แบ่งปันประสบการณ์

ประสบการณ์ที่ช่วยเข้ามาพลักดัน

June 27, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,016 views 0

การเกิดความคิดที่จะทำชีวิตให้ง่ายๆนั้น มีที่มาที่ไปมากมาย สำหรับในตอนนี้ก็เอาเป็นมุมของคนทั่วไป ทางโลกธรรมดา การดำเนินชีิวิตและการดำรงชีวิตแล้วกันนะ

ผมในวันนี้คงจะไม่สามารถคิดแบบนี้ได้ ถ้าไม่มีแหล่งประสบการณ์เหล่านี้ ซึ่งเริ่มต้นนั้นคงมีแรงผลักดันในตัวเองอยู่ระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อมาเจอของจริง มันจึงเหมือนเอาน้ำมันมาราดกองไฟ เมื่อความฝันมาเจอกับความรู้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็สูงขึ้นแน่นอน

ประสบการณ์แรก เป็นปฐมบทของการเดินเข้าสู่ความคิดแห่งการพึ่งตนเองของผม จากสวนลุงนิล เป็นตัวอย่างเกษตรผสมผสานที่สามารถอยู่กับธรรมชาิติได้อย่างลงตัว มีทุกอย่างใ้ช้ทุกอย่างเป็นการหมุนเวียนทรัพยากร หลังจากกลับมาก็พบว่านี่แหละแบบนี้แหละอนาคตเรา

อ่านต่อกับ : วิถีแห่งความพอเพียง กับ ลุงนิลคนของความสุข

ผ่านมานานจากครั้งแรก ได้มาลองเป็นชาวนาแบบคอร์สเริ่มต้น ดำนากันกับกลุ่มชาวนาคุณธรรมจังหวัดยโสธร ได้จับต้นข้าวครั้งแรกในชีวิต ได้ดำนา เท้าเข้าไปเหยียบในนาเป็นครั้งแรก หลายๆประสบการณ์ที่เบิกตา เปิดใจให้เห็นภาพลึกของชาวนาไทยมากขึ้น

อ่านต่อกับ : หว่านข้าวสู่ผืนนา หว่านศรัทธาสู่หัวใจ

หลังจากได้ลองดำนาแล้วก็ต้องลองเกี่ยวข้าวบ้าง เกี่ยวแบบพื้นบ้านเรียนรู้ประสบการณ์จากสนามจริง นาข้าว ความเป็นอยู่ของชาวนา สังคม ทัศนคติ มุมมองที่คนเมืองอย่างผมไม่เคยรับรู้ ได้รู้อะไรมากมายในครั้งนี้

อ่านต่อกับ : ลงแขกเกี่ยวข้าว รับลมหนาวปลายนา

ได้เรียนรู้วิชาเกษตร วิชาข้าวกันมาบ้างแล้ว ทีนี้ก็ได้เรียนรู้วิชาแพทย์รักษาตนเอง ของหมอเขียว แนวทาง ยา 9 เม็ด นั้น สามารถรักษาเยียวยาการเจ็บป่วยได้ทุกโรค แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้ป่วย แต่ได้เรียนรู้ไว้ก่อนป่วยถือว่ามีกำไรในชีวิตมากๆ ทำให้มีเวลาศึกษาวิชาแพทย์ทางเลือกแขนงนี้ได้อีกเยอะเลย

อ่านต่อกับ : ค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว)

อันนี้ก็เป็นคร่าวๆ  แต่ก็สามารถนำเอาความรู้มาดำรงชีวิตได้แล้ว อยู่อย่างสบายด้วย เมื่อเอาความรู้ด้านการพึ่งตนเอง การเกษตร การทำนา การแพทย์ มาหลอมรวมกับความรู้ที่ผมเคยศึกษามา ผมมั่นใจว่ายังไงก็สามารถหลุดออกจากระบบสายพานมนุษย์ ออกไปดำเนินชีวิตแบบไม่ต้องอยู่ในกรอบ ต้องได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก อย่างที่ผ่านๆมา

สวัสดี

ทางขึ้นภูเขามีหลายทาง

June 27, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,397 views 0

เป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น บางครั้งการได้ยินได้ฟังมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจได้หมดเสมอไป เพราะการฟังหรือการได้ยินมาเป็นเพียงการรับรู้ แต่ไม่ใช่ประสบการณ์

ผมเคยได้ยินได้ฟังคำพูดประมาณว่า เส้นทางประสบความสำเร็จในชีวิตมันมีหลายทาง แตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคน ผู้นำทางสู่ความสำเร็จก็นำทางต่างกันแล้วแต่ใครจะชอบเดินทางแบบไหน

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะอาจจะเดินมาผิดทาง อาจจะหลงทาง อาจจะติดทางตัน ดังนั้นผู้นำทางในชีวิตจึงมีผลอย่างมากกับการประสบกับความสำเร็จ ปัญหาคือทุกวันนี้เรามีผู้นำทาง หรือการคบบัณฑิต (มงคล ๓๘) หรือยัง ในมุมมองของผมนั้นการประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม จะไปด้วยกัน มันต้องสมดุลกันคืออยู่ตรงกลางไม่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ

ทางขึ้นภูเขามีหลายทาง…

มาถึงเรื่องราวในตอนนี้ เป็นเรื่องของการขึ้นภูเขาลูกหนึ่ง ที่ชื่อว่า เขาฝาชี ซึ่งเมื่อต้นปี 56 ผมได้ขึ้นไปมาแล้วรอบหนึ่ง ช่วงนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาว ไม้ยังผลัดใบอยู่ ทุกอย่างดูจะแห้งแล้งมองเห็นอะไรได้ง่ายๆ ไม่ได้ขึ้นยากอะไรมากมาย

ในตอนที่ขึ้นครั้งล่าสุดนี้ผมคิดไว้แล้วว่ามันต้องรกขึ้นแน่นอน เนื่องจากครั้งนี้คือการขึ้นเขาในหน้าฝน มันคงจะลื่นและชื้นขึ้นมากทีเดียว ผมและเพื่อนเดินมาเจอทางที่ดูเหมือนทางขึ้นเขาที่ดูรกทึบ ดูๆแล้วมันรกกว่าเดิมมาก แต่ก็ตัดสินใจขึ้นไปทางนั้นเพราะคิดว่าเป็นทางเดิม แต่เมื่อขึ้นไปเรื่อยกลับพบว่ายิ่งลื่นและชัน เป็นภูเขาที่มีดินคลุม ทำให้การขึ้นยากมาก ซึ่งต้องใช้โคนต้นไม้เป็นที่ค้ำยัน เพราะยืนปกติไม่ได้ มันชันมากๆ ต้องเกาะต้นไม้ไปตลอดเส้นทาง ไหลลงมาบ้าง ค่อนข้างน่ากลัว เพราะถ้าพลาดไหลลื่นลงไปโอกาสบาดเจ็บหรือตายก็มีเหมือนกัน

เราขึ้นมาได้เกือบครึ่งทางและพบว่ามันผิดทาง แต่ก็ไม่สามารถลงไปทางเดิมได้แล้ว เพราะที่ขึ้นมามันชันมากๆ ลงไปต้องอันตรายแน่ ก็เลยเสี่ยงอันตรายปีนขึ้นไปต่อให้ถึงยอดเขา เพื่อที่จะได้เดินลัดเลาะยอดเขาไปซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินได้ไหม รู้แค่กลับไปทางเดิมไม่ได้แน่ๆ

ทุกก้าวที่ปีนขึ้นไปเต็มไปด้วยความเสี่ยง เสี่ยงที่จะไหลลงไป เสี่ยงที่ต้นไม้ที่เกาะจะหัก หินที่เหยียบแล้วอาจจะหล่นลงไปพร้อมหิน จำเป็นต้องมีสมาธิสูงมากๆ ในการขึ้นเขาครั้งนี้ สุดท้ายก็มาถึงยอดและพบว่ามันผิดลูกจริงๆ โชคยังดีที่สามารถเดินลัดเลาะยอดเขาไปยังเขาลูกเป้าหมายได้

ไม่น่าเชื่อแม้แต่การขึ้นเขาผิดลูกก็สอนธรรมได้…

ทำให้ผมกลับมามองย้อนไปในชีวิตว่า บางทีการไปถึงเป้าหมาย ถ้าเราไปถูกทางมันก็ง่ายและเสี่ยงน้อยกว่า มีทางมากมายให้ขึ้นเขาแห่งชีวิต เราจะเปิดทางใหม่ที่มันยุ่งยากหรือเดินไปในทางที่มีผู้คนมากมายไปถึงยอดแล้ว สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่การเลือกของเรา ผมได้พูดประโยคหนึ่งออกมาตอนไปถึงยอดเขาลูกเป้าหมาย “ทางขึ้นเขามันมีหลายทาง แต่ถ้าฉลาดก็จะมาทางง่าย แต่ถ้าไม่ ก็ไปทางยากๆให้มันลำบากเล่นๆไป

ปัจจัยของเรื่องนี้มันอยู่ที่ “เวลา” หากเรามีเวลามากมาย เราอาจจะสามารถใช้เวลาอันมากมายเหล่านั้นหาทางขึ้นเขาได้หลากหลายเหลี่ยมมุมตามที่เราต้องการ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะมีเวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเวลาจะหมดเมื่อไหร่ การหาผู้นำทางที่ดี ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าหากใครต้องการขึ้นเขาด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองก็ตามสะดวก แต่ก็อย่าลืมไปว่าเป้าหมายของชีวิตนี้คืออะไร การมีความสุขระหว่างทางก็ดี สุขเมื่อถึงก็ดี ก็ขอให้เป็นการเดินทางที่มีแต่ความเบิกบานใจแล้วกันนะครับ

สวัสดี

เรียนรู้เพื่อเพิ่มมิติในชีิวิต

June 25, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,016 views 0

กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้วิถีชีวิตที่ต่างออกไป ห่างออกไปไกลจนเกือบขอบประเทศ ผมพาตัวเองไปในที่ที่คิดจะได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากขึ้น

การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการไปเรียนรู้ว่าผมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะอื่นๆนอกจากที่เคยเป็นได้หรือไม่ ครั้งนี้ผมได้ไปศึกษาอยู่กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว ซึ่งทางกลุ่มได้ต้อนรับและดูแลผม พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้รู้อย่างเต็มที่

ผมมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งความเคยชินมันจะฆ่าผม มันทำให้ผมตายใจและประมาทอย่างช้าๆ ดังนั้นก่อนที่ผมจะชินกับความเป็นปัจจุบันที่อยู่นิ่งๆเป็นการดำเนินชีวิตที่วนซ้ำไปมา ก่อนที่จะสายเกินไป ผมเลือกเดินทางไปตามหามิติใหม่ หามุมมองที่ผมยังไม่เคยรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในครั้งนี้ผมเลือกเดินทางไปใช้วิถีชีวิตแบบไทยๆพื้นบ้าน ในถิ่นของชาวนาต่างจังหวัดห่างไกลกรุงเทพฯ ผมเลือกที่จะไปเรียนรู้รากเหง้า ชาติกำเนิดของเราเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการเกษตร น้ำเราดี ดินเราเยี่ยม เรามีต้นไม้มากมาย ไม่มีที่ใดในโลกที่เหมาะกับการเกษตรเท่านี้อีกแล้ว แต่ถึงจะมีผมก็คงจะไม่เดินทางไปให้ลำบากหรอก เพราะเมืองไทยนี่แหละ ดีพอแล้ว เมื่อเข้าใจว่าดีพอที่จะเรียนรู้เราก็ไปกันเลย

ปกติแล้วเวลาผมท่องเที่ยวเอง ผมก็จะพยายามใช้เวลาเดินดูเมือง คน วิถีชีวิต ต่างๆเท่าที่จะเห็นได้ตามเหตุและปัจจัย แต่ในครั้งนี้มีโอกาสดีกว่า ผมไปฝังตัวเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆจากกลุ่มชาวนาคุณธรรมรวม 17 วัน ได้ไปพักก็หลายบ้าน หลายอำเภอ กลุ่มชาวนาคุณธรรมเมตตากับผมมาก มีโอกาสมากมายให้คนเมืองอย่างผมได้เรียนรู้ ได้มอง ได้เห็น ได้เข้าใจ และได้ลงมือทำบ้าง ทำให้เห็นชีวิตที่แตกต่างไป

เราอาจจะคิดได้ว่า เราคนเมืองไปทำไร่นา เสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน แต่จริงๆมันไม่เหมือนนะครับ ที่นี่เวลาแต่ละวันไหลช้า ไม่รีบเร่ง แต่มีการทำงานทุกวัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้่อง มีแต่หน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ กับผลผลิต เป็นผู้ผลิตที่รู้ที่มาที่ไปของแหล่งอาหาร ชีวิตที่มีอิสระจากระบบ ห่างไกลจากกิเลส มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก ไปคุยก็ไม่เข้าใจ ต้องเข้าไปคลุกวงใน

ที่ผมสามารถบอกได้แบบนี้เพราะไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนรอบนี้ ปกติจะไปกับทีวีบูรพา จัดเป็นทัวร์พามาเรียนรู้ แน่นอนข้อจำกัดมันเยอะมาก ผมเลยเลือกที่จะลดข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการเดินทางมาเองเสียเลย

มิติในชีิวิตที่เพิ่มขึ้น

มาถึงเนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จริงๆเสียที ที่บอกว่าเพิ่มมิติในชีวิตนั้น อธิบายได้ง่ายๆ ก็เหมือนเพิ่มขนาดพื้นที่ความปลอดภัยในความรู้สึกเรานั้นแหละ ผมรู้จักชีวิตชาวนา คนต่างจังหวัด อาหารท้องถิ่น ชีวิตแบบเกือบจะเสื่อผืนหมอนใบ แน่นอนถ้าชีวิตผมต้องมีเหตุให้เปลี่ยนแปลง ผมจะยังสามารถดำรงชีวิตในรูปแบบอื่นนอกจากวิถีคนเมืองได้ ในขณะที่คนเมืองอาจจะทุกข์ทรมาณกับการกินอาหารที่ไม่เคยกิน นอนที่ที่ไม่เคยนอน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ให้นึกถึงน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านกันมา คนเมืองอย่างเราถูกจำกัดในสภาวะที่ของกินหายาก อาหารขาดแคลน น้ำไฟโดนตัด โชคดีหน่อยก็หนีได้ แต่ถ้าหนีไม่ได้จะทนอยู่อย่างไรไหว เครียดแย่เลย ไม่เคยหัดใช้ชีวิตลำบาก แน่นอนตามธรรมชาติของมนุษย์เราจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าใครปรับตัวได้ไวกว่า เข้าใจได้ไวกว่ามันก็ทุกข์น้อยกว่า มันวัดกันตรงนี้

ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนเรียนรู้กันขนาดนี้ ถ้าเกิดค่อยทำแล้วกัน ในมุมมองผมก็จะตอบว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฝึก”ลองคิดดูว่าคนที่ประมาทกับคนที่พร้อม คนไหนจะมีโอกาสรอดมากกว่ากัน

แต่การเพิ่มมิติในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นการปรับลดปัจจัยเสมอไป เราอาจจะลองเข้าไปอยู่ในสังคมที่คิดว่าใช้ปัจจัยในการดำรงชีวิตเยอะก็ได้ ก็เป็นการเพิ่มมิติ มุมมองในชีวิตได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะลองเพิ่มมุมไหน มุมไหนที่จะเป็นประโยชน์ มุมไหนที่ทำแล้วมันมีแต่จะแย่ลง ก็ลองเรียนรู้กันดูนะครับ

สวัสดี

ยอมรับผลกรรมด้วยใจที่เป็นสุข

June 23, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 7,944 views 0

ระหว่างทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนั้น ก็ต้องผ่านอะไรมากมาย สิ่งเหล่านั้นก็คือผลจากการกระทำของเราที่ผ่านมา ทั้งที่รู้และไม่รู้การจะไปถึงเป้าหมายโดยที่จะหลบเลี่ยงผลของการกระทำเหล่านั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เรารู้จักกันในนามของ กรรม

เมื่อชีวิตเริ่มต้นขึ้นกรรมใหม่ก็ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของกรรมเก่าซึ่งส่งผลให้เกิดทางเลือกแห่งกรรมใหม่เรื่อยไป ในสมัยเด็กหลายคนอาจจะเคยทำสิ่งต่างๆไว้มากมาย ทั้งดีและไม่ดี สิ่งเหล่านั้นหล่อหลอมเราให้เกิดเป็นปัจจุบันขึ้นและนั่นคือผลของกรรมที่เราได้ทำไว้ โดยจะเลือกทำโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามในชีวิตทุกวันนี้เรายืนอยู่บนพื้นฐานของกรรมทั้งนั้น

การเกิดของวิบากกรรมแต่ละอย่างนั้นมีเหตุ มีผลของมันเอง ซึ่งในระดับปุถุชน ธรรมดาสามัญอย่างเราก็คงจะไม่สามารถสืบสาวสาเหตุของกรรมใดๆ ที่ไม่ได้ทำได้ เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ชาวพุทธรับรู้กันเป็นส่วนมาก แต่จะเข้าใจในระดับไหนก็เป็นอีกเรื่อง สำหรับกรรมที่รู้สึกว่าฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่เคยทำ ผมได้ฟังครั้งแรกจากหมอเขียวด้วยประโยคที่ว่า “อย่าถามหาความยุติธรรมในชาตินี้ชาติเดียว” เพราะผลของกรรมนั้นส่งผลข้ามภพข้ามชาติ

สิ่งที่เรารับอยู่ ก็คือสิ่งที่เราทำมา จะได้ดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจากสิ่งที่เราทำมาทั้งสิ้น จะเกิดจากสิ่งอื่นไม่มี (หมอเขียว.เทคนิคทำใจให้หายจากโรคเร็ว,20)

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา ล้วนมีเหตุและผลของมันเสมอ เราจึงควรยอมรับสิ่งต่างๆที่เข้ามาด้วยใจที่เป็นสุข พึงยอมรับว่าเราเคยทำมา เพราะนอกจากยอมรับแล้ว ทางเลือกอื่นดูจะเป็นทุกข์ทั้งนั้น การยอมรับทำให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย เอาง่ายๆว่าทำใจได้ไวนั่นเอง

เล่าเรื่อง…

ครั้งหนึ่งที่ผมไปไหว้พระตามสถานที่ที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ ปกติแล้วตั้งแต่เด็กๆผมไม่เคยขอพรหรืออธิษฐานอะไร เพราะเชื่อว่าอยากได้อะไรก็ต้องทำเอง การทำบุญไหว้พระขอพรให้ได้ตามกิเลสของตัวเองเป็นการลงทุนต่ำที่หวังกำไรมากเกินไปสักหน่อย

แต่ในครั้งนั้นคิดอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน สมัยนั้นยังไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาด้วย ผมได้ตั้งจิตขอประมาณว่า “ผมยินดีรับผลของกรรมต่างๆที่เคยทำไว้ทั้งหมด

อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็เป็นได้ แต่ก็เป็นสิ่งทีดีกับตัวเองเพราะผมไม่เคยมีคำถามต่อจากนั้นเลยว่าทำไมชีวิตของผมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้แบบนั้น อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องไปทุกข์ ไปเสียเวลาหาสาเหตุ ตั้งรับด้วยใจที่เป็นสุขอย่างเดียวก็พอ ง่ายกว่าเห็นๆ

สวัสดี