ข้อคิด
มีสามีผิดคิดจนตัวตาย
สามีไม่ผิดหรอก…สิ่งที่ผิดคือความอยากมีสามีนั่นแหละ…วิบากกรรมเขาก็ หลอกเราเล่นแบบนี้ทุกทีแหละ แรกๆมาก็ดี เหมือนเทพบุตร หลงรักเขาทุกอย่าง
ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ความหวังว่าจะได้สิ่งดี ได้พัฒนา ได้เติบโต หวังแล้วอย่างไรล่ะ? ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปสักหน่อย
ติดตามอ่านเนื้อหาได้ในกระทู้ : (ระบายยาวๆ) มีสามีผิดคิดจนตัวตาย…
เลือกสักคน ฉันหรือเขา…เราหรือเธอ
เลือกสักคน ฉันหรือเขา…เราหรือเธอ
ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนเมื่อเรากำลังรับบทบาทของผู้ที่กำลังจะถูกตัดสินชะตากรรมว่าจะอยู่หรือไป เราควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น
เมื่อเรามีคู่ครองที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนรู้ใจ แฟน หรือคู่แต่งงาน ซึ่งรับรู้กันโดยทั่วไปในสังคมว่าคบหากัน แต่แล้ววันหนึ่งกลับมีผู้ท้าชิงตำแหน่งเข้ามา ซึ่งในเวทีนี้ไม่มีตำแหน่งตัวสำรอง ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้เป็นที่สอง มีแต่คนที่อยู่หรือคนที่ไป ในสถานการณ์เช่นนี้เราควรจะตัดสินใจเช่นไร?
ถ้าเรายังอยู่ในระดับคบหาดูใจ แล้วมีคนอื่นเข้ามาก็คงไม่ต้องสนใจอะไรมาก ในขั้นตอนนี้ก็พิสูจน์ใจกันไปว่าจะมั่นคงได้แค่ไหน ถ้าไม่มั่นคงก็ปล่อยไป ไม่ต้องไปเอาชนะหรือเสี่ยงลองใจใครให้เสียเวลา เพราะถ้าเขาคิดว่าจะมั่นคงกับเราจริงๆแล้วล่ะก็ เขาก็จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าจนหลงทางอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาหลงทางห่างหาย ก็ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาชนะ บังคับ บีบคั้น ยั่วยวนหรือเอาไปอะไรไปแลกเพื่อให้เขากลับมาเลย
ถ้าเรากับคู่มีความสัมพันธ์กันมาก แล้วคนที่เข้ามาใหม่มีความสัมพันธ์ที่เกือบจะใกล้เคียงกัน เช่นในคู่รักที่อยู่ในลักษณะของแฟนหรือสามีภรรยา แล้วมีใครอีกคนโผล่เข้ามาในชีวิต ในระดับความสัมพันธ์ที่คู่ของเราต้องเลือก ระหว่างเราหรือคนใหม่ที่เข้ามา ถ้าในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเลือกที่รอคอยการตัดสินชะตากรรม แต่ควรเป็นคนที่ตัดสินใจ
เพราะถ้าเขามั่นคงจริงก็จะไม่มีสถานการณ์เช่นนี้ คู่ที่ดีย่อมมีความยับยั้งชั่งใจ มีความละอายต่อบาป มีความเกรงกลัวต่อบาป โดยทั่วไปแล้วคนในยุคนี้ยังมีความรู้ศีลธรรมพื้นฐานในเรื่องการครองคู่ว่าอะไรดีหรือชั่ว แต่จะทำดีหรือชั่วนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นการมีคนใหม่หรือมือที่สามเข้ามานั้นเป็นสัญญาณของการผิดศีล
ในศีลข้อ ๓ นั้นในระดับหยาบๆว่าด้วยการไม่นอกใจคู่ของตน การนอกใจนั้นมีตั้งแต่ระดับกายกรรม คือไปข้องแวะ แตะตัวสมสู่กัน วจีกรรม คือการหยอกเย้า ป้อนคำหวาน แซวกัน จีบกัน มโนกรรม คือมีจิตคิดอยากจะได้คนที่ไม่ใช่คู่มาเสพ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เมื่อจิตเกิดนอกใจ เกิดความอยากได้อยากเสพในคนที่ไม่ใช่คู่ของตนแล้ว การหยอกล้อ การจีบ จนเกินเลยไปถึงการนอกกายไปสมสู่กับคนที่ไม่ใช่คู่ ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
คนที่ผิดศีลข้อ ๓ ในระดับนี้ถือว่าหยาบมาก เพราะมีการเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจผู้อื่นอย่างรุนแรง เพราะไม่รักษาสัจจะ ไม่รักษาคำสัญญาที่ตัวเองให้ไว้ ทำให้ผิดศีลข้ออื่นๆไปด้วย เหตุเพราะมีความใคร่อยากเสพจนตามืดบอด รักชั่วเกลียดดี เอากิเลสไม่เอาธรรมะ ยอมทำลายศีลธรรมขอเพียงแค่ได้เสพสุข และที่สำคัญที่สุดคือทำร้ายจิตใจคนที่ตนเองนั้นเคยบอกว่ารักที่สุด เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมที่หนักหนาคนที่ผิดศีลในระดับเช่นนี้ ถึงจะถูกเรียกว่าชั่วก็ไม่แปลกอะไร
ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องไปเป็นตัวเลือกใดๆเลย เพราะเขาได้เลือกไปแล้ว เขาเลือกที่จะเสพคนใหม่ดีกว่าเสพคนเก่า หรือในขั้นโลภมากก็รั้งไว้เพื่อเสพทั้งสองคน แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร จะปล่อยคนชั่วให้ออกไปจากชีวิต หรือจะเก็บคนชั่วไว้ก็เป็นสิทธิ์ที่เราเลือกจะรับไว้ได้ทั้งสองทาง
มงคล ๓๘ คือสิ่งที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ เป็นความเจริญในชีวิต ข้อแรกที่ควรทำก็คือการห่างไกลคนพาล คนชั่วคนผิดศีลนี่เอาให้ห่างจากชีวิตก่อนเลย จึงจะเป็นมงคลในชีวิต คนที่ยินดีรับคนผิดศีล คนผิดสัจจะไว้ในชีวิต การจะหวังความสุขความเจริญที่แท้จริงนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่หวังได้
แล้วเรายังจะรออะไรอีก รอให้คนผิดศีล รอให้คนที่ผิดสัจจะตัดสินชะตากรรมของเราอย่างนั้นหรือ หากเขาเป็นผู้ผิดศีลแล้วเขาจะมีความเที่ยงธรรมได้อย่างไร การตัดสินใจใดๆของเขาย่อมจะเป็นไปตามระดับศีลธรรมที่เขามีนั่นเอง นั่นหมายถึงเรากำลังให้คนชั่วมาตัดสินความสุขความทุกข์และความเป็นไปในชีวิต มันดีแล้วอย่างนั้นหรือ มันถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรือ มันสมควรแล้วอย่างนั้นหรือ…
– – – – – – – – – – – – – – –
26.8.2558
ความมัวเมาในรสรัก
ความมัวเมาในรสรัก เมื่อความหลงผิด ทำให้หลงสร้างบาป ท่ามกลางความหลงสุข
การที่คนเรานั้นไปหลงมัวเมากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกจากจะสร้างภัยอันน่ากลัวให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นพากันหลงผิด และนั่นคือบาปที่จะย้อนกลับมาเล่นงานผู้ที่หลงมัวเมานั่นเอง
คนที่หลงในความรักนั้น นอกจากที่เขาเหล่านั้นจะเสียเวลาที่สำคัญในชีวิตไปกับการหลงสุขในการมีคู่ ไปหลงสร้างบาป คือการเพิ่มกิเลสให้กับตนเองโดยแลกกับการเสพสุขลวงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยังเป็นสื่อให้ผู้อื่นได้หลงผิดมาเห็นดีเห็นงามกับเรื่องทางโลกด้วย
คนที่หลงในความรักนั้น บางคนก็หลงกันอยู่นานหลายปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดชีวิต และตลอดเวลาแห่งความหลงนั้น เขาก็ได้เป็นทูตแห่งความหลงที่คอยเผยแพร่ความเห็นที่ว่า การมีคู่นั้นดี การได้มีความรักนั้นดี การมีคนดูแลเอาใจนั้นดี ฯลฯ แต่ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกหรือเผยแพร่ความเห็นใดๆเลยก็ตาม แค่เพียงความเป็นไปของเขาเหล่านั้นก็ได้แสดงให้คนที่ไม่รู้เดียงสา ได้เห็นว่าการมีคู่นั้นน่าจะมีความสุขจริงอย่างที่ใครเขาว่า
เป็นบาปของคนมีคู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายั่วกิเลสคนอื่นตั้งแต่เราคบหาเป็นแฟนกับคู่ของเรา ทำให้ผู้อื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพบ้าง เรายั่วกิเลสคนอื่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเราแต่งงาน ทำให้คนอื่นอิจฉา อยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก และเรายั่วกิเลสคนอื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อเราสร้างของรักใหม่ที่เรียกว่าลูก แสดงให้เห็นว่ารักนั้นได้เสพอะไร ให้เห็นว่ารักนั้นเป็นสุขอย่างไร ให้เห็นว่ารักนั้นเที่ยงแท้ยืนนานอย่างไร โดยผ่านความเป็นไปที่เราได้แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่ความจริงเลย
ด้วยความหลงในสุขของเรา หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการมีคู่ การอวดคู่ หรือการบูชาความรักที่เกิดจากความหลงนั้นเป็นโทษภัยอย่างไร ความหลงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่ทำให้เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว จึงทำให้คนที่หลงในการมีคู่นั้นภูมิใจในสถานะที่ตนเองมี เพราะหลงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าเราคบหากันไป 10 ปี เราก็สร้างวิบากบาป กลายเป็นตัวอย่างของคนที่หลงสุขในกิเลส ให้คนอื่นเอาอย่างไป 10 ปี ถ้าเราคบไปร้อยปีก็เป็นตัวอย่างไปร้อยปี หลงนานเท่าไหร่ก็สร้างบาปให้ตัวเองและผู้อื่นมากเท่านั้น
ทีนี้คนที่มีคู่แล้วไม่ใช่ว่ารู้ถึงโทษภัยผลเสียต่างๆแล้วจะออกกันได้ง่ายๆ การเลิกกันด้วยความไม่ยินยอมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การไม่ผูกพันกันด้วยความหลงเป็นสิ่งที่ดี คนที่มีคู่นั้นจะมีขอบเขตในการทำกุศลที่จำกัด แม้จะพากันออกจากความหลง ไม่สร้างอกุศลกรรม พากันถือศีล ไม่สมสู่ ไม่แตะเนื้อต้องตัว ไม่พูดจากันด้วยคำหวานของกิเลส ไม่เอาแต่ใจเพราะความยึดติด แม้จะทำได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะเป็นตัวอย่างให้คนหลงติดหลงยึดในความเป็นคู่อยู่ดี เพราะคนดีที่มัวเมาในความเป็นคู่รักก็ย่อมจะอยากได้คู่รักที่ดีเป็นตัวอย่าง
ดังนั้นการเป็นโสดแต่แรกจึงดีที่สุด ไม่ต้องไปผูกให้ต้องลำบากมาแก้กันทีหลัง เพราะเมื่อมีคู่ไปแล้ว มันผูกพัน มันแก้กันไม่ง่าย ถึงจะตัดทันทีก็จะมีวิบากกรรม แม้จะใช้ความติดดียึดดี เลิกกัน อย่าร้างกัน แต่กรรมก็จะไม่ยอมอย่างนั้น ถ้าอีกฝ่ายยังหลงในความรัก เขาก็ยังจะจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติอยู่ดี ดังนั้นคนที่มีคู่จึงไม่สามารถตัดความเป็นคู่ออกได้ง่ายๆแม้จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแค่ไหนก็ตาม
และเมื่อเขาเหล่านั้นยังมีภาพลักษณ์ของคนคู่ที่สวยงามอยู่ ก็จะเป็นสื่อให้คนที่หลงนั้น อยากได้อยากเสพในภพของคนดี อยากมีคู่รักแบบคนดี เช่นเดียวกับเขาเหล่านั้น ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นความเป็นสื่อแห่งบาป ที่จะต้องมารับวิบากบาปในภายหลัง เกิดมาชาติหน้าก็ต้องโดนคนอื่นเขามอมเมาว่ามีคู่แล้วทำดีด้วยกันได้ มีคู่แล้วพาเจริญด้วยกันได้ มีคู่แล้วปฏิบัติธรรมด้วยกันได้ ก็เลยหลงไปมีคู่ สุดท้ายก็ติดบ่วง ซ้ำไปซ้ำมา เป็นความเมาในรสรักที่ให้ผลสืบเนื่องหลายต่อหลายชาติ ต้องรับทุกข์ สร้างอกุศล สร้างบาปกันอย่างไม่จบไม่สิ้น
จนกว่าจะทุกข์จนเกินทน จนกว่าจะเห็นว่าการหลงมัวเมาในรสรักเหล่านั้นสร้างทุกข์ โทษ ภัย อย่างไร จึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นภพคนโสด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกได้ง่ายๆขนาดนั้น แม้จะเกิดชาติไหนก็จะมีคนมายั่วกิเลส เอาความรักในอุดมคติมานำเสนอ เป็นคนดีก็มีความรักได้ พากันเจริญได้ ฯลฯ อีกทั้งคู่เวรคู่กรรมที่จ้องจะเข้ามาลากไปลงนรกกันทุกภพทุกชาติ
สรุปแล้วคนมีคู่ก็ต้องเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริงและรับกรรมตามที่ตัวเองก่อไว้ต่อไป ส่วนคนโสดก็เป็นโอกาสที่จะคิดทบทวน ตัดสินใจว่าจะเอาไหม? จะดีไหม? สุขลวงแป๊ปเดียวทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์เลยนะ ผูกนิดเดียวต้องตามไปแก้กันทุกภพทุกชาติเลยนะ จะเอาไหม? จะลองไหม? มันทุกข์มากนะ มันเป็นสุขลวงแต่นรกจริงๆนะ ยังจะเอาอีกหรือ?
– – – – – – – – – – – – – – –
23.8.2558
มะเขือเทศ
มะเขือเทศ
จากเคยชังกลายเป็นชอบ จากที่เคยผลักไสมาตลอดชีวิต วันนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมองข้าม
สมัยก่อนตอนที่ยังกินเนื้อบ้างกินผักบ้าง จะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบมากเป็นพิเศษ ขนาดว่าให้กินพร้อมสลัดยังไม่อยากกิน ให้กินพร้อมส้มตำก็ไม่ไหวอีก สิ่งนั้นก็คือมะเขือเทศ
ผมเป็นคนที่สามารถกินพืชผักได้หลายชนิด แต่ยอมรับจริงๆว่ามะเขือเทศเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่คุ้นตาแบบที่เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็ยังไม่อยากจะสนิทสนมกับมันอยู่ดี
มะเขือเทศกลายเป็นเหมือนกับเครื่องประดับที่ไม่มีวันได้เข้าปาก เป็นเหมือนส่วนเติมเต็มที่ไม่มีก็ไม่เป็นไร แม้มันจะถูกใส่ลงในต้มยำเพื่อให้รสของมันไปทำให้ต้มยำกลมกล่อม แต่เมื่อคิดถึงรสชาติของมะเขือเทศ คิดถึงจังหวะที่ต้องเคี้ยวมะเขือเทศ เพียงแค่นึกเท่านั้นก็ทำให้รู้สึกขยาดไม่อยากกินมันได้แล้ว
รสเปรี้ยวเป็นรสชาติหนึ่งที่ชีวิตผมไม่ค่อยเกี่ยวข้องด้วย แต่ก่อนตอนจะปรุงก๋วยเตี๋ยวก็จะหนักไปทางหวาน เผ็ด ถ้ามีรสไปทางเปรี้ยวนี่จะไม่ค่อยชอบ จนบางครั้งรู้สึกทุกข์มากกับการกินอะไรเปรี้ยวๆ และยิ่งประกอบกับสัมผัสที่นิ่มๆเละๆ ของมะเขือเทศยิ่งไปกันใหญ่ เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก รู้แค่ไม่ชอบสัมผัสแบบนี้เอามากๆ ดังนั้นมะเขือเทศเลยกลายเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ผมไม่เอาเลย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และไม่ใส่ปากด้วย
…….จนกระทั่งมาศึกษาธรรมะ มาศึกษาการลดกิเลส มาหัดลดเนื้อกินผักอย่างจริงจัง ผมเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมะเขือเทศ จากที่เคยไม่ชอบมัน ก็เริ่มกลั้นใจกินมันบ้าง พิจารณาประโยชน์ของมันเพิ่มบ้าง เริ่มมองความจริงตามความเป็นจริงได้ชัดขึ้นทีละนิด
มะเขือเทศเป็นพืชที่หาได้ง่าย ปลูกก็ง่าย ราคาไม่แพง เก็บได้นาน แถมยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ช่วงหลังเลยพยายามทำตัวเองให้สนิทกับมะเขือเทศมากขึ้นด้วยการประกอบอาหารด้วยมะเขือเทศ กินมะเขือเทศกับอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสามารถกินมะเขือเทศได้โดยไม่รู้สึกรังเกียจเช่นเดิม
ทุกวันนี้ถ้าเห็นมะเขือเทศ ก็รู้สึกว่ามันเป็นของที่ควรกิน จากที่ไม่เคยสนใจใยดี แต่ทุกวันนี้กลับรู้สึกว่าน่าเสียดายหากมะเขือเทศที่อยู่ในจานส้มตำจะต้องถูกเขี่ยทิ้งไป เรียกว่าจากที่เคยไม่มีค่าในชีวิต ในวันนี้กลับเปลี่ยนมาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม
แต่ก่อนผมมองว่ามันไม่ใช่อาหาร จึงไม่เป็นมิตร เพราะไม่เห็นประโยชน์ของมัน แต่ในวันนี้เมื่อผมได้ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ทำลายอคติลำเอียง ทำลายความชอบหรือไม่ชอบในรสใดรสหนึ่งที่เคยจัดจ้านรุนแรงให้เบาบางลง ผมก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง
มะเขือเทศมีคุณค่าในตัวของมันและมีมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่ผมกลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นเอง เป็นเพราะผมหลงติดหลงยึดในบางสิ่งบางอย่างจนไม่อยากมองตามความเป็นจริง จึงทำให้มองไม่เห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง
หากเราสามารถมองให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้ว เราก็จะรับรู้ว่าทุกอย่างในโลกนี้มีคุณค่าในตัวของมันเองทั้งหมด มันมีเหตุผลในการก่อกำเนิดของสิ่งนั้นเพื่อสืบเนื่องไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง คือเส้นสายแห่งความสัมพันธ์ที่เชื่อมร้อยรูปและนามเข้าด้วยกันหมุนวนสร้างผลและรับผลต่อเนื่องกันไป เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งการเกิดและดับเช่นนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
21.8.2558