ข้อคิด
วิธีป้องกันคนชั่วคนพาล
วิธีป้องกันคนชั่วคนพาล
แค่มีศีลมีธรรม คนชั่วเขาก็หนีแล้ว
ยิ่งเสนอให้เขาถือศีล เขาจะทุกข์ร้อนหวาดผวา
เหมือนที่ใครเขาเปรียบกันว่า
ถ้าจะกันผี(กิเลส) ต้องใช้สายสิญจน์(ศีล)
……………………………………..
การที่เราเจอแต่คนพาลเข้ามาในชีวิตนั้น ใช่ว่าจะเกิดจากกรรมเก่าในปางก่อนเสมอไป ส่วนใหญ่ก็กรรมเก่าในชาตินี้นี่แหละ คือไม่ศึกษาวิธีป้องกันคนชั่ว ไม่เคยมีศีลมีธรรมเป็นเกราะคุ้มครองตนเอง พอเจอคนชั่วก็โทษกรรมเก่าในชาติก่อนๆเสียหมด กลายเป็นว่าหาเหตุไม่ได้ หาที่มาไม่ได้ พอหาเหตุไม่ได้ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้เช่นกัน
การที่เรายังชั่วอยู่นั้น หมายถึงเราเองเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ยังดึงดูดคนชั่วเข้ามาในชีวิต เพราะถ้าเราชั่ว เราก็จะได้เจอกับคนชั่วๆ อยู่ในสังคมชั่วๆ วนเวียนอยู่กับคนพาลที่สร้างปัญหาให้กับชีวิต
การเริ่มต้นห่างไกลคนพาล ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่สมควรทำเพื่อชีวิตที่ผาสุกคือทำลายความชั่วในตนเสียก่อน เพราะสิ่งที่ดึงดูดชั่วภายนอกเข้ามาหาก็คือชั่วข้างในตัวเองนี่แหละ ดังนั้นหากจะโทษสิ่งใดสักสิ่งที่นำสิ่งชั่วเข้ามาในชีวิตเราก็โทษความชั่วที่เรายังมีนี่แหละ ยังไม่ต้องไปโทษเวรโทษกรรมอะไรที่มันไกลตัวหรอก เพราะชั่วนี่มันเห็นได้ง่าย กรรมมันเห็นได้ยาก
พอเราเริ่มมีศีลมีธรรมก็จะเป็นเกราะคุ้มครองที่ดีระดับหนึ่ง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถป้องกันได้ทั้งหมด เราจึงควรมีกลยุทธ์เชิงรุกด้วย นั่นคือชักชวนให้คนรอบข้างถือศีล คิดดี พูดดี ทำดี ถ้าเขาดีพอ เขาก็จะเอาดีและพยายามจะพัฒนาตัวเองไปสู่ความเจริญ แต่ถ้าเขาชั่วมาก เขาจะออกไปจากชีวิตเราเอง เพราะทนความดีไม่ไหว นั่นเพราะชั่วในตัวเขามันไม่ยอมให้ทำดี
ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับทั้งตัวเขาและตัวเรา สำหรับตัวเขานั้นก็จะได้ไม่ต้องมาทำบาปเวรภัยกับคนอื่น เพราะมีดีมาขวางไว้ และได้เรียนรู้ว่าความดีนั้นเป็นอย่างไร เอาดีมาถ่วงไว้จะได้ไม่ชั่วมากจนเกินไป สำหรับตัวเรานั้นก็ได้อาจจะได้ทั้งบุญและกุศลเกิดขึ้นกับเรา เป็นพลังที่จะหนุนให้เราเกิดความสุขความเจริญ ห่างไกลคนพาล ปกป้องคุ้มครองตัวเองโดยธรรม
แม้แต่คนพาลที่เข้ามาในคราบของคนดี เป็นสัตว์ร้ายที่ปลอมตัวมา เป็นมารในคราบเทวดา แม้จะมีท่าทางดูดี คิดดี พูดดี ทำดี ในทีแรก แต่ถ้าเจอศีลเข้าไปแล้วก็ยากที่จะรอด เพราะศีลจะทำให้คนกิเลสหนาเกิดอาการร้อนรน ไม่เอาศีล รังเกียจศีล ไม่อยากถือศีล ลำบากในการคบหาคนมีศีล
ยิ่งมาดีเท่าไหร่ลองเพิ่มศีลเข้าไปเท่านั้น เดี๋ยววันหนึ่งก็ออกลายเอง ดีไม่ดีคุยกันไม่กี่วันก็หายไปจากชีวิตเลย นี่แหละพลังของศีลที่จะป้องกันคนชั่วที่จะมาในสารพัดลีลาด้วยท่าทีงามสง่าน่าอัศจรรย์ สุดท้ายต้องมาตกม้าตายด้วยศีลกันทุกรายไป
แต่สิ่งที่สำคัญคือ เรารู้จักศีลดีหรือยัง เข้าใจศีลดีหรือยัง สาระของศีลคืออะไร ศีลใดที่ควรใช้ ศีลใดที่เหมาะ ศีลใดไม่เหมาะ รายละเอียดของศีลนั้นต่างกันไป การใช้เพื่อประโยชน์ใดๆก็ต่างมุมกันไป เราจึงควรศึกษาในสาระและประโยชน์ของศีลกันให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
เพราะการใช้ศีลในการป้องกันสิ่งชั่วนั้น จะใช้ได้เฉพาะในศีลในระดับที่ตนปฏิบัติไหว ใช่ว่าเราจะสามารถให้คนอื่นศึกษาในศีลที่เรายังไม่สามารถปฏิบัติและเข้าใจได้ นั่นหมายถึงถ้าเราไม่ศึกษาและปฏิบัติในสิ่งใด ก็จะไม่สิทธิ์ในการใช้คุณวิเศษของสิ่งนั้น
– – – – – – – – – – – – – – –
27.6.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
โสดสิ้นสงคราม
โสดสิ้นสงคราม
สิ้นสุดการต่อสู้ ที่ดำเนินต่อเนื่องมานานแสนนาน
ปิดภพจบชาติ ที่ต้องมาคอยทะเลาะเบาะแว้งกัน
ไม่ยินดี ในการเสพสุขจากการมีคู่ใดๆอีกต่อไป
ไม่ยินร้าย หากว่าใครอื่นยังหลงสุขกับเรื่องคนคู่
ไม่ต้องเป็นทาสกิเลส คอยเสพแต่สุขน้อยทุกข์มาก
เพราะสุขจากการไม่ทุกข์นั้น ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
สุขจากการไม่ต้องอยาก ไม่ต้องหา ไม่ต้องพยายาม
ไม่ต้องทะเลาะ ไม่ต้องเถียง ไม่ต้องต่อสู่ ไม่ต้องชนะ
ไม่ต้องมี ไม่ต้องเป็น ไม่ต้องได้ ไม่ต้องเสียสิ่งใดเลย
เป็นสุขแท้ ที่ยิ่งกว่าสุขใดๆ สำหรับผู้สิ้นแล้วซึ่งสงคราม
– – – – – – – – – – – – – – –
27.6.2558
อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด
อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด
สมัยที่ยังไม่เคยศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าความโสดไม่ดีมีแต่เหงา มีคู่สิดีมีอะไรมากมาย แม้จะเจ็บจากความรักเท่าใดก็ยังไม่ทิ้งความหวังที่จะมีความรักอีกครั้ง
จนกระทั่งได้มาศึกษาธรรมะ ได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์และผู้รู้ที่นำมาขยายและอธิบายว่าการมีคู่ทำให้เกิดทุกข์อย่างไร เป็นโทษอย่างไร ความโสดมีคุณประโยชน์อย่างไร ทำให้ชีวิตเจริญอย่างไร
ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ความเจ็บช้ำมามากเท่าไหร่ เห็นรักของใครต่อใครพังมามากแค่ไหน ได้เรียนรู้ว่าโสดนั้นดีกว่ามีคู่อย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถทำใจให้โสดสนิทได้ ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมโสด มันยังอยากมีคู่ เห็นคนอื่นควงกันมาแล้วก็ยังอิจฉา ดูละครเห็นพระเอกนางเอกจีบกันก็ยังสุขตาม บางทีก็ยังเฝ้าฝันถึงวันที่ได้มีคู่ ทำไมมันยังไม่ยอมโสดเสียทีทั้งที่มีความรู้ขนาดนี้แล้ว?
เรียนรู้ใช่ว่าจะรู้จริง
เราอาจจะเคยเจอกับสภาวะที่เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หรือ เข้าใจแต่ทำไม่ได้ การเรียนรู้โดยทั่วไปนั้นเป็นการนำความรู้นั้นเข้ามาใส่ความจำเท่านั้น ซึ่งในความจำนั้นก็ยังมีอีกมากมายหลายล้านเรื่องที่จำไว้ เช่นจำว่าเคยมีความสุขตอนมีคู่ จำได้ว่าตอนเสพมันเป็นสุข ซึ่งแม้จะจำได้ว่ามีคู่เป็นทุกข์ แต่เมื่อประสบกับสิ่งที่ถูกใจเข้าจริงๆก็มักจะแกล้งลืมความจำบางอย่างไปเสียหมด
สิ่งที่ทำให้เราเลือกจำแต่เรื่องที่ไร้สาระและเลือกเสพในสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขแท้นั้นก็คือ “กิเลส” พลังของกิเลสจะทำหน้าที่บดบังความจริงตามความเป็นจริง สร้างความสุขลวงขึ้นมา ปั้นความลวงให้เป็นความจริง ถึงแม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นกงจักรก็ยังเข้าใจไปว่าเป็นดอกบัว นี่คือพลังของกิเลสที่ทำให้เห็นผิดเป็นถูก ทำให้ความจริงนั้นผิดเพี้ยนไป ดังนั้นเมื่อเราได้เรียนรู้อะไรมาก็ตาม หากเรายังมีกิเลสปนเปื้อนอยู่ ความรู้เหล่านั้นจะถูกบิดเบือนไปจนกระทั่งบันทึกสิ่งที่ผิดๆลงในความทรงจำ
ดังนั้นการเรียนมากก็ใช่ว่าพ้นทุกข์ได้ เพราะหากขยันเรียนแต่ยังมีกิเลสมากหรือความรู้ที่เรียนนั้นไม่ได้พาให้ลดกิเลส ความรู้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้เลย ยิ่งรู้มากยิ่งหลงผิดมาก เรียกว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ก็ว่าได้
โสดที่ยังมีกิเลส
เมื่อเราได้เรียนรู้ชีวิตและศึกษาธรรมะ เข้าใจเหตุแห่งความอยากในการมีคู่แล้วเห็นดีในความโสด ไม่ใช่การโสดเพราะอยากจะหนีหรือเพราะเจ็บปวดจากความรัก แต่เพราะเกิดปัญญาเห็นโทษภัยของการมีคู่และข้อดีของการโสด
แต่ถึงจะเห็นไปในทางที่ถูกเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถโสดโดยไม่มีสะดุด เพราะยังมีกิเลสคอยเป็นมารที่ขวางกั้นความสงบในชีวิต การเห็นว่าโสดนั้นดี คือความเห็นความเข้าใจที่ถูกปรับเข้ามาในทิศทางที่ถูกแล้ว เหมือนเรือที่หันหางเสือไปยังทิศทางพ้นทุกข์ แต่ก็ยังไม่ออกเรือ เป็นเพียงการระบุทิศทางเท่านั้น
ซึ่งประเด็นนี้มักจะเป็นที่สงสัยของหลายคนว่า ได้ศึกษาธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ เข้าใจและเห็นด้วย แต่ทำไมเวลาไปเจอของจริงมันแพ้กิเลสทุกที นั่นเพราะเพียงแค่ความเข้าใจที่ถูกตรงแต่ยังมีกิเลสนั้นยังไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้
ความเข้าใจที่ถูกเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเข้าใจผิดเห็นว่ามีคู่ดีกว่า หรือถ้าเจอคู่ดีก็ควรมี หรือเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ไปมีคู่ ก็เรียกได้ว่ายังเป็นความเข้าใจที่ผิด เป็นเรือที่อยากจะเดินทางไปสู่การพ้นทุกข์ แต่ตั้งหางเสือให้ไปในทิศทางของทุกข์อยากมีความสุขแต่กลับแสวงหาทุกข์ เพราะมีกิเลสมาบดบังปัญญาจึงทำให้หลงผิด
เมื่อมีความเข้าใจที่ถูก ก็จะต้องทำให้เกิดความคิดที่ถูกต้องตามมา ในตอนแรกจะไม่สามารถมีความคิดไปตามหลักของพระพุทธเจ้าได้ กิเลสมันจะค้านแย้งตลอด แม้จะได้เรียนธรรมมามาก มีข้อธรรมเยอะ จำได้มาก แต่ก็มักจะต้องแพ้ให้กับกิเลสเสมอ เพราะพลังของอธรรมนั้นมีมากกว่าธรรม ตั้งใจพิจารณากิเลสแทบตาย ฟังธรรมปฏิบัติธรรมกันอยู่เป็นสัปดาห์ ออกไปใช้ชีวิตแล้วเจอคนที่ถูกใจพูดด้วยไม่กี่คำก็เพ้อฝันไปไกล
การจะคิดได้อย่างถูกตรงนั้นไม่ง่าย จึงต้องใช้พลังของการปฏิบัติอื่นๆร่วมด้วย คือการพูดสิ่งที่ถูกตรง คือพูดไปในทางไม่เสริมกิเลส ขัดกิเลส ทำกิจกรรมการงาน เลี้ยงชีพอย่างถูกตรง โดยเฉพาะความเพียรที่ถูกตรง
ความเพียรที่ถูกคืออะไร? ในกรณีของการจะไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุขได้นั้นจะต้องเพียรชำระล้างกิเลส ไม่ใช่ขยันทำการงาน แต่เป็นขยันชำระกิเลสในใจตน ขยันพิจารณาประโยชน์ของความโสดและโทษของการมีคู่ เพื่อให้อาหารกับธรรมะและงดให้อาหารอธรรม เพื่อไม่ให้ความชั่วโตขึ้นและเสริมสร้างความดีให้แข็งแรง
จนกระทั่งมาถึงสติที่ถูกตรง เป็นสติที่สามารถจับและวิเคราะห์กิเลสได้ รู้ได้ชัดว่ากิเลสใดเกิดขึ้น เป็นกิเลสชนิดไหน โลภ โกรธ หลงในสิ่งใด เราอยากเสพอะไร เราหลงติดหลงยึดในอะไร แล้วจะใช้ธรรมะเข้าใดเข้ามาขัดเกลากิเลสนี้
เมื่อวิถีปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ทั้งหมดถูกปฏิบัติอย่างตั้งมั่น จึงเกิดเป็นสมาธิที่ถูกตรง เป็นลักษณะเฉพาะของผลการปฏิบัติในวิถีพุทธ นั่นคือเกิดสมาธิขึ้นเพราะความสงบจากกิเลส เป็นสมาธิที่ไม่ต้องนั่ง ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก เป็นสภาพสามัญของ “สัมมาสมาธิ” ของผู้ที่ปฏิบัติ “สัมมาอริยมรรค” ๗ ข้ออย่างถูกตรงด้วยความตั้งมั่น ต่างจากวิธีปฏิบัติของลัทธิอื่นๆที่ต้องนั่งสมาธิหรือใช้อุบายให้จิตสงบเสียก่อนจึงเกิดจิตที่เป็นสมาธิได้ ซึ่งนั่นเป็นเพียงมิจฉาสมาธิเท่านั้น
โสดไม่มีกิเลส
เมื่อปฏิบัติอย่างถูกตรงด้วยความเพียรอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเกิดปัญญารู้แจ้งในกิเลสนั้นๆ เป็นความรู้เดียวกับที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์สอน ไม่ว่าใครที่รู้แจ้งในกิเลสก็จะได้สัมผัสรสเดียวกัน รับรู้เช่นเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน คือมีสภาพปล่อยวางจากกิเลส ปล่อยให้กิเลสเดินออกจากจิตวิญญาณของเรา กิเลสไม่ใช่เราและเราไม่ใช่กิเลส ไม่จำเป็นต้องมีกันและกันอีกต่อไป
เมื่อเข้าใจดังนั้น ก็จะไม่ต้องพยายามโสด ไม่ต้องระวังว่าใครจะมาพรากความโสดได้ ต่อให้ยกบ้านยกเมืองให้ ให้เป็นเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้ตลอดชีวิต มีคนที่พร้อมจะมาเป็นคู่ มีนิสัยดีแสนดี มีพร้อมทั้งความงามและปัญญามาแลกกับการสละความโสดก็ไม่เอา ดีแค่ไหนก็ไม่เอา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจ ไม่มีความอยากใดๆเกิดขึ้นแม้น้อย เพราะมีคำตอบเดียวคือ “โสด” ปิดประตูนรกของการมีคู่ไปได้เลย
ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อีก เพราะรู้แน่ชัดในตนเองแล้วว่าสิ่งนี้แหละเยี่ยมยอดที่สุดในโลก เป็นสภาวะที่ไม่สามารถจะหาสิ่งใดมาเปรียบ ไม่มีอะไรที่จะเอามาแลกได้ ไม่มีอะไรหักล้างได้ ยั่งยืน ถาวร ไม่เวียนกลับ คงอยู่ตลอดกาล ไม่แปรปรวนอีกต่อไป เกิดเป็นความรู้ในตน เป็นปัญญาของตน เป็นสมบัติของตนเอง ไม่ใช่ของที่หยิบยืมมาอ้างจากผู้อื่นอีกต่อไป กลายเป็นอริยทรัพย์เรื่องหนึ่งที่จะให้ผลต่อเนื่องไปตราบปรินิพพาน
– – – – – – – – – – – – – – –
26.6.2558
ปล่อย …แต่ไม่วาง
ปล่อย …แต่ไม่วาง
ได้ดูเนื้อหาของ MV นี้ เป็นเรื่องราวของภรรยาที่โดนยัดเยียดข้อเสนอในการหย่าให้ ในเรื่องที่นำเสนอนั้นเป็นสภาพที่ปล่อยได้ตามชื่อเพลง
ซึ่งในชีิวิตจริงก็มีหลายคนที่ “ปล่อย” ได้มาก การที่คนจะปล่อยสิ่งที่เคยรักและผูกพันมาได้นั้นต้องใช้ “อัตตา” หรือความยึดดีเข้ามาเป็นกำลัง ถ้าไม่ติดดี ถ้าไม่รักตัวเองมากพอ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ก็จะไม่สามารถปล่อยได้
แม้ว่าจะสามารถปล่อยได้ จนต่อมากลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง มีความต้านทานกับความเจ็บช้ำ แต่ก็จะเกิดสภาพยึดดีตามไปด้วย
แต่ที่แย่ที่สุดคือ “กาม” ยังไม่ตาย ความอยากเสพรสสุขในการมีคู่นั้นอาจจะยังไม่ได้ถูกทำลายไป เราจึงมักจะเห็นคนที่เคยผิดหวังจากความรัก วนเวียนกลับไปมีความรักใหม่
สุดท้ายจึงวนเวียนชอบรักชังเกลียดกันอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น ชาตินี้จบไป ชาติหน้าก็มาเล่นกันใหม่ เหมือนกับที่เป็นกันอยู่ในชาตินี้…