ข้อคิด

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

February 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 615 views 0

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

มีคำถามมาว่าผู้หญิงจะอยู่อย่างไรให้ปลอดภัย ในองค์ประกอบที่เรียกว่าอยู่ในดงเสือสิงห์กระทิงแรด ในสังคมไม่มีศีล ต้องพบกับคนที่มีครอบครัวแต่ยังไม่เลิกเจ้าชู้  และอีกมากหน้าหลายตาที่ยังไม่เปิดเผยตัวตน

เป็นคำถามที่รู้สึกว่า ถ้าตอบไปแล้วอาจจะปฏิบัติได้ยากสำหรับหลาย ๆ คน เพราะการเป็นอยู่ในยุคนี้มันไม่เอื้อให้เข้าถึงความปลอดภัยได้ง่าย ๆ เป็นข้อจำกัดที่กิเลสสร้างขึ้นมาจากรุ่นสู่รุ่น ยากที่จะฝ่าไปได้ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ผมจะยกมาต่อจากนี้ก็จะเป็นหนทางที่พาให้ปฏิบัติตนให้อยู่รอดปลอดภัยได้จริง ๆ

ในสมัยพุทธกาล จุดรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนา มีพระอรหันต์ฝ่ายภิกษุณี คือ อุบลวรรณาเถรี ผู้เป็นเลิศด้านฤทธิ์ แต่ก็ไม่วายถูกหนุ่มแอบบุกเข้ามาเพื่อขืนใจ แม้ท่านจะมีปัญญาขนาดที่บอกทางพ้นทุกข์ให้กับหนุ่มคนนั้นว่า “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย” ถึงสองครั้ง ถึงจะเตือนสติกันแรง ๆ ก็ยังไม่สามารถหยุดความกำหนัดของหนุ่มคนนั้นได้ ทำบาปสำเร็จในที่สุด สุดท้ายหนุ่มคนนั้นก็ถูกธรณีสูบตายเพราะกรรมนั้น หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ภิกษุณีอยู่ในชุมชน เพราะถ้าห่างออกไปภายนอกจะถูกคนพาล คนบ้ากาม คนลามก เบียดเบียน ทำร้ายเอาได้

ที่ยกมานั้น จะนำมาเทียบให้เห็นว่า แม้ขนาดในยุคที่มีบุญกุศลสูงสุด แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุด แม้จะเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสุด ก็ยังถูกคนพาลเบียดเบียนได้ ดังนั้น การจะหาความปลอดภัยในยุคสมัยที่เวลาได้ไหลไปสู่กลียุคอย่างรวดเร็วนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นการที่เราดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ศีลธรรมตกต่ำเช่นนี้ ยิ่งไม่ควรประมาท ไม่ประมาทว่าชีวิตจะไม่มีภัย ไม่ประมาทว่าสังคมหรือคนใกล้ตัวจะไม่ทำร้าย เพราะในยุคที่เจริญกว่า ในคนที่สูงกว่า ก็ยังโดนทำร้ายได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท

สังคมสมัยนี้ก็ไม่มีศีลธรรม ศาสนาก็อ่อนกำลังเพราะมีคนพาลเข้ามาแทรกเยอะ คนเลยหันไปพึ่งการมีครอบครัว เพื่อความปลอดภัย แต่ที่ไหนได้ สุดท้ายก็โดนคนที่รักนั่นแหละ ทำร้ายจิตใจ หรือไม่ก็ร่างกาย อย่างเก่งก็ทุกข์แบบผ่อนส่ง ไม่ผาสุกตามหลักปฏิบัติของพุทธ แต่เป็นไปตามวิถีแบบโลกียะ

การจะอยู่รอดปลอดภัยในยุคนี้นั้น ยังต้องอาศัยธรรมะ คือปฏิบัติตนให้มีศีล ละ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงโดยลำดับ แต่ทำตนเองให้ดีนั้นก็ไม่พอ เพราะสังคมมันโหดร้าย มันก็ต้องห่างไกลคนพาล ไกลคนชั่ว ไกลคนไม่มีศีล ถ้าเขาไม่เอาธรรมะ เขาก็ไม่เอาศีล ไม่เอาความดีเช่นกัน เขาก็ดีในแบบของเขา ดีในแบบที่เขายึด แต่มันไม่ดีในแบบที่มันปลอดภัย ดีแบบโลกีย์คือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และส่วนใหญ่จะร้าย

ดังนั้นเมื่อห่างไกลคนพาลแล้ว ก็ต้องคบหากับกลุ่มคนดีที่มุ่งปฏิบัติดี เป็นหมู่บัณฑิต ก็สังเกตให้ชัดว่าพวกเขาพากันประพฤติตนเป็นโสดหรือฝักใฝ่ในคู่ครอง ถ้าพากันเป็นโสด ก็คือกลุ่มบัณฑิต แต่ถ้ามุ่งหาคู่ก็คือกลุ่มคนหลง ก็เลือกเข้าไปคบหาทำความคุ้นเคยแต่กับกลุ่มคนดี พึ่งพาเกื้อกูลกัน หาคนที่มีศีลเสมอกันหรือมากกว่า ถ้าต้องเข้ากลุ่มที่มีศีลต่ำ ให้พยายามหาคนที่มีศีลสูงกว่าจะดีกว่า แต่ถ้าหาไม่เจอก็หาครูบาอาจารย์ที่ควรเคารพก็ยังดี เพราะองค์ประกอบในการพ้นทุกข์ ก็จะมีครูบาอาจารย์ดี มีสหายดี มีสังคมที่ดี จะสร้างองค์ประกอบที่ปลอดภัยจากทุกข์ทั้งใจและกาย ทางกายก็ต้องเป็นไปตามวิบากของแต่ละคน แต่ทางใจนี่ฝึกอย่างมุ่งมั่นตามอาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะสำเร็จผลได้โดยลำดับ

สรุป ดำรงชีวิตอยู่โดยห่างธรรม ไม่มีวันปลอดภัย มีแต่ภัยและทุกข์แสนสาหัส แต่ถ้าดำรงชีวิตใต้ธงธรรม ในขอบเขตพุทธ ลดกิเลสไปตามลำดับ ก็จะปลอดภัย แม้มีภัย แต่จะไม่ทุกข์มาก

7.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ใช่ว่าบัณฑิตจะจีบไม่เป็นนะ จริง ๆ เก่งกว่าคนเจ้าชู้เสียอีก

February 6, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 625 views 0

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่านั่นคือบัณฑิต … ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจีบไม่เป็นเลยไปเอาดีทางธรรมนะ แต่มันตรงกันข้าม เพราะจริง ๆ เขาเข้าถึงที่สุดของการจีบและพบว่ามันไม่มีประโยชน์ต่างหาก

คนที่ปฏิบัติตนจนเข้าถึงผล ในเรื่องการปฏิบัติตนเป็นโสด จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับการจีบ การล่อลวงให้คนรักคนหลงที่มากเป็นพิเศษ เรียกว่าเกินสามัญ เพราะสามัญเขารู้แค่จะทำอย่างไรให้จีบติด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะรู้ไปถึงอะไรเป็นประโยชน์แท้ อะไรเป็นบาป เป็นทุกข์ โทษ ชั่วอีกด้วย

ถ้าจะให้นึกปรุงจิตมันก็ปรุงได้หมดนั่นแหละ จะล่อลวงเขายังไง จะทำให้เขามารักยังไง จะหลอกให้คนมาหลงรักหัวปักหัวปำยังไง มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย แต่ปัญหาคือมันทำแล้วไม่พาพ้นทุกข์ ตัวเองก็ต้องลำบาก เพราะทำอกุศล ส่วนคนอื่นก็หลงมัวเมา ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเลย

ดังนั้นเมื่อรู้โทษชั่วดังนั้น ก็เลยไม่ทำชั่ว ไม่ไปจีบใคร เหมือนกับพระเจ้าอโศกมหาราช เก่งขนาดปราบทั้งแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็เลิกการฆ่า สนับสนุนการไม่กินเนื้อสัตว์ ถามว่าท่านฆ่าเป็นไหม? ตอบว่าสุดยอดนักรบเลยก็ว่าได้ จะฟันตรงไหน จะแทงตรงไหนให้ชนะ ท่านรู้หมดนั่นแหละ แต่ท่านก็เลิกทำ เพราะมันเบียดเบียนและไม่เป็นประโยชน์กับใคร

ท่านรู้แล้วว่าการเบียดเบียนมันเป็นโทษแล้วก็เลิก กลับตัวกลับใจ เอาอำนาจที่ตนมีมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่พระพุทธศาสนา

ดังนั้น จะเรียนรู้ก็รู้ให้สุด เก่งก็เก่งให้สุด รู้ให้แจ่มแจ้งถึงหมดทุกข์หมดสุข แล้วที่เหลือก็เลือกเอาว่าจะทำอะไร

ผมท้าเลย คนเจ้าชู้ที่จีบเก่ง ๆ เนี่ย เขาไม่มีปัญญาพาคนออกจากวังวนของความรักได้หรอก พาเข้าได้ แต่พาออกไม่เป็นไง อย่างเก่งก็มอมเมาเขาไปเรื่อย ๆ แต่จะให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว พ้นหลงนี่เขาทำไม่ได้หรอก

คนพาลบ้าอำนาจ

February 6, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 962 views 0


คนพาลบ้าอำนาจ

เห็นหนังสือนิทานชาดกในร้านมือสองแล้วซื้อมาอ่านดู เจอประโยคที่น่าสนใจ

อันนิสัยสันดานของคนต่ำช้า เมื่อได้มีอำนาจ แม้เพียงนิดน้อยเท่าใดก็ดี ย่อมมีใจฮึกเหิมทะนงตัว ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นด้วยกิริยา ต่าง ๆ นา ๆ คนเช่นนี้ โบราณท่านห้ามมิให้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองด้วยแล

เนื้อหาของชาดกตอนนี้คือ คนใช้ที่รับใช้เจ้านายช่วยเอาสมบัติไปฝังดินไว้ พอเจ้านายตาย ลูกเจ้านายโต เขาก็จะไปขุด แต่คนใช้ไม่ยอมขุด พอเดินถึงจุดหนึ่งก็ด่าทอลูกเจ้านาย เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง สุดท้ายก็ขุดตรงที่คนใช้ยืนด่านั่นแหละ มีสมบัติ

ชาดกตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเมาในโลกธรรมแม้เล็กน้อยก็เอามาอวดเบ่งได้

คนพาลไม่มีอำนาจต้านโลกธรรม จะไหลไปกับโลกธรรม เช่นบางคนมีคนชมนิดหน่อยก็ตัวพอง ได้สวมหัวโขนก็ผยอง สำคัญว่าตนแน่ คือจะมีลักษณะพองตัวไปตามโลกธรรม หรือมากกว่านั้น ไม่เป็นอิสระ เหมือนลูกโป่งใส่น้ำ ก็พองไปตามน้ำ ไม่มีสติกั้น สุดท้ายก็จะระเบิด

สมมุติได้คนชมมา 1 ครั้ง เขาจะปรุงเพิ่มไปอีก 1 1 1 1 1 . . . ไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนอยากเสพ คือชมจริงน่ะ 1 ครั้ง แต่ชมตัวเองอีกหลายครั้งเลย กิเลสมันก็โตเพราะจิตมันปรุงต่อนี่แหละ ก็เป็นอาการเมาโลกธรรม

ผมก็จะใช้ตรงนี้สังเกตคนเหมือนกันว่าพองตัวเกินฐานะไหม เช่นไม่ได้มีดีจริงอย่างนั้นหรอก แต่หลงโลกธรรม เขาก็มักจะสำคัญตนผิด พอเราเห็นท่าไม่ดี เราก็ห่างมา ไม่ต้องไปใกล้ ไม่ต้องไปคบหา เพราะคบคนพาลที่เมาโลกธรรม ก็มีแต่จะหาเรื่องมาใส่เรา

การจัดการกับความชิงชังรังเกียจ ในคนที่เข้ามาจีบ

February 5, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 746 views 0

ความเกลียดก็คือความไม่ชอบที่สะสมจนมีดีกรีที่เข้มข้นขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่รำคาญ ไปจนถึงอาฆาตมุ่งร้าย การสะสมความชัง คือการสะสมบาปให้ตัวเอง ให้ระลึกไว้ว่า ยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียดใคร ก็ยิ่งสร้างบาป สร้างขยะ ผลักจิตวิญญาณของตนเองให้จมลงสู่ความเป็นคนพาลลึกยิ่งขึ้นโดยลำดับ

ถ้าเกลียดมาก มันก็ผูกมาก มันคือสภาพคู่ของรักและชัง มันจะเป็นเครื่องพาวน พาหลง เดี๋ยวก็เป็นฝ่ายจีบ เดี๋ยวก็เป็นฝ่ายถูกจีบ หลงเล่นอินกับบทบาทวนไปวนมาแบบนี้ไม่รู้จบเพราะความเสพในรสของความชอบความชัง การจะออกจากอารมณ์ติดลบที่ขุ่นมัวเหล่านี้ก็มีเพียงการปฏิบัติไปสู่ความเป็นกลางของจิต คือไม่ชอบ และไม่ชัง

ความชังนั้นมีรสสุขในคนโง่ เคยเห็นไหมที่คนเขาไม่ชอบใคร แล้วเขาตั้งวงนินทาว่าร้ายกัน ดุเด็ดเผ็ดมัน นั่นแหละ ความชังมันมีรสให้คนหลงเสพ หลงว่าชังแล้วเป็นสุข ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การโกรธ เกลียด ชิงชัง ให้ร้าย นินทา ไม่ใช่วิถีที่จะพาให้ใครไปพ้นทุกข์ได้เลย

การยับยั้งความชัง คือไม่ให้อาหารมัน คือไม่สร้างความชังเพิ่ม ไม่ต้องไปชักชวนใครให้ไปชังเขาเพิ่ม ให้รับรู้ตามจริงว่าเขาก็เป็นคนแบบนั้น เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น แล้วก็เลิกยุ่งไป ห่างไป หรือถ้าเขาดูจะเป็นคนใจกว้างพอที่เราจะพูดบอกได้ ก็ลองพูด ลองแจ้งเขาว่าที่เขาทำนี่มันเบียดเบียนเราอย่างไร มันทำให้เราต้องระวัง เป็นอยู่ไม่ผาสุกอย่างไร ก็ปรับภาษาเอาตามที่เหมาะ แต่ถ้าพูดไม่ได้หรือพูดแล้วไม่ดีขึ้น ก็ให้ทำตัวเองให้ดี ถือศีลให้มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าอยากห่างไกลคนผิดศีล ก็ให้มีศีล ดังนั้นถ้าอยากห่างไกลคนมาจีบ ก็ตั้งตนเป็นคนโสดให้มันมั่น ๆ แน่น ๆ พยายามลดสิ่งที่จะดึงดูดเขา เท่าที่จะทำไหว โดยภาพรวมแล้ว ในเรื่องคู่ชู้สาว กามจะเป็นกิเลสที่เด่นชัดขึ้นมา ดังนั้นการแต่งตัวให้เหมาะสม ไม่แต่งเติมความสวยงาม ไม่แสดงความสำคัญว่าตนงามหรือดูดี ไม่มัวเมาในร่างกายของตน คนธาตุเดียวกันย่อมจะดึงดูดกัน เราก็เปลี่ยนตัวเองไปเป็นธาตุที่เจริญขึ้น สูงขึ้น ถ้าปฏิบัติศีล ๕ อยู่ก็พยายามขยับขึ้นไปศีล ๘ จะพ้นภัยมากขึ้น เพราะมันก็จะแตกต่างกันไปโดยธรรม ไม่เข้ากัน ไม่เหมาะกัน เดี๋ยวเขาก็จะหายไป

การพิจารณาออกจากความชัง คือการพิจารณาประโยชน์ของการที่เขามาจีบที่มีต่อตัวเรา เช่น เราก็จะได้หัดล้างอัตตา ได้ล้างความน่ารังเกียจในใจเรา ซึ่งมันแอบเหม็นเน่าอยู่ในใจเรา แล้วเราไม่ยอมล้าง การเข้ามาจีบของเขาก็เป็นเพียงแค่เครื่องกระทุ้ง เหมือนมือที่มาเปิดถังขยะเปียก ที่หมักหมมเหม็นเน่ามานาน กลิ่นเหม็นที่คลุ้งหรือความทุกข์ไม่ได้มาจากคนเปิด แต่มาจากการหมักขยะเปียกหรืออัตตาของเรานั่นแหละ

พิจารณาโทษของความชังของเรา ว่าจะทำให้เกิดทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียต่อตนเองอย่างไรบ้าง เช่น ชังเขาไป เราก็ไม่เจริญ เราจะยิ่งต่ำลงไปอีก และในมุมของการพิจารณากรรม การชังยังสร้างวิบากร้ายผูกเวรผูกกรรมกับเขาไว้อีก ต้องเจอแบบนี้อีกหลายภพหลายชาติจะเอาอีกหรือ? ทุกข์ซ้ำ ๆ นี่มันสุขอย่างไร?

พิจารณาไตรลักษณ์ว่า ที่เขามาจีบนี่มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมาแล้วเดี๋ยวก็ไป เขาไม่จีบไปถึงชาติหน้าหรอก อย่างเก่งก็ได้แค่ตามจีบแค่ชาตินี้ ก็ทน ๆ เอา แล้วการจะไปยึดให้มันเที่ยงคือให้มันผาสุกแบบตลอดเวลานี่มันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตมันจะเป็นอะไรก็ได้ มีคนมาจีบก็ได้ ไม่มาจีบก็ได้ มันจะเป็นทุกข์เพราะว่ามันยึดสภาพที่เป็นสุข ยึดสวรรค์ และให้เข้าใจว่าเขามาจีบนี่เขาเป็นทุกข์นะ ไม่ใช่เราต้องเป็นทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเรายึด แต่ถ้าเราไม่ยึดว่าจะมาจีบหรือไม่มา ยังไงก็ได้ ก็เหลือแค่เขาที่เป็นทุกข์ เพราะเขาอยากได้เรา เขาก็ต้องเสียเวลาเสียสมองไปปรุงเรื่องไร้สาระมาจีบเรา อันนี้ก็น่าเห็นใจเขา เราก็ต้องเมตตาเขา ใจกว้างให้มาก ๆ ให้เข้าใจเขา ยอมรับความจริงว่าเป็นกรรมที่เราทำมา เราก็ต้องชดใช้ โดยผ่านสิ่งที่เขาแสดง เรากระทบแล้วเราก็รับทราบ เห็นใจ เข้าใจ วางใจ เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็ยึดไว้เป็นตัวตนหรือเป็นสุขเป็นทุกข์ของเราไม่ได้เลย จะไปกำหนดว่าเจอแบบนี้ฉันจะรักเท่านี้ หรือเจอแบบนี้ฉันจะเกลียดเท่านั้น มันก็ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แม้อยากจะยึดมั่นถือมั่น แต่มันก็จะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเราจะโกรธเกลียดชังชิงแค่ไหน สุดท้ายมันก็จะสลายหายไปอยู่ดี เหตุการณ์เป็นแค่สมมุติ บาปหรือความชิงชังเป็นของจริง

เราก็ต้องขยันพิจารณาธรรมที่ได้ฟังและศึกษามานี่แหละซ้ำ ๆ ไม่เข้าใจก็ไปอ่าน ไปฟัง ไปถามใหม่ แล้วเอามาประมวลผลให้เหมาะกับกิเลสตัวเอง วันหนึ่งถ้าปัญญาถึงรอบ วิบากที่กั้นไว้หมด ขยันตักออกเดี๋ยวมันก็หมดของมันเอง แต่ถ้าไม่เอากิเลสออก มันก็เหม็นเน่าอยู่อย่างนั้น เขามาจีบทีไรก็ขุ่นข้องหมองใจไปทุกที

5.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์