แบ่งปันประสบการณ์
เทศกาลกินเจ
เทศกาลกินเจ
เข้าช่วงเทศกาลกินเจแล้ว ก็มักจะเป็นช่วงที่สังคมหยิบยกเอาเรื่องของการกินเจ สาระความรู้ แม้แต่ข้อคิดเห็นความเข้าใจในเรื่องของการกินเจออกมาแชร์กัน
สารภาพตรงๆว่าผมเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินเจเลย ไม่เคยสนใจ ไม่เคยรับรู้ พึ่งจะมากินมังสวิรัติมาได้ปีกว่าๆ ในปีนี้ก็เลยลองไปเดินดูบรรยากาศที่เยาวราชกันสักหน่อย และแวะเข้าไปซึมซับบรรยากาศในช่วงเทศกาลกินเจที่วัดมังกรฯกันสักนิด เพื่อที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มากกว่าอ่านบทความในอินเตอร์เน็ตและดูจากทีวี
เรามักจะได้เห็นการวิวาทะเกี่ยวความเชื่อเรื่องการกินเจอยู่บ่อยๆในสังคมออนไลน์ ว่ากินเจดี หรือไม่ดี ต้องกินหรือไม่ กินอย่างไร แบบไหนจึงจะดี แล้วต้องคิดต้องทำอย่างไรถึงจะดี บ้างก็ยกหลวงปู่หลวงพ่อที่ตนนับถือมาอ้าง บ้างก็ยกพระไตรปิฏกมาอ้าง ว่าสิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนเข้าใจนั้นดี กลายเป็นเทศกาลที่มักจะเห็นคนห้ำหั่นกันด้วยอัตตากันอยู่บ่อยๆ
จะขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกินเจ เพราะเรื่องกินนั้นเป็นประเด็นหลักที่สังคมรับรู้และให้ความสำคัญมาก
คนกินเจ…
ผมคิดว่าการที่คนเราลองเปลี่ยนมากินเจนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว มีโอกาสได้ลดเนื้อกินผักหรือกินอะไรแทนเนื้อสัตว์ก็กินไปเถอะ ไม่เบียดเบียนคนอื่นก็ดีแล้วส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่เราไปกินเจแล้วรู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่นนั้น ยังไม่ดี อันนี้ควรจะแก้ไข คนกินเจบางคนมักจะสำคัญตัวเองว่าฉันใจบุญ ฉันดี ฉันมีศีล ซึ่งความติดดียึดดีเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่ไปทำร้ายทำลายใจคนที่เขาไม่กินเจ
คนที่กินเนื้อเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดีไปเสียทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ทั้งชีวิตที่ผ่านผมเองก็กินเนื้อมาตลอดและต้องบอกตรงๆเลยว่า สมัยก่อนก็ชอบเนื้อมาก ถึงขั้นเสพติดเนื้อกันเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง…แปรผันได้ตลอดเวลา ติดได้ก็เลิกได้ บางทีคนที่เขายังกินเนื้อในวันนี้ แต่ปีหน้าเขาอาจจะลดเนื้อกินผักได้มากกว่าคนที่กินเจปีละครั้งก็ได้ ดังนั้นคนกินเจก็อย่าไปปรามาส อย่าไปสบประมาทคนที่เขายังกินเนื้ออยู่ เพราะเขาแค่ยังไม่รู้ถึงโทษของการกินเนื้อ เราไม่รู้หรอกว่าใครมีบุญบารมี มีวาสนาสะสมมาเท่าไหร่ คนที่กินเจก็ควรจะมุ่งมั่นกินเจของตนไป ขยายขอบเขตการลดการเบียดเบียนให้ได้มากขึ้น เป็นเดือน เป็นปี อย่าให้ใครเขาว่าเอาได้ว่าถือศีลตามเทศกาล ถือตามชาวบ้าน ถือศีลแบบไม่มีปัญญา
ดังนั้นการเพ่งโทษคนที่ไม่กินเจ หรือกินเจไม่เคร่งครัด จึงไม่ใช่วิสัยที่คนถือศีลกินเจควรทำ เพราะสิ่งที่เราควรทำคือขัดเกลาจิตใจตนเอง ไม่ใช่จิตใจของผู้อื่น
คนไม่กินเจ…
ส่วนคนที่ไม่ได้กินเจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่เราเห็นคนกินเจ เราก็ควรจะยินดีกับเขา เห็นคนที่เขาคิดจะทำดี แม้ว่ามันจะยังไม่ดีเลิศอะไร แต่เขาก็ยังคิดจะทำสิ่งที่ดีเท่าที่เขาจะทำได้ แม้เราจะยังไม่เห็นว่าสิ่งนั้นดี เราไม่ยินดีทำตามก็ไม่เป็นไร แต่การที่เราไปเพ่งโทษคนที่เขาทำดี อันนี้ก็ไม่ดี เขาตั้งใจทำดีเรายังไปว่าเขาไม่ดี เรานั่นแหละไม่ดี เขาทำดีเราควรจะช่วยเป็นกำลังใจ ช่วยสนับสนุนให้เขาทำดี ไม่ใช่ไปคอยไปจับผิดเขา คอยแสดงท่าทีเขาให้เลิกทำดี กลับมากินเนื้อเป็นปกติเหมือนอย่างเรา
การกินเจหรือลดเนื้อกินผักนั้น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องเดินสวนกระแสแห่งความอยาก ถ้าหากเรายังไม่เคยท้าทายตัวเอง เอาแต่ลอยไปตามสายน้ำแห่งความอยาก ก็ยากที่จะเข้าใจจิตใจของผู้ที่กินเจ ดังนั้นเพื่อการศึกษา คนที่ไม่กินเจ ก็อาจจะลองมากินเจดูบ้างก็ได้ ว่าสิ่งที่เขาว่ายากนั้นยากอย่างไร แล้วสิ่งที่เขาว่าดีนั้นดีจริงอย่างไร
จริงอยู่ที่ว่าการกินเจไม่ได้ทำให้ใครเป็นคนดี และคนดีทุกคนไม่จำเป็นต้องกินเจ แต่เราเองก็ควรจะรับรู้ด้วยว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นก่อให้เกิดการเบียดเบียน ซึ่งเราผู้กินเนื้อแต่ละคนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการอุ้มชูและพัฒนาอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ทั้งในทางตรงและทางอ้อม การค้าขายสัตว์เป็นหรือสัตว์ตายนั้น เป็นการค้าขายที่ผิดในทางของพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เรายังไปสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ เราก็ควรจะรับรู้ด้วยว่า เราเองก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองแห่งบาปนี้เช่นกัน
การกินเจที่ปนเปื้อนด้วยกิเลส
ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ปรุงแต่ง คล้ายเนื้อสัตว์ออกมามากมาย เป็ดเจ ไก่เจ หมูเจ ฯลฯ ทำให้หลายคนสงสัยว่าการกินเจจะดีจริงหรือในเมื่อใจเรายังติดในรสชาติของสัตว์นั้น
ในความเป็นจริงแล้ว การที่จะให้คนกิเลสหนาหักดิบมากินผักเลยมันเป็นไปไม่ได้ โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมจึงได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์กับผู้ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นใหม่ หัดใหม่ หรือยังตัดความอยากไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นการลดการเบียดเบียนที่ดีวิธีหนึ่ง ถ้าเรากินกันได้แบบนี้ทุกคนบนโลก ก็จะไม่มีสัตว์ใดตายเพราะความอยากของเรา จริงไหม?
แต่เชื่อเถอะว่าเนื้อสัตว์เทียมเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยุดความอยากกินเนื้อสัตว์ได้หรอก ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็จะกลับไปหาเนื้อสัตว์จริงๆกิน เพราะความหิวกระหาย เพราะความอยาก เพราะกิเลสที่ถูกกดข่มไว้นานนั้นได้เพิ่มปริมาณและทะลักออกมา หรือที่เรียกว่าตบะแตก
ไม่มีสังคมใดที่จะมีคนดีคนเก่งไปเสียทั้งหมด คนที่กินเจได้แบบบริสุทธิ์ต่อเนื่องทั้งชีวิตก็คงจะมีอยู่ แค่เราอาจจะไม่เคยเห็น และถึงจะมีจริง เขาเองก็ไม่ได้สามารถที่จะสอนหรือแนะนำให้ทุกคนกินเจได้บริสุทธิ์ได้เหมือนเขา เพราะคนส่วนมากนั้นมีกิเลสที่หนาในระดับที่แตกต่างกันไป ทุกวันนี้ก็เลยมีผลิตภัณฑ์อาหารเจ เนื้อสัตว์เจขายกันอยู่ทั่วไป
– – – – – – – – – – – – – – –
27.9.2557
ตรวจสอบศีล ข้อ๑ เราเมตตามากพอหรือยัง
ตรวจสอบศีล ข้อ๑ เราเมตตามากพอหรือยัง
ถือศีลกันมาก็นานแล้ว เราเคยตรวจสอบกันบ้างไหมว่าจิตใจของเราเจริญขึ้นมาอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะศีลข้อ ๑ คือให้เว้นขาดจากการฆ่าทำร้ายทำลาย ทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เบียดเบียนสัตว์ เราสามารถถือศีลข้อนี้ได้ดีอยู่หรือไม่ แล้วการถือศีลข้อนี้ ได้ทำให้จิตใจของเราเจริญขึ้นอย่างไร จะแบ่งปันประสบการณ์ให้ได้ลองทบทวนกัน
ผ่านมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมยังเป็นอย่างคนทั่วไป มดกัดบี้มด ยุงกัดตบยุง เหตุการณ์ล่าสุดที่ผมยังจำความอำมหิตโหดร้ายของตัวเองได้ดีคือ คือเมื่อครั้งไปเที่ยวเขาใหญ่กับเพื่อนๆ กลางปี 2012 ที่ผ่านมาไม่นานนี่เอง
เนื่องจากเป็นหน้าฝน ก็เลยมีทากมาก พอเดินเข้าไปน้ำตก ก็มีทากเกาะบ้าง พอมันเกาะแล้วกัดเรา เราก็ดึงออกไม่มีอะไร ทีนี้พอเดินผ่าน เดินเล่น ทำกิจกรรมอะไรเล็กน้อยเสร็จแล้วก็มานั่งพักกัน เพื่อนสังเกตว่ามือเราเลือดไหล เราก็สงสัยว่าไม่ได้เจ็บไม่ได้เป็นแผลอะไรนี่ ทำไมเลือดไหลเยิ้ม สุดท้ายก็มาเจอตัวการคือทากหนึ่งตัว
เมื่อได้เห็นตัวการและผลงานที่มันทำ ผมจึงหยิบมันมาบี้ๆด้วยความแค้นที่เย็นชา ไม่มีคำพูดคำด่าอะไร รู้แค่อาฆาตมัน บี้แล้วมันไม่ตายก็เลยวางลงบนพื้นแล้วเอาพื้นรองเท้าบี้และขยี้จนมันแหลกไปกับพื้น ด้วยความสะใจ
ผมยังจำสายตาของเพื่อนที่มองการกระทำของผมได้อย่างดี มองคนที่ใจดำอำมหิต ที่ฆ่าได้อย่างเลือดเย็น ด้วยวิธีที่โหดร้ายรุนแรง ผมยังจำบาปที่ทำในตอนนั้นได้ดี เป็นสิ่งที่เก็บไว้สอนใจอย่างไม่มีวันลืม
เรียนรู้ธรรมะ
จนเมื่อวันที่ผมได้ก้าวเข้ามาใกล้ชิดกับธรรมะมากขึ้น เรียนรู้เรื่องศีลมากขึ้น แต่ก่อนผมก็คิดนะเรื่องถือศีล๕ ก็ถือบ้างไม่ถือบ้าง แต่พอได้ศึกษาเรียนรู้มากขึ้น จึงได้พบว่าศีลนั้นมีคุณค่ามากกว่าแค่การถือ ศีลเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เราพัฒนาและเจริญเติบโตได้ ถ้าเรายังไม่เข้าใจคุณค่าของศีล หรือถือศีลตามเขาไปโดยที่ไม่รู้เนื้อหาสาระ ก็จะไม่มีวันพัฒนาได้เลย
ศีลที่ผมเรียนรู้มาคือศีลที่มีไว้เพื่อให้เห็นกิเลส เป็นเครื่องบีบคั้นให้จิตใจได้ต่อสู้กับกิเลส ได้แพ้กิเลส ได้ล้างกิเลส ซึ่งก่อนหน้านี้มันมีแต่แพ้กับกดข่ม เพราะไม่เคยสู้เลย ผมถือศีลแบบยอมกิเลสมาตลอด อะไรพออดทนไหวก็ทำไป อะไรไม่ไหวก็ศีลแตกบ้างก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้เรียนรู้คุณค่าแห่งศีลแบบนี้แล้ว ก็เลยใช้ศีลนี่แหละเป็นตัวขัดเกลาตนเอง
เมื่อผมปฏิบัติศีลมาอย่างตั้งมั่น ได้พบกับความโกรธ ความอาฆาตของตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะมีศีลเป็นเครื่องจับผี จับจิตใจที่โกรธเคืองของเราได้อย่างดีและดักมันไว้อย่างนั้นจนกว่าเราจะทำอะไรสักอย่างกับมัน ผมได้มีโอกาสฝึกกับยุงที่มากัดตั้งแต่ขั้นกดข่ม คือมันกัดแล้วก็แค้นนะ แต่ไม่ตบ จนเจริญมาถึงเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไป
ผลของการปฏิบัติศีล– เรื่องของยุง
เมื่อวานก่อนผมนอนงีบหลับพักผ่อนอยู่ รู้สึกเจ็บคัน บริเวณขา จึงรู้แน่นอนว่ายุงกัด ก็เลยไม่ขยับตัวสักพัก ปล่อยให้มันดูดไป เพราะหากเราขยับตัวหรือบิดตัว ก็เกรงว่าจะทำให้มันตายได้ หรือไม่มันก็บินกลับมาดูดเลือดอีกจุดอยู่ดี การไม่ยอมให้มันดูดเลือดในครั้งนี้จึงไม่เป็นผลดีกับใครเลย ก็เลยปล่อยให้มันดูดไปอย่างนั้น ไม่ได้โกรธแค้นอะไรมัน
ทีนี้รอสักพักมันคงดูดเสร็จแล้ว เราก็งีบต่ออีกหน่อยจนลุกขึ้นมาทำงานต่อ มียุงตัวหนึ่งบินมาวนเวียนหน้าโต๊ะทำงาน ท้องของมันป่อง เต็มไปด้วยเลือด มันบินช้าเพราะมันหนักเลือดที่ท้อง บินวนอยู่ก็หลายรอบ
ในใจก็สงสารมันนะ มันคงออกไม่ได้ แต่จะทำอย่างไร จะไปจับมัน ก็กลัวจะพลาดผิดเหลี่ยมผิดมุมตายคามือ ก็คิดอยู่สักพัก ตัดสินใจว่าถ้ามันบินผ่านหน้ามาอีกครั้งจะลองจับดู และแล้วมันก็บินผ่านหน้ามาอีกที ผมค่อยๆ เอามือไปล้อมมัน โชคดีที่มันกินอิ่มมันจึงบินช้า เลยจับไว้ในอุ้งมือได้ง่ายๆ
ผมเก็บมันไว้ในอุ้งมือ และเปิดกระจกออกพอประมาณมือสอดออก เพราะเกรงว่าเดี๋ยวมันจะบินผิดทิศ บินกลับเข้ามาในห้องอีก พอยื่นแขนออกไปได้สักหน่อยก็คลายมือออก ยุงตัวนั้นก็บินจากไปตามทางของมัน
ผลของการปฏิบัติศีล– เรื่องของแมงป่อง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อตอนไปทำงานที่ไร่ ตื่นนอน ทำธุระยามเช้า ขับรถออกจากบ้านเช่า ไปถึงไร่ก็ระยะ 2 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อถึงก็จอดรถ ขณะที่กำลังจะลงจากรถก็รู้สึกว่ามีตัวอะไรมาไต่แขน ซึ่งตอนนั้นใส่เสื้อฝ้ายแขนยาว จึงนึกไปว่าแมงมุม ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยไปจับผ้าเบาๆ เพื่อล็อกมันไม่ให้ขยับก่อนที่จะเปิดประตูรถออกไปเพื่อเหย่ามันออก แต่มันก็ไม่ออก แถมยังต่อยอีก ทันทีที่โดนต่อย ก็อาการปวดร้อนรุนแรงขึ้นมาทันที จึงถอดเสื้อแล้วสะบัดออก พบว่าเป็นแมงป่อง ซึ่งน่าจะเป็นแมงป่องบ้าน ตัวไม่ใหญ่มาก มันก็ค่อยๆเดินหนีเข้าไปตามซอกดินที่แตก
ในขณะที่โดนแมงป่องต่อย ไม่ได้มีความโกรธแค้นเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความเจ็บปวดที่แขน คือทุกข์ที่เกิดจากพิษ ส่วนใจยังเป็นห่วงว่ามันจะโดนบี้ในตอนถอดเสื้อ เพราะเสื้อแขนยาวนั้นไม่ได้ตัวใหญ่ หรือหลวมมากนัก เมื่อเห็นมันตกลงมาและเดินต่อได้ โดยภาพที่เห็นมันก็ครบองค์ประกอบดี ทำให้รู้สึกสบายใจที่ไม่ได้ไปฆ่ามัน สบายใจที่มันยังดีอยู่เหมือนเดิม รู้สึกได้เลยว่าจิตอิ่มเอิบไปด้วยเมตตา
ทั้งๆที่ในความจริง(แบบโลกๆ)แล้ว เราควรจะโกรธ ควรจะแค้น สิ่งที่มาทำเราเจ็บ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่เกิดเลย
สรุปผล
ดังตัวอย่างเรื่องยุงและเรื่องแมงป่อง ผมจึงได้เห็นจิตใจที่พัฒนาของตัวเอง จากเป็นคนที่โกรธง่าย อาฆาตแรง แค้นฝังใจ กลับกลายเป็นคนที่ไม่โกรธ นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังรู้สึกว่ามีเมตตา อยากให้มันพ้นภัย จนกระทั่งกรุณาคือลงมือทำให้มันเป็นสุข เช่นการนำยุงไปปล่อย มีความมุทิตา คือยินดีเมื่อมันสามารถหนีไป จากไป ได้แบบเป็นสุขดี และอุเบกขาตรงที่ปล่อยให้มันเป็นไปตามบาปบุญของมันต่อไป
การถือศีลนั้น จึงเป็นการถือเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจของตนเอง มากกว่าที่จะถือไปเพราะมัวเมา เพราะหลง เพราะงมงาย เพราะเห็นว่าเขาถือกัน เพราะได้ยินเขาพูดกันว่าดี แต่ถือเพราะเรามีปัญญารู้ถึงคุณค่าของศีลนั้น เราจึงใช้ศีลนั้นเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเอง
ถ้าไม่มีศีล หรือไม่ถือศีล เราก็จะไม่เห็นกิเลสของเรา ถ้าถือศีลบ้างไม่ถือศีลบ้าง หรือถือศีลแบบเหยาะแหยะ หยวนๆ ลูบๆคลำๆ ไม่เอาจริงเอาจัง ก็จะกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย จะดีก็ไม่ดี แต่จะชั่วก็ไม่ใช่ เป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
ดังนั้นการจะถือหรือยึดสิ่งใดมาอาศัย เราจึงควรพิจารณาให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งนั้น เข้าถึงประโยชน์ของสิ่งนั้นด้วยปัญญารู้จริงถึงประโยชน์ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการรู้แจ้ง ศาสนาแห่งปัญญา มิใช่ศาสนาที่พาให้หลงงมงาย หลงมัวเมา แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความดีก็ตาม
การตรวจสอบศีลของเราก็เอาจากเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันแบบนี้ละนะ ถ้าแค่เรื่องง่ายๆ เรื่องเบาๆ เรายังทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะทำศีลที่ยากกว่า หนักกว่า รุนแรงกว่า ได้เลย
– – – – – – – – – – – – – – –
23.9.2557
เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง
เผชิญแบบทดสอบ : เราพร้อมตายหรือยัง
พิมพ์บทความเกี่ยวกับเรื่องตายๆกันมาเยอะแล้ว ก็ยังไม่เคยจะได้เล่าประสบการณ์กันสักที บังเอิญว่าเมื่อวานนี้มีเหตุการณ์ที่เข้ามาทดสอบว่าเราเองพร้อมสำหรับความตายหรือยัง…
เมื่อวานมีธุระที่ต้องเข้าไปในเมือง แถวๆชิดลม โดยนั่ง“รถโดยสารปรับอากาศ” สาย 73ก ไป นั่งจากกลางๆลาดพร้าว ไปจนถึงรัชดา ทุกอย่างก็ราบเรียบดีไม่มีปัญหา จะมีก็แค่ฝนที่ตกปรอยๆอยู่ทำให้รถติดบ้างเท่านั้น
ผมนั่งเบาะข้างหลังรองสุดท้าย ข้างซ้ายด้านในติดกระจก เป็นมุมที่สามารถมองวิวข้างทางได้เพลินๆระหว่างรถติด มองคนเลิกงาน เดินกางร่มกันไปตามทาง คนในรถก็ยืนกันแน่น คุยกันบ้าง เล่นโทรศัพท์กันไปบ้าง ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี
ในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่ มีเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “ เปิดประตู!!” ทุกสายตามองไปยังต้นกำเนิดเสียง มีอีกหลายเสียงตะโกนขึ้นตามกันมาให้เปิดประตู ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดเสียงโวยวาย มีควันสีขาวๆลอยฟุ้ง ทุกคนรีบลุกขึ้นพยายามจะหาทางออกกันหมด
ด้วยความที่คนแน่นมากก็ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย สักพักคนขับก็เปิดประตูให้ ผู้คนจำนวนมากวิ่งทะลักออกจากรถ คนที่อยู่หลังรถด้านขวาพยายามเปิดประตูฉุกเฉินแต่ก็เปิดไม่ออก มีเสียงพูดกันขึ้นมาว่าแก๊สรั่วรึเปล่า? ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ดูเหตุการณ์ไป เพราะถึงจะลุกออกไปก็ติดคนอยู่ดี
ขณะนั้นเอง กระเป๋ารถก็ตะโกนบอกให้ผู้คนอย่าวิ่ง ไม่ต้องวิ่ง ผมก็เห็นด้วยนะ เพราะยิ่งวิ่ง ยิ่งเบียด ก็ยิ่งอันตราย ในขณะนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีอะไรรั่ว หรืออะไรจะระเบิดก็ไม่รู้ ทุกคนรู้แค่ว่าต้องหนีเท่านั้น
ก็คิดอยู่นะ ว่าถ้ามันมีอะไรระเบิดจริงๆก็คงจะรอดยากละนะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คิดได้ดังนั้นก็มองดูคนที่ทยอยลงจากรถต่อไป
ผู้คนเริ่มลงจากรถไปได้ครึ่งคันแล้ว ผมก็คงต้องเริ่มจะลุกกับเขาบ้าง ที่เบาะข้างหน้าเขาคงจะรีบมาก ก็เลยทำร่มหล่นไว้ ผมก็ถือลงไปด้วย เผื่อว่าจะเอาไปให้เขา (ใครก็ไม่รู้)
ระหว่างที่เดินไปหน้าประตู ก็เห็นผงสีขาวกระจายอยู่เต็มพื้น ได้กลิ่นฉุนจมูก กลิ่นแบบที่ดมนานๆคงจะแสบจมูก ข้าวของที่หล่นกระจายประปรายหน้าประตูรถ ผมลงมาพร้อมถือร่มชูขึ้นพยายามจะให้มีคนเห็น เรียกหาเจ้าของร่ม ก็ไม่เห็นจะมีใครสนใจ …ผมลืมนึกไปว่าในสถานการณ์แบบนี้ จะมีใครสนใจร่มของตัวเองล่ะ สุดท้ายก็เลยวางไว้แถวนั้น ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าผมคิดได้ก่อนก็คงจะไม่หยิบลงมาด้วย…และถ้าคิดได้อีกทีก็คงเดินเอาไปวางที่เดิมให้
กระเป๋ารถ และคนขับยังดูเหตุการณ์อยู่ในรถ ผมก็ยืนดูอยู่สักพักไม่ถึงนาทีหรอก แต่เหมือนว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ก็มีคนเดินกลับเข้าไปขึ้นรถ ขณะที่มีเสียงคนหลายคนพูดกันระงมว่าใครจะเสี่ยงขึ้นไปอีก จริงๆเขาคงขึ้นไปหาของที่ทำหล่นละมั้ง แต่ก็อาจจะมีคนขึ้นไปนั่งต่อจริงๆก็ได้
ชีวิตในเมืองช่างดูไร้ทางเลือกจริงๆ ต้องกลับไปขึ้นรถที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่กระจายออกมาเต็มรถ ผมพิจารณาดูแล้วว่าแค่เดินผ่านยังมีอาการแสบจมูก เลยเดินไปที่รถใต้ดินและยอมต่อรถไฟฟ้าอีกทีเพื่อไปถึงที่หมายแทนที่จะต้องไปนั่งสูดสารเคมีในรถ
สรุปกันหน่อย…
ผมเองได้เห็นผลจากการซ้อมตาย หรือที่เรียกว่า “การเจริญมรณสติ” ที่เคยทำอยู่บ่อยๆ มันทำให้เราใจเย็นลง ไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ประมาท เห็นและยอมรับทุกอย่างตามที่เป็นจริง วิเคราะห์เหตุการณ์ตามข้อมูลที่ได้รับมา และก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับมัน
การทดสอบนั้นควรจะมาแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการที่เราพยายามวิ่งเข้าหามัน ทั้งในความจริง หรือการคิดจินตนาการ พิจารณาไปถึงความตาย หรือ มรณสติ
แบบทดสอบความพร้อมก่อนตาย คงไม่ได้มีมาทดสอบเราบ่อยนัก การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้รับ การตรวจสอบใจตัวเอง การย่อยและขยายผลเหล่านั้นให้เกิดปัญญา คือ คุณค่าที่เราจะได้รับจากแบบทดสอบนั้น บางคนมีโอกาสได้เผชิญกับภาวะเสี่ยงตายหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้พิจารณาลงไปถึงรากแห่งความกลัวที่จะต้องตาย ซึ่งน่าเสียดายโอกาสเหล่านั้นมากๆ
แบบทดสอบนั้นไม่จำเป็นต้องรุนแรงเสมอไป บางครั้งกับบางคน เพียงแค่เห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุในข่าว ก็สามารถเกิดปัญญาเข้าใจในเรื่องความตายได้แล้ว แต่บางคนผ่านการเฉียดตายมาหลายครั้งกลับไม่สามารถเข้าใจเรื่องความตายได้
การเจริญมรณสติ ไม่ได้ทำให้เรากล้า แต่ทำให้เรายอมรับอะไรได้ง่ายขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นกับเรา
– – – – – – – – – – – – – – –
17.9.2557
หิริ โอตตัปปะ : กรณีศึกษาขนมจีนน้ำยา
หิริ โอตตัปปะ : กรณีศึกษาขนมจีนน้ำยา
ในบทความนี้ เราจะมากล่าวถึงหิริโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ในมุมมังสวิรัติกันว่าจะเป็นอย่างไร…
เป็นเหตุการณ์เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๕๖ ในงานรวมญาติครั้งหนึ่ง เมื่อเราตั้งใจที่จะกินมังสวิรัติแล้ว เราก็จะพยายามบังคับให้กาย วาจา ใจ ของเรานั้นเป็นไปในทางที่เราตั้งไว้ ด้วยกำลังสติและความตั้งมั่นเท่าที่เราพอมี ในขณะนั้น
ในตอนนั้นก็ถือว่าตัวเองนั้นลดความอยากได้ดีพอประมาณแล้ว สามารถกินผักกลางวงเนื้อสัตว์ ที่มีเนื้อย่าง มีปูนึ่ง มีกุ้งเผา มีปลาย่าง ได้สบายๆโดยไม่เกิดความอยากจนกลับไปกินเนื้อสัตว์แล้ว ตรงนี้เราประมาณไว้ดีแล้วว่าเราไหว ถ้าเป็นช่วงแรกๆ เราอาจจะไม่ไหวก็แยกกันกินให้อิ่มไปก่อน หรืออยู่ห่างเข้าไว้ เพราะเห็นเข้านานๆ ได้กลิ่นที่ลอยมา ก็อาจจะหลงกลับไปกินได้
ทีนี้เราก็เดินไปตักขนมจีนที่ญาติทำมา เป็นขนมจีนน้ำยาทั่วไป เราก็เห็นว่ามีลูกชิ้น แต่เราไม่ตักเอาลูกชิ้นนะ เราเอาแต่น้ำยา พอตักขึ้นมาใส่จานราดลงบนเส้นขนมจีน น้าก็ทักว่า “กินได้หรอ มันมีปลา” !! เราก็หยุดในทันที ยืนนิ่งๆถือจานขนมจีนที่ราดน้ำยามาแล้ว ตอนนั้นตอบน้าไปในความหมายประมาณว่า “ กินไปก่อน ไม่ได้เคร่งขนาดนั้น” แต่จริงๆ คือตอนตักก็ไม่ได้นึกถึงเนื้อปลาในน้ำยานั้นเลย อาจจะเพราะมันไม่เหลือรูปของปลาแล้วก็ได้ อีกอย่างเราก็ไม่ใช่คนทำอาหารก็เลยไม่รู้ สรุปคือไม่รู้จริงๆไม่ได้นึกจริงๆว่ามีเนื้อปลา
หิริ คือความละอายต่อบาป ในตอนที่ถูกน้าทัก ก็เกิดความละอายต่อบาป รู้สึกไม่ดี แต่ก็ตักมาแล้ว จะเอาไปคืนก็ยังไงอยู่ สุดท้ายก็เลยกินไป แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอร่อยอะไร เพราะยังมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ ว่าไม่น่าเลย ไม่น่าเลยเรา พลาดไปแล้ว
โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป ในตอนนั้นผมไม่ได้มีสภาวะของโอตตัปปะ ถ้าเป็นคนที่มีภาวะถึงขั้นโอตตัปปะก็จะหาวิธีที่จะไม่กินขนมจีนจานนั้นได้ แต่โอตตัปปะของผมเกิดหลังจากนั้น ขนมจีนน้ำยาจานนั้นเป็นจานสุดท้ายนับตั้งแต่วันนั้น และขนมจีนน้ำยาทุกจานต่อจากนี้ ถ้าผมรู้สึกยังไม่แน่ใจ มีความลังเลสงสัยว่าขนมจีนน้ำยาที่อยู่ตรงหน้านั้นทำจากเนื้อสัตว์หรือไม่ ผมก็จะไม่กินขนมจีนน้ำยาจานนั้นอย่างแน่นอน
หลังจากทีได้ทำพลาดไป คือพลาดไปกินน้ำยาที่มีเนื้อปลาเป็นส่วนประกอบโดยไม่รู้ ก็ไม่ได้รู้สึกดี หรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่กลับทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้นว่าอาหารนี้มีปลา ทำให้เราได้คิดว่าครั้งหน้าเราจะปฏิเสธอย่างไร ปัญญานั้นจะเกิดตรงนี้ เกิดเพราะเราเรียนรู้ที่จะไม่ตามใจกิเลส หาทางออกที่ดีกว่าที่เราจะไปเสริมกิเลส
จะเห็นได้ว่าความเจริญหรือปัญญานั้น เกิดจากการที่เราตั้งศีล มีศีล คือตั้งใจไว้ว่าจะละเว้นอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ประกอบด้วยสัตว์ ลดเนื้อกินผัก ก็นี่เป็นศีล เป็นตบะที่ผมตั้งไว้ ประกอบด้วยสติและสมาธิที่จะพยายามคงสภาพของการสำรวม ตา หู ลิ้น จมูก ปาก กาย ใจ เอาไว้ ไม่ให้กลับเข้าไปเสพเนื้อสัตว์อีก เมื่อเราตั้งมั่นในศีลและสมาธิอย่างมีปัญญารู้ว่าการตั้งมั่นในศีลนั้นจะมีคุณค่าและประโยชน์อย่างไร เมื่อถึงวันหนึ่งปัญญาที่เคยเป็นมรรค(การตั้งข้อสังเกต ข้อปฏิบัติ) จะเจริญเป็นปัญญาที่เป็นผล( ข้อสรุป ความเจริญที่ได้)
คือได้ผลในเรื่องนั้นๆ เกิดปัญญาในขนมจีนน้ำยา จบกิเลสเรื่องขนมจีนน้ำยาเพราะรู้แจ้งชัดแล้วว่ามีเนื้อปลาเป็นส่วนประกอบหลักในน้ำยา ก็ถือว่าได้ปัญญามาอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนรสอร่อยในขนมจีนน้ำยา หรือความชอบในขนมจีนนั้นเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่งซึ่งคล้ายๆกัน ก็ต้องไปตั้งศีล ตั้งตบะ จับกิเลสมาฆ่าล้างกันอีกที
อีกสิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเราได้ประกาศศีล ตบะ หรือความตั้งใจที่จะเลิกเนื้อสัตว์ไปแล้ว ผู้หวังดีรอบข้างก็จะช่วยแนะ ทัก ตรวจสอบเรา ว่าเรายังปฏิบัติดีดังที่หมายมั่นอยู่หรือไม่ ผู้หวังดีหรือกัลยาณมิตรเหล่านี้เอง คือผู้ที่คอยชี้ขุมทรัพย์ ชี้จุดบกพร่องในตัวเราให้เราเห็น ดังนั้นการปฏิบัติไปสู่การลด ละ เลิกการกินเนื้อสัตว์ ควรจะมีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยกันแนะ ติ ชม เพื่อไปสู่ความเจริญ
– – – – – – – – – – – – – – –
11.9.2557