Tag: คู่รัก
ให้อภัยใจแข็ง
ให้อภัยใจแข็ง
…เมื่อการให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับมาเคียงคู่กันเสมอไป
การใช้ชีวิตไปพร้อมกับการมีคู่รักก็คงต้องกระทบกันมากบ้างน้อยบ้างเหมือนลิ้นกับฟันอยู่ด้วยก็ต้องกระทบกันเป็นธรรมดา เมื่อคนสองคนที่มีความเข้าใจ ความคิดเห็น ความต้องการที่ต่างกันมาอยู่ร่วมกันแล้วความไม่ลงตัวย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นกัน
หากการทะเลาะเบาะแว้งนั้นเกิดจากเรื่องที่พอจะตกลงปรับความเข้าใจกันได้ ก็มักจะให้อภัยกันได้ง่าย ยอมให้กันได้ง่าย แต่หากเหตุแห่งการไม่พอใจกันนั้นเกิดขึ้นเพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำปัญหามือที่สามเข้ามาในชีวิตคู่ เช่นมีกิ๊ก คบชู้ มีเมียน้อยผัวน้อย การจะให้อภัยจนถึงการตัดสินใจต่อจากนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนขึ้นมาทันที
อย่างที่เรารู้กันว่าการคบชู้นั้นผิดศีลข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อคนที่รักกัน ไว้ใจกัน เชื่อใจกัน ถึงขั้นที่สามารถทำลายศรัทธา ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งหมดที่เคยมีมาได้เพียงแค่รับรู้เรื่องราวการผิดศีลนั้น เมื่อมีผู้ผิดศีลจึงมีผู้ถูกเบียดเบียน และผู้ถูกเบียดเบียนด้วยกายวาจาและใจนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกกรรมที่จะรับต่อไป
1).ไม่ให้อภัย
คนที่ถูกคู่รักทำลายความเชื่อมั่นที่เคยมี นั้นมีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่ให้อภัย ไม่ยกโทษ ไม่เผาผี ไม่ต้องมาพบมาเจอกันอีกเลยในชาตินี้ เหตุเกิดจากความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานที่โดนหักหลัง โดนทำลายความไว้ใจ ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่มีคุณค่า ฯลฯ
พอเราเสียสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้หรือเสียคู่ของเราให้กับคนอื่นไป คือการพลัดพรากจากของรัก เสียสิ่งที่รักไป แม้ว่าเขาจะกลับมาขอคืนดี ยอมเลิกกับชู้ แต่สิ่งที่รักนั้นไม่ใช่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียวยังหมายรวมถึงความเชื่อใจ ความสบายใจ ความอบอุ่นใจที่ได้ใกล้ชิดกัน เมื่อเสียสิ่งเหล่านี้ไป ก็จะเกิดอาการขุ่นเคืองไม่พอใจ โกรธ ผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท ได้ตามระดับความรุนแรงของกิเลส
หากถามว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้อภัยไหม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำกับเราช่างดูโหดร้ายเหลือเกิน ก็จะตอบว่ามีสิทธิ์ที่จะเลือกกรรมนั้น แต่หากพิจารณาดีๆแล้วอภัยทานนั้นเป็นทานที่มีกุศลมาก เป็นบุญมาก นั่นเพราะเป็นทานที่มีผลต่อการตัดกิเลส คือตัดความโลภ โกรธ หลง
2).ให้อภัย
การที่เราให้อภัยนั้นหมายถึงเราได้ยอมลดความโกรธที่มี ยอมทำลายความหลงที่มีในตัวเขา ทำลายความหลงติดหลงยึดว่าคู่รักต้องดีต่อกันเสมอ ยอมรับความจริงใหม่ที่เกิดขึ้นและเข้าใจว่าอดีตที่เราได้รับไปนั้นเกิดจากกรรมที่เราทำมาเอง เป็นสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด อภัยทานคือทานที่ไม่เป็นภัยแก่ใครเลย เมื่อเราดับความโลภโกรธหลงได้ เราก็จะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการสั่งสมกิเลส และจะไม่ไปทำร้ายใจใครด้วยกิเลสของเราเช่นกัน
คนที่เขาผิดศีลนั้นทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่ไว้ใจกัน เขาก็ทำบาปมากพอแล้ว ทำชั่วมากพอแล้ว การที่เราจะไปซ้ำเติมเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า แม้ว่าเขานั้นจะมาทำร้ายจิตใจของเราก็ตาม เพราะเรารู้ตามจริงว่าการที่เขามาทำร้ายจิตใจของเรานั้นเป็นเพราะกรรมของเราดลให้เขาทำเช่นนั้นกับเรา ถ้าเราไม่เคยทำกรรมชั่วมามันก็ไม่มีทางได้รับ เพราะฉะนั้นเราจึงยินดียอมให้อภัยและรับกรรมนั้นเป็นของตนเองโดยไม่โทษใคร
เมื่อเราให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคืองกับเขาแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตอนที่เขาได้นอกใจเราและเรื่องเปิดเผยออกมาแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับสถานะโสดกลับมาเป็นของเราอีกครั้ง ความโสดเป็นสมบัติที่มีค่าของเรา และเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับความโสดนั้นกลับมาเช่นกัน
ในกรณีเมื่อเราให้อภัยจนหมดใจแล้ว คือไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่อาฆาต ไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มีความขุ่นเคืองใจใดๆ ยอมรับกรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เมื่ออดีตคนรักมาขอร้องให้ช่วยให้อภัยเขาและกลับมาคบกันเหมือนเดิม ในส่วนของการให้อภัย เราสามารถให้อภัยได้หมดใจ แต่ในส่วนของการกลับมาคบกันเหมือนเดิมเราสามารถเลือกที่จะกลับไปคบหาหรือไม่กลับไปคบหากันเหมือนเดิมก็ได้
2.1).ให้อภัยใจอ่อน
มีหลายคนที่เลือกให้อภัยกับอดีตคู่รักที่ได้พลั้งพลาดเผลอตามกิเลสไปให้ผิดศีล แล้วยังใจอ่อนรับเขากลับเข้ามาในชีวิต ซึ่งการยอมให้เขากลับเข้ามาในชีวิตนั้นไม่ใช่ความต่อเนื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นการตัดสินใจใหม่ซึ่งเราได้เลือกตัดสินใจบนพื้นฐานจากข้อมูลเก่าที่มี เพราะเราเห็นดังเช่นว่า เขาน่าจะปรับปรุงตัวได้ เขาน่าจะสำนึกผิดแล้วไม่ทำอีก เขาน่าจะเข็ด น่าจะขยาดกับความผิดนี้ ในส่วนนี้เป็นเพราะความใจอ่อน เห็นใจเขา เมตตาเขา เห็นเขาอ้อนวอนแล้วสงสารอยากให้โอกาส ซึ่งถ้าพิจารณาจากข้อมูลเท่านี้ก็อาจจะทำให้ผิดพลาดได้ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสาเหตุที่เขานอกใจคืออะไร อาจจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ใช้ในการเป็นข้ออ้าง
ถ้าเรามองไม่ทะลุถึงเหตุที่แท้จริง ถ้าความรักยังบังตาอยู่ เราก็จะไม่สามารถเห็นกิเลสที่ผลักดันเขาได้ ซึ่งตรงนี้เองเป็นเชื้อร้ายที่สามารถกลับมากำเริบเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อการให้อภัยหรือการกลับมาคบกันไม่ได้มีผลไปลดกิเลสของเขา ความใจอ่อนในครั้งนี้อาจจะเป็นบทเริ่มของละครเรื่องเก่าที่นำมาเล่าใหม่ก็ได้
ในอีกมุมหนึ่งของความใจอ่อน คือมันอ่อนที่ตัวเราเอง อ่อนที่กิเลสเราเอง เรารู้ว่าเขาผิดศีลแล้วนะ เขาชั่วแล้วนะ แต่เราก็ยังรักเขา หวงเขา อยากได้เขากลับมา แม้เขาจะเคยทำผิดพลาดขนาดไหน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาอ้างมา แต่ด้วยความอยากได้เขาคืนมา เราก็พร้อมจะยอมใจอ่อนให้เขากลับมาเสมอเพียงแค่เขาแสดงท่าทีสำนึกผิดให้รู้สึกสมใจเราสักนิดหนึ่ง ภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า “ถ้ามาง้อสักหน่อยก็จะยอมคืนดี”
หลายคนที่เวลาอดีตคนรักทำผิด ในช่วงแรกมักจะโกรธรุนแรง มีท่าทีผลักไส ทำท่าจะไม่เอา ไม่คบ ไม่อยากเจอ ทำเก๊ก มีฟอร์ม ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการ “งอน” ซึ่งจะมีความรุนแรงกว่าการงอนทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสุดท้ายก็จะพ่ายแพ้ด้วยการ “ง้อ” สรุปได้ว่าสุดท้ายก็ท่าดีทีเหลว ใจอ่อนตั้งแต่แรกแต่ก็ทำใจแข็งไปอย่างงั้นๆให้ดูดีเท่านั้นเอง
ในมุมนี้จะเป็นตัวเราเองที่ชักศึกเข้าบ้าน อย่างที่กล่าวอ้างมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าไม่สามารถดับเหตุหรือกิเลสที่เขาไปนอกใจได้ ผลหรือการนอกใจก็อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และส่วนมากเราจะใจอ่อนด้วยสาเหตุนี้เพราะเราเองก็มีกิเลสมาก อยากเสพเขาอยู่มาก ไม่สนใจว่าเขาจะชั่วจะเลวแค่ไหนขอให้ได้เสพเขาเป็นพอ เรากำลังเอาเขามาสนองกิเลสของเรา ซ้ำร้ายคนที่เราเอามานั้นยังเป็นคนบาป คนที่ทำชั่ว คนที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทั้งเราทั้งเขาก็กิเลสหนามันก็จะกลับมาเสพกันได้อยู่พักหนึ่งแล้วสุดท้ายมันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่พอใจกัน จนเป็นเหตุให้มีคนใหม่หรือเลิกรากันอยู่ดี
ถ้าถามว่าการให้อภัยดีไหม ก็ตอบเลยว่าดีที่สุดในโลก แต่การกลับมาคบกันนั้นดีไหม ก็จะตอบว่าแล้วแต่เหตุปัจจัย ซึ่งโดยน้ำหนักแล้วคนที่นอกใจนั้นเป็นคนไม่ดี แล้วเรายังจะเสียดายคนไม่ดีไปทำไม จะเอาคนชั่ว คนบาปกลับมาในชีวิตทำไม
เราสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ในระยะที่เหมาะสม พอให้เกิดกุศล ให้มีระยะห่างที่ตัวเราปลอดภัย สบายใจ ไม่เดือดร้อน ไม่กังวล หากจำเป็นต้องใกล้ก็ให้ระวังใจตัวเองไว้ให้ดีๆ อย่าไปพลั้งเผลอใจอ่อนเพราะเขามาง้อหรือเราอยากเสพเขาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
การที่เราใจอ่อนรับเขากลับเข้ามาในความสัมพันธ์ใดหรือในระยะใดก็ตาม ตัวเราเองได้กำหนดกรรมที่เราจะได้รับไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นในอนาคตเราจึงต้องรับกรรมนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งจะสุขน้อยทุกข์มาก หรือทุกข์มากจนทุกข์เกินทนนั้นก็สุดแล้วแต่กรรมจะบันดาล
2.2).ให้อภัยใจแข็ง
ในกรณีที่เขาทำผิดแล้วสำนึกผิดมาขออภัย เราสามารถให้อภัยเขาได้หมดใจ ไม่คิดแค้น แต่ไม่เอากลับเขาเข้ามาในชีวิตก็ได้ ซึ่งในมุมนี้คนจะมองเหมือนกับว่าเราไม่ให้อภัย ทั้งที่จริงการให้อภัยกับการรับเขากลับเข้ามาเป็นคนละเรื่องกัน
การที่เราให้อภัยเพราะเรามีจิตเมตตา ทั้งยังเห็นโทษของการจองเวร มีจิตพยาบาทผูกโกรธกันต้องมาชดใช้กันหลายภพหลายชาติ ซ้ำร้ายกิเลสที่เกิดขึ้นยังเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เราจึงให้อภัยเพื่อตัวเราและผู้อื่น
และด้วยเหตุที่เรารักตัวเรามาก เราจึงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้กลับมาทำร้ายเราอีก แม้จะดูมีความเสี่ยงน้อย แม้จะเหมือนว่าเขาจะสำนึกผิด ยอมรับผิดทุกอย่าง แม้จะดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดอีก แต่เราก็จะไม่ยอมเสี่ยงอีกเลย ก็คือการไม่กลับไปคบหาเป็นคนรัก ไม่เสี่ยงเพราะไม่ได้เล่นในเกมพนันครั้งนี้ เมื่อไม่เสี่ยงก็ไม่ต้องทุกข์เพราะกลัวจะเสียไป และไม่ต้องทุกข์ในยามเสียไป ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะการพรากในการตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นความทุกข์ที่น้อยกว่าทุกข์ในอนาคตมากนัก
เมื่อได้มองเห็นทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นแล้ว เราก็ปิดประตูทุกข์ ปิดทางทุกข์ไปเลยเสียดีกว่า ยอมให้ตัวเองเสียเขาไปวันนี้ดีกว่าต้องทุกข์ทรมานในวันหน้า เป็นความรักตัวเอง รักกรรมตัวเอง ไม่ทรมานตัวเองด้วยความอยาก ไม่เอาเขากลับมาเสพเพียงเพราะกลัวจะเสียเขาไป หรือเพราะเสียงของคนรอบข้าง
ความใจแข็งนี้นอกจากรักตัวเองแล้วยังรักอดีตคนรักอีก เพราะว่าแทนที่เราจะเปิดโอกาสให้เขากลับมาทำชั่วทำบาปกับเรา เรากลับปิดโอกาสนั้น ไม่ยอมให้เขาทำบาปทำชั่วกับเรา ถือว่าเป็นการช่วยเขาไม่ให้ทำเลวไปมากกว่านี้ หยุดบาปของเขาตั้งแต่ตอนนี้ ให้เขาได้สำนึก ให้เขาได้รับบทเรียน ให้เขาได้เรียนรู้จักการสูญเสีย ให้เขาได้รู้จักกรรม อันเป็นผลจากการกระทำของเขา เป็นความใจแข็งที่เต็มไปด้วยความเมตตา มองทะลุไปถึงบาปบุญกุศลอกุศลที่ซ่อนอยู่อีกมากมายในความใจแข็งนี้
หากเขาต้องการจะชดใช้ หรือแก้ตัว ก็ให้อยู่ในสถานะเพื่อน คนใกล้ชิด คนรู้จักหรือคนสนับสนุนอะไรก็ได้ที่อยู่ในระยะที่เหมาะสม ที่เราจะไม่เผลอไปทำบาปกับเขา และไม่ใกล้จนเขาเข้ามาทำบาปกับเรา บาปนั้นคือการเพิ่มกิเลส ถ้าเราใกล้กันแล้วกิเลสเพิ่มก็บาป เช่นการใกล้กันมากแล้วกลับไปใจอ่อนคบกันนี่มันก็เป็นบาป เพราะตอนแรกเรามีศีลที่จะไม่คบคนชั่วเป็นคนรัก แต่พอใกล้มากๆเราก็เกิดอาการอยากเสพสิ่งที่เขาเสนอให้หรืออยากเสพสิ่งที่เขามีแล้วเราก็ยอมลดศีลของเรา ยอมคบเขาดีกว่าถือศีล ยอมชั่วไม่ยอมอด ยอมบาปเพื่อที่จะได้เสพ
ความใจแข็งนี้หากเกิดเพราะความพยาบาท ความโกรธ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าให้อภัยอย่างเต็มที่ เราจึงต้องล้างใจเราให้ดี ล้างกิเลสเราให้เกลี้ยงเสียก่อน แบ่งเรื่องเป็นสองเรื่องให้ชัดเจน คือเรื่องให้อภัยกับเรื่องกลับมาคบหากัน เพราะถ้าไม่ชัดเจน จะหลงไปว่าตนให้อภัยแต่ไม่กลับมาคบเพราะหลงว่าพิจารณาดีแล้ว แต่สุดท้ายพอเขามาง้อเข้ามากๆ ทำดีกับเรามากๆ เราก็ใจอ่อน อันนี้แสดงว่าเราไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก เราไม่ได้ล้างใจตั้งแต่แรก การที่เราไม่กลับมาคบตั้งแต่ตอนแรกนั้นเพราะเรายังไม่ให้อภัย ไม่ใช่ให้อภัยใจแข็ง
ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความผิดคาดมากมาย หลายคนทำท่าเหมือนว่าใจแข็งปล่อยเวลาผ่านไปเป็นปีสองปี… ก็อาจจะกลับไปคบหากันได้เพราะว่าไม่ได้ล้างกิเลส แค่อยู่ในสภาพกดข่มไว้ วันดีคืนดีกิเลสเรากำเริบเราก็จะคิดใจอ่อน จนยอมให้อภัยกับเขาโดยไม่มีเหตุผลและกลับไปเสพเขาเอง เพราะมันอดอยากปากแห้งมานาน การอดโดยไม่ล้างกิเลสจะเกิดความทรมานสะสมสุดท้ายจะตบะแตก เหมือนกับคนที่โกรธอดีตคู่รักมาหลายปี พูดให้ใครฟังก็มีแต่ข้อเสีย สุดท้ายกลับไปคบกับเขาเอาเฉยๆ ซึ่งก็ทำให้คนรอบข้างหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นโดยทั่วไป
นั่นหมายถึงว่าหากเรายังไม่ล้างกิเลสของตัวเอง ยังไม่รู้จักกิเลสของตัวเอง ยังไม่รู้ ไม่ยอมรับว่ากิเลส เป็นความอยากที่ชั่วแค่ไหน เลวแค่ไหน นำความทุกข์ความฉิบหายให้ชีวิตแค่ไหน เราก็จะยังคงยินดีในการมีกิเลส สะสมบาป สะสมกรรมชั่วต่อไป แล้วก็ต้องมารับกรรมที่ตัวเองได้ก่อนไว้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
– – – – – – – – – – – – – – –
3.12.2557
รักแท้แพ้ระยะทาง
รักแท้แพ้ระยะทาง
…จริงหรือไม่ที่เขาว่าระยะทางมีผลต่อความรัก
สำหรับคู่รักที่ต้องห่างไกลกันบ้าง ห่างไกลกันมาก ห่างไกลกันเหลือเกินไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายก็อาจจะมีความกังวลว่าความรักที่เคยมีนั้นจะห่างหายไปตามระยะทาง…
…รักแท้
คำว่ารักแท้นั้นหมายถึงรักที่ไม่แปรเปลี่ยน มั่นคง การที่รักแท้จะมาแพ้ระยะทางนั้นหมายถึงรักนั้นไม่แท้ การจะพูดคำว่า”รักแท้”นั้นง่ายดายกว่าการพิสูจน์ให้เห็นรักแท้มากนัก
…ระยะทาง
ระยะทางในบทความนี้หมายถึงความห่างไกลทั้งทางกาย ทางวาจา และใจ เช่น ตัวก็อยู่ห่างกัน การสื่อสารก็ไม่สะดวกเหมือนกับตอนอยู่ใกล้กัน ใจก็ไม่ค่อยใกล้กันเพราะมีกิจกรรมการงานมากมายที่ต้องทำ
…รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง
ขึ้นชื่อว่ารักแท้นั้นไม่มีทางมาแพ้เพียงความห่างไกลทางกายวาจาใจนี้ได้เลย เพราะความแท้ไม่ว่าอย่างไรมันก็แท้ ที่มันแพ้เพราะมันไม่แท้แล้วเอาของปลอมมาหลอกขาย คนก็หลงเชื่อกันไปว่าเป็นรักแท้ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้จักรักแท้เลยไม่รู้ว่าหน้าตาของรักแท้เป็นอย่างไร พอได้ยินคำสัญญาที่ดูเหมือนจะมั่นคงและจริงจังก็มักจะหลงใหลไปได้
รักที่แท้นั้นเป็นการอยู่เพื่อให้ มีกันและกันเพื่อที่จะให้ความสุข ความสบายใจแก่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยไม่หวังผลอะไรตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังอะไร ระยะทางแม้จะห่างไกลแสนไกล ต้องห่างกันนานแค่ไหนก็ไม่มีผลใดๆกับรักแท้เลย ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพคร่าวๆคงจะเหมือนกับลูกที่ห่างพ่อแม่ไปหลายปีแต่กลับมาก็ยังรู้สึกดีต่อกันรักกันเหมือนเดิม เหมือนกับเพื่อนที่ห่างหายกันไปร่วมสิบปีแต่ก็กลับมาคุยกันยิ้มและยินดีต่อกันได้
…รักไม่แท้แพ้ทุกอย่าง
รักที่ไม่แท้นั้นไม่ได้แพ้แค่ระยะทาง แต่จะแพ้ไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้ามันไม่แท้แล้วมันก็ย่อมเสื่อมและเปลี่ยนแปลงไปในสักวันหนึ่ง
เหตุที่แพ้ทุกอย่างนั้นก็เพราะกิเลส คู่รักที่ห่างไกลกันนั้นยามใกล้กันก็สามารถสนองกิเลสปรนเปรอกันได้ แต่เมื่อยามห่างไกลกิเลสยังอยู่แต่คู่ไม่อยู่ ด้วยความอดกลั้นที่มีจำกัดและแรงของกิเลสที่ไม่มีวันจำกัดจึงส่งผลให้วันใดวันหนึ่งที่กิเลสร้อนแรงพุ่งทะลุปรอท ออกนอกใจที่เคยให้สัญญากับคู่ไว้ ไปหาสิ่งของ ผู้คน หรือเหตุการณ์ต่างๆมาบำรุงบำเรอกิเลสตนเอง
กรณีที่เห็นได้มากจนเหมือนเป็นเรื่องปกติคือการคบชู้ การมีกิ๊ก หรือการมีเมียน้อยผัวน้อย จะเรียกอะไรก็ตามแต่สำหรับคนที่มีรักไม่แท้นั้น หากห่างไกลคนรักนานๆแล้วก็มักจะหดหู่ห่อเหี่ยวสุดท้ายจึงต้องไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมาบำเรอกิเลส เรื่องกามสมสู่เป็นเรื่องที่ผู้คนมักอดใจไม่ไหว ยอมทำลายศักดิ์ศรี ยอมทำลายคำมั่นสัญญา ยอมทำลายความเป็นมนุษย์เพื่อที่จะไปเสพให้สมกิเลส เพราะทนกับทุกข์ของความอยากเหล่านั้นไม่ได้
เรื่องกิเลสเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนคุ้นเคย แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ลองพรากจากสิ่งที่ตัวเองติดดูสักครั้งก็จะรู้ซึ้ง ยกตัวอย่างเช่น ติดกาแฟร้านประจำที่ปกติกินทุกเช้าร้านอื่นไม่เคยเข้า เข้าแต่ร้านนี้ แต่พอต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวันก็นอกใจกาแฟร้านเดิมไปซื้อกาแฟร้านท้องถิ่น เพราะอดใจห้ามใจไม่กินกาแฟไม่ไหว
เรื่องคู่ก็เหมือนกัน หลายคนไม่ได้มีคู่เพราะความรักที่แท้ แต่มีคู่เพราะความใคร่ อยากมีเพราะอยากสมสู่โดยใช้ความรักมาเป็นข้ออ้าง เมื่ออยู่ด้วยกันได้เสพสมใจกันก็ยังไม่มีอาการอะไร แต่พอต้องห่างกันไปกลับมีอาการใคร่อยากกระหายกามจนต้องนอกใจไปคบชู้ ไปสมสู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รักที่ตนสัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำร้ายใจกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับที่ยกตัวอย่างเรื่องกาแฟ เราก็ไม่ได้ปักมั่นว่าต้องกินร้านเดิมหรือร้านใหม่ แม้เราจะชอบร้านเดิมแต่ถ้ามันหาไม่ได้ก็กินร้านใหม่ เพราะจริงๆเราติดกาแฟมากกว่าติดร้านกาแฟถึงแม้จะรักชอบพอถูกใจกับร้านนั้นก็ตามทีเหมือนกันกับคู่รักที่นอกใจกัน เขาเองก็ไม่ได้ติดว่าต้องมีคู่ แต่ที่เขาติดจริงๆคือเรื่องการสมสู่ คือการมีคนมาปรนเปรอบำบัดความใคร่อยาก ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ ให้ความสำคัญ
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความรักที่ไม่แท้ รักที่ไม่ได้ให้ รักที่คิดแต่จะเอา พอไม่ได้อย่างที่ใจต้องการก็ไปหากินเอากับคนอื่นที่สามารถปรนเปรอกิเลสตนเองได้ นี้คือบทสรุปของรักไม่แท้แพ้ระยะทาง
– – – – – – – – – – – – – – –
1.12.2557
เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร
เนื้อคู่…อยากรู้ว่าใคร
ถ้าพูดกันถึงเรื่องความรักก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเนื้อคู่ โดยเฉพาะคนโสดที่ยังเฝ้าฝัน เฝ้าใฝ่หาใครสักคนมาครองคู่ซึ่งเรามักจะเรียกคนนั้นว่า “เนื้อคู่” เรามักจะเข้าใจคำว่าเนื้อคู่ไปในเชิงอุดมคติ ฟังดูโรแมนติก เหมือนเรื่องในนิยาย พาให้ฝันหวาน พาให้เคลิ้มไป ทั้งๆที่เนื้อคู่นั่นแหละคือ “ตัวเวรตัวกรรม” ของจริงเลย
ในบทความนี้เราจะมาตอบคำถามในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่ในบทของคู่รัก โดยรวบรวมมาทั้งหมด 13 หัวข้อ ซึ่งจะค่อยๆตอบคำถามคลายความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อคู่ไปตามลำดับ
1).เนื้อคู่อยากรู้ไปทำไม?
คงจะสงสัยว่ามันมีจริงไหม ที่เขาว่ากันว่าคนเรามีเนื้อคู่ คนที่มีครอบครัวหรือมีคนรักแล้วส่วนใหญ่ก็คงจะไม่สงสัยเพราะได้เจออยู่ตรงหน้าแต่ส่วนจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ก็อีกเรื่อง คนที่อยากรู้เรื่องเนื้อคู่โดยมากจะเป็นคนโสดหรือคนอกหักที่ผิดหวังกับความรักมา
จริงๆแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องเนื้อคู่ไปทำไม เพราะถึงรู้ไปแต่ไม่เจอมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี หรือถึงจะเข้ามาในชีวิตแต่เราไม่ยินดีหรือไม่ประทับใจมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เนื้อคู่จึงกลายเป็นวิมานบนฟ้าที่จับต้องไม่ได้เป็นเหมือนภาพสวยๆเอาไว้ปลอบใจคนให้เฝ้าฝันว่าสิ่งที่ค้นหานั้นมีอยู่จริงสักวันคงจะเจอ
ก่อนจะอ่านต่อไปก็ให้ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราอยากจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม รู้แล้วมันมีประโยชน์อะไร รู้ไปแล้วมันมีความสุขขึ้นไหม หรือยิ่งรู้ยิ่งทุกข์
2).เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร?
การที่เราจะไปอยากรู้ว่าเป็นใคร คนไหน ทำอะไร มาเมื่อไร เรามักจะใช้ช่องทางที่ผิด คือไปดูดวง ไปดูหมอ ไปฟังการทำนายต่างๆ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่ตรงและเป็นโทษ
เพราะทำให้เราหลงสะกดจิตตัวเองเข้าไปในภพหรือในความคาดหวังตามลักษณะที่เขาระบุเข้าให้แล้ว เมื่อเจอคนที่ตรงตามลักษณะก็อาจจะทำให้หลงไปเองทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแต่กิเลสนั้นพาให้เราเข้าไปเกี่ยวเอง
การจะรู้ได้ว่าเนื้อคู่เป็นใครนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อพบแล้ว เจอแล้ว หลงแล้ว รักแล้ว ทุกข์แล้ว คือพอเจอแล้วสุขแล้วทุกข์ หนีเท่าไรก็หนีไม่ได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็เล่นเอาหลงแทบตายหรือไม่ก็ไปตาสว่างตอนแต่งงานแล้ว คนที่อยู่กับเราใกล้ชิดกับเราแล้วทำให้เกิดทุกข์สุขนั่นแหละเนื้อคู่ เป็นคู่เวรคู่กรรม เป็นตัวเวรตัวกรรมที่เกิดมาสร้างบุญสร้างบาปร่วมกับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางสร้างบาป
3).เนื้อคู่จะพบเจอได้อย่างไร?
การพบเนื้อคู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากขนาดที่ต้องเดินทางไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนให้มันลำบาก ถ้าไม่มีกรรมร่วมกันขอให้ตายก็ไม่มีวันเจอ จะบินไปอ้อนวอนบนบานเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลกก็ไม่มีทางได้พบ เพราะเนื้อคู่เป็นเรื่องของบุญและกรรม
ผู้คนมักเฝ้ารอคอยว่าเนื้อคู่จะเป็นใคร มาถึงเมื่อไหร่ เขาจะเป็นอย่างไร เฝ้าตามหา เฝ้ามองหาซึ่งจริงๆแล้วเรื่องเนื้อคู่มันง่ายกว่านั้น ง่ายจนไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ พอถึงเวลาเขาก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเอง หรือไม่ก็จะมีอะไรบางอย่างดลให้ได้พบเจอ ได้ผูกพัน ได้ใกล้ชิด ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขโดยไม่จำเป็นต้องไปวอนขอกับใครที่ไหน
การวอนขอหรือตั้งจิตขอนั้น แท้จริงเป็นการเบิกบุญกุศลของตัวเองนำสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาออกมาใช้ นั่นหมายถึงถ้าเราเคยทำกรรมเรื่องคู่ไว้ เราก็อาจจะได้เจอก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลใครไว้ ไม่เคยทำดีหรือทำชั่วกับใครไว้ก็ยากที่จะดึงใครเข้ามาในชีวิตเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเราเบิกกุศลที่ตัวเองเคยทำมามันจะไม่ได้ทันที ฟ้าหรือกรรมจะแกล้งไม่ให้เรารับผลที่เราอยากได้ในทันที เรามีกรรมที่จะมีคู่จริงนะแต่โอกาสนั้นมันจะยังไม่เป็นของเรา เพราะเราอยากมีด้วยความอยากซึ่งเป็นกิเลส พอเป็นกิเลสกรรมก็จะดึงอกุศลเข้ามาร่วมด้วย ทำให้เราต้องพบกับทุกข์ทรมานทางจิตใจ เหมือนจะได้เหมือนจะไม่ได้อยู่นั่น ผลสุดท้ายแล้วจะได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมที่เรามีและเคยมีร่วมกัน
4).เนื้อคู่ถ้าเจอแล้วจะมีลักษณะอย่างไร?
ลักษณะหรืออาการเวลาที่เจอกับเนื้อคู่นั้น มักจะมีอาการพิเศษแตกต่างจากคนอื่นจนรู้สึกได้ การได้พบเจอนั้นไม่ได้หมายว่าต้องตอนนั้นหรือในเวลานั้นทันที อาจจะต้องรอไปจนถึงเวลาที่เหมาะสม เวลาที่กรรมจะเขียนบทให้ได้มีความสัมพันธ์ร่วมกัน
เมื่อเจอแล้วจะพบว่ามีความรู้สึกดูดดึงแปลกๆ จะดูดตลอดเวลา จะผลักก็ไม่ได้ ถึงจะพยายามผลักไสเขาออกจากชีวิตแต่เดี๋ยวก็จะวนกลับมา จะมีเหตุให้ต้องกลับมาคบหากันอีกเรียกได้ว่าถึงไล่ก็ไม่ไป เพราะส่วนหนึ่งคือเราก็จะไปหลงเขาเองอีกส่วนหนึ่งคือกรรมมันผูกกันมาด้วย
เนื้อคู่ที่เคยร่วมภพร่วมชาติกันมานั้นจะมีลักษณะที่เห็นได้เด่นชัดคือทั้งดูดทั้งผลัก ทั้งรักทั้งชัง คือมีทั้งดีและร้ายซึ่งเป็นกรรมของคนที่เคยปฏิบัติดีและปฏิบัติไม่ดีต่อกันมาก่อน เป็นผลกรรมที่เคยร่วมชาติกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดใดๆในชาติก่อนๆเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ญาติ ลูกน้อง ศัตรู ก็สามารถที่จะวนกลับมาเป็นเนื้อคู่ของเราได้ เพราะมีกรรมที่ผูกพันกัน
เราสามารถดูลักษณะได้จากการคบหาว่าเคยมีกรรมแบบใดกันมา เช่น ถ้าคบหาแล้วสร้างแต่ทุกข์ เอาแต่พลาญเงินทอง ทำลายชื่อเสียงนั่นแหละกรรมเขาดึงศัตรูมาให้เป็นคู่ แต่มันจะออกไม่ได้นะมันจะรักจะหลงเขาไปจนหมดกรรมนั่นแหละ หรือถ้าเป็นแม่กันมาก็จะคบกันแล้วมีลักษณะคล้ายแม่กับลูก มีคนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็กและทั้งคู่ก็ยินยอมให้เกิดสภาพนั้นด้วยนะ ส่วนถ้าเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนก็มักจะเสมอกันจะมีอาการดูดผลักรักชังกันอย่างชัดเจน เพราะเคยรักกันทะเลาะกันมาก่อน ชาตินี้ก็เลยต้องมารับกรรมเดิมต่อ
การพบเจอใครสักคนแล้วหลงรักหลงชอบไม่ได้หมายความว่าเป็นเนื้อคู่เสมอไป แต่อาจจะเป็นเพราะกิเลสเราทำให้เราคิดจินตนาการไปเอง เช่นเราชอบคนหน้าตาแบบนี้พอวันหนึ่งไปเจอคนแบบนี้แล้วได้ใกล้ชิดเราก็หลงไปว่าเป็นเนื้อคู่ อันนี้เราคิดไปเองเพราะกิเลสเราสั่งให้เราพยายามที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่เราหลงชอบ
เนื้อคู่จริงๆนั้นมันจะมาแบบทะลุสติ จะกันไม่อยู่ ถึงจะมีสติมากเก่งกล้าเพียงใดแต่จะทะลุกำแพงที่ป้องกันไว้ทั้งหมด เพราะกรรมนั้นทะลุทุกสิ่ง กรรมจะดลให้ต้องพบ ต้องเจอ ต้องหลง ต้องรัก ต้องทุกข์ทรมานเศร้าโศกเสียใจคร่ำครวญรำพัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีทดสอบดูว่าเนื้อคู่จริงหรือไม่ก็ให้ล้างกิเลสของเราให้ได้ก่อนจึงจะเห็นได้อย่างแท้จริงว่าคนที่เรารู้สึกดูดดึงนั้นมาจากกิเลส หรือมาจากกรรมเก่าจัดฉากให้เราต้องรับกรรมนั้น
5).เนื้อคู่มีแล้วได้อะไร?
เราอาจจะไม่เคยคิดไปว่ามีเนื้อคู่ไปแล้วได้อะไร มีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนในชีวิตแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น เราต้องการเพียงแค่คนแก้เหงา คนดูแล คนปรนเปรอเรื่องการสมสู่การมีลูก หรือสิ่งที่เรียกว่าการสร้างครอบครัวเท่านั้นหรือ
น้ำหนักโดยส่วนมากของการมีคู่จะหนักไปในทางการสมสู่หรือการมี sex ด้วยซ้ำ คนจะเข้ามาหากันส่วนหนึ่งก็เพราะดึงดูดทางเพศ คนจะเบื่อหน่ายกันทะเลาะกันส่วนหนึ่งก็มาจากปัญหาเรื่องการสมสู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ยอมรับแต่กลับเป็นเรื่องจริงที่ทรงอิทธิพลต่อการมีคู่ มีสักคู่ไหมที่คบหากันแต่งงานกันแล้วมีการสมสู่เพียงแค่ต้องการมีลูก โดยมากก็สมสู่ด้วยความอยาก ด้วยกามราคะ ด้วยกามตัณหา ด้วยความใคร่อยากเสพกันทั้งนั้นซึ่งจริงๆแล้วการมีคู่คือการเอาคู่มาปรนเปรอกิเลสตัวเองโดยใช้คำว่าธรรมชาติ การแต่งงาน ความสมบูรณ์ของชีวิตเป็นคำที่ดูเหมือนจะดูดีมาปิดปังกิเลสไว้
อีกเหตุผลหนึ่งคือการมีครอบครัว อยากมีลูก อยากมีใครให้ดูแล แล้วที่มีอยู่มันไม่พอดูแลหรืออย่างไร พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรที่เคยเกื้อกูลเรามาตั้งแต่เด็ก คนเหล่านี้ไม่เรียกว่าครอบครัวหรืออย่างไร ทั้งที่จริงครอบครัวของคนส่วนใหญ่นั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้วไม่ต้องไปหาเพิ่มแล้ว เพียงแค่กลับมาดูแลผู้มีพระคุณก็ประเสริฐมากแล้ว
แต่กลับไปแยกครอบครัวสร้างครอบครัวใหม่ เพิ่มภาระให้ตัวเองลดเวลาในการที่จะดูแลพ่อแม่ลง มันเป็นสิ่งที่สมควรจริงหรือ เป็นสิ่งดีงามจริงหรือ แม้จะดูเหมือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องขยายพันธุ์แล้วมันดีจริงหรือ ถ้าดีจริงทำไมพระพุทธเจ้าให้อยู่เป็นโสด ให้งดสมสู่ ให้ออกบวชเพื่อพ้นจากเพศฆราวาส ทั้งหมดก็เพื่อการพ้นทุกข์ นั่นหมายถึงว่าการสร้างครอบครัวใหม่ การสมสู่ การมีลูก เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกข์อยู่นั่นเอง
เรามีคู่เพียงแค่ต้องการเสพเรื่องสมสู่ อยากมีคนดูแลเอาใจใส่ อยากมีลูก อยากรู้สึกมีความมั่นคงในชีวิต มันคุ้มแล้วจริงหรือที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครองโดยแลกกับทุกข์ชั่วนิรันดร์
6).เนื้อคู่ของขวัญจากฟ้าจริงหรือ?
คำว่าเนื้อคู่นั้นถ้าได้ฟังแล้วก็เหมือนสิ่งดีสิ่งพิเศษที่ฟ้าส่งมาให้ แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ดลบันดาลให้เราเจอเนื้อคู่ก็คือกรรมของเราเองและเนื้อคู่นั้นก็คือคู่กรรมของเราเองคู่ที่สร้างกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่สร้างร่วมกันมาก็ต้องมารับต่อ
ดังนั้นเนื้อคู่จึงไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะคนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก็ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายเราก็ต้องมารับทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ซึ่งกรรมดีเหล่านั้นก็มักจะให้ผลเป็นสุข ส่วนกรรมชั่วก็จะพาให้ทุกข์ จึงต้องเจอทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป
ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะรับทั้งสุขและทุกข์เพราะเข้าใจว่ามันเท่าๆกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่เท่ากันเพราะการอยากมีคู่นั้นเป็นกิเลส เรื่องราวในชีวิตของคนคู่ไม่ว่าจะเป็นการสมสู่ การมีลูก การพากันเสพสุขต่างๆ ปัญหาในครอบครัวล้วนแต่เป็นเรื่องที่พาให้เพิ่มกิเลส พอเพิ่มกิเลสมันก็เพิ่มทุกข์ แรกๆมันจะสุขเพราะได้เสพแต่หลังๆมันจะทุกข์สุดทุกข์ ทุกข์แต่ก็ออกไม่ได้บอกใครไม่ได้เพราะหลงติดสุขลวงเล็กๆที่กิเลสหลอกให้สุขน้อยทุกข์มากอยู่ร่ำไป
ดังนั้นเนื้อคู่คือของขวัญจากฟ้าหรือสิ่งดีคงจะตอบได้ว่าไม่ใช่ เป็นแค่เพียงกรรมเก่าของเรา เราดีทำมามากกว่าชั่วเราก็รับดีมากกว่า เราทำชั่วมากกว่าดีเราก็รับชั่วมากกว่า แต่สุดท้ายถ้าเรารับเนื้อคู่คนนั้นเขามาในชีวิตเราก็จะสะสมเรื่องชั่วไปเรื่อย เพราะเรื่องดีที่สุดคือปล่อยเนื้อคู่คนนั้นไปตามกรรมของเขาเสีย
7).เนื้อคู่คือสุดท้ายของชีวิตคู่
หลายคนเข้าใจว่าเนื้อคู่คือที่สุดของชีวิต คือสุดท้ายของชีวิต คือบทจบอย่างสวยงามของชีวิต ก่อนจะเข้าเรื่องก็ถามกันก่อนว่าจนป่านนี้แล้วเจอเนื้อคู่มากี่คนแล้ว มีแฟนคบหาดูใจกันมากี่คนแล้ว แล้วมันสุขไหม มันจบไหม ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นแต่อาจจะมีกรรมไม่แรงพอจะดลให้แต่งงานก็ได้
คนที่ได้แต่งงานก็หลงไปว่าแต่งงานครั้งสุดท้ายในชีวิต ชีวิตจะจบสวยงามเหมือนในนิทานในหนังที่ตัดจบอวสานไปตอนที่พระเอกนางเอกตกลงครองรักกัน แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหลายคู่คบกันไม่นานก็ต้องหย่าร้างกัน หลายคู่มีลูกด้วยกันหลายคนแล้วก็ยังมีปัญหาชู้สาว คบหากันมาเป็นสิบยี่สิบปีสุดท้ายเลิกรากันก็มีให้เห็นอยู่มาก
ทั้งหมดนั้นคือเนื้อคู่ทั้งนั้นนะ ตอนแต่งงานไม่เห็นมีสักคนที่คิดว่ารักฉันจะล่มในวันใดวันหนึ่ง คิดแค่ว่าคนนี้แหละคู่ฉันคนสุดท้ายของฉัน เขาทั้งคู่คิดอย่างนั้นจริงๆนะ แต่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ คือกิเลสมันไม่เที่ยง มันเพิ่มได้ พอเราเสพสมใจในคู่ตัวเองแล้วเบื่อ แต่กิเลสยังมีฤทธิ์แรงอยู่ก็จะผลักดันให้ไปหากินนอกบ้านไปสมสู่คนอื่นไปมีชู้ไปมีคู่ใหม่ อาการเหล่านี้เป็นได้ทั้งชายและหญิงเพราะกิเลสไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ
ปัญหาเรื่องการสมสู่ที่ไม่เป็นไปดังใจหวังนับเป็นปัญหาระดับโลกของการมีคู่ เพราะต้องคอยสนองกิเลสให้คู่ของตนบำรุงบำเรอกาม หากไม่บำเรอกามคู่ของตนก็อาจจะมีปัญหาภายในบ้าน และสุดท้ายก็ต้องพบปัญหาเพราะเราไม่สามารถสนองกิเลสใครได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่ว่าอายุมากแค่ไหนแต่ถ้ากิเลสไม่ดับกามเมถุนก็ไม่ดับ ความอยากสมสู่ไม่มีวันดับไปด้วยการเสพสมใจแต่จะดับไปได้ด้วยการพิจารณาธรรมให้ถูกตัวกิเลส
ดังนั้นการจะบอกว่าเนื้อคู่เป็นที่สุดของชีวิตนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันก็คงจะไม่ใช่คำที่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด
8).เนื้อคู่ที่ใช่ในวันที่ไม่ใช่
คนที่เข้ามาในวันเวลาที่ไม่สมควร ไม่เป็นกุศลเป็นข้าศึกต่อศีล ไม่ใช่เนื้อคู่ที่มาดีแน่ ผู้ที่เข้ามาและพาให้ผิดศีลผิดธรรมนั้นเป็นคู่บาปอย่างแน่นอน เพราะคู่บุญนั้นแม้ว่าจะมีอาการดูดดึงต่อกันก็จะมีความรู้สึกผิดและเกรงกลัวต่อบาปหรือที่เรียกว่ามี “หิริโอตัปปะ”
สมควรแล้วหรือที่เราจะต้อนรับคู่บาปเข้ามาในชีวิต จะดีจริงหรือที่เราจะเปิดโอกาสให้เขาทำบาปกับเรา ถ้าเราตัดใจเสียก็ไม่ต้องก่อเวรก่อบาปซ้ำซ้อนไปอีก คนที่เข้ามานั้นเขาเพียงแค่เข้ามาเพื่อทดสอบความมั่นคงของเรา ทดสอบศีลธรรมของเราว่าเรานั้นยังควรคู่กับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐอยู่หรือไม่
9).เนื้อคู่กับการจองเวรข้ามภพข้ามชาติ
การมีเนื้อคู่นั้นหมายถึงการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพชาติ ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจก็ตามแต่ผลมันจะเป็นไปตามกรรมที่ทำเช่น ชาตินี้เรามีแฟนผูกพันกัน ทำดีต่อกันเราก็ยึดดี พอทำไม่ดีต่อกันเราก็ผูกโกรธพยาบาท ทั้งดีทั้งร้ายนี้เราก็ต้องมารับผลกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะจองเวรจองกรรมในด้านดีหรือร้ายก็ตาม เราก็ต้องตามไปรับผลนั้นด้วย นั่นหมายถึงว่าชาตินี้คือตัวกำหนดภพหรือสภาพที่จะต้องเจอของชาติหน้าหรือเหตุการณ์หน้า นั่นอาจจะหมายถึงคู่คนถัดไปในชาตินี้หรือจะทะลุไปยังชีวิตหน้าก็ได้
เมื่อเห็นอนาคตดังนั้นจึงย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน สภาพของปัจจุบันที่เราเจอนั้นเกิดจากกรรมในอดีต เกิดจากการจองเวรจองกรรมในอดีต ทุกคนทุกคู่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทั้งสมหวังทั้งผิดหวังคือเนื้อคู่ที่จองเวรจองกรรมกันมา แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ถ้าเวรกรรมน้อยก็แค่ทนทุกข์ในขณะคบหาเป็นแฟน แต่ถ้าเวรกรรมมันมากก็ต้องแต่งงานไปชดใช้กรรมร่วมกัน จะหนีก็หนีไม่ได้นะ ยิ่งถ้าไม่ได้ล้างกิเลสนี่ยิ่งไปกันใหญ่นอกจากกรรมเก่าจะไม่ได้ชดใช้จนหมดแล้วยังสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกผูกภพผูกชาติกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมต่อกันไปในชาติหน้าอีก
โดยทั่วไปคนอาจจะมองว่าดีจัง มีคนผูกไปทุกชาติ ลองไปถามคนที่ทุกข์เพราะรัก และรักแล้วยังทนทุกข์หรือคนที่ชีวิตพังเพราะรักว่าให้เจอแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม ให้สุขน้อยทุกข์มากแบบนี้ทุกชาติจะเอาไหม พอคนรู้แล้วว่าสุขน้อยทุกข์มากก็จะไม่มีใครเอาเพราะเขารู้ความจริง
ทีนี้คนที่หลงไปกับโลกหลงไปกับสื่อที่โลกลวงในเรื่องของเนื้อคู่ คนรัก แฟน ครอบครัวว่าถ้ามีแล้วจะมีความสุขมีแล้วชีวิตจะสมบูรณ์ก็คือคนที่ยังไม่เห็นทุกข์ ดังนั้นเลยต้องไปลองทุกข์ให้เห็นก่อนจึงจะเข้าใจ ส่วนคนที่มีปัญญาเห็นคนอื่นทุกข์ก็ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะสิ่งนี้มันสะสมมาหลายภพหลายชาติ เขาเจ็บเขาทุกข์เพราะการมีเนื้อคู่มาหลายชาติมันก็เลยจดจำในวิญญาณแม้ชาตินี้จะไม่เคยมีคู่แต่มันจะไม่เอาโดยธรรมชาติ ให้ไปเสพก็จะไม่สุข ถึงสุขก็ไม่นาน พอได้รับทุกข์ก็จะกระเด็นออกมา เพราะมันเข็ด มันขยาด มันทุกข์
เนื้อคู่นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีไปเสียหมด เพราะต้องมาคอยใช้เวรใช้กรรมกัน และส่วนมากเป็นการใช้หนี้ เพราะเมื่อมีคู่เราก็ทำแต่บาป ทำบาปมันก็มีแต่ทุกข์ มีแต่หนี้บาปที่ต้องมาชดใช้กันข้ามภพข้ามชาติเพียงเพราะหลงไปเสพสุขลวง
10).เนื้อคู่เมื่อไหร่จะหนีพ้น
เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานจากสุขน้อยทุกข์มากของการมีเนื้อคู่มาตามจองเวรจองกรรมแล้วก็อาจจะเริ่มขยาด เริ่มรู้สึกไม่อยากทุกข์ อยากจะเจอแต่ความสุขจะได้ไหม ก็จะตอบกันว่า ”ได้” นั่นคือหนีเนื้อคู่ให้พ้น
การหนีไม่ใช่การวิ่งหนี ย้ายบ้านหนี หลบหน้า ไม่ยอมพบเจอ ไม่รับโทรศัพท์อันนี้มันหนีแบบโลกๆ มันหนีไม่พ้นเพราะถึงจะหนีพ้นชาตินี้ชาติหน้าก็เจออยู่ดีเพราะกรรมมันไม่ได้ถูกชดใช้มันก็จ่อรอส่งผลอยู่นั่นเองและมันจะสะสมมากขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่หลบไม่พ้นหนีไม่ได้ในวันใดวันหนึ่ง
การจะหนีจากเนื้อคู่ต้องหนีด้วยการล้างกิเลสในตัวเราและทำกุศลทำดีกับเขาหรือคนรอบข้างเขาให้มาก เพราะคนที่เป็นเนื้อคู่กันมาคือคนที่มีหนี้บาปหนี้บุญกันมา ดังนั้นจึงต้องใช้หนี้จนหมดจึงจะพ้นจากการไล่จองเวรจองกรรมและล้างกิเลสของเราเพื่อไม่ให้ตัวเราไปจองเวรจองกรรมเขาจนต้องวนเวียนมาใช้กรรมกันอยู่เรื่อยๆ
11).ประโยชน์ของเนื้อคู่
มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าเนื้อคู่จะไม่ได้มีแค่มุมดีเพียงอย่างเดียว ยังมีมุมร้ายมุมทุกข์ซ่อนอยู่มากมายเหมือนขนมหวานที่สอดไส้ด้วยยาพิษ จะว่าไปแล้วมันก็ทุกข์ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะสุขที่ได้ก็เป็นเพียงสุขลวงที่รอให้เกิดทุกข์แท้ๆ
แต่การมีเนื้อคู่เข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด ผู้มีปัญญาสามารถหาประโยชน์ได้แม้ยามตัวเองต้องตกหล่นไปในกองกิเลส พยายามหาทางแหวกว่ายดิ้นหนีจากบ่วงกรรมที่ผูกมัด เนื้อคู่นี้เองที่เข้ามาเป็นโจทย์ให้เราศึกษาธรรม ให้เราบรรลุธรรม ให้เราพ้นทุกข์
การจะออกจากทุกข์ได้นั้น เราจำเป็นต้องทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าใจทุกข์จึงจะเห็นธรรม การมีอยู่ของเนื้อคู่จึงมีคุณค่าตรงที่เป็นตัวกระตุ้นเป็นตัวกระทุ้งให้เราเห็นกิเลส เพราะต้องเป็นคนนี้เท่านั้นที่เราจะเกิดอาการหลง อาการมัวเมาไปกับเขาได้ กับคนอื่นเราไม่หลงขนาดคนนี้เราก็ต้องใช้คนนี้แหละเป็นโจทย์ในการล้างกิเลสเพื่อบรรลุธรรมของเรา
จะว่าเนื้อคู่นั้นมีอยู่เพื่อให้เราออกจากคู่ก็ว่าได้ เขาจะเข้ามาทำให้เราทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกชาติจนกว่าเราจะเกิดปัญญา จนกว่าจะเห็นว่าการมีคู่ชีวิตที่รับเข้ามาเป็นคู่รัก เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นครอบครัวนั้นเป็นภาระ พาทุกข์ พาชั่ว พาจน พาวนเวียนในวัฏสงสารอย่างไร
12).เนื้อคู่กับความรักที่เหนือโลก
คงจะมีคำถามว่าถ้ามีคู่กันแล้วร่วมสร้างกุศลช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำประโยชน์กันไปเรื่อยๆได้ไหม เพราะการจะไม่มีคู่เลยมันก็รู้สึกทุกข์มากเหมือนกัน เหตุเพราะความอยากมีคู่กับความเหงานั้นรุนแรงเหลือเกิน
ก็คงจะตอบว่าได้ ถ้าความรักกับเนื้อคู่คนนั้นพาให้เกิดกุศลจริง ในกรณีคนที่คบกันแล้วสามารถพากันลดกิเลสได้ ลดกิเลสกันเป็น ไม่พากันเพิ่มกิเลส อยู่ในศีล ๕ กันเป็นเรื่องปกติในชีวิตก็ถือว่าอยู่ในขีดที่พ้นทุกข์และพ้นภัยไปได้หลายส่วน แต่ก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี ถ้าจะคบกันให้เกิดกุศลมากขึ้นก็ให้ถือศีลเพิ่มคือ “อพรหมจริยา เวรมณี” คือให้เว้นขาดจากการประพฤติที่ไม่เป็นพรหมวิหาร ในความเข้าใจทั่วไปก็คือการไม่สมสู่กัน รักที่ไม่สมสู่กันคือการไม่เสริมกิเลสแก่กัน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและยากจะเข้าใจถึงเนื้อหาสาระแท้ของศีลข้อนี้ หลายคนเข้าใจว่าการสมสู่คือหน้าที่ คือความสุข คือความสมบูรณ์แบบในชีวิตคู่ทั้งที่จริงสิ่งนั้นเป็นกิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์แบบไม่มีอะไรเจือปน ผู้ที่คิดจะคบหามีคู่ครองแล้วพากันเจริญไปทั้งทางโลกและทางธรรมจึงควรปฏิบัติศีลข้อนี้บ้าง และขัดเกลากิเลสจนถือศีลข้อนี้ให้ได้เป็นปกติ คือไม่สมสู่กันเป็นเรื่องปกติ เป็นความรักที่เหนือโลก เพราะตามโลกหรือโลกียะคนเป็นคู่เขาต้องสมสู่กันจึงจะมีความสุข แต่เราเป็นคนเหนือโลกคือไม่ไหลไปตามโลก แม้จะไม่สมสู่กันเราก็ยังคงรักกัน ดูแลกัน เกื้อกูลกัน และอยู่กันอย่างมีความสุข
13).เนื้อคู่กับกัลยาณมิตร
จะดีไหมหากเราจะเปลี่ยนเนื้อคู่ที่ต้องมาใช้เวรใช้กรรมกันทุกภพทุกชาติเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นกัลยาณมิตร เพราะในที่สุดแล้วการจะคบหาเป็นคู่ครองนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นกัลยาณมิตรต่อกันแล้วก็คงจะช่วยกันลดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตไปได้อีกมายมาย
กัลยาณมิตรหมายถึงมิตรที่ดีงาม มิตรที่พาเจริญไปทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นเสมือนเพื่อนคู่ชีวิตใกล้ชิดเรื่องใจ แต่ไม่ใกล้ชิดกาย เนื้อคู่หรือคู่รักที่เจริญทางธรรมมากสุดท้ายก็จะก้าวเข้าสู่ลักษณะของกัลยาณมิตรไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ร่วมกันหยุดชั่ว พากันไม่ทำชั่ว พากันถือศีล เจริญในธรรม พากันทำแต่ความดี สิ่งดี สิ่งที่เป็นกุศล พากันทำจิตใจให้ผ่องใส่ พากันลดกิเลส พากันล้างกิเลส มีความยินดีต่อกันเมื่อเกิดสิ่งดี และพร้อมจะช่วยเหลือกันหากพลาดพลั้งทำผิด และยอมรับคำตักเตือนของกันและกันเพื่อความเจริญแห่งสุขแท้
ถ้าเรามองว่าชีวิตนี้เหงา อยากมีคู่ อยากมีเพื่อนร่วมชีวิต อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยช่วยคิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข เนื้อคู่ในเชิงคู่รักคงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่ากับกัลยาณมิตร เพราะความเป็นเพื่อนนั้นตั้งอยู่ได้นานกว่า เป็นประโยชน์กว่า ทุกข์น้อยกว่า สุขใจเมื่อได้ใกล้ ยินดีแม้ยามห่างไกล กัลยาณมิตรนั้นแม้ตัวไกลแต่ใจก็ยังใกล้กันยังระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน พร้อมเพรียงกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สภาวะเหล่านี้คือที่สุดแห่งมิตร เป็นสุดยอดแห่งกัลยาณมิตร และเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งการพ้นทุกข์
– – – – – – – – – – – – – – –
28.11.2557
อกหัก
อกหัก
…เมื่อความผิดหวังมาเยี่ยมเยียนความรัก
ความรัก การมีคู่ การครอบครอง เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่หา เฝ้าฝันว่าวันใดวันหนึ่งจะได้พบคู่รักดังที่เคยฝันไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งได้เจอคู่ที่เหมาะสม คู่ที่ยินดีจะมอบกายมอบใจมอบชีวิตให้เขาครอบครอง แต่สุดท้ายความฝันทั้งหมดก็พังทลายลงเมื่อเผชิญกับความจริง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่คนที่ถูกดับความหวังหมดสิ้นความฝันหรือที่เรียกกันว่า “คนอกหัก”
ในบทความนี้จะมาไขเรื่องราวของการอกหักอย่างละเอียดเท่าที่จะเกิดประโยชน์กับใครสักคนที่กำลังอกหักหรือเตรียมตัวที่จะอกหักมาสรุปเป็นหัวข้อได้ 7 หัวข้อด้วยกัน ลองอ่านกันเลย
1….ทำไมต้องอกหัก
เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการดับ อย่างที่เรารู้กันว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหมือนกันกับความรัก มันเกิดขึ้น มันดำเนินอยู่คงสภาพอยู่ และสุดท้ายมันก็ต้องจบลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ตอนที่เรากำลังไขว่คว้าหาความรักแสวงหาคู่ครองมาคบหาดูใจนั้น น้อยคนนักที่จะคิดว่าทุกอย่างจะต้องจบลง ยากนักสำหรับคนที่หลงไปกับความรักจะคิดได้ว่าเมื่อมีรักก็ต้องมีวันหมดรัก หรือจะเรียกได้ว่าเมื่อตกลงรักไปแล้วก็ยากนักที่ใครจะเตรียมพร้อมทำใจรอรับวันอกหัก เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับความรัก ได้รับคนรักเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ก็มักจะมัวแต่เมามายประมาทในกาลเวลามองว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปดังที่หวังไว้ เมื่อได้คบหาแล้วก็วางแผน วาดฝัน สร้างสวรรค์วิมานไปตามที่จะคิดจะจินตนาการได้
แต่ถึงจะวางแผนชีวิตคู่ไว้อย่างดีแค่ไหน สัจธรรมย่อมไม่เปลี่ยนแปลง คือเราจะต้องมีความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา นั่นหมายถึงเราจะต้องเสียคู่รักของเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเลิกคบหากัน อาจจะตายจากกัน หรืออาจจะอยู่ด้วยกันโดยที่ความรักนั้นได้ตายไปแล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องมาถึงในวันใดวันหนึ่ง
เมื่อเราอกหัก เรามักจะมองหาคนผิด คนที่ได้ชื่อว่าอกหักมักจะดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งก็มักจะคิดว่าตนนั้นถูกกระทำ และคิดว่าตนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเสียใจ มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง มีสิทธิ์ที่จะทุกข์ ทั้งที่คนผิดจริงๆนั้นคือตัวเราเอง
ไม่ว่าอดีตคู่ครองจะทำอะไรและไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนกับเราก็ตาม ให้รู้และเข้าใจไว้อย่างหนึ่งคือทั้งหมดที่เขาทำนั้นคือกรรมของเราเอง เราทำมาเองเราเลยต้องรับเอง ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับ เราทำมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นว่าเราเคยทำกรรมอันน่ารังเกียจแค่ไหน ยิ่งเราเกลียดคนที่หักอกเรามากเท่าไหร่ นั่นแหละคือเราทำมามากกว่านั้น เราเลวร้ายมากกว่านั้น เพราะกรรมเขาแบ่งมาให้เรารับในชาตินี้ส่วนหนึ่ง ชาติหน้าส่วนหนึ่ง และชาติต่อๆไปอีกจนกว่าจะหมด
นั่นหมายความว่าเรากำลังได้รับเศษกรรมที่เราเคยทำไว้ ดังนั้นเหตุที่ว่าทำไมต้องอกหัก จึงมีส่วนของกรรมเก่าส่วนหนึ่งและกรรมใหม่ที่เราทำในชาตินี้อีกส่วนหนึ่ง กรรมใหม่ก็เช่น เราดูแลเขาดีไหม เราสนองกิเลสเขาได้ไหม เราตามใจเขามากเกินไปหรือไม่ หรือเรามัวแต่สนองกิเลสตัวเองโดยไม่สนใจเขา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมใหม่ในชาตินี้ที่ส่งผลมากที่สุด ถ้าถามว่าทำไมอกหัก ก็สรุปสั้นๆได้ว่า “เราทำมา”
2….ทำไมต้องทุกข์ ทำไมต้องทรมาน
ความทุกข์นั้นคือผลของกรรม และผลของกิเลส ในส่วนของกรรม กรรมที่เราทำมาจะทำหน้าที่ให้เกิดความทุกข์ ทรมาน กระวนกระวาย และอาจจะมีผลไปถึงร่างกาย เช่นไม่หิวข้าว ไม่สบาย เซื่องซึม ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการที่จิตใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดทุกข์ซ้ำซ้อนกับเราวนเวียนไปจนกว่ากรรมนั้นๆจะหมด
การที่กรรมนั้นจะหมดได้คือเราต้องยอมรับกรรมเสียก่อน ยอมรับว่าทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เราทำมา คนที่มัวแต่โทษคนอื่น โทษอดีตคู่ครอง โทษมือที่สาม โทษดินฟ้าอากาศ โทษดวงชะตา ฯลฯ คือคนที่ไม่ยอมรับกรรมที่ทำมา เมื่อไม่ยอมรับกรรมก็ยากที่จะพ้นทุกข์ เพราะมีการโกหกซ้ำซ้อนเข้าไปอีกว่าฉันไม่ได้ทำมา ทั้งที่ทำมาแท้ๆกลับไม่ยอมรับ มองเพียงแค่ตื้นๆ เห็นเพียงแค่ผิวเผินก็ตัดสินไปแล้วว่าไม่ใช่กรรมของฉัน สิ่งที่เราได้รับนั่นแหละคือกรรมของเราแน่ๆ ไม่ต้องโทษใครที่ไหน
ในส่วนของกิเลสนั้นซ้อนเข้าไปในเรื่องกรรมอีกที แต่จะเป็นส่วนที่สามารถจะแก้ไขได้ การที่เราทุกข์ทรมานจากการอกหักนั้น เกิดจากความผิดหวัง ที่ผิดหวังเพราะว่าเรามีหวัง แต่มีความหวังนั้นไม่ผิด ผิดตรงที่เราไปยึดมั่นถือมั่นกับความหวังนั้น
เราสามารถวาดฝัน คาดหวัง หรือวางแผนชีวิตคู่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมันไม่เกิดดังที่เราคาดหวัง เราก็มักจะไม่สามารถปรับใจตัวเองได้ทัน เพราะยังยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเดิมที่เคยคาดหวังไว้ อาการเหล่านี้เรียกว่ามีอัตตา มีความยึดมั่นถือมั่น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราคาดหวังว่าแฟนจะพาไปกินข้าวเย็นสุดหรูในวันสำคัญของเรา แต่สุดท้ายกลับต้องมากินข้าวแกงถุงกัน…
กระบวนการทั้งหมดเริ่มจากเราหวังว่าจะได้กินของอร่อยดูดี แต่เมื่อกรรมได้นำพาเหตุการณ์บางอย่างเข้ามา คือบทที่ไม่สมหวังต้องมานั่งกินข้าวแกงถุง ณ ขณะนี้มีให้เลือก 2 ทางเลือกใหญ่ๆ 1. ทุกข์เพราะผิดหวัง 2.ปล่อยวางความหวัง
ถ้าเรามีทิศทางไปทางที่หนึ่งก็คือกิเลสเต็มๆ คือสิ่งที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น ส่วนอาการทุกข์เพราะผิดหวังนั้นจะแสดงออกอย่างไรก็แล้วแต่โทสะ ซึ่งเป็นกิเลสอีกตัวที่จะโผล่มาเมื่อไม่สมหวัง คนเรารักกันเลิกกันก็ไม่พ้นเรื่องของกิเลสหรอกมันก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าดับกิเลสได้ก็ไม่มีทางทุกข์ที่มีทุกข์เพราะมีกิเลส
ส่วนของทางเลือกที่สองนั้น คือสิ่งที่เรียกว่าอุเบกขา หรือปล่อยวางความคาดหวังเสีย แล้วมีความสุขไปกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ผู้สามารถอุเบกขาหรือปล่อยวางได้อย่างแท้จริงจะมีจิตผ่องใส โปร่งสบาย และมีไหวพริบเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
แต่การจะอุเบกขาได้อย่างแท้จริงแล้ว จำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจธรรมะในระดับที่ล้างกิเลสเป็น ดังนั้นยากนักที่จะสามารถหนีออกจากเหตุแห่งทุกข์และความทรมานนี้ได้ พวกเขาจึงต้องจมอยู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งความทุกข์นั้นก็ไม่ได้เกิดจากใครที่ไหนก็เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่นทุกข์นั้นไว้ กอดทุกข์นั้นไว้ กอดความหวังที่ไม่มีจริงเอาไว้ เมื่อไม่ปล่อยวาง จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่เรื่อยไป
3….อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม
คงเป็นเรื่องยากที่ใครจะลืมฉากรักอันแสนหวานและฉากทุกข์ทรมานที่แสนขมขื่น สิ่งที่เราจำได้นั้นเรียกว่า “สัญญา” คือการจำได้หมายรู้ทั่วไป และการที่เราคิดเรียกว่า “สังขาร” หรือการปรุงแต่งความคิด
สัญญาคือเราจำเรื่องราวจำสิ่งต่างได้ เช่น เราคบกันวันแรกที่ไหน ของขวัญชิ้นแรกคืออะไร เราพูดอะไรออกไป เราทะเลาะกันเรื่องอะไร สิ่งเหล่านี้คือความจำ ความจำนั้นไม่ใช่ตัวทำให้ทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์นั่นคือความคิดหรือสังขารที่ปนเปื้อนด้วยกิเลส
คนทั่วไปมักจะมองหาทางลืม แต่สุดท้ายก็พบว่าอยากลืมกลับจำ อยากจำสิ่งดีใหม่ๆแต่กลับลืม พยายามสร้างเรื่องราวใหม่เพื่อมาทดแทนแต่ก็ไม่สามารถทำให้ลืมได้ นั่นเพราะสิ่งที่ทำให้เราจำได้ก็เพราะความคิดของเราที่ปรุงแต่งเรื่องราว คำพูด ฉากเหตุการณ์ต่างๆย้อนหลังซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของเรา เมื่อคิดอยู่อย่างนั้นมันก็บันทึกเรื่องใหม่ไปด้วย นอกจากจะจำเรื่องเก่าได้แม่นขึ้น ยังมีเรื่องใหม่ที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองอย่างฟุ้งซ่านลงไปด้วย
บางครั้งอาจจะทำให้เกิดอาการ สัญญาวิปลาสได้ คือ ความจำสับสน จำสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมาใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงทับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น เคยเลิกกับแฟนด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไปกิเลสได้ปรุงแต่งความคิดให้ฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ จึงเริ่มปรุงแต่งเรื่องราวเดิมซ้ำอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาจนประโยคเดิมนั้นกลายเป็นประโยคใหม่ ซึ่งมีน้ำหนักมีความรุนแรงมากกว่าเดิม เหตุการณ์นี้หลายคนก็คงจะเคยเจอ ภาษาทั่วไปเขาเรียกกันว่า “มโนไปเอง” หรือคิดไปเองนั่นเอง คือความคิดใหม่มันไปอัดทับของเก่าไปแล้ว เหมือนกับบันทึกข้อมูลทับข้อมูลเดิมโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่จำหรือลืม มันอยู่ที่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ คนที่ล้างกิเลสได้จริงมันจะไม่ลืม แต่มันจะไม่ทุกข์ มันจะยินดีกับทุกเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย คิดเรื่องดีก็ยินดี คิดเรื่องร้ายก็ยินดี ยินดีที่ได้รับกรรมที่ทำไปแล้วก็จบไป ยินดีที่ได้เห็นว่าตัวเรานั้นมีกิเลสขนาดไหนยินดีที่ได้ใช้เหตุการณ์นั้นมาล้างกิเลสในใจเรา
4….อกหักทำอย่างไร
ความผูกพันที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้ทำลายได้ง่ายๆเพียงแค่กดข่ม หรือพยายามเปลี่ยนเรื่องโดยหาสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ บางครั้งเราอาจจะหลงคิดไปว่าชีวิตเราเปลี่ยนไปแล้ว คิดว่าเราลืมไปแล้ว แต่จริงๆชีวิตที่เปลี่ยนแปลงนั้นเกิดมาจากการอกหักที่เกิดขึ้นนั่นแหละ กิเลสที่มีจะพยายามทำให้เราผลักจากสภาพทุกข์ที่เป็นอยู่ซึ่งโดยมากจะไปในทางอกุศล
คนส่วนมากก็มักจะใช้วิธีหากิจกรรมใหม่ เปลี่ยนวิถีชีวิต เช่นไปเที่ยวคนเดียว ไปดูหนังคนเดียว ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ ปลดปล่อยตัวเอง ไประบายความเครียดความบ้าคลั่งที่ไหนสักที่ มันก็พอทำได้ในลักษณะของโลกียะ แต่จริงๆแล้วบางกิจกรรมมันก็ทำทุกข์ซ้อนเข้าไปอีกถ้าจะให้ดีเราควรเลือกกิจกรรมที่เป็นกุศล เช่น พบเจอเพื่อนฝูง ศึกษาธรรมะ นั่งสมาธิ สวดมนต์ ล้างจาน กวาดบ้าน จัดห้อง เก็บของบริจาค จัดสวน หรืองานจิตอาสาช่วยคนอื่น ฯลฯ และเว้นขาดจากกิจกรรมที่จะมีโอกาสเพิ่มไปกิเลสอีก เช่น ไปเที่ยวกลางคืน ดูหนังคนเดียว ฟังเพลงคนเดียว กินเหล้าของมึนเมา เสพยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์อื่นๆตามมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกวิธีที่คนนิยมคือหาแฟนใหม่หาคนใหม่มาดามอก ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้ยิ่งแย่เพราะเรื่องเก่ายังทุกข์ไม่หมดยังจะไปหาทุกข์ใหม่มาซ้ำตัวเองอีก จริงอยู่ว่าแรกรักนั้นเหมือนจะหวานแต่สุดท้ายก็ขมเหมือนกันหมด การที่เราได้โอกาสกลับมาโสดนี่คือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เขาหรือเหตุการณ์ใดๆมาดลให้เราต้องพลัดพรากก่อนเวลาที่เราคิด ซึ่งความโสดนี่แหละดีที่สุด
เมื่อเราได้ความโสดแล้วยังกลับไปหาการมีคู่ก็มักจะต้องกลับไปพบทุกข์เหมือนเดิม วนกลับไปที่หัวข้อแรก ทำไมต้องอกหัก? อกหักก็เพราะอยากมีคู่ อยากมีคู่มันก็เกิดจากกิเลส ถ้าไม่ดับกิเลสมันก็ทุกข์วนเวียนไปเรื่อยๆ ดังนั้นวิธีหาคู่มาดับทุกข์จึงเป็นวิธียอดแย่ที่คนกลับนิยมใช้มากและเข้าใจว่าเป็นวิธีที่ดีทั้งๆที่นั่นคือวิธีสร้างนรกซ้อนขึ้นมาอีกขุม เพราะกิเลสในนรกขุมเดิมก็ยังไม่ได้แก้ ยังเพิ่มกิเลสไปหานรกขุมใหม่เพิ่มให้ตัวเองอีก
วิธีแก้ไขอาการอกหักเบื้องต้นในทางโลกก็ทำให้พอดี ไม่ให้ฟุ้งซ่านเกินไป ไม่ให้มัวเมาจนเลอะเทอะ เพราะวิธีแก้เหล่านั้นไม่ใช่วิธีแก้ที่ยั่งยืน ไม่ได้ดับที่เหตุ เมื่อไม่ได้ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ไม่มีวันดับ อาจจะกดไว้ ข่มไว้ ฝังไว้แต่มันจะไม่ดับ มันจะเหลือเชื้อให้กลับมาเป็นทุกข์ได้เสมอ ดังนั้นเราจะเข้าสู่เนื้อหาสาระจริงๆของวิธีแก้ไขการอกหักกันเสียที
อย่างที่เกริ่นกันตอนต้นว่าอาการทุกข์จากการอกหักนั้นเกิดจากกิเลส ซึ่งกิเลสนี้คือความยึดมั่นถือมั่นมาเป็นของตน เมื่อเรารักใคร คบใคร ผูกพันกับใคร หรือแต่งงานกับใครเราก็จะยึดมั่นถือมั่นเขามาเป็นตัวเราของเรา เป็นอัตตาของเรา แต่ก่อนสมัยเรายังโสด คำว่า “อัตตา” นั้นมีแค่ตัวเราของเรา แต่พอเรามีคู่อัตตาของเราก็จะกลายเป็น “ตัวฉันและตัวเธอ” การเอาคนอื่นมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองนั้นเรียกว่าโอฬาริกอัตตา คือเอาวัตถุแท่งก้อน คนสัตว์ สิ่งของมาเป็นของตัว
ตอนแรกมันอยู่คนเดียวก็ปกติดี แต่พอมีคู่แล้วต้องกลับมาอยู่คนเดียวมันไม่ปกติเหมือนเก่า เพราะว่ากิเลสมันเพิ่มขึ้น แต่ก่อนอัตตามันมีแค่ฉัน พอมีคู่กลายเป็นฉันกับเธอ ก็ยึดมันไว้อย่างนั้น ยึดว่าเราต้องมีกันและกัน ต้องคู่กัน ชีวิตของฉันจะเป็นไปเมื่อมีฉันกับเธอ ฉันจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ ตามที่หนังรักมากมายได้หลอกให้เราเชื่อว่าความรักมันเป็นแบบนั้น คนเลยต้องทนทุกข์เพราะยึด เมื่อยึดแล้วโดนจับแยกก็เลยเจอสภาพขาด เพราะหลงเข้าใจไปว่าเขาหรือคู่ของเรานั้นเป็นตัวเราของเรา ทั้งๆที่จริงแล้วเขาไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทุกข์กับสุขของเราเลย ความทุกข์ ความสุขที่เราได้รับนั้น เราปั้นปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น เราสุขจากการได้เสพสมใจในกิเลสโดยใช้เขาเป็นตัวบำเรอกิเลสของเรา สุดท้ายพอโดนพรากไปเราก็ไม่มีที่บำเรอกิเลสเหมือนเดิม อัตตามันไม่ถูกสนองให้เต็มเหมือนเก่ามันก็เลยต้องทุกข์
การจะออกจากอัตตาแบบยึดคนอื่นมาเป็นตัวเราได้นั้น ในระยะแรกนั้นต้องกลับมาเป็นตัวเองให้ได้ ต้องทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองเชื่อมั่นว่าฉันอยู่คนเดียวได้ ฉันอยู่คนเดียวก็มีคุณค่า เติมอัตตาตัวเองให้เต็มด้วยความเป็นตัวเอง เติมช่องว่างที่เคยขาดหายด้วยคุณค่าของตัวเอง หรือจะใช้วิธีเติมคุณค่าด้วยการช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ เช่นงานจิตอาสาจะสามารถถมช่องว่างของอัตตาที่เคยขาดหายไปได้ง่าย เสมือนว่าเอาคนอื่นมาแทนแฟนเก่าใช้ระงับทุกข์ได้ดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงรากแค่ระงับอาการทุกข์
เมื่ออัตตาได้เต็มกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว ยืนด้วยตัวเองได้แล้ว ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์อีกแล้ว จะเกิดการยึดดี ความยึดดีนี้เองจะสร้างความเกลียด เมื่อเราเจอแฟนเก่าเราจะไม่ทุกข์เพราะเสียเขาไป แต่จะทุกข์เพราะเกลียดเขา จะเกิดอาการรังเกียจ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากร่วมโลก ไม่อยากสนใจ อันนี้เพราะเรามีอัตตาจัด
แน่นอนว่าเราเติมอัตตาให้เต็มมาเอง แต่สุดท้ายมันต้องทำลายอัตตาอีกที หลักตรงนี้คือ ต้องออกจากความทุกข์จากการอกหักด้วยการกลับมาอยู่กับตัวเองและทำลายความหลงติดหลงยึดกับตัวเองในตอนท้ายอีกที จึงจะสามารถพบกับความสุขแท้ที่เรียกได้ว่าพ้นจากทุกข์ของการเลิกราอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเรามีอัตตามาก ยึดดีมาก มั่นใจในตัวเองมาก จะไม่สนใจแฟนเก่า แม้ว่าเขาจะดีเพียงใดก็จะไม่ใยดี รังเกียจ ความรู้สึกตรงนี้เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้น การล้างทุกข์ตรงนี้ต้องล้างอัตตา ความยึดดีนั้นคือสภาพของการผลัก ผลักเขาออกจากชีวิต ไม่เอาเขาอีกต่อไปแล้ว หรือเรียกว่าเกลียด บางคนถึงกับไม่เผาผีกันเลย
ซึ่งการจะล้างการผลักนั้นต้องดูดกลับไปอีกที คือการพิจารณาคุณค่าของเขาเช่น เขาก็มาให้เราเรียนรู้ทุกข์นะ ถ้าไม่มีเขาเราจะเข้าใจความทุกข์ของคนมีคู่ได้อย่างไร ไม่มีเขาแล้วใครจะมาสะท้อนกิเลสเรา เขาเสียสละมาทำกรรมกับเราเพื่อให้เราชดใช้กรรมเชียวนะ ถ้าเขาไม่ทิ้งเราจะได้เจอกับความโสดที่แสนสุขไหม จริงๆเมื่อก่อนนั้นมันก็ดีนะ เราเองผิดเองที่เรามีกิเลส ฯลฯ
เมื่อพิจารณาไปมากๆความเกลียดเขาจะลดลง แต่ตรงนี้ต้องระวังให้มาก เพราะบางครั้งเราอาจจะออกด้วยอัตตาไม่เต็ม คือตอนมีอัตตามันยังมีเขาแทรกอยู่ในตัวเรา ในกิเลสเรา ทีนี้พอพิจารณาดูดเขากลับมันก็จะเลยเถิดกลับไปรักเขาเหมือนเดิม กลับไปคิดถึงเขาเหมือนเดิม ดีไม่ดีก็กลับไปคบเขาเหมือนเดิม นี่คือลักษณะของการล้างกิเลสที่ไม่เป็นลำดับทำให้พลาดหล่นลงนรกไปเหมือนเดิม ให้สังเกตดูดีๆว่าคิดถึงเขาแล้วเรายังแอบดีใจ แอบมีความสุข แอบคิดถึงบรรยากาศดีๆที่เคยมีให้กันอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่อย่าเพิ่งคิดไปพิจารณาดูดหรือไปพิจารณาประโยชน์ของเขา ให้พิจารณาโทษให้ติดดี ให้เกลียดการมีคู่ให้มันเต็มๆก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เมื่อปรับระหว่างรักกับเกลียดผลักกับดูดได้แล้ว สุดท้ายมันจะสำเร็จลงที่ความเป็นกลาง กลางในที่นี้คือไม่กลับไปเสพเรื่องคู่ หรือไม่คิดกลับไปคบหากับแฟนคนก่อนอีก และไม่ทรมานตัวเองด้วยอัตตาคือไม่ถือดี ไม่ยึดดี ไม่เกลียดใครจนตัวเองทุกข์ จึงจะพ้นสภาพของความทุกข์ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ว่าเขาจะเดินผ่าน ไม่ว่าเขาจะยิ้มให้ ไม่ว่าเขาจะเข้ามาคุย ไม่ว่าเขาจะพาแฟนใหม่มาเย้ย ไม่ว่าเขาจะต้องทุกข์ทนมานจากวิบากกรรมใดของเขา หรือไม่ว่าเขาจะต้องตายจากไปก็ตาม เราก็จะยังมีความยินดี ที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้รักกันแม้ว่าทุกอย่างจะจบไปแล้วก็ตาม โดยไม่มีทุกข์ใดๆเข้ามาเจือปนในจิตใจให้หม่นหมองเลย
5….อกหักดีอย่างไร
ข้อดีของการอกหักมีมากมาย ตั้งแต่เราได้ใช้กรรม เราได้เห็นกิเลสตัวเองทำให้เรากลับมาสำรวจตัวเองว่าเรายังบกพร่องในเรื่องใดบ้าง เราได้เห็นกิเลสของคนอื่นทำให้เราได้เห็นว่าการบำรุงบำเรอกิเลสให้ใครนั้นทำเท่าไรก็ไม่พอ เราได้เห็นทุกข์ เราได้เห็นธรรม เราได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น การอกหักครั้งหนึ่งสร้างการเรียนรู้ให้เราได้มากมาย และสิ่งที่ดีที่สุดของการอกหักก็คือ “ความโสด”
คนที่ไม่อกหักก็จะไม่มีวันเข้าใจความทุกข์ของความโสด และไม่มีวันเข้าใจความสุขของการโสด ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่เราต้องพบเจอไม่วันใดก็วันหนึ่ง ความทุกข์จากความโสดหรือโสดแล้วทุกข์เศร้าหมองนั้นเรามักจะเห็นกันเป็นประจำดังคำเรียกที่ว่า “คนอกหัก” แต่ความสุขของการโสด หรือ “โสดอย่างเป็นสุข” นั้นคือสภาพที่ใครหลายๆคนไม่ค่อยจะได้พบเห็นมากนัก แต่ถ้าจะยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพกันได้บ้างก็คือคนที่หลุดจากนรกหรือเลิกคบกับคนที่นิสัยไม่ดี ตอนแรกก็หลงรักเขาอยู่พอเขาจะทิ้งก็ไม่ยอมนะ แต่สุดท้ายพอเขาทิ้งจริงๆ ก็กลับมีความสุขขึ้น แบบนี้ก็น่าจะมีเหมือนกัน
แต่โสดอย่างเป็นสุขนั้นเป็นขั้นกว่าเป็นสิ่งที่เหนือกว่า เพราะคำว่าโสดอย่างเป็นสุขนั้นหมายถึงการยินดีในความโสดจนเกิดเป็นความสุข เพราะรู้ดีแล้วว่าไม่มีสิ่งใดจะมีความสุขเท่าความโสด ไม่มีอิสระใดจะยิ่งใหญ่เท่าความโสด เป็นความสุขแท้ที่มีเพียงผู้ที่ล้างกิเลสได้อย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงได้ ถ้าถามว่ามันสุขแบบไหน ก็คงจะตอบสั้นๆได้ว่า มีความสุขและความยินดีที่จะโสดตลอดชีวิต โสดทั้งชาตินี้และชาติหน้าและชาติอื่นๆสืบไป
6…ความรักหลังจากอกหัก
ความรักหลังจากอกหักของคนมีกิเลส ก็คงจะหาคนมาเติมเต็มช่องว่างของกิเลสที่ขาดหายไป ถมแล้วก็หาย เติมแล้วก็พร่อง แล้วก็ต้องหามาเติมอย่างนี้เริ่มไปไม่จบไม่สิ้น วนเวียนอยู่กับการมีรัก คบกัน อกหัก นานแสนนานตราบเท่าที่กิเลสนั้นจะดับไป
แต่คนที่อกหักแล้วสามารถล้างกิเลสได้จะต่างออกไป ความรักของคนที่ล้างกิเลสได้จริงจะเปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอไปอย่างไม่มีวันกลับไปทุกข์เหมือนเดิม ความรักที่มีหลังจากนั้นจะมีความใสบริสุทธิ์กว่าที่เคย จะกลายเป็นรักที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะมีการให้การเกื้อกูลดูแลการเอาใจใส่ แต่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เอาตัวเขามาเป็นตัวเรา ไม่เอาใครเข้ามาเป็นกิเลสร่วมกับเรา และไม่มีตัวเรา ไม่มีคนหลงรัก ไม่มีใครให้รักจนหลง มีแต่ความรักที่พร้อมจะให้ ให้กับใครก็ได้ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน มิตรสหาย ฯลฯ เพราะรู้ว่ารักแท้จริงนั้นเกิดจากการให้โดยไม่ยึดติด เมื่อไม่ยึดติดว่าต้องให้กับใครก็เลยยินดีที่จะให้ความรักกับทุกคน โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
7….อกหักครั้งต่อไป
โดยทั่วไปคนที่เคยอกหักแล้ว มักจะเข้าใจว่าตัวเองได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ก็เลยมักอยากจะกลับไปลองของ เพราะความที่ตัวเองมีกิเลสอยากมีคู่ อาจจะด้วยความเหงาหรือความหื่นกระหายในสิ่งใดก็ตามแต่ เขาเหล่านั้นมักจะมั่นใจว่าครั้งต่อไปจะต้องไม่พลาด…แต่แล้วมันก็จะพลาดอีกอย่างเคย เพราะที่ใดมีรักที่นั่นก็มีทุกข์ ของมันคู่กันแบบนี้เราจะเลือกรับแต่ความสุขอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับความทุกข์ไปด้วย แต่ที่สำคัญก็คือความสุขที่ได้รับนั้น “เป็นความสุขลวง”ที่จะล่อให้เราหลงติดอยู่ในการมีคู่ต่อไป ให้เราตามหารักแท้ไปเรื่อยๆ ให้เราอกหักไปเรื่อยๆ ผิดหวังไปเรื่อยๆ
ชีวิตนั้นยังมีเรื่องอีกตั้งมากมายให้เราผิดหวัง รอคอยให้เราล้างกิเลส หากเรายังมัวยินดีที่จะผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ เราก็จะไม่มีวันพบกับความสุขแท้ได้ คงจะมีแต่สุขลวงๆที่กิเลสนั้นใช้ล่อเราไว้กับโลกนี้ ล่อเราไปกับการมีรัก การคบหา การเลิกรา ทั้งที่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่กิเลสจัดฉากให้เราเล่น ให้เรารัก ให้เราหลง ให้เรายึด ให้เราทุกข์ ทรมาน เศร้าโศก คร่ำครวญ รำพัน เสียใจ คับแค้นใจ อยู่เรื่อยไป
อ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้วอกหักครั้งต่อไปจะมีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกิเลสในใจของเรา หากเรายังมีความยินดีที่จะกลับไปเสพสุขจากการมีคู่รักและพร้อมจะรับทุกข์ ก็ให้เรียนรู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องบรรลุธรรมในชาติใดชาติหนึ่งอยู่ดีอาจจะชาตินี้หรือชาติต่อไปนานแสนนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คนเรานั้นจะสามารถทำทุกข์ได้เท่าที่จะทนทุกข์ได้ เมื่อทุกข์สุดทนก็จะเลิกทำทุกข์ให้กับตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม”
– – – – – – – – – – – – – – –
24.11.2557