได้ โดยส่วนหนึ่งก็ต้องมาสนองต่อทุนแห่งความสวยของเธอเหล่านั้นให้ได้ก่อน และสนองต่อให้ได้ถึงกิเลสในอนาคตของเธอ

ในความเป็นจริงแล้ว คนสวยมีอยู่มากมาย แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมที่จะบำรุงกิเลสของคนสวยเหล่านั้นได้ มีอยู่ไม่มากนัก คนสวยบางคนที่เข้าใจว่าตัวเองโชคดี ก็จะมีโอกาสได้รับผู้ชายหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลปรนเปรอบำรุงบำเรอกิเลสของเธอเข้ามาในชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า เขาเองก็มีกิเลสของเขาเหมือนกัน และเธอเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะปรนเปรอกิเลสของเขา เรียกได้ว่าเป็นเหยื่อของกันและกันนั่นเอง

สุดท้ายถึงจะมีคนมาให้เลือก จนกระทั่งตกลงปลงใจแต่งงาน ก็อาจจะคบกันไปไม่ได้นาน เพราะว่าจุดขายของเธอคือความสวย ผู้ชายที่เข้ามาจะเสพความสวยของเธอได้ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่งความอยากเสพในรูปของเขาเหล่านั้นจางคลายลงไป เมื่อถึงเวลานั้นความสวยที่มีจะไร้ค่าไปในทันที เหลือแต่ความจริง เหลือแต่คุณค่าแท้ในคนที่เคยสวยในสายตาของผู้ชายคนนั้น หากเธอยังมีจิตใจที่ดี ก็ยังจะพอคบกันไปได้ แต่หากเป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ก็อาจจะเป็นเหตุให้มีอันเลิกรากันไป ส่วนเหตุผลในการเลิกรานั้นก็เป็นปลายทางของกิเลสจะเอามาตัดสินถูกผิดกันคงไม่ได้

ส่วนคนสวยที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หาคู่ไม่ได้สักที ทั้งๆที่ตัวเองก็อยากมี แต่เนื่องจากมีต้นทุนคือความสวยมาก ก็จะมีอัตตาก้อนหนึ่งที่ตั้งไว้ดั่งกำแพงว่าเธอจะต้องเจอกับคนแบบนั้นแบบนี้ เรียกง่ายๆว่าสเปคสูง เพราะโดยทั่วไปคนสวยก็จะมีคนให้เลือกมากมาย มาตรฐานของเธอก็จะขยับสูงไปเรื่อยๆ ตามคนที่เข้ามา เป็นเรื่องธรรมดาของกิเลสที่มีความต้องการมากขึ้นไปเรื่อยๆเรียกได้ว่า นอกจากจะไม่ขายต่ำกว่าทุนแล้วยังเพิ่มราคาประมูลขึ้นไปเรื่อยๆ

ทีนี้พอมีให้เลือกมาก ก็เลยยังไม่เลือก เพราะหมายมั่นว่าฉันจะต้องเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ เยี่ยมกว่านี้ มากกว่านี้ เพราะทุกวันๆก็มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้ว จนเวลาผ่านไปถึงกระทั่งวันที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า ความสวยของเธอเริ่มจะจางหายไป และไม่สามารถทำให้มันกลับมาได้ กำแพงที่สูงชันจะค่อยๆ เตี้ยลง สเปคหรือข้อเรียกร้องของเธอจะลดน้อยลงตามไปด้วย จากที่เคยขอผู้ชาย หล่อ รวย ก็อาจจะเหลือแค่ รวย หรือไม่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่มีความพร้อมจะดูแล จนกระทั่งขอให้เป็นแค่ผู้ชายก็เป็นได้ เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถมกันไปเลย

การมีสเปคที่น้อยลงนั้น สวนทางกับกิเลส เพราะการมีข้อจำกัดน้อยลงนั่นหมายความว่ากิเลสมากขึ้น มากจนยอมทำลายข้อจำกัดของตัวเองลงไปเพื่อให้ได้เสพสมในการมีคู่ จากที่เคยเป็นคนมีศีลมีธรรม ก็อาจจะยอมเวียนกลับไปเป็นคนไร้ศีลธรรม เพื่อแลกกับการมีคู่ ยอมใช้ความสวยหรือร่างกายที่เหลืออยู่แลกกับใครสักคนที่คิดว่าจะมาคอยดูแลในอนาคต ความกลัว ความคาดหวัง ความกังวลต่างๆ จะทำให้คนสวยเหล่านี้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะความสวยค่อยๆพรากจากเธอไป และโอกาสที่จะได้มาซึ่งคู่ที่เพียบพร้อมก็จะทยอยลอยหลุดไปด้วย

แม้ว่าคนสวยจะยอมลดสเปคลงมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้คู่ที่จะดูแลกันไปตลอดได้ เพราะด้วยวิบากแห่งความสวย ก็มักจะดึงคนมีกิเลสที่ยังหลงในรูปของความสวยมาอยู่ใกล้อยู่ดี การลดกำแพงของตัวเองลง ไม่ได้หมายความว่าจะเจอคนที่ดีขึ้น แต่หมายถึงเปิดโอกาสให้คนชั่วได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น

การตกลงเป็นคู่กัน ไม่ได้หมายความเขาคนนั้นจะคงสภาพเดิมได้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และความสวยที่มีนั้นก็ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมีกิเลส เพราะความสวยไม่ใช่ความดี แต่ก็เป็นรูปของกิเลสที่ส่งผลมาจากการที่เราได้สั่งสมความอยากสวยเอาไว้ เมื่อมีความอยากสวย เราก็ไปเสริมเติมแต่งให้มันสวย ใช้เวลาไม่นานนักมันก็สวยได้ ถึงแต่งไม่สวยก็ไปผ่าตัดให้มันสวย สิ่งเหล่านี้คือกิเลสที่สั่งสมก่อให้เกิดภพ เกิดชาติของความสวย เกิดมาเป็นคนสวยได้ แต่ก็เป็นคนสวยที่เต็มไปด้วยวิบากกรรมของกิเลส เป็นคนสวยที่มีแต่ทุกข์ ต้องประสบแต่ความพลัดพรากไม่สมหวังอยู่เรื่อยไป เพราะความสวยเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความดี

…สวยจากความดี

ความสวยที่เกิดจากความดีนั้นสร้างได้ในชาตินี้ไม่ต้องรอในชาติหน้าเหมือนกัน เป็นความสวยที่สร้างมาจากความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือการมีพรหมวิหาร ๔ จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นความสวยงามทางนามธรรม แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่สวย แต่ก็จะมีคนอยากเข้าใกล้ อยากคบหา น่ารู้จัก น่าอยู่ด้วย เป็นความสวยที่ข้ามพ้นรูปของความงามในความคิดของคนทั่วไป

เมื่อมีความเป็นพรหมอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นแบบไหนก็สามารถที่จะเป็นที่รักใคร่ คนนิยมชมชอบ มีมิตรสหาย มีสังคมรอบข้างที่ดีได้ โดยยังมีผลต่อเนื่องไปยัง ภพ ชาติ ถัดไปด้วยคือทำให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก คือมีทั้งร่างกาย ฐานะ ปัจจัย สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นความงามที่เจริญไปตามธรรม ไม่ใช่สวยงามจากการปรุงแต่งของกิเลส ซึ่งเป็นทุกข์ โทษ ภัย วนเวียนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ

– – – – – – – – – – – – – – –
27.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ฉันดีพอ..กับเธอแล้วหรือยัง?

August 26, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,938 views 0

ฉันดีพอ..กับเธอแล้วหรือยัง?

ฉันดีพอ..กับเธอแล้วหรือยัง?

คนเราเมื่ออยากจะได้บางสิ่งบางอย่าง ก็ต้องพยายามแสวงหามา ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของก็คงจะง่าย มีรูปร่าง ขนาด ที่รู้ว่าจะต้องหยิบจับอย่างไรเพื่อจะให้ได้มา ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะได้ครอบครอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของคน เรื่องของจิตใจ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้มา ต้องจ่ายเท่าไหร่ ต้องทำดีแค่ไหน ถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง…

คงจะเหมือนสภาพที่ยิ่งทำเท่าไหร่ก็ยิ่งไกล ระยะห่างที่ดูเหมือนจะไม่ไกลแต่ก็ไม่มีวันไปถึง คือช่องว่างของจิตใจระหว่างคนสองคนที่ไม่สามารถวัด ไม่สามารถคาดคะเนได้ว่า เท่าไหร่ถึงจะพอ…

ใจของคนเราคงเหมือนหลุมของกิเลส ถ้ามีใครสักคนไปเติมจนเต็มก็คงจะได้โอกาสครอบครอง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าหลุมแห่งกิเลสนั้นกว้างยาวลึกเท่าไหร่ ต้องใส่อะไรลงไปถึงจะเต็ม

หลุมกิเลสต้องใส่อะไรลงไปบ้าง? ความสนุกสนาน ความสวยงาม ความดูดี ความมั่นคง ความอบอุ่น มีฐานะ เงินทองของมีค่า ชื่อเสียง อุดมการณ์ ความเป็นผู้นำ ความคิดสร้างสรรค์ การเอาใจใส่ …ฯลฯ แค่คิดว่าจะต้องใส่อะไรลงบ้างไปก็ปวดหัวแล้ว ปัญหาต่อมาคือต้องใส่ไปมากเท่าไหร่ และต่อเนื่องขนาดไหน จนกว่าจะเติมกิเลสให้เขาพอใจกับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้จนเขาคิดว่าเราดีพอสำหรับการสนองกิเลสของเขา

…บางคนใส่แค่ ความสวยงาม หน้าตาดี ก็ยินยอมให้ครอบครองกันแล้ว

…..บางคนใส่ คำพูดหวานๆ คำโกหก คำหลอกลวง ก็ยินยอมให้ครอบครองกันแล้ว

…….บางคนต้องใส่ เงินทองของมีค่า ฐานะ ความมั่นคง ถึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน

………บางคนต้องใส่ ความมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคม ความเป็นที่ยอมรับ ถึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน

…………และบางคนอาจจะต้องใส่ อุดมการณ์ ความเห็นที่ตรงกัน ความเข้าใจที่เสมอกัน จึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน

แค่คิดว่าเราจะต้องหาอะไรมาเติมให้อีกฝ่ายยอมรับ และเห็นว่าตัวเราดีพอสำหรับเขา ก็เหนื่อยสุดแสนจะเหนื่อย เพราะบางคุณสมบัติ อาจจะไม่ได้มีมาแต่กำเนิด ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้มีความรู้ ชื่อเสียง สุดท้ายก็ต้องลำบากพัฒนาตัวเอง โดยมีกิเลสที่มีชื่อเรียกเล่นๆแบบไพเราะเสนาะหู ว่า “ความรัก” เป็นตัวนำ

แต่ขึ้นชื่อว่ากิเลส ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เรียนรู้ได้ยาก กำจัดได้ยาก หลุมแห่งกิเลสที่เราเคยเข้าใจว่าต้องเติมแค่นั้นแค่นี้ถึงจะเต็ม ไม่ได้คงสภาพอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ทุกครั้งที่เราใส่ความเสพสมใจให้กับเขา หลุมกิเลสจะเปิดกว้างและลึกขึ้น ขยายตัวขึ้นเพื่อที่จะรองรับกิเลสที่มากกว่า แม้ว่าเราจะพยายามถมมันลงไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือสุขลวงๆ สักเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรู้สึกว่า เราห่างไกลออกไปจากความรักมากขึ้นเรื่อยๆ

และคนที่โชคร้าย ก็จะสามารถเติมกิเลสกันจนเต็มได้ครอบครอง ได้เสพสมอารมณ์ ได้แต่งงานกัน สมรสกัน ได้โอกาสในการมีลูก มีครอบครัวร่วมกัน เป็นการหนีจากทุกข์แห่งความเหงา เปล่าเปลี่ยว ความใคร่อยาก ไปเจอทุกข์อีกแบบ คือทุกข์แบบคนคู่ ทุกข์แบบมีครัวมาครอบไว้ กรงขังที่ยากจะหลุดออกมาได้ และบ่วงที่มีชื่อว่าลูก เสพสมอยู่กับสุขลวง ที่ให้สุขนิดหน่อย แต่ทุกข์มากมาย

ส่วนคนที่โชคดีก็จะเรียนรู้ว่า หลุมแห่งกิเลสของเขาหรือเธอเหล่านั้น ไม่มีวันที่จะถมเต็ม เขาก็มีกิเลสของเขา เราก็มีกิเลสของเรา และหันมามองว่าจริงๆ เราเองนั่นแหละ ที่จะเอาเขามาเติมเต็มกิเลสของเรา เราจะต้องได้เขามาครอบครองถึงจะเสพสมใจ ปัญหาก็คือเราเองก็ไม่เคยจะเติมตัวเองจนเต็มเสียที ยังเป็นคนที่ขาดที่พร่องอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าจะได้ครอบครองเขาแล้วมันยังไง? มันสุขเหมือนวันแรกไหม? มันจะค่อยๆลดลงใช่ไหม?

แค่หลุมกิเลสในตัวเราก็ใหญ่มากพอแล้ว ยังต้องลำบากไปยุ่งวุ่นวายกับกิเลสของคนอื่นอีก แล้วไปหวังว่าเขาจะมาเติมเต็มกิเลสให้กับเรา เป็นฝันลมๆแล้งๆ คนที่เราหวังไม่มีวันจะสวยงามคงทนได้ตลอดไป ไม่มีวันมีฐานะร่ำรวยมั่นคงได้ตลอดไป ไม่มีวันมีชื่อเสียง เกียรติยศได้ตลอดไป ไม่มีวันที่ความฝันหรืออุดมการณ์ของเขาจะไม่สลายหรือเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีวันจะดูแลเราหรืออยู่ให้เราแลดูได้ตลอดไป ทุกอย่างเสื่อมไปตลอดเวลา

เราเองก็เป็นหลุมกิเลสที่มีแต่จะลึกและกว้างขึ้นทุกๆวัน ถ้ามัวแต่ไปยุ่งกับกิเลสของคนอื่น ก็ไม่มีวันได้จัดการกิเลสของตัวเอง หลุมกิเลสที่กว้างและลึกไม่มีวันเติมเต็มด้วยการหามาเสพ แต่ต้องใช้การพิจารณาความจริงตามความเป็นจริงว่า กิเลสนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา เป็นทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และให้เห็นลึกลงไปถึงราก ว่าจริงๆแล้วเราต้องการเสพอะไรกันแน่ อยากได้มาเพื่ออะไร เรายึดเราติดเราหลงในอะไร หากเราเห็นตามจริงแล้วว่าเราหลงยึดอะไร ก็เหมือนได้เห็นประตูสู่การปลดเปลื้องกิเลสเหล่านั้น ที่เหลือก็แค่พยายามเดินไปให้ถึงประตู เปิดมันและเดินออกไป เท่านั้นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

26.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์