Tag: แต่งงาน

ทำไมไม่ลงเอย

March 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,202 views 0

ทำไมไม่ลงเอย

ถาม : มีความรักแล้วจบลงด้วยการเลิกราทุกครั้ง คนที่รักไปแต่งงานกับคนอื่น มีวิบากกรรมอะไร ทำไมถึงไม่ได้ลงเอย

ตอบ : เพราะไม่ได้มีกรรมร่วมกัน ก็เลยไม่ได้ลงเอย คนที่ไม่ได้ร่วมเวรร่วมกรรมกันมาจนมีพลังงานที่พอเหมาะ คือไม่มีนามธรรมที่สมเหตุสมผล จึงไม่เกิดรูปธรรม คือไม่เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น

ถ้าตอบตามแบบทั่วไปก็จะตอบได้ว่าสะสมบุญบารมีร่วมกันมาไม่มากพอ แต่จริงๆแล้วการคู่กันจนกระทั่งได้แต่งงานนั้นคือ “บาปและอกุศล” ดังนั้นถ้ามองตามความจริง คนที่ได้คบหาดูใจกัน จนกระทั่งแต่งงานมีลูกด้วยกันนี่แหละคือคนที่มีเวรมีกรรมต่อกันจะต้องมาใช้หนี้กันและกัน แต่ในระหว่างใช้หนี้เก่าก็สร้างหนี้ใหม่เพิ่ม ดังนั้นจึงต้องมีครอบครัวผูกมัดไว้เพื่อใช้หนี้กรรมอย่างไม่จบไม่สิ้น

จะขอตอบขยายเพิ่มเติมเพื่อไขข้อข้องใจอื่นๆดังนี้

1). กรรม

ผลของกรรมเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน ส่วนเราไปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ก็คงพอจะนึกย้อนได้ แต่ของเก่าก็อย่าไปเดาให้เสียเวลา ให้รู้ชัดๆแค่ว่าสิ่งนี้แหละ ฉันทำมาเอง ฉันเป็นคนทำแบบนี้มา ก็แค่รับสิ่งที่ตัวเองทำมาก็เท่านั้นเอง

กรรมที่เห็นนั้นมีความซ้อนของกรรมดีและกรรมชั่วปนกันอยู่ หลายคนอาจจะมองว่าการไม่ได้แต่งงานเกิดจากกรรมชั่ว ซึ่งนั่นก็ไม่แน่เสมอไป แต่ที่แน่นอนคือกรรมชั่วทำให้เกิดความทุกข์ ส่วนการไม่ได้แต่งงานนั่นแหละคือกรรมดี เพราะทำให้เราแคล้วคลาดจากการผูกมัดด้วยบ่วงกรรมถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามที

ในความไม่ดีมันก็มีสิ่งดีซ่อนอยู่ ดังนั้นหากจะเหมาว่าเป็นกรรมชั่วทั้งหมดก็คงจะไม่ใช่

2). ทุกข์จากการเสียของรัก

เมื่อสูญเสียสภาพของคู่รัก หรือคนที่หมั้นหมายว่าจะแต่งงานไป ก็คือการเสียของรัก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่เราทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักและหวงแหน

ถึงจะได้คบหาหรือแต่งงานไป สุดท้ายก็อาจจะต้องเสียไปในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี ไม่ตายจากไป ความรักนั้นก็อาจจะตายจากไปแทนก็ได้ ซึ่งการยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆก็ตาม แม้ว่าจะรักและดูแลดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็จะต้องเสียมันไป

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากสภาพที่ไม่ได้เสพของรักอย่างเคย ซึ่งเกิดจากการเสพติดหรือการยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นมาเป็นของตนแล้วหมายว่าจะได้เสพสิ่งนั้นตลอดไป พอโดนกรรมของตัวเองแย่งของรักไปก็ทุกข์ใจ โวยวาย ร้องห่มร้องไห้กันไปไม่ต่างอะไรจากเด็กโดนแย่งของเล่น

3). คุณค่าในตน

ความทุกข์จากการสูญเสียแท้จริงแล้วมาจากความพร่อง เราจึงใช้สิ่งอื่น หรือคนอื่นเข้ามาเติมเต็มความพร่องในชีวิตจิตใจของเราเอง อย่างเช่นว่าเราเหงา เราก็เลยอยากหาใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน หรือว่าเราอยากสบายเราก็เลยอยากหาใครสักคนที่จะฝากชีวิตไว้ฯลฯ

ซึ่งความพร่องเหล่านี้เองทำให้เราพยายามหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มตัวเอง แต่ความจริงแล้วไม่มีวันที่จะหาใครที่พอเหมาะพอดีกับอัตตาของตัวเองได้ เว้นแต่ตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำให้เรามีความสุขได้ตลอดไป แม้จะหาคนที่หมายมั่นได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งเสียไปก็ต้องเสียใจอยู่ดี

ดังนั้นการแก้ปัญญาจึงควรเพิ่มคุณค่าในตนเอง สรุปง่ายๆเลยว่าใช้การเพิ่มอัตตาเข้ามาบดบังพื้นที่ ที่เคยว่างเว้นให้คนอื่นเข้ามาเติมเต็มชีวิต คือทำให้ชีวิตตนเองนั้นเต็มไปด้วยคุณค่าและความเป็นตัวของตัวเองเสียก่อน ดังคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” อย่าไปหาคนอื่นมาเป็นที่พึ่งของเรา อย่าเอาเขามาสนองกิเลสของเรา ใช้อัตตาของเรานี่แหละทำเราให้เป็นคนที่เต็มคน

และต่อมาเมื่ออัตตาเต็มก็จะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แข็งแกร่ง อดทน แล้วตอนนั้นก็ค่อยจัดการกับอัตตาในตัวเองต่อ จนกระทั่งกำจัดอัตตาหมดก็ถือว่าจบภารกิจในเรื่องคู่

4). อย่าหลงตามสังคม

ที่มาของคุณค่าลวงๆก็มาจากคำลวงในสังคมนี่แหละ ที่หลอกกันต่อๆมาว่าคนมีครอบครัวถึงจะมั่นคง คนมีคู่ถึงจะมีคุณค่า เรามักจะได้ยินคำว่า “ไม่มีใครเอา” หรือเข้าใจโดยสามัญว่าคนที่มีอายุสัก 30 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ได้แต่งงานคือคนที่กำลังจะขึ้นคานเพราะไม่มีใครเอา

ความเห็นความเข้าใจแบบโลกๆนี้เป็นความเข้าใจที่มาจากกิเลส มาจากความไม่รู้ มาจากความหลงผิด มาจากความโง่ ในความจริงแล้วเราควรจะสรรเสริญความโสด แต่คนผู้หนาไปด้วยกิเลสจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะความโสดจะทำให้ไม่ได้เสพ ไม่ได้สมสู่ ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จะบอกว่าการแต่งงานมีคู่นี่แหละดี เพราะตนเองจะได้เสพอย่างไม่ต้องรู้สึกผิดเพราะใครๆก็ทำกัน

สังคมอุดมกิเลสแบบนี้ก็จะมีความคิดไปในทางสะสมกิเลส สนองกิเลส สร้างวิบากบาป พาลงนรก ถ้าเรายังตามสังคมไปโดยไม่มีปัญญาก็จะเสื่อมไปตามเขาเป็นแน่ แต่ถ้ายึดพระรัตนตรัยเป็นหลักไม่ปล่อยให้ชีวิตตกร่วงไปตามสังคมก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

5). ความเบื่อแบบโลกๆ

ความรู้สึกเบื่อกับปัญหา หรือเบื่อความรักจนไม่ยอมหาความรัก อย่าคิดว่านั่นคือกิเลสตาย เพราะความเบื่อนั้นก็แค่ความเบื่อแบบโลกๆ ที่มีเหตุผลอื่นเป็นตัวกดข่มความอยากหรือยังไม่ถึงเวลาที่ควรของกิเลสนั้นๆ

ตัณหา(ความอยาก)เมื่อไม่ได้แสดงอาการจะสั่งสมลงไปเป็นอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) เก็บเป็นพลังบาปไว้อย่างนั้น เมื่อเจอคนที่ถูกใจจากคนที่เคยเบื่อๆก็อาจจะอยากมีความรักก็เป็นได้

ซึ่งในสภาพของการทำลายกิเลสนั้น จะต้องทำลายตอนที่มีความอยาก ไม่ใช่ปล่อยให้ความอยากสงบจนเป็นอุปาทานแล้วบอกว่าเบื่อหรือบอกว่ากิเลสตาย สภาพนี้เองที่ทำให้คนที่เจ็บจากความรัก คนป่วย คนแก่ ฯลฯ ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจความรักทั้งๆที่ทั้งหมดนั้นเป็นความเบื่อแบบโลกๆเท่านั้นเอง

คนที่แต่งงานแล้วเบื่อครอบครัวก็เช่นกัน เพราะมันได้เสพจนเบื่อแล้วมันก็เลยเกิดอาการเบื่อแบบโลกๆ บางครั้งอาจจะทำให้เราหลงไปว่าเราไม่ได้ยึดติดกับความรักแล้ว เลยทำให้ไม่ศึกษาเรื่องกิเลสให้ถ่องแท้ เกิดมาชาติหน้าก็มีคู่อีกแล้วก็เบื่ออีกเป็นแบบนี้วนไปมาเรื่อยๆ

6). ขอบคุณความโสด

ความโสดดำรงสภาพได้จนทุกวันนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่ผ่านมานะ คนที่เข้ามาคบหา คนที่เข้ามาบอกว่าจะแต่งงานกัน แม้ว่าสุดท้ายเลิกราหรือหนีไปแต่งงานกับคนอื่นก็ตาม

นั่นคือโอกาสที่เราจะไม่ต้องไปรับเวรรับกรรม ไม่ต้องไปทำบาป ไปสะสมบาป คอยสนองกิเลส ไม่ต้องเอาใครมาผูกเวรผูกกรรมกันอีกไม่ต้องมีสิ่งไม่ดีร่วมกันอีกเลย

แต่ที่เราไม่ขอบคุณความโสดเพราะเรามีกิเลสมาก กิเลสจะบังคุณค่าของความโสดจนมิด เรียกว่าโสดไร้ค่าไปเลยทีเดียว ถ้าได้ลองล้างกิเลสของความอยากมีคู่จนหมดจะรู้ได้เองว่า ความโสดนี่แหละคือคุณค่าแท้ๆที่เหลืออยู่ ส่วนความรู้สึกสุขของคนมีคู่นี่มันของเก๊ มันคือสุขลวงๆ ที่เอามาหลอกคนโง่ให้ทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์

– – – – – – – – – – – – – – –

30.3.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

30+ โสดก็ทุกข์ ไม่โสดก็ทุกข์( โลกธรรม )

February 27, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,298 views 0

30+ โสดก็ทุกข์ ไม่โสดก็ทุกข์( โลกธรรม )

เมื่ออายุล่วงเลยเข้าไปถึงสามทศวรรษ สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งร่างกาย ความคิด โดยเฉพาะเสียงจากสังคม

โดยส่วนมากความเปลี่ยนแปลงของวัยจะมีผลอย่างมากกับผู้หญิงและมีสิ่งที่ทำให้กังวลใจเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เกิดความเข้าใจว่า เมื่อเข้าช่วงอายุประมาณ 30 ขึ้นไปจะต้องรีบหารถไฟขบวนสุดท้าย เป็นความเชื่อจากสังคมและโลกที่ปรุงแต่งให้เราคิดและกังวลเกี่ยวกับชีวิต โดยเฉพาะในเรื่องของการมีคู่

ทำให้คนที่อยู่ในช่วงอายุนั้นๆเกิดความทุกข์ ความกังวลใจ จากกระแสสังคมและความเชื่อที่มีโหมกระหน่ำเข้ามาจนทำให้จิตใจสั่นไหว ไม่มั่นคง ไม่เป็นไปตามเหตุและผล แต่เป็นไปตามกิเลส เป็นไปตามโลกธรรม เป็นปลาที่ไหลไปตามน้ำ ในบทความนี้จะมาไขเสียงเรียกร้องของกิเลสที่มักจะได้ยินกันในสังคมของคนในช่วงอายุนี้กัน

1). ทุกข์ของคนโสด

เป็นคนโสดก็มีความทุกข์ในแบบของคนโสด เราเป็นคนโสดมาตั้งแต่แรกกันทั้งนั้น แต่ใครจะเสียความโสดไปในขั้นตอนไหนก็ลองมาศึกษากันเลย

1.1). โสดไม่เป็นสุข

พออายุเข้า 30+ ก็ยังโสดอยู่ คนรู้ใจก็ไม่มี คนที่เข้าตาก็มองไม่เห็น และด้วยความที่ยังโสดแต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตยังเหมือนขาดอะไรไป ยังพร่องอยู่ ไม่รู้สึกว่าเต็มเสียที มองเห็นคนมีคู่ก็คิดไปว่าถ้าเรามีก็คงจะสุข ใครเขาว่ามีคู่ก็มีความสุข มันก็เลยทำให้คนโสดไม่เป็นสุข เพราะไม่เห็นคุณค่าของความโสด ไม่มีปัญญารู้แจ้งในประโยชน์ของความเป็นโสด กลับไปเห็นดีเห็นงามในการมีคู่จึงทำให้โสดอย่างไม่เป็นสุข

โลกธรรมก็จะเข้ามาช่วยเร่งรัด เช่นเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ชิด เข้ามาบอกว่าทำไมไม่มีคู่ล่ะ, ไม่มีแฟนสักทีล่ะ, อยู่คนเดียวตอนแก่จะลำบากนะ, เป็นคู่ปฏิบัติธรรมก็ได้นะ เหตุผลร้อยแปดพันเก้ากระหน่ำเข้ามาด้วยคำพูดเสริมกิเลสซ้ำๆย้ำๆ จนคนโสดเริ่มเมาหมัด อยู่ไม่เป็นสุข ถึงแม้ว่าตอนแรกคิดว่าตั้งใจจะโสด แต่สุดท้ายก็อาจจะหวั่นไหวไปตามกิเลสจนต้องแสวงหาก็ได้

1.2). โสดแสวงหา

พอโสดอย่างไม่เป็นสุขและโดนความเชื่อตามที่สังคมเข้าใจกันว่าเมื่อใกล้ถึงวัยนี้ โอกาสลงจากคานช่างยากเต็มที ก็จะเริ่มแสวงหาใครสักคนมาช่วยทำให้ความโสดนั้นหายไป โดยมีตัวเลขที่เรียกว่าอายุเป็นปัจจัยเร่งรัด ทำให้หน้ามืดตามัวแสวงหาคู่อย่างไม่มีสติ ทั้งนี้ทั้งนั้นอายุที่สมควรจะมีคู่นั้นเป็นเพียงสมมุติโลก ในพระไตรปิฎกมีบันทึกไว้ว่า เมื่อถึงกลียุคหญิงสาวจะแต่งงานและมีบุตรได้เมื่ออายุ 5 ขวบ แต่เมื่อผ่านพ้นกลียุคและเจริญไปจนกระทั่งมนุษย์มีอายุ 80,000 ปี หญิงสาวจะแต่งงานก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี ทั้งหมดนี้เป็นสมมุติโลกทั้งนั้น และสิ่งที่เราเชื่อกันว่าขบวนสุดท้ายก็เป็นสิ่งที่เราหลงเชื่อกันต่อๆมานั่นเอง เป็นค่าสถิติที่เก็บได้ แต่ใช้ตามความจริงไม่ได้ เพราะเรามีกรรมเป็นของของตน ดังนั้นสถิติจึงไม่มีผลใดๆเลยในวิถีของพุทธ

และเมื่อตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาแต่พบว่าหาไม่ได้เสียที หากกิเลสน้อยก็ปลงและจมทุกข์ไป หากกิเลสมากก็จะปรุงแต่งมากขึ้น เสริมสวยมากขึ้น แต่งโป๊มากขึ้น บริหารเสน่ห์มากขึ้น เอาง่ายๆว่ายั่วกิเลสหาเหยื่อนั่นแหละ ก็ใช้การเสริมกิเลสเป็นเหยื่อล่อกิเลสกันไป

โลกธรรมจะเข้ามาเสริมทัพของกิเลสโดยอาจจะมี ครอบครัว เพื่อน เป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้ ชักนำคนนั้นคนนี้เข้ามาในชีวิตเพื่อช่วยให้เราได้แสวงหาหรือมีคู่ได้มากขึ้น คนที่อยากมีคู่มากก็จะพ่ายแพ้ต่อพลังของกิเลสไปในที่สุด

1.3). โสดเลือกได้

ทีนี้พอมีคุณสมบัติครบพร้อม รูปงาม เสียงงาม ฐานะ หน้าที่การงาน ฯลฯ เมื่อผ่านพ้นช่วงแสวงหาจนได้เป้าหมายมา อย่างน้อยๆก็จะมีมาให้เลือกหนึ่งคนหรือที่เรียกกันว่าคนที่ดูๆกันไป แต่ในสังคมทุกวันนี้ดูไปถึงร่างกายแล้ว แม้จะมีสัมพันธ์ทางกายกันแต่ก็ยังไม่นับว่าเป็นคู่กันก็มีมาก เป็นความเสื่อมอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

คนที่มีโอกาสเลือกมากก็มักจะคัดเลือกคนตามกิเลสของตน ดังคำตัดพ้อที่นิยมในสมัยนี้ว่า “ชอบคนดี รักคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” สุดท้ายไม่ว่าจะดีแค่ไหน ปัจจัยที่จะมีน้ำหนักในการเลือกนั้นก็คือคนที่สนองกิเลสตนให้ได้มากที่สุด ใครสนองกิเลสของฉันได้มากที่สุด ต้องสนองเท่าที่ฉันต้องการได้ด้วยนะ ก็จะได้สิทธิ์เป็นทาสกิเลสของฉันไปจนตาย โดยไม่มีสิทธิ์เลิก

แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หลายคนใฝ่ฝันว่าจะได้คนที่เพียบพร้อมมาสนองตนเอง แต่ในชีวิตจริงนั้นมักจะไม่ได้สมใจทั้งหมด คนที่เข้ามาให้เลือกจะพร่องๆขาดๆ คนนั้นดีตรงนั้น คนนี้ดีตรงนี้ คนนั้นรวยแต่เลว คนนั้นดีแต่จน มันก็จะทำให้ชั่งน้ำหนักยาก เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์นักหรอก

ซึ่งเวลาเลือกก็คงจะมีไม่มากสำหรับคนวัย 30+ โลกธรรมจะเข้ามาเป็นตัวเร่ง ถามอยู่นั่น เร่งอยู่นั่น เมื่อไหร่จะเลือก คนนั้นดีนะ คนนี้ดีนะ คนนั้นจนอย่าไปเอาเลย คนนั้นเจ้าชู้แต่รวยเอาเงินไว้ก่อนดีกว่า พอมันไม่ได้มีแค่กิเลสของตัวเราเป็นตัวผลักดันแต่ยังมีกิเลสของญาติมิตรสหายที่กิเลสหนาเป็นตัวร่วม โสดที่เลือกได้ก็เหมือนจะไม่ได้เลือกด้วยเหตุและผลอันเป็นกุศล แต่มักจะเลือกด้วยเหตุที่สามารถสนองผลคือสนองกิเลสของฉันและหมู่คณะของฉันได้

2). ทุกข์ของคนไม่โสด

สุดท้ายแล้วพอโสดแล้วมันอยู่ไม่เป็นสุข มันทุกข์มากก็เลยมีคู่เสียเลย เอามาสนองความอยากเสียเลยจะได้ลดทุกข์ของการไม่มีคู่ลงบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ทุกข์มันไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นและที่สำคัญโลกธรรมก็จะยังอยู่กับเราเช่นเคย

2.1). คบหาดูใจ

เมื่อเราเริ่มคบหาดูใจกัน หรือที่เรียกว่าเป็นแฟนกัน คือคนนี้แหละที่น่าจะเป็นคู่แต่งงานในอนาคต ตอนแรกก็คิดว่าจะคบหาดูใจกันไป แต่ในความจริงมันไม่เป็นแบบนั้น สภาพของแฟนในปัจจุบันแทบไม่ต่างกับคู่แต่งงาน เพียงแค่ไม่ได้จัดงานแต่งงานกันเท่านั้น

กิเลสจะเร่งเร้าให้ทำมากกว่าคบหาดูใจ คือพยายามจะคบหาดูร่างกายกันไปด้วย เมื่อพลาดพลั้งไปจึงเกิดสภาพผูกมัดที่มากกว่าแฟน เพียงแต่ยังเรียกว่าแฟนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นแค่เพียงปากทางแห่งนรกเท่านั้น

เมื่อคบหาดูใจกันในวัย 30+ คบกันไม่ทันไรก็จะมีแต่คำถามและคำแซวมากมาย หวานกันจังนะ, เข้ากันดีนะ, ดูเหมาะสมกันดีนะ, เมื่อไหร่จะแต่งงานกัน ฯลฯ เจอใครเขาก็ถามแบบนี้ กลายเป็นโดนโลกธรรมสะกดจิต ตัวเองก็ต้านกิเลสไม่เป็นอยู่แล้ว และโดยมากมักจะเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานเสียด้วย

สุดท้ายเมื่อโดนโลกธรรมรบเร้าจนกิเลสโต อยากแต่งงานขึ้นมาอย่างจริงจัง ก็เลยพยายามคุยกันเรื่องแต่งงานบ่อยๆ หาเหตุที่จะได้แต่งงาน ไม่มีเงินก็ขยันหา ไม่มีเรื่องราวก็พยายามสร้าง สรุปคือพยายามสนองกิเลสจนทั้งคู่พร้อมใจจะแต่งงานนั่นเอง

2.2). แต่งงาน

เมื่อแต่งงานแล้ว ด้วยวัย 30+ เรื่องที่ตามมาก็มักจะเป็นเรื่องของลูก คนจะถามกันว่าจะมีลูกไหม, รีบมีลูกนะเดี๋ยวไม่ทันใช้, มีลูกน่ารักนะ, คิดนานไม่ดีนะ, มีลูกตอนแก่สุขภาพจะไม่อำนวย, มีลูกตอนนี้พ่อแม่ยังช่วยดูแลไหว ฯลฯ โลกธรรมมันจะเข้ามายั่วกิเลสแบบนี้ จริงๆคือมันจะลากลงนรกไปด้วยกันนั่นแหละ

คนที่พอจะต้านทานกระแสโลกได้ก็แต่งงานแต่ไม่มีลูก อยู่กันไปแบบนั้น อย่างดีเลยก็ถือศีล 8 อยู่กันแบบพรหมไป เจริญในธรรมได้แบบมีวิบากกรรมตามมาหลอกหลอนประมาณหนึ่ง แต่ไม่มีทางเป็นสุขและสบายเท่าคนโสด ส่วนคนที่กิเลสหนาก็จะเห็นว่าการแต่งงานนี่แหละดี กิเลสมันบังอยู่แบบนี้มันก็จะเห็นแบบนี้ มันก็ถูกตามแบบของคนเห็นผิดแบบนี้

ส่วนคนที่ต้านทานกระแสโลกไม่ไหว และตัวเองก็อยากมีลูกด้วย สุดท้ายก็พยายามหวังให้มีลูก ที่ว่าหวังเพราะการมีลูกกับไม่มีลูกในปัจจุบันไม่ก็ไม่ได้ต่างอะไรที่กระบวนการนัก เพราะมีการสมสู่กันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่การจะติดลูกนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง บางคนมีลูกยากก็ทุกข์ บางคนมีลูกง่ายก็ทุกข์ มันก็ทุกข์ไปคนละแบบ

2.3). ครอบครัว

ทีนี้พอมีลูกแล้วองค์ประกอบของครอบครัวก็ครบพร้อมทันที เป็นชีวิตอุดมคติที่หลายคนใฝ่ฝัน เกิดเป็นสภาพที่โดนครอบไว้ออกไปไหนไม่ได้อีกต่อไป เป็นหนี้ เป็นทาส ขาดอิสระ ต้องเอาชีวิต เวลา พลังงาน ทรัพยากรต่างๆมาดูแลเด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่คนนี้ ทุกข์ตรงนี้ต้องรับไปเต็มๆ

ส่วนชาวโลกที่มาช่วยเสริมโลกธรรมตั้งแต่แรกเขาไม่มารับทุกข์ด้วยหรอก เขามาเล่นกับเด็กแค่พอสนุกไม่นานเขาก็ไป ส่วนหน้าที่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวดูแลชีวิตเด็กคนนี้ไปอีกจนกว่าเขาจะตายก็อยู่ที่คนสร้างนั่นแหละ หน้าที่ดูแลบุตรมันไม่ได้หยุดแค่เขาทำงานเลี้ยงตัวเองได้นะ แต่มันต้องดูแลเขาไปตลอดโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆและไม่ว่านานเท่าไหร่ เรียกง่ายๆว่าดูแลจนกว่าจะหมดวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างมา

แล้ววิบากกรรมมันจะหมดได้อย่างไร ก็เมื่อตัวเองสร้างเด็กคนนั้นมา เด็กคนนั้นก็เป็นผลแห่งกรรมที่เราต้องดูแลนั่นแหละ ก็รับกันไปจนตายกันไปข้างหนึ่งนั่นแหละ บางทีตายแล้วยังไม่จบเลย เกิดมาใหม่ยังต้องมารับกันต่ออีก

….

ดังจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้สึกอยากมีคู่ ไม่มีความอยากมีครอบครัวเป็นส่วนตัว แต่ถ้าเราไม่มีพลังพอที่จะต้านกระแสโลกธรรม เราก็จะหลงไปตามโลก หลงไปตามที่เขาว่าดี ตามที่เขายึดถือ หลงไปตามโลกียะนั่นเอง

แต่คนโดยส่วนมากนั้นมีความอยากมีคู่ อยากมีคนสนองกิเลส อยากมีครอบครัว อยากมีลูกมาเป็นหลักประกันผูกรั้งคู่ของตนไว้กับคำว่าครอบครัว (แม้สุดท้ายจะกลายเป็นบ่วงที่ผูกรั้งตัวเองก็ตาม) เรามักจะมีกิเลสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อได้รับแรงผลักดันจากกิเลสของสังคมและโลกหรือที่เรียกว่าโลกธรรม ก็มักจะละทิ้งความโสดและความปกติสุขไปโดยลำดับเพื่อแลกมาซึ่งบาป เวร ภัย ภาระ อกุศลกรรม เพียงเพื่อที่จะได้เสพสมใจตามที่โลกเขาเห็นว่าดี ตามที่โลกเขายอมรับ

คนที่อยู่ในวัย 30+ มักจะโดนแรงจากโลกธรรมกระหน่ำแบบนี้ และเมื่อต้านไม่ไหวก็จะเป็นทุกข์ โสดก็ทุกข์ ไม่โสดก็ทุกข์ ต่างจากคนที่โสดอย่างเป็นสุข ที่เป็นสุขเพราะมีสภาพรู้เห็นความจริงตามความเป็นจริงในเรื่องคู่ครอง โลกธรรมที่กระหน่ำเข้ามาไม่ว่าจะมากน้อยหรือรุนแรงซับซ้อนเพียงใดก็ไม่อาจจะทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญญาได้เลย มิหนำซ้ำปัญญาเหล่านั้นแหละจะไปทำลายโลกธรรมจนสิ้นซากไม่เหลือท่าใดๆเลย

ถึงแม้ว่าสิ่งที่จะกดพลังแห่งโลกธรรมไว้ได้คือการใช้อัตตา คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีความมั่นใจในตัวเองสูง จะสามารถป้องกันภัยของโลกธรรมได้บ้าง ดังที่เห็นได้บ้างว่ามีคนจำนวนหนึ่งสามารถต้านโลกธรรมด้วยความแข็งแกร่งในตน นั่นก็คืออัตตา แต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดที่จะป้องกันกิเลสได้ เพราะดีกว่านั้นยังมี สุขกว่านั้นยังมี สมบูรณ์กว่านั้นยังมี

เราจึงต้องศึกษาเกี่ยวกับกิเลสให้เข้าใจอย่างรู้แจ้งชัดเจน ถ่องแท้ในกิเลสเรื่องนั้นๆจนสามารถเห็นความจริงตามความเป็นจริง ข้ามพ้นกามและอัตตา ดำเนินอยู่บนทางสายกลางที่ไม่เปื้อนไปในด้านใดด้านหนึ่ง นั่นแหละคือที่สุดของการปฏิบัติ

– – – – – – – – – – – – – – –

26.2.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักมั่นคง

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,806 views 0

รักมั่นคง

รักมั่นคง

… ความตั้งมั่นจะที่ก้าวข้ามความเห็นแก่ตัวเพื่อดำรงไว้ซึ่งสัจจะ

คงจะเป็นเรื่องยากถ้าจะให้เราปล่อยวางความรัก ทำตัวเฉยๆกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา แม้ว่าจะศึกษาธรรม อ่านบทความเกี่ยวกับความรัก มีกรณีศึกษามากมายที่ทำให้รู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ประสบกับความรักเข้าจริงๆแล้ว เราก็มักจะยอมปล่อยวางธรรมเหล่านั้นและเดินตามความรักไปอย่างเต็มใจ

เมื่อความรักในแบบที่เข้าใจดำเนินมาตามขั้นตอนคบหา ดูใจ เรียกว่าคนสนิท ได้ชื่อว่าแฟน จนกระทั่งแต่งงานเป็นสามีภรรยา แน่นอนว่ามีเวลามากมายให้เราได้คิดพิจารณา แต่ถ้ากิเลสยังอยู่ละก็เวลาเหล่านั้นก็จะถูกใช้ไปกับการเสพสุข ใช้ในการบ่มเพาะเรื่องราวความรักจนกระทั่งแต่งงาน

ในบทความนี้เราจะมาเล่ากันในเรื่องการประคองความรักหลังแต่งงาน ทำอย่างไรให้ชีวิตรักนั้นมั่นคง สิ่งใดที่คงทำให้เจริญ สิ่งใดที่ควรทำลาย

0). เกริ่นนำ

มนุษย์นั้นได้ชื่อว่าประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง นั้นเพราะมนุษย์มีคุณธรรม มีความดีงามเหนือสัตว์อื่น ดังนั้นการครองคู่ของมนุษย์ที่ประเสริฐนั้นก็ย่อมจะมีคุณค่าและมั่นคงเหนือสัตว์อื่นเช่นกัน

นกเงือกเป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ เพราะตลอดชีวิตมันก็จะมีคู่เดียว เลือกแล้วเลือกเลยไม่แปรผัน อยู่กันไปจนตาย สัตว์เดรัจฉานนี้อาจจะทำไปด้วยปัจจัยหรือสัญชาติญาณใดๆก็ตาม แต่ก็นับเป็นสัญลักษณ์ที่ประเสริฐ ที่ควรน้อมนำมาปฏิบัติ ดังนั้นเกิดเป็นมนุษย์ก็จงอย่าทำตนให้ต่ำกว่านกเงือก

1). เปิดม่านละครเรื่องใหม่

หลังจากที่เราได้เกี้ยวพาราสี สนองกิเลส บำรุงบำเรอคู่จนหลงในความรัก ตกลงปลงใจแต่งงานกันแล้ว ก็ถือเป็นการเริ่มต้นละครเรื่องใหม่ซึ่งต่างไปจากเดิม หลายคนมองว่าการแต่งงานคือความสมบูรณ์ในชีวิต มองว่าการแต่งงานเป็นตัววัดคุณค่าของคน เป็นเกียรติ เป็นศักดิ์ศรี เป็นความหมายในการเป็นคน

แม้ว่าเราจะมีความเห็นผิดเหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไรนัก เพราะปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราแต่งงานมีครอบครัวใหม่ นั่นก็เพราะว่าบทที่เราต้องเล่นจะเปลี่ยนไป ทุกอย่างที่เคยมีจะเปลี่ยนแปลง ทั้งเสพทั้งเสื่อมสลับปรับเปลี่ยนหมุนไปอย่างรวดเร็วจนเราเล่นตามบทไม่ทัน

ในละครเรื่องนี้ หน้าที่ของเราก็คือเล่นบทบาทให้สมจริง ให้เป็นสามีจริงๆ ให้เป็นภรรยาจริงๆ เป็นนักแสดงรางวัลตุ๊กตาทองที่แม้บทจะยากเย็นแสนเข็ญก็จะแสดงให้ดีให้สมจริงให้ได้

1.1). ในบทสามี

เมื่อเป็นสามี ชีวิตจะเปลี่ยนไปเพราะได้ภาระคนใหม่ในชีวิตที่ชื่อว่า “ภรรยา” เข้ามา แม้ความสวยงามของเธอ อัตตาของเธอ การสมสู่กับเธอ ในช่วงแรกๆอะไรก็ดีไปหมดดังที่เขาว่า “ข้าวใหม่ปลามัน” แต่อารมณ์สุขเหล่านั้นจะเสื่อมลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้เสพซ้ำๆ

ผ่านไปเรื่อยๆความเป็นเธอหรืออัตตาในแบบของเธอที่เราเคยชอบมันจะเริ่มเป็นปัญหา เพราะจริงๆเธอก็ยั้งไว้เช่นกัน ก่อนแต่งก็เก็บๆไว้ก่อนหลังแต่งก็ปล่อยเต็มที่ สุดท้ายเราจะได้พบกับความเอาแต่ใจของเธอแบบเล่นจริงเจ็บจริง เพราะเมื่อเธอได้ยึดเราเป็นที่พึ่งแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผัวเมียแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันมากนัก จริงใจกันจะดีกว่า ว่าแล้วก็เลยปลดปล่อยอัตตากันเต็มที่

ผ่านไปอีกไม่นาน ความเต่งตึงและความงามที่เคยมีจะค่อยๆเสื่อมสลาย หลายส่วนจะค่อยๆหย่อนยานเหี่ยวย่น หมองคล้ำ ไม่น่ามอง ไม่น่าสัมผัส เนื่องจากเธอไม่จำเป็นต้องดูแลตัวเองให้มากเหมือนสมัยที่ต้องยั่วกิเลสเราให้เราหลงแต่งงานกับเธอ และเธอเองก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันความแก่ที่เพิ่มขึ้นทุกวันได้อีกด้วย

ยิ่งถ้าเธอมีลูกแล้วสามีอาจจะต้องพบกับสภาพที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ภรรยารักลูกมากกว่า หรือไม่ก็ร่างกายเธอเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ ความรักความห่วงใยมักจะไปลงที่ลูก แน่นอนว่าจริงๆแล้วคนที่อยากได้ความรักจากภรรยาคือสามี แต่โดนลูกแย่ง ทีนี้จะไปโกรธลูกก็ไม่ได้เพราะรักลูกเหมือนกัน แต่นี่เองคือสภาพความเสื่อมที่ต้องเผชิญ

รวมถึงภาระที่ต้องแบก ฝ่ายชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำโดยสากล ย่อมแบกภาระในหลายๆด้าน นำมาซึ่งความกดดันทางจิตใจ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ไหนๆเราก็เลือกที่จะมาเป็นสามีเธอแล้ว ถึงแม้เธอจะแก่จะเหี่ยว เรื่องมาก เอาแต่ใจเพียงใด นี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ ดังนั้นด้วยบทสามีดีเด่น ก็ควรจะดำรงความดีไว้ แม้ว่ามันจะไม่สุขเหมือนก่อนแล้วก็ตาม

1.2). ในบทภรรยา

เมื่อเป็นภรรยาแล้ว แรกๆอาจจะพบว่าเต็มไปด้วยความสวีทหวานสามีทำการบ้านตลอดไม่เคยเกเร พอผ่านไปก็ชักจะเริ่มขาดส่ง จนกระทั่งหายไปนานๆ เราพยายามแต่งตัวสวยยั่วกิเลสก็แล้ว ทำตัวน่ารักเหมือนสมัยสาวๆก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ผล ซึ่งจริงๆเราก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของโลกว่า อาการคนเสพจนเบื่อมันเป็นเช่นนี้

แล้วแต่ก่อนเราเคยถูกเอาใจ ดูแล โทรหาทุกเช้าเย็น ไปรับไปส่ง มันอาจจะเสื่อมลงสลายลง กลายเป็นผลติดลบเช่น ต้องมาคอยดูแล เอาใจ ต้องคอยโทรเช็คทุกเช้าเย็นว่าไปไหน ต้องขับรถไปรับไปส่งสามี แม่สามี และลูกอีกอะไรแบบนี้ก็คงต้องยอมเข้าใจ

เรื่องความสวยนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าคนเสพรูปความสวยจนเบื่อแล้ว แต่งไปก็เท่านั้น สวยไปก็เท่านั้น แต่ไม่สวยแล้วอาจจะโดนติได้ มีแต่เท่าทุนกับขาดทุน

ยิ่งถ้ามีลูกยิ่งแล้วใหญ่ ลูกก็ต้องเลี้ยง สามีก็อ้อนเอาแต่ใจ ต้องแบ่งความรักความเห็นใจวุ่นวายกันไปหมด แถมร่างกายหลังมีลูกมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกด้วย จะทำให้เหมือนเดิมมันก็ยาก บางคนคลอดแล้วก็ยังเหมือนไม่ได้คลอด

ทีนี้พอมีลูกก็มักจะมีญาติผู้ใหญ่เข้ามาเสริมในชีวิตเข้าไปอีก ปรุงแต่งกิเลสกันสนุกสนาน คนนั้นก็จะเอาอย่างนั้น คนนี้ก็จะเอาอย่างนี้ แต่แน่นอนว่าในบทภรรยาดีเด่น เราก็ต้องกระจายความรักความเมตตาให้กับทุกคน สามีก็ต้องเป็นสุข ลูกก็ต้องเป็นสุข ญาติๆก็ต้องเป็นสุข สุดท้ายเราก็แบกทุกข์ไว้เอง ทนๆกันไปนะ

1.3). แนะนำตัวละครใหม่ที่เรียกว่า “ลูก”

ใครก็ไม่รู้ที่มาสวมบทบาทเป็นลูกของเรา แน่นอนว่าเนื้อหนังที่หุ้มนั้นเป็นส่วนที่เราสร้างมา แต่จิตใจและกรรมนั้นเป็นของเขา ซึ่งเขาจะเป็นตัวละครที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตพ่อแม่ เปลี่ยนวิถีจากคู่รักกลายเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง เป็นคนที่จะเข้ามาพึ่งพิงพลังชีวิตของสามีและภรรยา นั่นหมายถึงเขาคือภาระที่เราต้องเลี้ยงดู เป็นเหมือนดังบ่วงที่ผูกไว้ให้เป็นสภาพครอบครัว ให้หนีจากความเป็นครอบครัวไม่ได้

แต่แน่นอนว่าในฐานะพ่อแม่ดีเด่นแล้ว เราต้องทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้เหมาะสมที่สุดอย่างเป็นกุศลตามที่เขาควรจะเป็น ไม่ใช่ที่เราอยากให้เป็น ซึ่งก็เป็นผลกรรมที่พ่อแม่ต้องรับไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องเลี้ยงไปนานเท่าไหร่น่ะหรอ? ก็จนกว่าจะหมดวิบากกรรมที่ทำมานั่นแหละ

1.4). ตัวละครเสริมพ่อตาแม่ยาย ญาติ มิตรสหาย

เป็นคนที่มักจะเข้ามาเป็นฉากๆ ไม่ประจำนัก สมัยนี้คนไทยมักจะไม่ค่อยมีภาพครอบครัวใหญ่ให้เห็นมากเหมือนก่อน แต่ญาติมิตรสหายนั้นก็กลับเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อชีวิตคู่เช่นกัน โดยเฉพาะพ่อแม่นี่แหละ เพราะเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อชีวิตคู่อย่างมาก มีพลังอำนาจที่สามารถทำให้ทุกข์หรือสุขได้ เราไม่สามารถจะไปกำหนดบทบาทของตัวละครเสริมเหล่านี้ได้นัก ได้แต่รับผลกรรมไปตามที่ทำมา

2). หน้าที่

เมื่อเปลี่ยนจากการคบหาดูใจมาเป็นสามีภรรยาแล้ว หน้าที่ที่จะต้องทำก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย นั่นคือการสงเคราะห์ ดูแล ช่วยเหลือภรรยา บุตร ญาติ พ่อแม่ ฯลฯ ซึ่งเป็นมงคลชีวิตที่ต้องกระทำ ถ้าไม่ทำก็ถือว่าละทิ้งหน้าที่ ไม่เป็นมงคล เป็นทางเสื่อม

เรารู้ดีกันอยู่แล้วว่าการเพิ่มใครเข้ามาสักคนในชีวิตนั้นหมายถึงภาระที่เพิ่ม แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ตระหนักกันในมุมนี้สักเท่าไร มักจะมองว่าช่วยกันพาเจริญ ช่วยกันทำดี เห็นแต่มุมที่สวยงาม แต่ลืมมองเรื่องของกิเลสและวิบากกรรมที่มีร่วมกัน

การพูดถึงหน้าที่นั้นเข้าใจได้ไม่ยาก ใครก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจกันโดยสามัญ แต่หน้าที่ในที่นี้หมายถึงการทำหน้าที่แม้กระทั่งอยู่บนปัจจัยที่ต่างไปจากเดิม สภาพที่ไม่เอื้อต่อการทำหน้าที่ หรือแม้สภาพจิตใจที่ไม่อยากทำหน้าที่

ชีวิตคู่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนน้ำในทะเลสาบ แต่ปรับเปลี่ยนรุนแรงเหมือนกับทะเล ดังนั้นความยากของการทำหน้าที่คือการทำหน้าที่บนความเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้ เราไม่ควรละทิ้งหน้าที่ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใดๆก็ตาม แต่หน้าที่นั้นเป็นภาระที่เราต้องแบ่งพลังชีวิตของเรามาทำแม้ว่ามันจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน เพราะนั่นเป็นวิบากกรรมที่เราทำมา เราตัดสินใจแต่งงานมาเอง เราต้องรับภาระนี้เอง จะมาเหยาะแหยะอ้างนู่นอ้างนี่ ทำตัวงอแงเหมือนเด็กที่หาข้ออ้างเพื่อจะไม่ได้ทำการบ้านไม่ได้

ไม่ใช่ว่างอนหรือทะเลาะกันแล้วละเว้นหน้าที่ บ้านก็ต้องดูแล งานบ้านก็ต้องทำ ต้นไม้ก็ต้องรดน้ำ การสมสู่ก็ต้องยอม พอเรารู้สึกโกรธ เกลียด ไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้นี่แหละจะทำให้เราละเว้นจากหน้าที่ เห็นไหมว่าการทำหน้าที่ยากเพียงใด ดังนั้นจงอย่าประมาท อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมาอยู่เหนือหน้าที่

3). ความมั่นคง

เมื่อวันคืนผันผ่าน เนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปี เป็นสิบปี ยี่สิบปี…ความรักสุดหวานเมื่อครั้งสมัยแต่งงานใหม่ๆหรือสมัยจีบกันนั้นเลือนหายไปหมดแล้ว ถึงแม้จะคงอยู่ก็อยู่เพียงแค่รูปธรรม เป็นแค่ภาพเก่าๆ สัญลักษณ์เก่าๆ แต่ความสุขนั้นได้จางลงไปแล้ว

เมื่อความหลงที่เคยมีกลับเลือนหายเหมือนหมอกที่โดนแสงตอนสาย ความจริงก็จะปรากฏ ผู้หญิงที่เราเคยรักเคยหลงใหลอาจจะกลายเป็นเพียงแค่คนที่เอาแต่ใจ แก่ เหี่ยว ขี้งอน ขี้บ่น ขี้ลืม ขี้เหนียว ซุ่มซ่าม มักง่าย อ้วน ไม่เรียบร้อย ฯลฯ และผู้ชายที่เราเคยปักใจรักมั่นอาจจะลงพุง เกเร พูดจาไม่หวานเหมือนก่อน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โทรม ไร้ราศีหนวดเครารุงรัง ขี้โม้ ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ ฯลฯ

และทุกสภาพความเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมที่ต้องเผชิญเช่น ความจน ตกงาน ล้มละลาย เสื่อมเสียชื่อเสียง โดนฟ้องในคดีต่างๆ ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง พิการ กลายเป็นผัก ลูกติดยา ลูกอยากเปลี่ยนเพศ ปัญหาในหมู่ญาติและสารพัดปัญหาอีกมากมายที่จะต้องเจอเมื่อดำเนินชีวิตคู่

เราจะสามารถมั่นคงอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อทุกสิ่งที่เราเคยหวังจะได้เสพมันได้หายไปหมดแล้ว มันเสื่อมสลายไปหมดแล้ว มองไปรอบกายดอกไม้ของคนอื่นช่างดูงดงาม แต่ทำไมดอกไม้ของเรากำลังร่วงโรย เราจะทนกับสภาพแห่งความเสื่อมเหล่านี้ได้อย่างไร

สิ่งเดียวที่จะช่วยให้รักนั้นมั่นคงและดำเนินต่อไปได้คือความเสียสละ ยอมสละความเห็นแก่ตัวทิ้งไป ยอมไม่สุข ยอมไม่เสพ ยอมอยู่กับความเสื่อม ยอมทนทุกข์เพื่อดำรงสัจจะ เพื่อพิสูจน์ความแท้ของรักที่มี เพื่อดำรงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การยอมเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง น่าสรรเสริญ เป็นคุณธรรมที่ควรค่าแก่การเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง

4). บทสรุปรักลวง

ในศาสนาพุทธนั้นการแต่งงานหมายถึงการครองคู่กันดูแลกัน ทำหน้าที่ตลอดไป ศีลข้อ ๓ นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการครองคู่ การนอกใจคู่ครองนั้นเป็นบาปและสร้างกรรมชั่วที่ร้ายกาจ เพราะการทำลายความเชื่อใจของคนคนหนึ่งนั้นหมายถึงการทำลายศรัทธาและความเชื่อมั่นในคุณธรรมของคนไปด้วย

คนที่นอกใจนั้นคือผู้ที่ทำลายคุณค่าในตนเองด้วยกิเลสที่มีในตน เพราะตนนั้นทนพลังกิเลสตัวเองไม่ไหว จึงยอมทิ้งศีลธรรมจนกระทั่งนอกใจคู่ของตน คำว่า “นอกใจ” นั้นมีความหมายลึกซึ้ง เพราะครอบคลุมทั้งร่างกาย วาจา ไปจนถึงใจ การที่มีจิตคิดไปว่าถ้าได้เสพคนนั้นหรือคนไหนที่ไม่ใช่คู่ของตนก็ถือว่านอกใจแล้ว ใจไปถึงบาปนั้นแล้ว เพียงแค่รอร่างกายตามไป รอที่จะสะสมกิเลส สะสมกำลังและวิธีการให้ได้ไปเสพในวันใดวันหนึ่งเท่านั้นเอง

สามีภรรยาทุกคู่นั้นย่อมจะต้องเจอกับสภาพความเสื่อมอยู่แล้ว เราแต่งงานเพราะความหลง เมื่อความหลงจางคลายจึงพบความจริง หลายคนยอมทำใจรับกับความจริงได้ ยอมเสียสละสุขบางส่วนเพื่อคนที่รัก แต่ก็มีหลายคนที่ทำใจไม่ได้ จึงทำให้คนรักที่เคยพูดแค่คำหวาน ให้คำสัญญามั่นหมาย รักกันเสียสละให้กัน ดูแลกันจนตาย ยินดีที่จะทำลายคำสัญญาเหล่านี้ ยอมกลายเป็นผู้ไม่มีสัจจะเพียงเพราะแค่ตนนั้นทนสภาพทุกข์ไม่ไหว จึงขอเอาตัวรอดไปเสพสุขเพียงผู้เดียว

แม้จะละทิ้งหน้าที่ ทำลายสัจจะ ฉีกสัญญารัก เอาตัวรอดไปได้เหมือนนกที่รักอิสระโบยบินออกจากกรงทอง แต่กรรมนั้นกลับผูกมัดไว้อย่างแน่นหนา เพราะการละทิ้งหน้าที่ การไม่ดูแลคู่ของตน การประพฤตินอกใจคู่ครองนั้นเป็นความหยาบที่หนักหนาสาหัส หยาบขนาดที่ว่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิดยังไม่ทำกันเลย

ผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความลวงในหน้ากากของความรัก ได้ชดใช้กรรมที่ตนเคยก่อไว้ และได้อิสระคือความโสดกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมีแต่เรื่องน่ายินดี แม้ว่าในตอนแรกอาจจะเต็มไปด้วยความเสียใจที่เสียของรัก แต่ในที่สุดในวันใดวันหนึ่งก็จะเข้าใจได้เองว่าความโสดนี้คือสมบัติที่มีคุณค่าที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงควรขอบคุณคนที่ยอมทิ้งเราไป

ส่วนคนที่ละทิ้งหน้าที่ แสร้งทำเป็นผู้ยอมมาทำบาป จึงกลายเป็นตัวแทนชำระหนี้กรรมให้กับผู้ถูกทิ้ง โดยยินดีสร้างกรรมชั่วนั้นไว้กับตนเสียเอง จึงกลายเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด เพราะนอกจากจะสูญเสียศักดิ์ศรี เสียสัจจะ เสียคุณค่า แล้วยังต้องมาสร้างบาปแบกวิบากกรรมชั่วที่ตัวเองทำไว้อีก มีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว แต่นั่นก็หมายถึงว่าในท้ายที่สุด เขาก็จะได้เรียนรู้กับผลกรรมที่เจ็บแสบจากกรรมที่เขาเคยกระทำไว้นั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

15.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 90,700 views 14

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

… ความจริงที่จะมาอธิบายเหตุผลมากมายร้อยแปดพันเก้าว่าทำไม…เขาถึงมาจีบฉัน

เราอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปีในการทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาจีบฉัน แต่ในบทความนี้จะย่อช่วงเวลาแห่งการหาคำตอบเหล่านั้นไว้ให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็นและรู้เท่ากิเลสที่แอบซ่อนอยู่ภายในลึกๆ ก่อนที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับความรักลวงนั้นได้

ในบทความนี้เราจะพูดในมุมของผู้หญิงซึ่งเป็นมุมที่มักจะถูกจีบ ถูกดูแล ถูกเอาใจ เป็นมาตรฐานสากลของไทยที่ใครตั้งไว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าพูดในมุมผู้หญิงก็จะอธิบายให้เห็นภาพได้ชัด ส่วนคุณผู้ชายก็อย่าน้อยใจกันไป ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกันดูได้ เพราะลีลาท่าทางต่างๆของคนที่มาจีบก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจึงมาจีบ มาทุ่มเท ดูแล เฝ้าเอาใจ ไม่ห่างไปไหน เขาช่างดีแสนดี หลายเดือนหลายปีก็ยังอยู่ เรามีอะไรดีนักหนา ผู้คนตั้งมากมายทำไมต้องเป็นเราหรือเขาคือเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาเพื่อเรา มาเป็นเนื้อคู่ของเรากันแน่นะ พลังมโน หรือการคิดไปเองนี่มันร้ายยิ่งกว่าร้าย มันปรุงแต่งสิ่งลวงให้เป็นของจริงได้ แต่ก่อนจะมโนกันไปมากกว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลย

1). ทำไมเขาจึงมาจีบฉัน

เหตุผลในการมาจีบทางโลกนั้นมีอยู่มากมายยากจะชี้ให้เห็นทั้งหมด แต่ถ้าเราจับต้นสายปลายเหตุดีๆ ค้นไปให้ลึกให้เห็นถึงต้นเหตุที่ผลักดันให้เขามาจีบ เราก็จะสามารถเห็นได้ว่ามีกิเลสอยู่ 4 ระดับหลักที่ผลักดันให้เขามาติดมายึดเรา

1.1).อบายมุข … ความอยากในอบายมุขนี่ก็เช่น พวกกิจกรรมที่พาเสื่อมต่างๆ เป็นนักกินเหล้า นักพนัน ชอบดูละครน้ำเน่า ชอบเที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการงาน ติดเล่นเสเพลไปเรื่อย เมื่อเขาเหล่านั้นเจอคนจริตเดียวกัน คือเราก็เป็นคนที่หลงในอบายมุขด้วย จึงชอบพอและมาจีบด้วยเหตุที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตไปกับการเสพอบายมุขสนองกิเลสไปด้วยกัน คิดแบบกิเลสท่วมใจว่า แหม.. เราเสพคนเดียวยังสนุกขนาดนี้ ถ้าชวนเธอมาเสพสุขในเรื่องเหล่านี้มันจะสุขขนาดไหน

ในมุมคนเจ้าชู้ เขาเหล่านั้นจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในการได้เสพการยอมรับและการสมสู่ จึงตระเวนแจกขนมจีบไปทั่วโดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการจีบไปทั่วแต่ก็มักจะเป็นการจีบที่มีผลให้หญิงผู้มีจิตใจอ่อนไหวต่อกิเลสได้พลาดท่าเสียทีมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังที่เป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏทั่วไปในสังคม

และในมุมที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการมาจีบในระดับอบายมุข คือจีบมาเพื่อเป็นที่สนองตัณหา สนองความใคร่ จีบเพื่อจะได้สมสู่ จนมีคำเรียกที่ว่า “รักนิรันดร์ ฟันแล้วทิ้ง”

1.2).กามคุณ … กามนี้เป็นกิเลสในฐานที่คนยึดถืออยากได้อยากมีจนจีบกันในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสวย หุ่นดี เสียงไพเราะ ตัวหอม ผิวนุ่ม ต่างเป็นที่น่าหลงใหลของชายทั่วไป หญิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ จึงเหมือนกับดอกไม้ที่มีหมู่ผึ้งมาคอยจ้องจะมาเอาน้ำหวาน เรียกง่ายๆว่าเขาหลงในความงามเขาจึงมาจีบ เพราะเขาอยากได้ความงามของเรามาเสพ มันก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่

1.3).โลกธรรม … ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแบบโลกๆ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมาจีบเพื่อหวังได้เสพสิ่งเหล่านี้จากเรา เราอาจจะรวย อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี อาจจะมีชื่อเสียง อาจจะดูเหมือนบำเรอสุขให้เขาได้ เขาจึงมาจีบเรา แบบว่าอยู่กับคนนี้ก็สบายไปทั้งชีวิต

ในมุมผู้ชายมาจีบเพื่อโลกธรรมอาจจะเห็นได้ไม่มาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงที่มาจีบหรือจะตกลงใจต่อผู้ชายจะเห็นภาพได้ง่าย เพราะในสังคมไทย ผู้หญิงมักจะต้องตั้งเงื่อนไขไว้ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เช่น “สมัยนี้ไม่มีใครเขากัดก้อนเกลือกินกันแล้ว” หรือไม่ก็ “รักคนดี ชอบคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” คนที่มาจีบเพราะโลกธรรมมันก็แบบนี้ เพราะเขาหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกๆ มาสนองให้กับตนจึงพยายามจีบ หรือคอยให้ท่า

1.4). อัตตา … ในมุมของอัตตานี่ล้ำลึกที่สุด เพราะเหตุผลไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉันก็ชอบของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องได้คนแบบนี้ ฉันคัดคนแบบนี้มา เธอคือสเปคของฉัน รักตั้งแต่แรกพบอะไรก็ว่ากันไป ในมุมอัตตานี่จะมีในระดับศีลธรรมต่ำก็ได้ จะสูงก็ได้ แต่เนื้อแท้คือต้องการแบบเธอคนนั้นมาสนองอัตตาของฉัน ซึ่งอัตตานี้เองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกลับที่สุด ถ้าอยากรู้ต้องค่อยพิจารณาขุดค้นหากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก

ต้องยอมรับกันจริงๆว่าบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ มันจะมีอาการดูดดึงกันแปลกๆ ความรู้สึกอยากเสพความสวยความงาม ความรวย ความมีชื่อเสียง หรือการสมสู่มันก็ไม่ได้อยากจะมีมากนักหรอก แต่มันอยากได้คนคนนี้ มันต้องเป็นคนนี้เท่านั้น อันนี้แหละเขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เหตุผลทางโลกนี่จะใช้อธิบายไม่ได้เลย เพราะมันจะอยากได้อยากมีแบบดื้อๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล

….สรุปแล้วการที่เขามาจีบนั้นก็มีเพียงภาพกว้างๆเท่านี้ เขาอาจจะอยากเสพหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ทั้งกามทั้งโลกธรรม หรืออาจจะเป็นเหลือแค่อัตตาก็ได้ เราก็ใช้ลักษณะของกิเลสเหล่านี้ไปสังเกตเขาแล้วก็ค่อยๆวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย

2). จริงๆฉันก็รู้และอยากให้เขามาจีบฉัน

ผู้หญิงหลายคนก็ฉลาดในเรื่องโลก ฉลาดในทางสะสมกิเลส ฉลาดเฉโก รู้อยู่เต็มอกนะ ว่าเขามาจีบเพราะอะไร นอกจากจะรู้แล้วยังไม่อยู่เฉย มักจะคอยกระตุ้นผู้ชายให้มาจีบมากขึ้นด้วยการเร่งกิเลสของเขา

2.1).อบายมุข … พอรู้ว่าผู้ชายติดอบายมุข ติดการสมสู่ก็เข้าไปเร่งกิเลสผู้ชาย แต่งตัวโป๊ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เว้านิด เปิดหน่อย เสื้อบางๆ ถ่ายรูปโชว์หน้าอกนิดหนึ่ง ทำหน้าอ้อนๆนิดหน่อย หรือถ้าหลงมัวเมาหนักๆในการยั่วกิเลสก็โป๊ให้เห็นเลย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือวางแผนให้ท่าอ่อยเหยื่อผู้ชาย สุดท้ายก็หลอกล่อให้เขามาสมสู่กับเรานั่นแหละ อันนี้มันระดับอบาย เป็นนรกแท้ๆ แม้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่อย่าไปลองเลย เพราะมันได้แค่สุขลวงแต่เป็นทุกข์แท้ๆ

2.2).กามคุณ …พอรู้ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ก็จะดูแล บำรุงให้ตัวเองดูดี ในระดับกามนี้จะไม่ตกต่ำไปจนโป๊เปลือย แต่จะสวยอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้ มีการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้สวยตามสังคมทั่วไป แต่งตัวให้ดูดีแบบทั่วไป หัดพูดจาให้เสียงไพเราะ ทำตัวให้หอม ทำเนื้อตัวให้เนียนนุ่ม อันนี้ก็อยู่ในขีดของกาม ผู้หญิงจะรู้ตัวและแอบดูแลตัวเองอยู่เพราะลึกๆต้องการให้ใครสักคนมาจีบ

คนที่ติดในกามหลงในกามมากเข้าจะเริ่มต้องการมากขึ้น อยากเสพความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าสวยขึ้นงามขึ้นก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าไปศัลยกรรมตกแต่งร่างกาย ฉีดตรงนั้น ตัดตรงนี้ เพิ่มตรงนั้น ลดตรงนี้ ซึ่งในขีดนี้ก็เรียกได้ว่าเสื่อมถึงขนาดเข้าขีดของอบายมุขแล้ว

ในข้อนี้อาจจะมีความเห็นแย้ง ว่าปกติฉันก็แต่งอยู่แล้ว คนเรานั้นมีกิเลสลีลาหนึ่งที่เรียกว่า “แข่งดีเอาชนะ” ถ้าให้เทียบทั่วไปก็คือการแข่งกันสวยแข่งกันเด่น แต่แข่งกันไปเพื่ออะไรล่ะ? การแข่งนี้เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ไม่ใช่ของผู้เจริญแต่อย่างใด สัตว์จะแข่งกันโชว์ความสวยงามเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแต่งไปเพราะความชอบล้วนๆนี่มันเป็นอัตตา มันหลงยึดหลงติดแบบไม่มีเหตุผล มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์อีก

2.3).โลกธรรม …ในกิเลสมุมนี้จะขออธิบายในมุมผู้ชายเพื่อให้เห็นภาพชัดกว่า เมื่อเราเห็นว่าผู้หญิงติดโลกธรรม อยากได้อยากมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แน่นอนว่ามีผู้ชายบางจำพวกสามารถสนองกิเลสด้วยลาภได้อย่างไม่ยากไม่ลำบาก จึงเกิดการเลี้ยงดู บำเรอด้วยลาภ หรือที่เขาเรียกกันว่า “เด็กเสี่ย” อะไรประมาณนั้น เป็นการใช้เงินเข้ามาล่อผู้หญิงขี้โลภให้เข้ามาติดกับ จริงๆแล้วมันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันละนะ ต่างคนก็เสพสมใจในมุมของตัวเอง ใช้คนอื่นสนองกิเลสตัวเองกันไป

2.4). อัตตา …กลับไปในมุมของผู้หญิงเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นผู้ชายที่มีอัตตามาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการณ์มาก แต่ก็มักจะต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ เพราะเธอเหล่านั้นวางค่ายกลที่จะสนองอัตตาไว้แล้ว เป็นมารยาที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน เป็นการสนองอัตตาจนผู้ชายคนนั้นยอมรับผู้หญิงที่มีมารยาผู้นั้นไว้เป็นหนึ่งในอัตตาของตัวเอง

เมื่อผู้ชายรับเอาผู้หญิงเป็นอัตตาแล้วยังไง? ก็เข้ามาจีบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่วางแผนไว้แต่แรกก็อาจจะเล่นตัวอีกสักเล็กน้อยให้พอดูมีศักดิ์ศรีบ้างเพื่อสนองอัตตาเขาไปอีกที สุดท้ายก็จะจับผู้ชายที่มีอัตตาจัดได้ไม่ยาก

3). ทำไมเขาจึงไม่มาจีบฉันบ้างล่ะ

ก็เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนั้นไม่สามารถสนองกิเลสของเขาได้ หรือไม่ก็มีคนอื่นที่สนองกิเลสเขาได้มากกว่า เขาจึงไม่จีบฉันยังไงล่ะ หรือจะเรียกได้ว่าฉันไม่ใช่กรรมกิเลสของเขา (ก็ดีแล้ว) หรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่มีกรรมผูกกันมาขนาดนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาผูกกันอีกครั้ง (ก็ดีแล้ว)

4). จีบแล้วพาให้หลง

เมื่อเขามาจีบแล้วก็มักจะสนองกิเลสเราด้วยความลวง เราไม่สวยก็ว่าเราสวย เราไม่ดีก็ว่าเราดี ทำให้เราเริ่มหลงจนเริ่มมีนิสัยเสีย งอแง เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทนได้ เขาก็รับได้ ที่เขาทนได้เพราะเขายอมให้เราตายใจก่อนจะได้เสพสมใจเท่านั้นเอง แต่เวลาเราสร้างนิสัยเสียขึ้นนี่มันเสียแล้วเสียเลย เสียแล้วมันแก้ยาก กิเลสมันขึ้นแล้วมันลงยาก นี่แหละผลของการจีบแล้วทำให้หลงผิด

5). รักจริงหรือ…จึงมาจีบ

เรามักจะเห็นภาพความเพียรพยายาม ดูแลเอาใจใส่ ทำตัวดังพ่อบุญทุ่ม ยากแค่ไหนก็ยอมฝ่า เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมทน ดีแสนดีเหนือใคร ซื่อสัตย์ อดทน ให้อภัย เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสามีในอนาคต ดังเทพบุตรที่ส่งมาจากฟ้า พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะรักและมั่นคงไปชั่วนิรันดร์

แค่นั้นยังไม่พอ ยังทุ่มเทและบำรุงเราด้วยอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา กระหน่ำเข้ามาไม่เว้นวัน วันละหลายครั้งสามเวลาหลังอาหาร คำว่ารัก รัก รักนี่ตกเกลื่อนพื้นเรี่ยราดมากมายจนเก็บไม่หมด เฝ้าฝันเฝ้ารอคอย ตามตื้อจนกว่าเธอจะรับรัก อดทนรอหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี ทำความดีให้เห็นอย่างไม่ลดละ เธอชอบคนดีฉันก็เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์ เธอชอบเล่นหุ้นฉันก็ศึกษาหุ้นวิเคราะห์หุ้นให้ เธอชอบอะไรฉันก็จะสนองเธออย่างนั้นจนกว่าเธอจะยอม

เป็นเทพบุตรสุดที่รักที่น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร เป็นนักแสดงค่าตัวแพงที่ยอมเล่นก่อน จ่ายทีหลังพร้อมกับดอกเบี้ยบานเบอะ ถ้าเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตดูว่าเขาดูแลพ่อแม่ดีแบบนี้หรือไม่?

ถ้าผู้ชายที่ดีแสนดีจะดูแลใครสักคนให้ดี เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ของเขาให้ดีก่อนเป็นแน่ เขาจะไม่มาเสียเวลาแจกขนมจีบให้เราหรอก เพราะเขาเอาเวลาไปดูแลครอบครัวของเขาดีกว่า เพราะพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ควรจะกตัญญู ไม่เหมือนกับเราซึ่งเจอกันไม่นาน ถ้าเขาสามารถรักเราที่พึ่งเจอกันไม่นานมากกว่าพ่อแม่ได้ ก็ลองพิจารณากันดูเองว่าควรแล้วหรือ? รักนั้นจริงแล้วหรือ? คนที่มีรักจริงทำตัวเช่นนี้หรือ?

6). จีบไปทำไม

จริงๆแล้วเขาก็มาจีบเพื่อจะเสพเรานั่นแหละ และโดยรวมทั้งหมดตามธรรมชาติของมนุษย์เลยก็คือการได้สมสู่ ดังนั้นเป้าหมายก็จะเป็นการจีบเพื่อสมสู่ แม้ว่าภาพที่แสดงออกจะดูดีแค่ไหน สุภาพบุรุษแค่ไหน สุดท้ายก็สมสู่อยู่ดี ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องสมสู่นี่แหละ จีบกันหมายจะมีคู่มันแค่เรื่องสมสู่นี่แหละ แล้วเราก็หลงไปว่าเรามีคุณค่ากับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วมันก็มีคุณค่าแค่ไว้สมสู่นี่แหละ

กล่าวกันแบบนี้อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ถ้าคนเรารักกันจริงมันไม่ต้องจีบกันให้เมื่อยหรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสมสู่เลยเพราะหยาบเกินไป เอาแค่จีบกันนี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ การจะคอยสนองกิเลสใครนี่มันเหนื่อยและใช้พลังงานมาก มันไม่บริสุทธิ์เพราะมันมีกิเลส รักกันนี่ไม่จำเป็นต้องเสพกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็รักกันได้ แต่ที่มันจะพยายามให้เกินเพื่อนเพราะมันอยากจะเสพบางอย่างที่มันเกินเพื่อนไปนั่นแหละ

ผู้ชายหลายคนอาจจะเริ่มซึ้งและเข้าใจกิเลสตัวเองมากขึ้นหลังจากได้เสพสมใจและเสพจนกระทั่งเบื่อหน่าย จนพบว่าสุดท้ายเมื่อตัดความใคร่ออก ก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อนชีวิตเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนนี่มันไม่ต้องจีบ ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ แต่การจีบจนกระทั่งแต่งงานนี่มันจะได้สมสู่กันอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีที่คนเขายอมรับกัน

เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายจากเมียที่เคยรักเคยหลง ก็จะเริ่มเห็นทุกข์แท้จริง เพราะไม่ว่ากามคุณที่เธอเคยมีนั้นก็จะเสื่อม แก่ เหี่ยว หย่อนยาน เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ โลกธรรมที่เคยมีนั้นก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ อัตตาที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ก็คลายลงเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องจำยอมรับผิดชอบกับอีกชีวิตหนึ่งที่เอามาผูกกันไว้

สุดท้ายก็เป็นผู้ชายเองที่ติดกับผู้หญิง หลงจีบผู้หญิงเพราะอยากได้อยากมีเธอมาไว้สนองกิเลสตัวเอง จริงๆแล้วเธอก็อยู่ของเธอดีๆ เราก็ไปยุ่งกับเธอเอง ไปชอบเธอเอง ไปอยากได้เธอเอง แล้วก็ไปจีบเธอเอง สุดท้ายหลังจากกระตุ้นกิเลสเธอจนเธอยอมก็ได้เธอมาเป็นของตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้นั่นก็ไม่เที่ยง เสพสุขไม่นานมันก็หมดรสสุข เสพไปก็ไม่สุขเหมือนเดิม ความสุขนั้นลวงเราตั้งแต่แรก เราสุขแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ จีบกันไม่กี่ปี แต่ต้องทุกข์อีกหลายสิบปี ทุกข์ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์แยกตัวออกไป

และสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยพอ เมื่อไม่สุขเหมือนที่เคยเสพ ก็จะทิ้งผู้หญิงที่ตนเคยรัก เคยดูแล เคยเอาใจ เคยสาบานว่าจะรักไปจนชั่วนิรันดร์ไปหาเสพสิ่งที่ตัวคิดว่าสุขเอาดาบหน้า ไปมีกิ๊ก ไปมีชู้ ไปมีเมียน้อย ฯลฯ ทิ้งผู้หญิงซึ่งถูกเสพจนเสื่อมสภาพ และถูกเอาใจจนเสียนิสัยที่ดีไปหมด ไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีตตอนหนึ่งของชายคนนั้นเท่านั้น

7). รักฉันอย่าจีบฉัน

ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การจีบนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมอย่างแน่แท้ ความรักที่แท้จริงไม่ได้หวือหวา น่ามหัศจรรย์ น่าหลงใหลขนาดนั้น แต่เป็นความสงบเย็น อ่อนละมุน บางเบา ไม่เร่าร้อน ไม่เรียกร้อง เมื่อเห็นเช่นนั้นพึงเข้าใจว่า “รักฉันอย่าจีบฉัน” อย่าทำให้ฉันหวัง อย่าบำเรอกิเลสฉันจนฉันหลงไป อย่าเอาใจฉันจนฉันนิสัยเสีย อย่าบิดเบือนความจริงด้วยความลวง อย่ามองฉันเป็นเพียงเป้าหมายที่ต้องพิชิต อย่าให้ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของเธอ อย่าให้ฉันเป็นของเธอและอย่าให้เธอมาเป็นของฉัน

การที่คนเราจะรักกันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นของกันและกัน เราแค่เพียงมีกันและกันเดินร่วมกันไปดังเส้นขนาน แม้ว่าจะไม่ได้เสพสมสู่กันดังธรรมชาติของผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความสุข ความสุขจากการได้เสพสมใจตามกิเลสมันจะมีค่าอย่างไรในเมื่อมันเป็นแค่ความหลง

ดังนั้นหากว่ารักฉันจริง จงอย่าจีบฉัน อย่าทำร้ายฉันด้วยดอกไม้ คำหวาน และคำสัญญาใดๆอีกเลย เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

– – – – – – – – – – – – – – –

13.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)