Tag: กาม
รู้ดีรู้ชั่วด้วยศีล

รู้ดีรู้ชั่วด้วยศีล
โลกปัจจุบันนี้ได้ดำเนินผ่านยุคที่พุทธศาสนารุ่งเรืองที่สุดจนกระทั่งมาถึงกึ่งกลางพุทธกาล หลายสิ่งเปลี่ยนผันไปความชั่วกลายเป็นสิ่งดีในสายตาผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ความดีก็ดูเหมือนว่าจะไร้ค่าลงไปทุกที ทุกวันนี้เราสามารถทำสิ่งที่ชั่วได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดบาปอะไรด้วยเหตุผลประมาณว่าใครๆเขาก็ทำกัน จนสิ่งชั่วนั้นกลายเป็นค่านิยม เป็นความเข้าใจ เป็นมาตรฐาน สิ่งเดียวที่สามารถแยกดีแยกชั่วที่แท้จริงได้นั่นก็คือ “ศีล”
ศีลเป็นตัวกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจนว่าสิ่งใดเบียดเบียนสิ่งใดไม่เบียดเบียน ศีลมีตั้งแต่ระดับที่ปฏิบัติไม่ยากจนเกินไปคือศีล ๕ จนกระทั่งถึงศีลระดับสูงอีกมากมาย ซึ่งนั่นหมายถึงหากต้องการขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นก็ต้องศึกษาในศีล
ศีลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นเป็นของที่ประเสริฐที่สุด เป็นสัจจะที่ถูกกล่าวออกมาจากบุรุษที่เก่งที่สุดในโลก เป็นความดีที่คัดสรรค์มาแล้ว เราไม่ควรจะตัดหรือบัญญัติใหม่ หรือกล่าวว่าศีลแต่ละข้อนั้นก็เหมือนๆกัน หรือเห็นว่าศีลเป็นเพียงพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจแก่นสารสาระของศีล ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติศีล ไม่เข้าใจกระบวนการของไตรสิกขา ไม่รู้จักการชำระล้างกิเลส ไม่เข้าถึงแก่นของพุทธ
สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ศีล หิริโอตตัปปะ
สติกับศีลนั้นทำงานต่างกัน สตินั้นไม่ใช่ตัวแยกดีแยกชั่ว แต่เป็นตัวรู้ว่าขณะนั้นเกิดสภาวะใดในจิตใจขึ้น เป็นเพียงตัวรู้เฉยๆ ส่วนศีลคือตัวแยกเลยว่าสิ่งใดคือดี สิ่งใดชั่ว ถ้าอยู่ในศีลคือดี ผิดศีลคือชั่ว ส่วนความรู้สึกผิดกลัวต่อบาปที่เกิดขึ้นเรียกว่าหิริโอตตัปปะ เป็นสภาพของจิตที่เจริญมาจากการศึกษาศีล
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราถือศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ในตอนแรกเราก็อาจจะยังตบยุงอยู่เพราะหิริโอตตัปปะยังไม่เจริญถึงขั้นสกัดขั้นไม่ให้ทำบาปได้ ส่วนสติสัมปชัญญะก็จะเป็นตัวรู้ว่าถูกยุงกัด ยุงกัด เจ็บ เจ็บ โกรธ โกรธ นี่คือระดับสติทั่วไป ถ้าจับได้ก็อาจจะสามารถข่มใจได้บ้าง หรือแม้จะมีสติก็อาจจะตบยุงได้ เพราะสภาวะที่จะมากั้นไม่ให้ลงมือทำบาปจริงๆจะเริ่มที่ขั้นของโอตตัปปะคือละอายต่อบาปจนไม่กล้าทำบาปแล้ว ส่วนหิรินั้นแค่เกรงกลัว ทำให้บางทีก็มีตามใจกิเลสแอบตบบ้าง แต่ตบไปแล้วก็จะรู้สึกผิด และถ้าเป็นสติปัฏฐาน ๔ จะระลึกรู้ไปถึงจิตที่มีกิเลสปน จะรู้ลึกไปถึงเหตุปัจจัยในการเกิดความโกรธ ว่ากิเลสใดที่ทำให้ตัดสินใจจะตบยุง และรู้ไปถึงธรรมที่จะมาขัดกิเลสนั้นๆ
ตัวอย่างที่สอง เราหัดกินมังสวิรัติ แม้จะเห็นคุณในการไม่เบียดเบียนสัตว์ทางอ้อมจนกระทั่งอธิศีลเพิ่มขึ้นมาในขอบเขตของศีลข้อ ๑ นั่นคือเรามีปัญญารู้แล้วว่ากินมังสวิรัติไม่เบียดเบียนอย่างไร กินเนื้อสัตว์เบียดเบียนอย่างไร เรียกว่าแยกดีแยกชั่วได้แล้ว เมื่อปฏิบัติไปต้องกระทบกับเมนูเนื้อสัตว์ สติเป็นเพียงตัวรู้ว่าเกิดอาการอะไรขึ้นในจิต แต่ศีลจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตของดีและชั่ว ถ้าดีคืออดทนถือศีลต่อไป ถ้าชั่วก็ข้ามกำแพงศีลธรรมไปกินตามกิเลส
ตัวอย่างที่สาม ถ้าเราไม่ถือศีลกินมื้อเดียว ก็เรียกได้ว่ายังไม่ได้เริ่มแยกดีแยกชั่ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกินหลายมื้อนั้นมีโทษภัยอย่างไร เข้าใจว่ามาตรฐานต้องสามมื้อ อันนี้เกิดจากไม่มีปัญญาศึกษาในสาระของศีล พอไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่วก็ไม่ถือศีล เพราะฉะนั้นถืงจะมีสติแค่ไหนแต่ถ้ายังแยกดีแยกชั่วไม่ได้ ก็ยังกินสามมื้อเหมือนปกติ แม้จะกินไปอย่างมีสติรู้ตัวอย่างเต็มที่เคี้ยวข้าวทีละคำอย่างช้าๆ ค่อยๆ กลืน แต่ก็ไม่มีปัญญารู้ว่ากินสามมื้อชั่วอย่างไร กินมื้อเดียวดีอย่างไร
เมื่อเราศึกษาไปจะพบว่าสภาวธรรมแต่ละอย่างนั้นมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน แต่ทำคนละหน้าที่กัน เราจึงควรศึกษาให้เห็นสภาวะเหล่านั้นในตน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะต้องงงกับสมมุติโลกที่หลากหลาย เช่นคำว่า “สติ” คำเดียว เขาครอบคลุมทุกอย่างเลยก็มี หรือแม้แต่เข้าใจว่าถ้ารู้ธรรม จำธรรมได้ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ความเห็นเหล่านั้นเกิดจากการไม่ศึกษาธรรมให้ถ่องแท้ ไม่เข้าใจไตรสิกขา ไม่รู้ความสัมพันธ์ของศีล สมาธิ ปัญญา ไม่คบบัณฑิต ไม่มีกัลยาณมิตร
รู้ดีรู้ชั่วด้วยศีลกับลูกหมูสามตัว
ในบทความนี้ก็จะยกตัวอย่างประกอบภาพไว้สามตัวอย่าง ซึ่งก็แนะนำให้ดูภาพประกอบบทความและค่อยๆทำความเข้าใจไปควบคู่กัน ในตัวอย่างแรกคือหมูดำ ที่ใช้ชีวิตไปสบายๆ ไม่ยินดีถือศีล ตัวอย่างที่สองคือหมูขาว ที่ถือศีลเพื่อความดีงาม ป้องกันความชั่ว และตัวอย่างสุดท้ายคือหมูชมพูที่ศึกษาศีลเพื่อที่จะชำระกิเลสไปโดยลำดับ
คนไม่มีศีล(หมูดำ)
คนที่ไม่มีศีล ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนลำบากใจอะไร ไม่ต้องมีอะไรขัดใจเมื่อตนเองอยากได้อยากเสพสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่น เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ คือแม้จะจมอยู่ในกองกิเลสแต่ก็ไม่รู้ตัวว่าอยู่ในกองกิเลส จึงใช้ชีวิตโดยประมาท โดยไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว
ศีลเป็นเครื่องวัดกิเลสที่ดีมาก เมื่อเราถือศีลก็จะสามารถเห็นพลังของกิเลสที่จะทำลายศีลนั้นๆ ด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือต่างๆนาๆ แม้กระทั่งเหตุผลที่ทำลายคุณค่าของศีลก็อาจถูกสร้างขึ้นมาจากกิเลสได้เช่นกัน
เมื่อศีลคือเครื่องทรมานสำหรับคนกิเลสหนา เขาเหล่านั้นจึงไม่ถือศีล ไม่ศรัทธาศีล ไม่ยินดีศึกษาในศีล เพราะความขยาดทุกข์ที่จะต้องเจอเมื่อถือศีล ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะถือศีลได้ เพราะกิเลสนั้นจะเป็นมารที่มาคอยขัดขวาง ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างถูกตรงมักจะไม่มีวิธีการจัดการกับกิเลส สุดท้ายก็ทิ้งศีลและยึดกิเลสไว้แทน การไม่ถือศีลจึงเป็นเรื่องง่ายกว่าสำหรับพวกเขา
และเมื่อไม่มีศีล ก็ไม่มีอะไรเข้ามาแยกดีแยกชั่ว จึงมักจะใช้ตรรกะของตนเข้ามาเป็นตัวกำหนดว่าอะไรดีอะไรชั่ว ไม่ได้ใช้หลักการของพระพุทธเจ้า แต่เปลี่ยนมาใช้หลักกู เมื่อไม่เห็นตามพระพุทธเจ้าก็คือคนที่มีความเห็นผิด เมื่อเขามีความเห็นความเข้าใจที่ผิด ก็จะคิดผิดตามไปด้วย ดังนั้นหลักการตัดสินดีชั่วก็จะผิดแปลกตามไปด้วยเช่นกัน
คนถือศีล (หมูขาว)
คนที่ถือศีล คือคนที่มีศรัทธาและปัญญาเห็นคุณค่าของศีล แต่ก็มักจะถือศีลอย่างงมงาย เข้าใจว่าศีลนั้นเป็นเพียงแค่กฎ เป็นข้อบังคับไม่ให้ทำชั่ว โดยมีการปฏิบัติศีลในลักษณะของการกดข่มความชั่ว ใช้ศีลเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ทำชั่ว ให้อยู่ในกรอบของความดีงาม
ซึ่งคนเหล่านี้ก็ถือว่าเจริญแล้ว เพราะพยายามละเว้นสิ่งที่จะเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพราะแยกดีแยกชั่วได้บ้างแล้ว สิ่งใดชั่วก็ควรจะละเว้น สิ่งใดที่ดีก็ควรจะทำ แต่ก็ยังมีความลำบากในการถือศีล เพราะต้องคอยกดข่มความอยาก อดทนข่มใจเพื่อไม่ให้ผิดศีล จึงมีข้อจำกัดในการถือศีล เพราะถือศีลแต่ไม่ได้ชำระกิเลส เพียงแค่ใช้ศีลเป็นกรอบแห่งความดีงามและป้องกันสิ่งชั่วเท่านั้น
คนที่ถือศีลจะสามารถรู้ได้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่วและรู้ว่ายังมีศีลที่ละเว้นสิ่งที่ชั่วอีกมาก ซึ่งเขาอาจจะทำได้หรือไม่ได้ก็ได้ แต่ก็สามารถเห็นขอบเขตพรมแดนที่แบ่งแยกดีชั่วได้แล้ว
สรุปสองหมู คือทางโต่งสองด้าน
ทั้งหมูดำและหมูขาว คือแนวทางที่มีโอกาสจะลำเส้นเข้าไปในทางโต่งได้ง่าย หมูดำผู้ที่ไม่ยินดีในการถือศีลก็มักจะ โต่งไปทางกาม ไปติดสุขจากการเสพ เพราะไม่มีศีลมาเป็นตัวคอยขัดขวาง จึงสามารถทำชั่วได้โดยไม่มีขอบเขต ชั่วก็ไม่รู้ว่าชั่ว มักจะจมไปกับกามและห่างไกลจากทางสายกลางไปเรื่อยๆ
หมูขาวคือผู้ยินดีในการถือศีล แม้ว่าตนเองจะไม่ไปทำชั่วแล้ว แต่ก็มักจะมีทิศทางที่โต่งไปในด้านของอัตตา ไปในแนวทางการถือศีลอย่างยึดมั่นถือมั่น ถือศีลอย่างตึงเครียด กดดัน บีบคั้น จนสร้างความทุกข์ทรมานให้กับตนเอง ก็เป็นทางโต่งอีกด้านหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะอยู่บนพื้นฐานของความดี แต่ก็ยังเป็นความดีที่สร้างทุกข์ให้ตนเองอยู่ ซึ่งการทำทุกข์ให้ตนเองก็คือชั่ว ชั่วก็คือกิเลส และนั่นก็คือทางโต่งอีกด้าน
คนศึกษาศีล (หมูชมพู)
คนที่ศึกษาและปฏิบัติศีลอย่างถูกตรง จะรู้วิธีถือศีลให้เกิดความเจริญ ไม่โต่งไปทั้งด้านกามและอัตตา คือไม่ทิ้งศีลเพื่อไปเสพอย่างมัวเมา และไม่ยึดมั่นถือมั่นในศีลจนทุกข์ทรมาน
ผู้ที่ศึกษาศีลจะใช้ศีลเป็นตัวกำหนดกรอบในการชำระกิเลส ใช้ศีลเป็นเขตในการปฏิบัติธรรม ด้วยพื้นฐานของปัญญาที่เห็นคุณค่าของศีลนั้นๆ หรือเรียกว่าเป็นไปตามอินทรีย์พละ เมื่อถือศีลแล้วก็จะค่อยๆชำระกิเลสไปด้วยสติปัญญาที่ตนมี ใช้กำลังจิตในการข่มอาการของกิเลสที่จะกำเริบ ใช้สติในการรู้ตัวตนของกิเลสเพื่อที่จะทำลาย และใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาโทษภัยของกิเลสนั้นๆ จนทำลายกิเลสไปได้โดยลำดับ
เมื่อถือศีลจนชำระกิเลสในขอบเขตหนึ่งได้ ก็จะขยายเพิ่มศีลในส่วนอื่นๆต่อไป ในส่วนเดิมก็ไม่ต้องทำแล้วเพราะกิเลสหมดแล้ว ก็ขยับไปทำอธิศีลหรือสร้างขอบเขตในการปฏิบัติธรรมขึ้นมาใหม่ เช่นตอนนี้ถือศีล ๕ ได้โดยไม่ลำบากใจแล้วนะ ก็ขยับฐานศีลขึ้นไปจากฐานเดิม เช่นมังสวิรัติ คือนอกจากไม่ฆ่าเองแล้วยังไม่สนับสนุนให้ใครฆ่าอีกด้วย ไม่เบียดเบียนทั้งทางตรงทางอ้อม พอขยับฐานก็ต้องตั้งมั่นในศีล ศึกษาศีลไปพร้อมๆกับ สร้างอธิจิตและอธิปัญญา ไตรสิกขาจึงเป็นการศึกษาที่ไปด้วยกันเป็นกระบวน ไม่แยกปฏิบัติ เมื่อแยกปฏิบัติจึงไม่เรียกว่าไตรสิกขา เมื่อไม่ใช้ไตรสิกขาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้ศึกษาเพื่อการพ้นทุกข์ แล้วจะเอาผลสำเร็จมาจากไหน
ดังนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมควรเริ่มต้นจากศีล โดยเรียนรู้กระบวนการปฏิบัติของไตรสิกขา เพื่อความเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถือศีลอย่างงมงาย แต่เป็นผู้ถือศีลเพื่อชำระกิเลส
– – – – – – – – – – – – – – –
2.7.2558
การออกจากกิเลส : กาม อัตตา อุเบกขา

สรุปขั้นตอนปฏิบัติธรรมแบบรวบรัด การออกจากกิเลส : กาม อัตตา อุเบกขา
สรุปหลักปฏิบัติที่เป็นขั้นตอนที่สั้นและรวบรัดนั่นคือการทำลายกามด้วยอัตตา และทำลายอัตตาด้วยอุเบกขาตามลำดับ ด้วยหลักใหญ่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำลายกิเลสในเรื่องนั้นๆได้สิ้นเกลี้ยง
ในตอนแรกเราก็มักจะติดกามกันอยู่ คือการที่ยังไปเสพสุขลวงที่เกิดจากกิเลสยังเป็นความชั่วและเป็นบาปที่หยาบอยู่ และการจะออกจากสุขลวงเหล่านั้นจะต้องใช้อัตตาคือความยึดดีเข้ามาช่วยทำลายกาม เรียกว่าต้องเป็นคนดีก่อนแล้วจึงจะไม่ไปเสพสิ่งที่ชั่ว ต้องติดดีขนาดที่ว่าเว้นขาดจากการเสพกามทั้งทางกาย วาจา ใจ คือใช้อัตตาทำลายกามให้สิ้นเกลี้ยงไปก่อนเลย
ทีนี้พอออกจากกามได้ก็จะเหลืออัตตาไว้ กลายเป็นคนติดดี ยึดดี ถือดี คือชั่วไม่ทำแล้ว ทำแต่ดี แต่ก็ยังมีความยึดดีที่เคยใช้ออกจากชั่วนั้นเป็นสิ่งที่สร้างทุกข์ที่ทรมานตนและทำร้ายผู้อื่นอยู่ ดังนั้นเมื่อออกจากกามได้เด็ดขาดแล้ว จึงต้องใช้อุเบกขา หรือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ปล่อยวางตัวตนเสียก็จะสามารถทำลายอัตตาได้
เมื่อไม่มีทั้งกามและอัตตา ก็จะถือว่าจบกิจในเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องๆไป เรื่องไหนทำได้ถึงที่สุดก็คือจบ เช่นกินมังสวิรัติ กินจืด กินมื้อเดียวได้โดยไม่มีกามและอัตตาก็ถือว่าจบในเรื่องนั้นๆไป
นรกของกาม
กามนั้นเป็นสิ่งที่มีภัยมาก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละกามเสียก่อน จนกระทั่งให้เว้นขาดจากกามไปเลย กามนั้นส่งผลทั้งกาย วาจา ใจ แม้ว่าเราจะหักห้ามร่างกายไม่ให้ไปเสพกามได้แล้ว แต่ถ้าความรู้สึกลึกๆมันยังสุขอยู่ ใจมันยังอยากเสพอยู่ ก็เรียกได้ว่ายังไม่พ้นจากพลังของกาม ซึ่งกามในระดับของใจนั้นฝังลึกติดแน่น สามารถวัดได้คร่าวๆ จากความรู้สึกยินดี เราเมื่อได้เสพหรือเห็นผู้อื่นเสพกามนั้นๆแล้วเกิดอาการอยากบ้าง เป็นสุขบ้าง อยากเสพอีกบ้าง
ความยากของอัตตา
กามนั้นเป็นเรื่องหยาบที่ยังเป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่นที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ จึงสามารถกำจัดได้ไม่ยากนัก แต่อัตตานั้นเป็นเรื่องยาก เห็นได้ยาก ล้างได้ยาก การจะล้างอัตตาโดยไม่ศึกษาธรรมะนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะติดอัตตาอยู่ก็อาจจะจับอาการของตัวเองไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันมีความลึก ความละเอียด ความซับซ้อนอยู่มาก นี้เองคือความยากของอัตตา
ความหลงผิดในอนัตตา
การลัดขั้นตอนไม่เป็นไปตามลำดับนั้น จะทำให้เกิดความหลงผิด และจมหนักยิ่งกว่าเดิม เช่นเรายังติดกามอยู่ แต่เราก็ดันไปพิจารณาอุเบกขา เจอของอร่อยก็พิจารณา “ไม่ใช่ตัวเราของเรา, อย่าไปยึดมั่นถือมั่น, อย่ามีตัวตน,ฯลฯ” ว่าแล้วก็ไปกินของอร่อยอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็ไปเสพกามอยู่นั่นเอง เป็นสภาพอนัตตาหลอกๆที่จิตปรุงขึ้นมาเพื่อให้ได้เสพกามเท่านั้น กลายเป็นทิฏฐิเช่นว่า เสพสุขจากกามอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น …ซึ่งมันก็เหมือนคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย แถมยังมีกรรมอันเป็นมิจฉาทิฏฐิสะสมไว้เป็นทุนให้ต้องใช้วิบากในภายภาคหน้าอีก
อุเบกขาธรรมะ
การหลงผิดแบบแย่สุดแย่เข้าไปอีกคือการไม่ได้คิดจะปฏิบัติอะไรเลย กามก็ไม่ล้าง อัตตาก็ไม่ล้าง แต่ใช้การอุเบกขาให้ดูเหมือนเป็นผู้มีอนัตตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง คือมองไปว่าการปฏิบัติธรรมก็มีตัวตน จึงทำตนให้ไม่ต้องมีตัวตนตั้งแต่แรก อุเบกขาการปฏิบัติธรรมทั้งหมดไปเลย ใช้ชีวิตไปตามปกติอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น(แบบคิดไปเอง) ทีนี้พอปล่อยวางธรรมะ ทั้งที่ยังมีกิเลสหนา มันก็ไปนรกอย่างเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆแล้วอุเบกขามันมีเอาไว้จบในตอนท้าย เป็นตัวจบของกิเลส ไม่ใช่ตัวเริ่ม ใครเอาอุเบกขามาทำตั้งแต่เริ่มจะไม่ได้ทำอะไรเลย กลายเป็นอนัตตาแบบคิดไปเอง เรียกว่าเป็นปัญญาแบบเฉโก คือมีความฉลาดที่พาไปในทางฉิบหาย
– – – – – – – – – – – – – – –
30.4.2558
กินมังสวิรัติด้วยเมตตาหรืออัตตา

กินมังสวิรัติด้วยเมตตาหรืออัตตา
การปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนนั้นมีหลากหลายวิธี มีความยากง่ายรายละเอียดซับซ้อนแตกต่างกันไป แม้ว่าสุดท้ายแล้วผลทางรูปธรรมที่เห็นได้คือเราสามารถกินมังสวิรัติได้เหมือนกันทุกคน แต่ผลทางนามธรรมนั้นกลับแตกต่างไปตามวิธีที่แต่ละคนยึดถือและปฏิบัติมา
ก).เมตตามังสวิรัติ
หลายคนมักจะเริ่มกินมังสวิรัติด้วยความเมตตา ความสงสาร เห็นว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นคือการเบียดเบียนทางอ้อมที่ได้รับบาปอย่างตรงไปตรงมา ก็จะเริ่มมีจิตใจที่ยอมสละอาหารจานเนื้อสัตว์ที่เคยโปรดปราน เพื่อละเว้นการเบียดเบียนสัตว์เหล่านั้น การไม่เบียดเบียนทางอ้อมก็ทำให้ผลดีเกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นทั้งด้านสุขภาพและจิตใจ
แต่ความเมตตานั้นไม่ใช่จุดจบสมบูรณ์ เมื่อเรามีจิตใจเมตตาแล้ว มีกรุณาคือการลด ละ เลิกเนื้อสัตว์ได้จริงแล้ว แต่ก็มักจะมาติดตรงมุทิตา เมื่อเราเห็นว่าคนอื่นสามารถกินมังสวิรัติกินเจ เห็นดีเห็นงานในการลดเนื้อสัตว์หันมากินผักกับเรา เราก็มักจะมีมุทิตาจิตหรือมีความรู้สึกยินดีตามเขาไปด้วย
แต่เมื่อเราพบว่าหลายคนยังยินดีกินเนื้อสัตว์ แถมยังหาเหตุผลมาย้อนแย้งคนที่กินมังสวิรัติ กล่าวเพ่งโทษ ให้ร้ายมังสวิรัติหรือสิ่งที่ตนยึดถือ แน่นอนว่านอกจากเราจะไม่สามารถมีจิตมุทิตาได้แล้ว เรายังอุเบกขาไม่ได้อีกด้วย
หลายคนมักจะเจอกับปัญหาความไม่ปล่อยวางความยึดดี เมื่อสามารถลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติ กินเจได้อย่างสมบูรณ์แล้วก็มักจะยึดดีถือดี จนกระทั่งไม่สามารถปล่อยวางความดีเหล่านั้น เมื่อมีใครมาพูดกระแทกกระทบกระทั่งก็มักจะมีจิตใจที่ขุ่นเขือง ถ้าคุมไม่อยู่ก็ด่ากลับหรือออกอาการไม่พอใจต่างๆได้
เกิดเป็นสภาพพร่องๆของพรหมวิหาร ๔ เป็นคนที่มีเมตตาแต่ไม่มีอุเบกขา เริ่มเป็นแต่จบไม่เป็น จึงต้องเกิดสภาพทุกข์ใจอยู่เรื่อยไปเพราะวางความยึดดีเหล่านั้นไม่ลง
พรหมวิหาร หรือที่ตั้งแห่งความเป็นพรหมที่ครบองค์ประกอบนั้นต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาสอดร้อยอยู่ด้วยกันเสมอ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนเมตตาที่ทุกข์ เป็นคนดีที่มีแต่ทุกข์ ทำความดีแต่ไม่มีคนเห็นคุณค่าก็ทุกข์ เพราะไม่มีอุเบกขาเป็นตัวจบนั่นเอง
แต่การถึงอุเบกขาไม่ได้ง่ายเพียงแค่ปากท่องว่าปล่อยวางหรือใช้กำลังของจิตในการกดข่มสภาพทุกข์ อุเบกขานั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย แม้สิ่งที่เราทำจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรายึดดีไว้เป็นตัวตนของเราก็จะเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ผู้ที่สามารถปฏิบัติจนครบองค์ของพรหมได้นั้นจะเป็นมังสวิรัติที่มีเมตตาอย่างไม่มีขอบเขต กระจายความห่วงใยไปทั่วทั้งสัตว์ผู้มีกรรมและคนที่ยังมีกิเลส ไม่รู้สึกโกรธเกลียดขุ่นใจในเรื่องใดเลย แม้ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วยกับการกินมังสวิรัติ แม้จะโดนต่อว่าหรือหักหน้าก็ยังสามารถคงสภาพจิตใจที่ผ่องใสอยู่ได้
ข). อัตตามังสวิรัติ
แม้ว่าเราจะเริ่มต้นการกินมังสวิรัติด้วยเมตตาจิต แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความเราจะหนีพ้นอัตตา ดังนั้นอัตตาก็เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในวิถีปฏิบัติสู่การกินมังสวิรัติอย่างยั่งยืนเช่นกัน
ในรูปแบบหยาบๆของอัตตานั้นคือการเปลี่ยนขั้วของการยึด ในตอนแรกนั้นหลายคนยึดเนื้อสัตว์เป็นอาหารในการดำรงชีวิต แต่พอคิดจะมากินมังสวิรัติหลายคนก็เปลี่ยนเอาผักและธัญพืชเป็นอาหารในการดำรงชีวิต เป็นเพียงการเปลี่ยนขั้วของการยึด
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มักจะเห็นได้ง่ายที่สุดและมีให้เห็นได้บ่อยครั้ง เช่น คนที่ตัดสินใจเปลี่ยนมาลดเนื้อกินผัก กินมังสวิรัติทันทีนั่นเอง จะเป็นสภาพที่สลับขั้วอย่างรุนแรง เปลี่ยนอัตตาจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้วหนึ่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่ายังวนอยู่ในอัตตาซึ่งเป็นการยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นเอง
การสลับข้างของอัตตานั้นเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับหลายครั้งในชีวิตที่เราเคยชอบอะไรแล้ววันหนึ่งกลับไม่ชอบ หรือเคยไม่ชอบอะไรวันหนึ่งกลับมาชอบ มันก็กลับไปกลับมาแบบนี้ เรื่องการกินเนื้อสัตว์และมังสวิรัติก็เช่นกัน ถ้าเราใช้ความยึดมั่นถือมั่นเป็นหลักในการปฏิบัติเราก็จะสลับไปสลับมาแบบนี้ อาจจะชาตินี้หรือชาติหน้าก็ได้ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร?
นั่นก็เพราะว่าการเปลี่ยนจากการยึดเนื้อสัตว์มายึดมังสวิรัตินั้นเป็นการเปลี่ยนแค่ความเห็น แต่กิเลสมันไม่ได้เปลี่ยนตามมาด้วย เราจะยังคงมีความสุข ความอร่อยจากการกินเนื้อสัตว์อยู่เหมือนเดิม สังเกตได้จากการทำวัตถุดิบเทียมเนื้อสัตว์ขึ้นมา บางชนิดทำได้เหมือนเนื้อสัตว์จริงๆ ทั้งรสชาติและสัมผัส
แล้วทำไมแล้วยังต้องกินสิ่งเทียมเนื้อสัตว์ในเมื่อเราไมได้อยากกินเนื้อสัตว์แล้ว ทำไมเราไม่เปลี่ยนเมนูไปกินผัก กินเห็ด กินเต้าหู้หรือสิ่งที่มีกระบวนการสังเคราะห์ที่น้อยลง หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ไม่เป็นภัยมาก นั่นเพราะเรายังติดกิเลสในลักษณะที่เรียกว่ากามคุณอยู่นั่นเอง
เรายังหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของเนื้อสัตว์อยู่ ซึ่งในกรณีนี้เราไม่ได้ทำลายความหลงเหล่านี้ เพียงแค่ใช้อัตตาเข้ามาข่มความชั่วไว้ ยึดดีไว้ เมตตาเข้าไว้ เป็นคนดีละเว้นการเบียดเบียนเข้าไว้
แต่กิเลสมันไม่ได้ปล่อยให้เราทำดีอยู่แบบนั้น เมื่อกิเลสยังมีเชื้ออยู่ ความอยากเสพรสต่างๆของเราจะโตขึ้นเรื่อยๆ ใครที่มีแนวโน้มในการหาอาหารอร่อย หรือสิ่งเทียมเนื้อสัตว์ หรือแสวงหารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ใกล้เคียงเนื้อสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ เตรียมใจไว้ได้เลยว่าวันใดวันหนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่งจะต้องหลุดจากวิถีของการกินมังสวิรัติ เวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เหมือนเดิม
คนที่มีทิศทางที่จะเจริญไปได้อย่างยั่งยืนนั้น คือคนที่มีแนวโน้มที่จะลดการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นลดความจัดของรสชาติ ลดการประดับตกแต่งที่สวยงาม ลดการใช้สิ่งเทียมเนื้อสัตว์ หรือลดความต้องการในการกินอาหารที่น้อยชนิดลงเช่น เลิกกินของทอด เลิกกินขนมหวาน การลดชนิดอาหารหรือลดความหลากหลายของความอยากนี้เอง จะเป็นสิ่งที่ประกันไม่ให้กิเลสของเราพาเราไปแสวงหาเมนูแปลกๆ เมนูเด็ดๆ ซึ่งเป็นการสะสมกิเลสที่จะทำให้เกิดความเสื่อมในศีลธรรมต่อไป
ดังจะเห็นได้ว่าการใช้ความยึดดีหรือใช้อัตตาเข้ามายึดว่า “ฉันจะเปลี่ยนมากินมังสวิรัติ ,ฉันจะไม่เบียดเบียนอีก” ไม่ใช่สิ่งยืนยันว่าจะสามารถกินมังสวิรัติได้อย่างยั่งยืน เพราะหากวันใดวันหนึ่งที่ความอยากนั้นเกินปริมาณที่ความยึดดีจะทนไหว ก็อาจจะตบะแตกกลับไปกินเนื้อสัตว์และหลงว่าเป็นทางสายกลางจนไม่กลับมากินมังสวิรัติอีกเลยก็เป็นได้
…ไม่ว่าจะกินมังสวิรัติด้วยวิธีไหน ก็หนีเรื่องกิเลสไม่พ้น ไม่ติดกามก็ต้องมาติดอัตตา ติดไปติดมาวนเวียนกันไปมา ชาติหนึ่งกินเนื้อ อีกชาติกินมังสวิรัติ สลับไปมาแบบนี้เพราะเป็นชีวิตที่ถูกผลักดันด้วยกิเลส ไม่ว่าจะหลงยึดไปในด้านใด การหลงเหล่านั้นก็คือกิเลส เมื่อเราหลงไปในสิ่งใดเราก็มักจะลำเอียงให้คุณค่าแก่สิ่งนั้นอย่างมัวเมา ลองสังเกตดูว่าเรารู้สึกรักหรือชอบใจคนกินเนื้อกับคนที่กินผักเท่ากันหรือไม่
– – – – – – – – – – – – – – –
7.1.2558
อยากมีลูก?

อยากมีลูก?
…ความอยากนี้เกิดมาจากไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันก็เป็นเรื่องล้ำลึกที่ยากจะระบุให้แน่ชัดว่าคืออะไร เราสามารถเห็นได้เพียงปลายหางของกิเลสคือความอยากได้อยากมีอยากเป็น แต่นั่นก็เพียงแค่ปลายเหตุ ต้นเหตุของกิเลสอยู่ตรงไหน ตัวตนของกิเลสอยู่ที่ใด ในบทความนี้เราจะมาไขกิเลสของความอยากมีลูกกัน
เรื่องกิเลสนี่ถ้าแบ่งออกกว้างๆสองทางเป็นทางโต่งสองด้าน ด้านหนึ่งคือกาม อีกด้านหนึ่งคืออัตตา ก็น่าจะพอให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่ากิเลสของเราอยู่ฝั่งไหน อาจจะหนักไปทางฝั่งหนึ่งหรืออาจจะกระจายทั้งสองฝั่ง แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถรู้แจ้งเรื่องกิเลสได้ตั้งแต่ตอนแรก มันจะซับซ้อน ลับลวงพรางแค่ไหนก็ต้องใช้ปัญญาถอดรหัสกิเลสกันเอาเอง
1). กาม
กามในศาสนาพุทธจริงๆ ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องสมสู่หรือเรื่องลามกตามที่คนส่วนใหญ่เอาไปใช้กันผิดๆ ให้ความหมายแค่ในเชิงหยาบแต่ละทิ้งความหมายในนัยละเอียดไป แต่หมายถึงสภาวะที่เข้าไปเสพ การหลงไปเสพทั้งหมดไม่ว่าจะในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือที่เรียกว่ากามคุณ ๕ ซึ่งเป็นทางโต่งที่พาชั่วและเป็นทุกข์
กามในความอยากมีลูกนั้นเกิดขึ้นเพราะเราหลงว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านั้นเป็นของดี เป็นของน่าหลงใหล น่าได้น่ามี เราจึงมีความรู้สึกว่าอยากมีลูกกับเขาบ้าง
เพราะในสังคมปัจจุบันเป็นยุคที่มีการแบ่งปันเรื่องราวและรูปภาพมากมาย เรามักจะเห็นพี่น้อง มิตรสหายมักจะลงรูปภาพลูกตัวเล็กน่ารัก ยิ้มหวาน หัวเราะร่า กิจกรรมที่น่าสนุกทั้งหลายที่มีกับลูก ทีนี้พอเราเห็นเข้ามากๆ เห็นบ่อยเข้าก็เริ่มอยากลองลิ้มชิมรสสุขอย่างเขาบ้าง เห็นเขาแสดงท่าทีว่าสุขแล้วมันก็อยากรู้ว่ามันจะสุขขนาดไหน ว่าแล้วก็วางแผนหาคู่มีลูกมีเต้าเสียเลยดีกว่า ไม่ลองไม่รู้…
ถ้าเราเข้าไปถามคนที่ยังติดกามในลูก ยังเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสในเด็กคนนั้นแล้วยังสุขอยู่ เขาก็จะบอกเราว่ามีแต่ความสุข แม้จะลำบากแต่ก็ยังสุข เขาจะเห็นว่าสุขลวงนั้นมากกว่าทุกข์ เพราะมันหลงติดสุขอยู่ พอเราไปคุยหรือได้รับข้อมูลจากคนมีกามกิเลสมากๆ เราก็จะรับกิเลสเหล่านั้นมาพอกกิเลสตัวเองจนหลงตามไปว่าการมีลูกนั้นสุขแบบนั้นแบบนี้ตามเขา
หากเราพิจารณาดีๆแล้ว กามคุณ ๕ นั้นแม้จะมีฝั่งของความงามเป็นตัวล่อ แต่สิ่งที่จะได้รับจริงๆแล้วเราจะได้รับกามที่เราไม่อยากได้ด้วย เช่นรูปไม่งาม เด็กหน้าตาไม่ดี หรืออาจจะพิกลพิการ ภาพเด็กร้องไห้ งอแง อึเด็ก ฉี่เด็ก กลิ่นไม่งามเช่นกลิ่นเหม็นจากของเสียของเด็ก เสียงไม่งาม เช่นเสียงร้องงอแงของเด็ก เสียงที่ดังจนแสบแก้วหู และสัมผัสที่ไม่งามเช่นต้องมาคอยเช็ดอึเด็ก เช็ดฉี่ เช็ดอ้วก เช็ดน้ำลาย ฯลฯ
ความไม่งามเหล่านี้มักจะไม่มีคนนำมาเผยแพร่ ไม่มีคนถ่ายรูปตัวเองเช็ดอึเด็กมาให้เห็น ไม่มีใครอยากอัดเสียงตอนลูกงอแงมาเผยแพร่ เพราะเขามักจะไม่ยินดีในความไม่งาม จนกระทั่งไม่ยอมรับการมีอยู่ของความไม่งามเหล่านั้น ถึงจะมีคนถามก็พูดไปเพียงแต่ว่ามีลูกแล้วดี น่ารัก มีความสุข ยิ่งโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง มีพี่เลี้ยงนี่จะยิ่งหลงเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ได้รับทุกข์มาให้ได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างเต็มที่
หากเราเข้าใจว่าความน่ารักของเด็กนั้นมันไม่เที่ยง มันก็น่ารักได้ไม่นานแล้วมันก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ดื้อๆแบบเรานี่แหละ เราก็จะเริ่มคลายจากกาม และด้วยการพิจารณาความไม่งามทั้งหลายจะทำให้เราลดความหลงใหลในตัวเด็กคนนั้นหรือเด็กที่เราปั้นจินตนาการไว้ว่าจะเป็นลูกของเราในอนาคตได้มากขึ้น
2.) อัตตา
ในมุมของอัตตานั้นจะล้ำลึกซับซ้อนกว่าในมุมของกาม เพราะมีหลายเหตุปัจจัยที่ส่งผลเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่จะเอาเหตุการณ์และอารมณ์ต่างๆมาเสพ ให้สมใจในความเป็นตัวตน สนองความเป็นตัวกู ของกู!!
2.1) ยึดมั่นถือมั่น…บางครั้งคนเราก็ยึดมั่นถือมั่นโดยที่ไม่มีเหตุผล เช่นฉันต้องมีลูก ฉันอยากมีลูก เป็นความรู้สึกอยากล้วนๆที่แสดงออกมา แน่นอนว่าในความอยากนั้นมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะไม่สามารถรู้ได้เลยด้วยซ้ำเพราะกิเลสนั้นซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก หลบซ่อนอยู่ลึกสุดลึกในใจ
เกิดเป็นสภาพของความเอาแต่ใจ จะพยายามสร้างเหตุผลมากมายให้การมีลูกนั้นดูมีประโยชน์ขึ้นมาได้ แต่ยิ่งหาเหตุผลก็จะยิ่งยึดมั่นถือมั่นเข้าไปอีก ทำให้เงื่อนปมของความอยากซับซ้อนมากขึ้นไปอีก หลงในอัตตาตัวเองมากเข้าไปอีก
หากเราสามารถลดความยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องมีลูกลง แล้วค่อยๆพิจารณาค้นลงไปถึงสาเหตุว่าสิ่งใดหนอที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นจนเอาแต่ใจขนาดนี้ แน่นอนว่าหลังจากที่คลายความยึดมั่นถือมั่นได้และพิจารณาจนเกิดปัญญารู้ได้ว่าฉันยึดติดในอะไร ในกามอย่างนั้นหรือ ในโลกธรรมอย่างนั้นหรือ หรือเพราะปมด้อยของตัวฉันเอง
2.2) สนองอัตตา … เป็นมุมที่ค่อนข้างหยาบแต่จะไม่เอามากล่าวก็คงไม่ได้ คนที่สร้างลูกขึ้นมาเพื่อตัวเอง เพื่อเสพสมใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองได้เสพสุขในอนาคตเช่น เพื่อให้ลูกสืบต่อกิจการ เพื่อให้ลูกมาดูแลตัวเองตอนแก่ เพื่อให้ลูกมาแก้เหงา ฯลฯ ความอยากเหล่านี้เป็นความอยากที่เห็นแก่ตัวมากเพราะจะเอามาเสพเพื่อตนเองฝ่ายเดียว ทำดีหวังผล ทำตัวเป็นนักลงทุน โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า “ลูก” เป็นเครื่องมือบำเรอความสุขให้ตนสมใจ
2.3) โลกธรรม …คนบางคนก็ไม่ได้ติดตรงที่ว่าอยากมีลูกเพราะเขาน่ารักหรอก แต่ติดตรงที่ว่าถ้าไม่มีเดี๋ยวใครเขาจะว่าไม่มีน้ำยา ไม่ครบองค์ประกอบของครอบครัว ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเรามักจะพูดจาเสริมกิเลสกันและกันเมื่อเจอกับคู่แต่งงานที่ยังไม่มีลูกว่า , เมื่อไหร่จะมีน้อง , ไม่อยากมีหรอ , มีลูกเร็วๆนะ เดี๋ยวจะโตไม่ทันใช้ ,เมื่อไหร่จะมีลูกมาให้พ่อกับแม่ดูล่ะ ฯลฯ สารพัดถ้อยคำที่คอยกระตุ้นโลกธรรมของเราให้สั่นไหว คนที่พ่ายต่อโลกธรรมมักจะหลงไปในคำพูดยุยงของกิเลส หลงเชื่อไปตามโลก มีลูกไปตามโลก เพื่อที่จะเสพสมใจบางอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
2.4) ปมด้อย…คนบางคนมีปมด้อยที่ฝังมาตั้งแต่เด็กๆ เช่นพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ถูกใจ ไม่สมดังใจหมาย ได้รับการดูแลที่รู้สึกว่าไม่เป็นมาตรฐาน เกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ สะสมลงจนตกผลึกกลายเป็นปมด้อย เป็นอัตตาตัวหนึ่ง
มีให้เห็นไม่น้อยกับคนที่สนองตัณหาลูกด้วยปมด้อยของตัวเองเช่น สมัยตนเองเด็กๆไม่ได้ของเล่น พอมีลูกเลยระบายปมด้อยนั้นลงที่ลูก ซื้อของเล่นให้ลูกอย่างเต็มใจเพราะต้องการใช้ลูกเป็นสื่อในการสนองสิ่งที่ขาดในใจของตนเอง
ในมุมของความอยากมีลูกคนที่มีปมด้อยจะรู้สึกในใจอยู่ลึกๆว่าตนเองนั้นน่าจะทำได้ดีกว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงมา คิดว่าจะทำให้ดีกว่าถ้าได้ทำ อยากจะสร้างลูกขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ปมด้อยตัวเองว่าฉันทำได้ นี่ไงฉันเลี้ยงลูกได้ดีกว่า เป็นการใช้ลูกมาเป็นเครื่องสนองปมด้อยตัวเองไปในตัว
2.5) หลงในธรรมชาติ…ความเข้าใจที่ว่าการใช้ชีวิตหรือการปฏิบัติธรรมคือธรรมชาตินี่แหละคือความเห็นที่ทำให้เข้าใจผิดว่าคนเกิดมาแล้วต้องสืบพันธุ์ออกลูกออกหลาน แม้ว่าในสังคมปัจจุบันจะมองดูเหมือนเป็นความสมบูรณ์ของครอบครัว เป็นผลแห่งความสุขในชีวิตคู่ เป็นหน้าที่ของคนในสังคม การจะมีความเข้าใจเช่นนี้ก็คงไม่ผิดไปจากหลักของโลกนัก
แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า สิ่งที่เราเกิดมาแล้วควรละเสียคือการเสพเมถุน ท่านว่าแค่ใช้อาศัยเกิด แต่เกิดมาแล้วไม่ต้องไปทำแบบนั้น แทบไม่ต้องพูดถึงการมีลูกเลย เพราะท่านให้ละการสมสู่แล้วเรื่องลูกนี่ยังไงก็ต้องละเว้นอยู่แล้ว
คนที่หลงติดหลงยึดก็จะมองว่าไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็ถูกของเขา เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ สวนทางกับธรรมชาติ คนอื่นเขายินดีในการมีลูกกัน แต่สาวกของพระพุทธเจ้าต่างไม่ยินดี นี่มันขัดกับธรรมชาติอย่างชัดเจน
ถ้าให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติคนก็ไม่ต้องมีศีลธรรมกันมากนัก ปล่อยไปตามธรรมชาติ เสพกิเลสไปตามธรรมชาติและเสื่อมไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าอยากเป็นธรรมชาติก็ไม่ยาก แค่ปล่อยไปตามสบายไม่ต้องศึกษาธรรมะให้มันหนักหัว ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทำใจยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นเอง ว่าแล้วก็เสพเมถุนสมสู่คู่ครอง มีลูกกันต่อไปตามธรรมชาติ
การมีลูกไม่ใช่คำตอบในชีวิตคู่ ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของคู่ครอง ความรักไม่ได้ทำให้เกิดลูก แต่เป็นความใคร่ เสพเมถุน สมสู่กันจนเกิดลูก ดังที่เห็นได้ทั่วไปในสังคม มีเด็กจำนวนมากเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และเด็กจำนวนมากเกิดขึ้นมาโดยไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก
การที่เรารู้สึกยินดีรักใคร่ในตัวของคู่ครอง เราเข้าใจว่าคู่ครองเป็นคนดี แต่ก็ไม่ได้หมายว่าลูกจะเป็นคนดี คู่ครองเรายังพอจะเลือกเฟ้นได้บ้างจากศีลธรรม แต่ลูกนั้นเลือกไม่ได้ เป็นใครก็ไม่รู้มาเกิด เรากำลังจะเชิญใครก็ไม่รู้เข้ามาในชีวิตคู่ให้มันยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เลือกก็เลือกไม่ได้ แถมยังต้องมาคอยบำรุงบำเรอกิเลสลูกจนกลายเป็นภาระอีก เป็นทุกข์ตามธรรมชาติของคนมีกิเลสจริงๆ
การที่เราจะสวนกระแสธรรมชาตินั้นไม่ได้มีผลให้จำนวนประชากรในโลกลดลงแม้แต่น้อย ในแต่ละวันนี้แค่ในประเทศไทยก็มีคนเกิดวันละ 2000 กว่าคนแล้ว ส่วนคนที่จะมาลดความอยากได้นั้นจะมีสักกี่คน ใครจะยอมเสียสละไม่มีลูก ใครจะมีปัญญาเห็นได้ว่าการมีลูกนั้นเป็นทุกข์
เมื่อสถิติในประเทศนั้นเกิดปีละ 7-8 แปดแสนคนต่อปี นี่แค่ในประเทศนะถ้าทั่วโลกจะเยอะขนาดไหน เพราะการมีลูกนี่มันไม่ได้เกิดด้วยปัญญาแต่มันเกิดด้วยอวิชชา ไม่ต้องมีปัญญาก็มีลูกได้ คนป่าก็มีลูกได้ แล้วยังไงล่ะ เราก็มีอัตตาซ้อนว่าเราจะผลิตลูกที่เก่งและดีขึ้นมาเพราะเราหลงว่าตัวเราเก่ง เราฉลาดขนาดนี้ลูกเราต้องดีแน่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าลูกที่จะมาเกิดนั้นจะเป็นใคร เดรัจฉานกลับชาติมาเกิดหรือเจ้ากรรมนายเวรกลับมาทวงหนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
คนมีปัญญานี่เขาจะไม่เป็นไปตามธรรมชาตินะ เขาจะไม่เห็นด้วย เพราะเขาเห็นอยู่เต็มๆตาว่ามันเป็นทุกข์ มีลูกยังไงมันก็เป็นทุกข์ มันไม่มีสุขเลยสักนิด แล้วจะไปเป็นทุกข์ให้มันโง่ทำไม ทุกวันนี้ก็โง่พออยู่แล้วจะไปหาเรื่องหาภาระใส่ตัวอีกทำไม แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดนะ ไม่ได้ชังเด็กหรือชังคนมีลูกแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าโลกก็แบบนี้ คนที่เป็นไปตามโลกก็แบบนี้ การใช้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติในโลกของกิเลสมันก็แบบนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
12.1.2558

