Tag: หมอเขียว
อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน
เมื่อใครถามถึงครูบาอาจารย์ทางธรรม ผมก็จะบอกว่าเป็นอาจารย์หมอเขียว เพราะเป็นคนแรกในโลกที่ผมยอมรับว่าเป็นอาจารย์ ยอมก้มหัวให้ด้วยใจจริง ยอมให้สอน ยอมให้ติ ยอมให้ด่า ใจมันยอมแพ้หมดรูปเลย เพราะรู้ว่าถ้าแพ้คนนี้แล้วจะเจริญ เอาชนะไปนรก
ก่อนเจออาจารย์หมอเขียว ก็เคยศึกษาธรรมะอยู่พอสมควร เจอคนมากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่จะตอบคำถามเราได้ เรียกว่าไม่ตอบโจทย์ ไม่ทันเรา ไม่มีสิ่งที่เราต้องการให้ศึกษา แม้พยายามคลุกวงในบ้างแล้ว แต่ก็คว้าน้ำเหลว นึกว่าจะมีแก่นสารสาระ แต่โดยมากก็ต้องเสียเวลาไปฟรี ๆ
จนมาเจออาจารย์หมอเขียว ได้พบ ได้ฟัง ได้ถาม จึงรู้ว่าคนนี้แหละ เพราะท่านรู้จักความเป็นเรา และรู้จักสิ่งที่ดีกว่า เหมือนโดนดักหัวดักท้าย ไปไม่เป็น ไปได้ทางเดียว คือตามที่ท่านแนะนำ เพราะมันไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันจะดีไปกว่าที่ท่านแนะนำ
ผมเองไม่ใช่สายศรัทธา ไม่ได้เลือกอาจารย์ด้วยศรัทธา แต่เลือกด้วยปัญญา แน่ล่ะ ครูบาอาจารย์ของผมก็ต้องมีปัญญามากกว่าผม ผมจะรู้เองว่าคนไหนทันผม คนไหนไม่ทันผม คนไหนล้าหลัง คนไหนปลอม พอมีปัญญามันก็จะดูคนออกง่าย แต่มันจะหาอาจารย์ยาก เพราะในโลกนี้คนที่มีปัญญาจริง ๆ มันจะน้อย แต่มันก็ดีอย่างคือมันจะไม่ไปเสียเวลาศรัทธาคนผิด
แต่สายปัญญาเวลาปัก จะแน่นกว่าสายศรัทธาหรือสายเจโต เพราะในปัญญานั้นจะมีทั้งปัญญาและศรัทธาผสมกันอยู่ในตัว และที่สำคัญคือได้ลองด้วยตนเองแล้วพบว่าได้ผลจริง แล้วจะวิ่งหนีไปไหนได้
เวลาที่ผมมีปัญหา มีคำถาม ก็ได้อาจารย์ช่วยไขความให้นี่แหละ ด้วยความที่เป็นผู้ชาย เลยเข้าถึงอาจารย์ได้ง่าย แต่นั่นก็ไม่ได้มีค่าเท่าความดีที่ได้เคยร่วมทำกันมา ผมสังเกตว่าถ้าผมมีปัญหาจริง ๆ จะไม่ค่อยมีอะไรกั้น แม้จะไม่ได้ถามก็จะได้คำตอบ
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เคยไปปรึกษาอาจารย์เกี่ยวกับการตัดสินใจไปรับคำเชิญไปบรรยายในงานมังสวิรัติ อาจารย์ได้ให้หลักพิจารณามาว่า เขาต้องการความรู้จากเราไหม และเรามีความรู้นั้นไหม ไม่มีการฟันธงใด ๆ แต่ผมก็สรุปเอาเองว่า ทั้งสองปัจจัยก็ไฟเขียว ที่เหลือคือสรุปว่าจะเอื้อหรือไม่เอื้อ ก็จบตรงที่ว่า การแบ่งปันมันก็ดีกับเราและผู้อื่น ก็ทำไป
ศึกษามาเรื่อย ๆ จนถึงปีที่ผ่านมา ก็ได้รับขุมทรัพย์กองใหญ่ ที่เรียกว่าหายากมาก ชนิดที่ว่าถ้าจะมุ่งศึกษาปัญญานี้ด้วยตัวเอง อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตเลยก็ได้ แต่ครั้งนี้ อาจารย์ก็รวบให้ในไม่กี่นาที
เรื่องก็ยังอยู่ในหมวดเดิม คือการประมาณในการช่วยคน ผมก็ติดปัญหาว่า เราก็ว่าเราเก่งแล้ว แต่ข้อผิดพลาดในการช่วยคนมันก็ยังเยอะอยู่
อาจารย์ก็ได้สอนว่า จริง ๆ มันไม่เกี่ยวกับเราเก่งที่เราไหร่ แต่เกี่ยวที่ว่าเขาศรัทธาเรารึเปล่า เราเก่งให้ตาย เขาไม่ศรัทธาเรา เราก็ช่วยเขาไม่ได้
อาจารย์ยังยกตัวอย่างย้ำว่า ขนาดพระอรหันต์ระดับเอตทัคคะ ยังสอนลูกศิษย์ข้ามสายกันไม่ได้เลย สอนไม่บรรลุ คนเขาจะเลือกคนที่เขาศรัทธาของเขาเอง
ฟังแล้วก็เข้าใจเลยว่า ปัญหาของเรา จริง ๆ มันไม่ใช่ปัญหาของเรา มันเป็นปัญหาของเขา แต่เราไม่รู้ เราก็เอามาแบกไว้ มันก็หนักใจอยู่แบบนั้น พอเราได้ฟังมันก็โล่งเลย เพราะเรื่องทิ้งภาระที่มันหนักนี่มันทิ้งไม่ยากอยู่แล้ว ไปโง่เอาภาระคนที่เขาไม่ได้ศรัทธาหรือศรัทธาไม่เต็ม มันก็เหนื่อยเปล่า
อาจารย์ยังนำเนื้อหามาย้ำสรุปในวันต่อมาว่า คนที่ศรัทธาจะไม่เพ่งโทษถือสาเอาความ ความไม่ถือสา ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่หยุมหยิม คือตัววัด ส่วนคนที่ไม่ศรัทธาแม้เราจะคิดดี พูดดี ทำดี แค่ไหน เขาก็จะสามารถเพ่งโทษถือสาหาเรื่องได้
ปัจจุบันแม้ผมจะไม่ได้ไปอยู่ช่วยเหลือใกล้ชิดอาจารย์ เพราะฟ้าหรือวิบากกรรมไม่เอื้ออำนวย ผมก็ยังติดตามฟัง ติดตามเรียนรู้อยู่เป็นประจำ ไม่ห่างหาย เพราะเชื่อเสมอว่าการฟัง ทบทวน หรือแม้กระทั่งซักถามตามที่มีโอกาส นี่แหละ จะทำให้พ้นจากทุกข์ได้ไวที่สุด
พิมพ์ไว้เป็นเครื่องระลึกถึง อาจารย์หมอเขียว เนื่องในวันครบรอบวันเกิด อาจารย์ 11 มิถุนายน 2563 ครับ
ไม่ลดกิเลส จะไม่ทันพวกทำดีเอาหน้า พวกสร้างภาพ
วันนี้อาจารย์หมอเขียวพูดถึง คนที่ผิดศีลจะมีวิบาก(ผล) ให้ได้ข้อมูลผิด เช่น เห็นพวกทำดีเอาหน้าแล้วดูไม่ออก คือไม่เห็นความชั่วที่ซุกแอบซ่อนในการทำดีของเขา
ผมก็เคยพลาดมา แต่เราตั้งใจปฏิบัติศีล จึงได้เห็นข้อมูลจริง ว่าเขาผิดศีล ไม่ได้ขยันอย่างจริงใจ คือทำดีสร้างภาพ หวังลาภสักการะ ฯลฯ ซุกซ่อนกิเลสภายใน
ทีนี้ใช่ว่าเราออกมาได้ แล้วเราก็จะเฉย ๆ เราก็ช่วยคนอื่นโดยการเผยแพร่ข้อมูล ลักษณะของคนพาล และรูปรอยของคนผิดศีลนั่นแหละ ก็คงจะไม่ได้ประจานกันตรง ๆ เพราะชนกับคนพาลจะมีแต่เสีย แล้วเจตนาเราไม่ได้หวังจะช่วยคนพาล แต่จะช่วยคนดีที่ยังไม่รู้ทันคนชั่ว
เชื่อไหมว่า คนที่ปิดบังหรือไม่เปิดเผยความจริง ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในชีวิต ไม่นานเขาจะหลุดความจริงออกมา ผมเคยตั้งจิตว่าขอให้ได้รู้ว่าใครเป็นใคร เท่านั้นแหละ พาลเป็นพาล บัณฑิตเป็นบัณฑิตเลย
พาลคือไม่ได้จริงอย่างที่พูด พูดอย่างทำอีกอย่าง พูดเกินความจริงที่ตนมี เช่นบรรลุขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ชีวิตจริงยังไปจีบหญิงอยู่เลย แบบนี้เรียกพวกเน่าใน ทุศีล สร้างภาพว่าสวยงาม แต่ข้างในไม่ได้มีจริง บางทีเขาก็พูดเอาโก้ ๆ หลอกคน เพราะหลงโลกธรรม
ธรรมะนั้นเป็นของสูง คือมีลาภสักการะมาก มีสรรเสริญมาก คนชั่วเขาก็จะเข้ามาเอาประโยชน์ตรงนี้เหมือนกัน คือเข้ามาแล้วทำให้ดูเหมือนขยันทำดี ขยันเอาธรรม ขยันสนทนาธรรม บางทีเขาซ่อนกิเลสเขาไว้ แต่ไม่แสดงออก แล้วก็แอบเสพไป สร้างภาพไป
ด้วยความที่ผมทำดีมามาก เลยได้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ ที่จะช่วยไม่ให้หลงไปคบคนผิดหรือคนพาลนาน พอเราได้ข้อมูลว่าเขาผิดศีล ไม่จริงอย่างที่พูด เราก็ไม่คบ มันก็ง่าย ๆ แค่นี้
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสื่อสารให้คนอื่นได้รู้อย่างเรา แม้จะพูดไปเต็มปาก ก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อได้ เพราะถ้าเขาทำดีมาไม่มากพอ ปฏิบัติศีลเจริญในธรรมได้ไม่มากพอ เขาจะไม่เห็นความชั่วที่แอบไว้ในความดีที่คนชั่วนำเสนอ
ก็สรุปกันง่าย ๆ ว่าโดนเขาสร้างภาพลวงให้หลงไว้นั่นแหละ สุดท้ายแม้เราพูดไป แล้วเขาไปศรัทธาคนที่ขยันทำดีแต่ไม่จริงใจมากกว่าเรา เขาก็จะเพ่งโทษเรา แทนที่จะช่วยเขา ก็กลายเป็นว่าเขาจะกลับมาเพ่งโทษถือสาเราอีก
ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเสี่ยงแลกนักหรอก ถ้าดู ๆ แล้วคนเขาไม่ได้ศรัทธาเรามากพอ มันจะได้ไม่คุ้มเสีย บางคนเขาก็ทำเหมือนศรัทธาเรา แต่พอไปได้ยินคนนินทาเรื่องเรา กลับไม่มาถามเราสักคำว่า “เรื่องจริง ๆ” มันเป็นอย่างไร เราก็รู้เราว่าเขาเชื่อทางนั้น เราก็ไม่พูด เพราะพูดไปมันก็จะไปสู้กับสิ่งที่เขาศรัทธามันจะพังเปล่า ๆ
บางทีถ้าพยายามจะสื่อเต็มที่แล้วเขาไม่เข้าใจ มันก็ต้องวาง ให้ทุกข์ได้สอนเขา เราพ้นจากคนพาลแล้วเราจะทุกข์อะไร เราไม่คบ ไม่สื่อสารกับคนพาล ไม่อนุเคราะห์คนพาลให้มันลำบากชีวิตหรอก
ทำดีไม่ควรน้อยใจ
คนทำดีนี่ส่วนใหญ่เขาก็ทุ่มเททั้งหมดเท่าที่เขาเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีนั่นแหละ แล้วที่นี้พอดีนั้นไม่เป็นดั่งใจหวัง เช่น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าดีบ้าง ไม่เกิดผลดีบ้าง ไม่ดีจริงอย่างที่หวังบ้าง ก็อกหักอกพังน้อยเนื้อต่ำใจ
ขันติ คือตบะเผากิเลสอย่างยิ่ง ขันติคือความทน แกร่ง อึด ต่อความหวั่นไหว ความทนนี่แหละคือไฟที่จะเผาความท้อแท้หดหู่เศร้าหมอง วิธีทำดีอย่างไม่มีท้อ คือทนทำดี
ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) มีประโยคทองที่ว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” นี่คือประโยคที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแกร่ง ทน อึด ต่อสภาพที่น่าผิดหวัง น่าหวั่นไหวทั้งหลาย แถมยังทิ้งการหวังผลไปไกลแบบข้ามภพข้ามชาติ การใจเย็นข้ามชาติไม่ได้หมายความว่าจะไปหวังผลชาติหน้า แต่หมายถึงใจเย็นไปเรื่อย ๆ ทำดีไปเรื่อย อย่างไม่มีกำหนดจะท้อ
เป็นกรรมฐานหนึ่งที่ผมถือไว้อาศัยฝึกใจเช่นกัน ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกระหว่างบำเพ็ญประโยชน์อยู่ที่ค่ายอบรม หลายปีก่อน ณ ขณะนั้นมันก็ยังมีความยึดดี ความหวังให้เกิดดีอยู่มาก ความสงสัยว่าทำไมดียังเกิดไม่ได้ ยังไม่ให้ผล ฟุ้งซ่าน หลอกหลอนอยู่ในใจ
พอได้ยินว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” เท่านั้นแหละ จบเลย อ้อนี่ เราไปตั้งภพ ไปตั้งเวลาไว้เองว่ามันจะต้องเกิดดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนั้นตอนนี้ ถ้าเราทำดีแบบไม่หวังผลตรงนี้ เราก็จะเบา เราไปแบกความคาดหวังไว้เอง ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่หน้าที่เรา เรากำหนดผลกรรมไม่ได้ว่าจะออกมาแบบไหนเมื่อไหร่ เรากำหนดได้แค่ปัจจุบันเราจะทำดีหรือไม่ทำดีหรือทำชั่วเท่านั้นเอง
บางทีชีวิตมันก็ต้องการคำง่าย ๆ คำสั้น ๆ แค่นี้แหละ แต่จำเป็นต้องมีคุณภาพ เป็นสัจจะที่พาพ้นทุกข์ น่าเสียดายที่ยุคปัจจุบันไม่สามารถทำให้ดีเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่านี้ไปได้ ก็ดีได้เท่านี้ เผยแพร่ได้เท่านี้
ถ้าผมจะน้อยใจจริง ๆ นะ ผมน้อยใจไปนานแล้ว ก็ดูสิ เขาสอนธรรมะกันก็สอนกันไปทางโลภ โกรธ หลง สอนธรรมะกันยังสอนให้ยินดีในการมีคู่ มีเพื่อนมาร่วมศึกษา ก็โดนคนเห็นผิดชักจูงไปทางที่ผิด แถมยังเจอพวกผิดศีล เน่าใน ปะปนมาในสังคมคนดีอีก มันน่าท้อน่าหดหู่ขนาดไหน แค่เห็นยังท้อเลย
ถ้าผมไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทนทำตัวอย่างให้ดูนี่ผมท้อและเลิกไปนานแล้ว ไม่มาพิมพ์หรอกบทความเนี่ย เงินก็ไม่ได้ (555) แถมบางทีโดนด่าอีก แต่ก็มีคนยินดีอยู่ ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่คิดว่าไม่มากเท่าไหร่ เดา ๆ ว่าได้ผลในขั้นทำให้คนตระหนักเฉย ๆ ไม่ได้มีผลลึกซึ้งมาก
แถมน้องที่เขามาศรัทธาเราก็ยังตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มอีก เอาเข้าไป ชีวิตนักปฏิบัติธรรมมีแต่ความผิดหวัง สูญเสีย ไม่ประสบผลสำเร็จ แถมมีหนอนกินเนื้อในอีก มันน่าจะหมดหวังแล้วเอาตัวไปแปะในสังคมดี ๆ สักแห่งแล้วขัดส้วมล้างจานไปวัน ๆ ซะจริง ๆ
ที่ผมยังอึด ยังอดทนอยู่นี่เพราะมีที่พึ่งที่ดี มีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นที่พึ่ง มีครูบาอาจารย์ที่อึดแสนอึด ทนแสนทนเป็นตัวอย่าง ให้ผมรู้ว่าผมยังแกร่งได้กว่านี้ ยังทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ แค่เราอดทนทำไป อย่างผู้แพ้นี่แหละ ในทางโลกเนี่ยเรียกว่าแพ้ได้เลย เพราะอยู่ก็ไม่ใช่ประโยชน์ใหญ่นัก และถ้าตายไปก็หายหมด ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างสังคมไว้แน่นแล้ว
แต่จริง ๆ ผมก็ชนะนะ เพราะเราเองก็มีภูมิแค่นี้แหละ แค่พิมพ์บทความได้ก็พอหากินได้แล้ว มันก็ดีได้เท่าที่มีความสามารถนี่แหละ คือเก่งสุดคือทำดีได้แค่ขั้นนี้แหละ ที่ว่าแพ้มันก็เพราะเราอยากให้เกิดดีมากเกินไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามองดี ๆ แค่เราอดทน อึด พากเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการชนะโดยลำดับ คือชนะใจตัวเองไปเรื่อย ๆ แกร่งไปเรื่อย ๆ สิ่งนี้แหละที่สำคัญกว่า
โลกจะเป็นอย่างไรก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป เราทำได้แค่ทำดี แล้วใจเย็นข้ามชาติเท่านั้นเอง อย่างน้อยดีที่ทำ ก็เป็นดีให้เราอาศัย ให้เราดำรงอยู่ ก็อยู่ไปล้างกิเลสไป ฟังธรรมปฏิบัติตามอาจารย์สอนไปเรื่อย ๆ ประโยชน์ข้างนอกไม่เกิดไม่เป็นไรหรอก ประโยชน์ในเราเกิด ก็พอแล้ว
ถ้าเราพอใจในผล ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนี่ย มันจะจบเลยนะ ความท้อแท้น้อยใจจะไม่มี ถ้าเรายอมรับความจริงตามความเป็นจริง แม้กำไร 1 บาท ก็ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นดีที่ควรยินดีจะรับผลนั้น ๆ แม้เราจะลงทุนไปหลายล้านก็ตามที
กำไร 1 บาท ก็ไปเพิ่มทุนในครั้งต่อไปยังไงล่ะ มันก็ทบไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ ทีละนิดละหน่อย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่ควรเป็นผู้ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย”
ประมาทนั้น หมายถึง การมีจิตดูถูก ชิงชัง รังเกียจในกุศลแม้น้อยนั่นด้วย ดังนั้นเราจึงควรยอมรับดีที่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งนั้นมันจริงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ความฝัน
6 ปีก่อนนั้น
มีเพื่อนเก่าทักมา cap หน้าจอที่คุยกันเมื่อ 6 ปีก่อน สมัยนั้นผมยังใฝ่หาเมียอยู่เลย…
นึกย้อนไปมันก็ไม่น่าเชื่อสำหรับชีวิตที่พลิกมาขนาดนี้ ความกังวลหลาย ๆ อย่างในชีวิตหายไป โดยเฉพาะเรื่องคู่นี่แหละ
วิธีปฏิบัติแบบพุทธนี่มันวิเศษจริง ๆ ไม่มีความรู้ใดในโลกหรอกที่จะทำให้ความอยากมันจางคลายจนหายไปได้จริงแบบนี้
ชีวิตเก่ามันเหมือนฝันนะ ฝันโง่ ๆ เหมือนเราหลงกำขี้ขึ้นมาดมแล้วหลงว่ามันหอมชื่นใจนั่นแหละ
การเป็นคนโสดแบบพุทธนี่มันไม่ได้ง่ายแค่คิดว่าจะเป็นโสด หรือแค่อยู่เป็นโสดได้หรอกนะ มันต้องรบกับกิเลสเรื่องคู่ให้ชนะเสียก่อนมันถึงจะโสดยั่งยืนยาวนานถาวรและเที่ยงแท้ได้
จากสมัยก่อนต้องหาเมีย พอปฏิบัติธรรมเข้มขึ้น ไม่ต้องหาหรอก เขาจะเข้ามาเอง เข้ามาเพื่อปราบเรานั่นแหละ จะมีทั้งดี ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเก่ง อย่างที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะได้เจอกับคนแบบนี้
เรียกว่าใส่พานมาให้เลย แค่เราหยิบมากินเท่านั้นแหละ … แต่ดีนะ ยังรู้ทันว่านั่นมันขี้ ก็เลยไม่เอาไง เกือบไปแล้วเหมือนกัน พอรู้แล้ว ใครเขาจะหลงเอาขี้ใส่ปากเล่า มันก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ
นั่นแหละ 6 ปีก่อนก็โง่แบบนั้นแหละ สมัยยังปฏิบัติธรรมมิจฉา ตามครูบาอาจารย์ที่สอนมั่ว ๆ พูดธรรมแบบโก้ ๆ ดูดี ๆ แต่มันก็ไม่มีมรรคผลไง กิเลสมันก็โตไปเรื่อย ๆ
มาตอนนี้เป็นไง เจออาจารย์หมอเขียว เจอพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ก็เสร็จเลย ชีวิตก็สบายขึ้น ไม่ต้องโง่งมงาย หาเรื่องวุ่น เรื่องเมา เรื่องเน่าเหม็นใส่ตนเอง อย่างน้อย ๆ ก็ได้เรื่องอยู่เป็นโสดนี่แหละนะ นับแค่เรื่องนี้ก็คุ้มแล้ว
บอกเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่ตั้งใจปฏิบัติตนเพื่อความเป็นโสดอย่างยั่งยืน ผมใช้เวลาทั้งหมด 2 ปี ในการชำระกิเลสเรื่องอยากมีคู่ ดังนั้นอย่าประมาท อย่าไปคิดว่ามันง่าย เพราะมันยาก มันไม่ใช่ฐานศีล 5 แค่ศีล 5 ทั่วไปเอากิเลสเรื่องนี้ไม่อยู่ครับ