ความรัก

โสดไม่ได้เสพ

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,901 views 0

โสดไม่ได้เสพ

โสดไม่ได้เสพ

ทำไมผู้คนต่างอยากจะมีคู่ ทำไมความโสดถึงมักจะถูกผลักไส ทำไมความโสดจึงเป็นสิ่งที่ดูด้อยค่าในสายตาของคนอยากมีคู่ ความลับของความหลงทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่การเป็นโสดไม่ได้เสพนั่นเอง

คนที่มีกรรมที่จะต้องไปแต่งงาน ด้วยฐานะ ด้วยหน้าที่ ด้วยบทบาทนั้น จะขอยกไว้ไม่กล่าวถึงในบทความนี้ เพราะสภาพที่ต้องไปแต่งงานทั้งที่ใจไม่ได้มีความอยากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับกิเลสโดยตรง แต่มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลของกรรม

ทำไมคนจึงไม่เป็นโสด?

หากจะถามออกไปก็มักจะมีคำกล่าวอ้างมากมายที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น มนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์บ้างล่ะ เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิตบ้างล่ะ เพื่อเป็นไปตามธรรมชาติบ้างล่ะ เพื่อพากันเจริญบ้างล่ะ หลายๆเหตุผลที่ปั้นแต่งมาเพื่อยืนยันว่า “ฉันจะไม่เป็นโสด

ด้วยเหตุผลเหล่านั้น หลายคนก็ยินดีที่จะไม่เป็นโสด ยินดีทุกข์ทนแสวงหาคู่ ยินดีลำบากลำบนคอยบำเรอกิเลสคู่ของตน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อบูชาความหลง

หลงในอะไร? ก็หลงในความสุขลวงที่กิเลสเป็นผู้ชี้นำยังไงล่ะ เพราะเขามองว่าเมื่อมีคู่ เขาก็จะได้เสพสุขดังใจหมาย สุขอย่างที่คนอื่นเขาว่ามา สุขอย่างที่ใครเขาก็ทำกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสุขลวงที่นำทุกข์แท้มาให้ สุขนั้นเป็นสุขจากการได้เสพสมใจจากกิเลส เป็นสุขอย่างเป็นทาส

เหมือนทาสที่เขาเฆี่ยนตีด้วยแส้ เพื่อให้ทำงานหนัก พอนายทาสโยนเศษอาหารให้ก็หลงดีใจ รู้สึกเป็นสุข เห็นว่านายทาสใจดี มีเมตตา เราได้เศษอาหารเช่นนี้เป็นสุขจังหนอ ว่าแล้วก็ยอมทำงาน ยอมโดนเฆี่ยนโดนตีไปเรื่อยๆ เพื่อแลกกับสุขเพียงแค่ได้เสพเศษอาหารเหล่านั้น

เพราะโสดนั้นไม่ได้เสพ

ในเมื่อการมีคู่คือการได้สุขจากเสพในความเข้าใจของผู้หลงผิด ดังนั้นการเป็นคนโสดก็คือการไม่ได้เสพอะไรเลย นั่นหมายถึงการขาดทุน การเสียผลประโยชน์ในทัศนคติของเขาเหล่านั้น

ซึ่งก็ถูกแล้วที่คนเห็นผิดจะเห็นว่าการโสดเป็นสิ่งที่ไม่สุขเอาเสียเลย และถ้าเราเจาะลงลึกไปในรายละเอียดว่าโสดแล้วไม่ได้เสพอะไรให้ชัดๆก็คือ ไม่ได้สมสู่กัน ไม่ได้เสพกามคุณ คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้เสพโลกธรรม คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ของกันและกัน และไม่ได้เสพอัตตาของกันและกัน

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากสมสู่กันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่ซ้อนเร้น ปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ แต่เรื่องนี้มีกันทั้งชายและหญิงนั่นแหละ การได้เสพสุขจากการสมสู่ ได้ครอบครอง ได้บำเรอกามของกันและกันเป็นความสุขของเขานะ ถ้าจะให้เขาเป็นโสดหรือแม้แต่การตัดเรื่องสมสู่กันทั้งชีวิต เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่เขาก็มักจะอยากเสพกามคุณกันนะ อันนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายๆ เช่น หน้าตาดี บุคลิกดี เนื้อตัวสะอาด พูดเพราะ ผิวนุ่ม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสพกัน ถ้าได้มองก็สุขแล้ว แต่ถ้าได้เอามาเป็นคู่ เอามาเสพคนเดียวทุกคืนทุกวันมันจะสุขขนาดไหน จะให้เขาเสียสุขนี้เพียงเพื่อต้องไปเป็นโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้โลกธรรมกันนะ เช่นมีคู่เพื่อได้ลาภ ข้อนี้จะเห็นได้มาก จะแต่งงานกับใครก็ต้องมีฐานะดี หรือดียิ่งกว่า อันนี้เพราะโลภอยากได้ของเขา อยากได้ยศ คือตัวเองต้องมีตำแหน่งดีขึ้นเช่นเป็นแฟน สามี ภรรยา อยากได้สรรเสริญ คืออยากให้มีคนมาชมตนเองว่ามีคุณค่า มีคนเอาไปเป็นคู่ สุดท้ายคืออยากได้สุข สุขจากการมีคู่นั่นแหละ สุขลวงๆที่เขาว่าเป็นสุขจริงนั่นแหละ จะให้เขาทิ้งทั้งหมดนี้เพื่อแลกกับความโสด เขาจะยินดีโสดหรือ?

คนที่เขาอยากมีคู่ก็มักจะอยากได้อัตตากันนะ คือมีใครสักคนมาเติมตัวเราจนเต็ม มีคนที่จะเป็นดังที่ใจเราฝัน คนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันหายเหงา จะมีเธอมีฉันเคียงข้างกันไปชั่วนิรันดร อะไรแบบนี้ เป็นความยึดติดฝังแน่นว่าคนเราจะสุขเพราะการมีคู่ คนเราจะมีคุณค่าเพราะมีคู่ จะให้เขาละทิ้งความสุขเหล่านี้ แม้จะเป็นสุขที่หลงไปในความลวงเพื่อแลกกับความโสดที่จะไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาจะยินดีโสดหรือ?

ทนทุกข์เพราะหลงสุขจากเสพ

ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ หลายคนจึงยินดีทนทุกข์ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสุขกว่าการที่จะต้องเป็นโสด แม้จะต้องก่อเวรก่อกรรมไว้กับคู่ของตนมากเท่าไหร่ก็ไม่สน ยินดีที่จะเบียดเบียนตนเองและคู่ของตนเพียงเพื่อจะให้ได้เสพสุขลวงเหล่านั้น เหล่านี้เองคือความร้ายกาจของกิเลส ที่ลากคนไปลงนรกมานักต่อนักแล้ว มันไม่เคยละเว้นใคร ไม่ว่าจะยากดีมีจน เรียนน้อยหรือเรียนมาก สุดท้ายถ้ายังไม่มีปัญญาพอจะก้าวข้ามความหลงนี้ ก็ยังจะต้องโดนกิเลสลากไปนรกอยู่ดี

แต่สำหรับเขาเหล่านั้นคงจะไม่เรียกการมีคู่ว่านรก ถึงจะเรียกว่าสวรรค์เขาก็คงจะเห็นดีด้วย เพราะเขายินดีที่จะได้เข้าไปเสพ ยินดีที่จะได้มีคู่ เหมือนกับคนที่เฝ้าศึกษาเส้นทาง เตรียมตัวเก็บกระเป๋า และออกเดินทางไปสู่นรกด้วยจิตใจที่เบิกบาน ดูสิ! มันหลงกันไปได้ขนาดนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

3.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มิตรแท้คนโสด

May 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,320 views 0

มิตรแท้คนโสด

ผมพิมพ์บทความเกี่ยวการไปสู่ความเป็นโสดไว้มากมาย เพราะเล็งเห็นแล้วว่า ปัญหาในชีวิตคู่รักแต่ละอย่างนั้นไม่มีทางแก้ไขได้เด็ดขาดหากยังจะต้องเป็นคู่รัก จึงสร้างบทความที่จะตัดเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นไปเลย

บทความแต่ละบทนั้นมีถ้อยคำที่ข่ม ประณาม ด่ากิเลสอยู่ด้วยเสมอ ชี้แจ้งโทษของการมีคู่และประโยชน์ของความโสด ซึ่งจะไปสู่ผู้อ่านที่มีลักษณะดังนี้

1). คนมีกิเลสที่เห็นว่ากิเลสคือทางชั่ว: แม้ว่าจะยังไม่สามารถสู้กิเลสได้ แต่เมื่ออ่านบทความไปแล้วก็จะกระตุก จะรู้สึกผิด จะมีความเกรงกลัวขึ้นมา คนเหล่านี้หากเพียรพิจารณาธรรม ที่ว่าด้วยประโยชน์ของความโสดและโทษชั่วของการมีคู่จะสามารถทำให้จิตตั้งมั่นขึ้นได้ เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว (พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการพิจารณาโทษของกิเลสจะทำให้เกิดสมาธิ : วิตักกสัณฐานสูตร) การพิจารณาธรรมเพื่อชำระกิเลสจึงเป็นไปโดยง่าย

2). คนมีกิเลสที่สงสัยในกิเลส : คนเช่นนี้จะยังลังเลอยู่ว่า จะโสดดี หรือไม่โสดดี อย่างไหนเป็นสุขกว่ากัน ก็ให้เพียรศึกษาไปเรื่อยๆ พิจารณาประโยชน์ในการโสด และโทษของการมีคู่ให้มาก แต่ถ้าไปพิจารณาโทษของความโสดและประโยชน์ของการมีคู่มันก็มีทิศทางไปทางเสพกิเลส ไปนรกนั่นเอง

3). คนมีกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลส : คนที่ประมาทต่อภัยของกิเลสนั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนบุคคลที่ตายแล้ว แม้จะมีธรรมที่พาให้ปลดเปลื้องกิเลสออกแสดงอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ เหมือนกับเอาไฟไปเอาศพ เหมือนเอาดาบไปแทงศพ ร่างที่ตายไปแล้วนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

4). คนมีกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลสและมีอัตตาจัด: คนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นอกจากจะไม่เห็นภัยของกิเลสแล้วยังเห็นกิเลสเป็นมิตร “เอากิเลสมาเป็นอัตตาของตน” พอกิเลสโดนด่าก็เหมือนตนถูกด่า เพราะในใจลึกๆมันเสพติดการมีคู่ จนกระทั่งไม่ยอมให้ใครมาทำลายทิฏฐินั้น แม้ใครเห็นแย้งไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมารมาจากไหน คนที่เมาอัตตาก็จะสู้กับเขาไปหมด

ส่วนคนไม่มีกิเลสขอยกไว้ แต่ถึงแม้ท่านเหล่านั้นจะมาอ่าน ท่านก็ย่อมยินดีในธรรมที่พาให้ลดกิเลส คือลดความโลภ โกรธ หลง อยู่ดี

เมื่อเห็นประโยชน์ในการพิจารณาธรรมที่พาออกจากกิเลสดังนี้ ผมจึงขอแนะนำบทความเกี่ยวกับความรักที่เป็นทางที่จะพาไปสู่รักที่ไม่มีกิเลสใดๆมาปนให้หม่นหมอง

คลังบทความ ความรัก(ที่เพียรละกิเลส)

 

ความรัก…ไม่จำเป็นต้อง…

May 2, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 8,990 views 1

ความรัก...ไม่จำเป็นต้อง...

ความรัก…

ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน

ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน

ไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัว

ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ

…เพียงเพื่อจะได้ครอบครอง

= = = = = = = = = = =

คนที่รักกันจริงนั้น ย่อมไม่คิดจะผูกพัน

ด้วยเงื่อนไขที่ผูกมัดเช่น แฟน หรือครอบครัว

แม้จะเป็นคนที่รักแสนรักปานใด

ก็จะไม่ยอมทำบาปและสร้างอกุศล

เพียงเพื่อได้เสพสุขที่ลวงโลกเหล่านั้น

…แต่จะคงไว้ซึ่งความเป็นมิตรที่ดี

เป็นผู้แบ่งปัน เกื้อกูล ดูแล ตักเตือน ฯลฯ

เพื่อนำพาคนที่รักนั้นไปสู่ความเจริญฝ่ายเดียว

…ผู้ที่เข้าไปผูกพันนั้น คงจะหนีไม่พ้นเหตุแห่งกิเลส

ด้วยความหลงในโลกียรส หลงในการสมสู่

หลงในการครอบครอง อยากได้เป็นเจ้าของ

หากเว้นขาดจากเรื่องเหล่านี้แล้ว

การคบหากันเป็นแฟน หรือแต่งงาน

ก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกเลยในชีวิต

ซึ่งจะคงเหลือไว้แต่ความเป็นมิตรที่ดีเท่านั้น

= = = = = = = = = = =

บทขยาย: ในบทนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ความรักที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องครอบครองด้วยสถานะใดๆที่เกินเพื่อนเลย หากเราไม่ต้องการครอบครองเขา ไม่สมสู่เขา ไม่หลงเสพสุขในกามคุณ โลกธรรม อัตตาทั้งหลายที่เขามี เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีความสัมพันธ์ให้เกินเพื่อน

คนที่พยายามให้ความสัมพันธ์นั้นเกินเพื่อนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร มันก็เป็นเพียงข้ออ้างของกิเลสที่ปั้นแต่งมาเพื่อให้ตนได้เสพสมใจเท่านั้น

คนที่หลงไปแต่งงานแล้ว ความเจริญสูงสุดที่จะมีได้ก็คือการเว้นขาดจากการสมสู่ สุดท้ายก็จะกลายเป็นการคบหาแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งการมีความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างวิบากบาป สะสมกิเลสรายทาง ให้ต้องมารับกรรมชั่วกันทีหลัง เพียงแค่คงสถานะมิตรที่มีไว้ตั้งแต่แรกให้ยั่งยืน สุดท้ายก็จะมาบรรจบที่เดียวกันกับคู่รักที่เจริญแล้วทุกคู่

แต่คนที่คงความเป็นโสดและเป็นมิตรที่ดีจะเจริญได้มากกว่ามากนัก เพราะไม่ต้องมารับวิบากบาปจากความชั่วที่ทำมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำเรอกิเลสของกันและกัน การสมสู่กันและกัน การระบายโทสะแก่กันและกัน จนกระทั่งการพากันไปหลงในกิเลสต่างๆด้วยกัน พวกเขาก็ไม่ต้องรับวิบากบาปเหล่านั้นทีหลัง

นั่นหมายถึงเราสามารถพาคนที่เรารักเจริญได้มากกว่าการที่ไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกัน เพราะไม่ต้องมีวิบากบาปใดมากั้นขวางไม่ให้ไปสู่ความเจริญ นี้เองคือความรักที่มากกว่า เกื้อกูลมากกว่า มีปัญญามากกว่า เห็นแก่ตัวน้อยกว่า เสื่อมน้อยกว่า และทุกข์น้อยกว่าคนที่หลงไปคบหากันเป็นแฟนหรือแต่งงานกันมากนัก

– – – – – – – – – – – – – – –

2.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

โสดจนสูญพันธุ์?

May 2, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,663 views 0

โสดจนสูญพันธุ์

ถาม: ถ้าคนพากันโสดทั้งหมด ไม่มีคู่ครอง โลกจะเป็นอย่างไร คนจะสูญพันธุ์หรือไม่?

ตอบ: ในโลกนี้มีศาสนามากมายอยู่หลายศาสนา และศาสนาที่จริงจังกับการครองตนเป็นโสดเพราะรู้แจ้งในโทษชั่วก็คงจะมีแต่ศาสนาพุทธนี่แหละ ดังนั้นอัตราส่วนของคนที่ครองคู่และสืบพันธุ์ก็ย่อมมากกว่าคนที่คิดจะโสดในระดับหนึ่งแล้ว

ทีนี้มองย่อยลงมาที่พุทธศาสนิกชน แม้ว่าในประเทศไทยแห่งนี้จะมีธรรมในพระพุทธศาสนาประกาศอยู่แล้วก็ตาม การจะพาตนเองไปถึงธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าคนจะถือศีล ๕ ได้นั้นก็ยากสุดยากแล้ว การจะหวังคนให้ถือศีล ๕ ทั้งประเทศก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดหวัง และการครองตนเป็นโสดนั้นอยู่ในฐานของศีล ๘ ซึ่งกระทำได้ยากกว่าศีล ๕ มากมายนัก จึงทำให้อัตราส่วนของคนที่คิดจะโสดน้อยเข้าไปอีก

ทีนี้คนที่ถือศีล ๘ หรือมากกว่านั้น ก็มีทั้งถือแบบงมงายบ้าง ไม่รู้สาระบ้าง โอกาสที่กิเลสจะกำเริบจนทิ้งศีลไปหาคู่ก็มีมากมาย เรื่องดังเช่นว่าพระสึกไปมีคู่ ก็มีให้เห็นกันโดยทั่วไป ดังนั้นผู้ที่ตัดสินใจโสดจึงมีอัตราส่วนน้อยลงไปอีก

ด้วยอัตราส่วนที่มีนัยสำคัญแบบเห็นกันได้ทั่วไปจนไม่ต้องไปทำงานวิจัยหาข้อมูลให้วุ่นวายจึงสรุปได้ว่ามนุษย์ไม่มีทางสูญพันธุ์ด้วยเหตุแห่งการถือศีล ครองตนเป็นโสดอย่างแน่นอน ซึ่งโอกาสที่มนุษย์จะสูญพันธุ์จากสาเหตุอื่นเช่น โลกแตก ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า

ตอบกันเชิงปริมาณไปแล้ว คราวนี้มาตอบเชิงคุณภาพกัน

เรื่องการครองตนเป็นโสดนี้ ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาบุรุษที่เก่งที่สุดในโลก ก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนละทิ้งความอยาก แล้วหันมาครองความโสดได้เลย แม้แต่ภิกษุที่บวชในสมัยพุทธกาลก็ยังมีคนสึกกลับไปมีครอบครัว แล้วในยุคนี้จะมีใครมีความสามารถที่จะสอนให้คนเห็นคุณค่าของความโสดขนาดที่ว่ายอมโสดกันทุกคนได้

ธรรมชาติของสัตว์คือเกิดขึ้นมาแล้วสืบพันธุ์ นี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำกัน แต่มนุษย์ที่จะมีปัญญาพอที่จะเห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการมีคู่ครองนั้นจะมีอยู่สักเท่าไหร่ ในเมื่อการไม่มีคู่ การไม่สืบพันธุ์ นั้นคือการฝืนธรรมชาติ การขัดธรรมชาติ การเป็นไปเพื่ออยู่เหนือธรรมชาติอย่างชัดเจน

ธรรมะของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อทวนกระแสโลก ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ คนอื่นเขามีคู่กัน ครองเรือนกัน สมสู่กัน แต่สาวกของพระพุทธเจ้าพยายามที่จะลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งการฝืนธรรมชาติคือกิเลสตัณหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย หากไม่มีทิฏฐิที่ตั้งตรงสู่การพ้นทุกข์ และการพากเพียรที่เรียกได้ว่าถวายชีวิตให้ธรรม ก็คงจะไม่สามารถผ่านไปได้

คนทั่วไปนั้นจะเข้าใจว่ามนุษย์ต้องดำเนินไปตามธรรมชาติ เกิดมาสืบเผ่าพันธุ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แนวความคิดของพุทธ เพราะพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราเกิดมาด้วยการสมสู่แต่เราไม่จำเป็นต้องไปสมสู่ ให้ละจากสิ่งนั้นเสีย นี้คือความเห็นสู่การพ้นทุกข์ เป็นเครื่องมือออกจากโลก (โลกียะ) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงปัญญาอันรู้แจ้งในกิเลสเช่นนี้

ดังนั้น มนุษย์จึงพากันมีคู่ครองด้วยตัณหาและอุปาทาน คือมีความอยากในการได้เสพสมใจตามความหลงผิดที่ตนได้ยึดมั่นถือมั่นไว้ และพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ด้วยว่า การสมสู่คือการเสพที่ไม่มีวันอิ่ม ดังนั้นการที่มนุษย์จะหมดโลกนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสย่อมไม่มีวันอิ่มจากกามเมถุน เขาเหล่านั้นจะเสพไปเรื่อยๆ จะส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพไปเรื่อยๆ และเขาเหล่านั้นก็สร้างลูกหลานของเผ่าพันธุ์ไปเรื่อยๆเอง

ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลกับอนาคตของมนุษย์ เพราะความจริงแล้วหากกิเลสยังไม่ดับไป สุดท้ายเราก็ต้องเกิดขึ้นมาเสพอยู่ดี ไม่ว่าโลกไหน จักรวาลใด จิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยกิเลสจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพื่อเสพอยู่เสมอและเป็นเช่นนี้ไปไม่มีวันจบสิ้น

– – – – – – – – – – – – – – –

2.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)