ความรัก

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

May 15, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,130 views 1

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

ดาวน์โหลดภาพขนาดเต็ม | Download full size image

การขึ้นคานอย่างเป็นสุข

สรุปปัญหาวุ่นๆของคนใกล้คาน เพื่อนำไปสู่วิธีขึ้นคานอย่างเป็นสุขด้วยกันทั้งหมด 9 ข้อ

1). เฝ้าคานอย่างว้าเหว่: คนโสดที่เต็มไปด้วยความอยากมีคู่ จะรู้สึกว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรสักอย่างไป ความรู้สึกขาดนั้นเองจึงนำมาซึ่งการแสวงหา

2). ใครหนอจะมาเป็นคู่: มีความต้องการหาใครสักคนมาเติมเต็มความพร่อง ก็จะเริ่มมองหาคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาเติมชีวิตให้เต็มได้

3). ใครสักคนจะพาลงคาน: ในจำนวนผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามา น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติที่เราจะยอมให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานะของเรา คุณสมบัติที่ว่านั้นคือความสามารถของเขาที่จะสนองกิเลสของเราได้นั่นเอง

4). หนีคานไปหาคู่: เมื่อเจอกับคนที่ว่าใช่แล้ว ก็มักจะยินดีสละคานซึ่งเป็นที่มั่นแห่งความสุขและสงบที่สุดไป เพราะเข้าใจว่าการขึ้นคานนั้นทุกข์ การลงจากคานนั้นสุข จึงได้ทิ้งคานไปแสวงหาความสุขเอาข้างหน้า

5). เข้าง่ายออกยาก: ชีวิตคู่นั้นมักจะมีรสสุขโลกีย์มาเป็นตัวล่อ แต่พอนานวันไปสุขนั้นกลับลดลง เสื่อมลงหรือไม่มีอีกเลย ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นสิบๆปีก็ได้ และถึงวันนั้นก็ไม่ง่ายแล้วที่จะหลุดออกมาได้ เพราะได้หลงเสพติดรสสุขในกิเลสหลายอย่างไปแล้ว

6). คู่กัด คู่กรรม: พออยู่กับคู่ไปสักพักก็จะเริ่มเอาแต่ใจกัน แม้แรกๆจะยอมกันได้ แต่หลังๆก็เริ่มจะไม่ยอมกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีปากเสียงกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง กลายเป็นคู่กัดที่รักกันไปกัดกันไป สร้างหนี้บาปหนี้กรรมให้ต้องมารับวิบากบาปที่พาให้ชีวิตเป็นทุกข์กันอีกมากมาย

7).หนีคนมาหาคาน: พอทุกข์จากเรื่องคู่จนทนไม่ไหวก็จะหนีคน กลับไปหาคาน เกลียดคน รักคาน กลายเป็นคนเกลียดความรักได้ ในขั้นตอนนี้มีโอกาสที่จะวนกลับไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ หรือพัฒนาต่อไปที่ข้อแปดก็ได้ ถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ก็จะไปเริ่มที่ข้อหนึ่งใหม่ แต่ถ้าเริ่มรู้สึกเอือมระอากับ “ความอยากมีคู่” แล้วก็อ่านกันต่อไป

8).ยกบันไดให้ไกลคาน: ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดเพราะความอยากมีคู่ การที่เรายังมีบันไดแห่งความหวังว่าใครสักคนหนึ่งจะเข้ามาในชีวิต เพื่อให้เราได้เสพสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเขาอยู่นั้น คือความอยากที่เป็นเชื้อทุกข์นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเห็นโทษภัยของความอยากแล้วจึงควรศึกษาเรียนรู้เพื่อหาทางทำลายความอยากนั้นๆ

9).ขึ้นคานอย่างเป็นสุข: เมื่อทำลายความอยากนั้นได้ ก็ไม่ต้องรู้สึกว้าเหว่, เปลี่ยวเหงา, ซึมเศร้าเมื่อต้องอยู่ผู้เดียวบนคาน ไม่รู้สึกทุกข์ใดๆแม้จะต้องใช้ชีวิตอย่างคนโสด แต่กลับเห็นว่าความโสดนี้เองเป็นสุขแท้ เป็นความหลุดพ้นจากความอยากที่คอยผลักดันให้เราสร้างทุกข์ที่มากมายขึ้นมาในชีวิต เมื่อเห็นคุณค่าของความโสดนี้เอง ก็จะเป็นผู้ที่ขึ้นคานอย่างเป็นสุข เกาะคานไว้เป็นที่พึ่งจนวันสุดท้ายของชีวิต

– – – – – – – – – – – – – – –

15.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

May 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 29,695 views 2

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญ กัลยาณมิตรที่พากันไปสู่ความเจริญ

คู่บุญนั้นมีจริงไหม ลักษณะจะเป็นอย่างไร แล้วชาตินี้เราจะได้พบเจอหรือไม่ ในบทความนี้ก็จะมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นเหล่านี้กัน

คู่บุญคืออะไร

ความหมายของคู่บุญนั้นก็คือ คู่ที่พากันเจริญไปอย่างเดียว พากันทำสิ่งที่ดีงาม พากันชำระกิเลส พากันศึกษาธรรม เจริญในศีลขึ้นไปเรื่อยๆ ดูแลเกื้อกูลกัน เป็นกัลยาณมิตรที่คอยตักเตือน สร้างเหตุแห่งการพ้นทุกข์ไปด้วยกัน

การเป็นคู่บุญนั้นจะไม่พากันไปในทางเสื่อม ไม่พากันไปสะสมกิเลส ถ้าเป็นคู่ชายหญิง ก็จะไม่คบหากันเหมือนคู่รัก แต่จะมีสถานะเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลย เพราะการเป็นมากกว่าเพื่อนนั้นเป็นทางที่เสื่อมจากธรรม เป็นทางของกิเลส เป็นเรื่องของความหลง ผู้ที่จะพากันไปเจริญย่อมไม่ยินดีผูกมัดกันด้วยเรื่องทางโลกเช่นการแต่งงาน

เพราะการคบหากันเป็นคู่รักตลอดจนแต่งงานนั้น เป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยการบำเรอกิเลสแก่กัน เป็นการสร้างความผูกมัดในบ่วงกรรมของกันและกัน ผู้ที่จะพากันเจริญย่อมไม่ผูกมัดกันด้วยอกุศลกรรมใดๆ แต่จะผูกมัดกันด้วยกุศลกรรมเท่านั้น เรียกได้ว่าชั่วไม่ทำ พากันทำแต่ความดี

ซึ่งก็จะไม่มีความหลงหรือความลำเอียงใดๆ อันเกิดจากกิเลสให้ต้องพัวพันกันด้วยเรื่องอกุศล คู่บุญจึงเหมือนเพื่อนนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่เรามองว่าเหมือนกับเพื่อนคนอื่นทั่วๆไปบนโลก ดังนั้นจึงสามารถคอยตักเตือนให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้

คู่บุญเกิดมาได้อย่างไร?

คู่บุญเกิดมาจากกรรมดีที่ทำมาร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติ จึงเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้กลับมาทำดีร่วมกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคู่บุญที่พากันเจริญ เพราะการจะมีคู่ปฏิบัติธรรมนั้นต้องหยุดชั่วทำดีให้มากพอที่จะมีกรรมดีให้คงสถานะมิตรต่อไปด้วย

การเป็นคู่รักกันนั้นยากยิ่งนักที่จะกลายเป็นคู่บุญ เพราะจะมีกรรมชั่วที่ร่วมกันเสพมากมาย ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งทะเลาะกัน ทั้งตบตีกัน ทั้งสมสู่กัน ถึงจะพากันทำดีในบางช่วงของชีวิตแต่ก็ต้องมารับกรรมชั่วที่ทั้งคู่ทำอยู่ดี จึงทำให้เกิดผลเจริญได้ยาก เพราะจะมีรักกันบ้าง ชังกันบ้าง โกรธกันบ้าง เกลียดกันบ้าง อาฆาตกันบ้าง คู่รักจึงมีหนี้บาปหนี้กรรมที่ต้องให้มาชดใช้กันมากกว่าพากันไปเจริญ

คู่บุญกัลยาณมิตร

การเป็นคู่บุญนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนต่างเพศ จะเป็นเพศเดียวกันก็ได้ วัยเดียวกันก็ได้ ต่างวัยก็ได้ ซึ่งก็คือคนที่เข้ามาเกื้อกูลกันและกันให้เจริญขึ้นไปในทางธรรม

ยกตัวอย่างเช่นพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร ท่านก็เป็นเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันมาหลายชาติ เกิดชาติไหนก็มักจะเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกัน พากันเจริญร่วมกันอยู่เสมอ นี้คือลักษณะของนักปฏิบัติธรรมที่เกิดมาเป็นคู่ บำเพ็ญเพียรเป็นคู่

ในกรณีต่างเพศหรือต่างวัยก็เช่นกัน สามารถเป็นคู่บุญได้ แต่ลักษณะของคู่บุญที่แท้จริงแล้วจะเอื้อให้เกิดมาเรียนรู้ร่วมกันด้วยโอกาสที่สะดวกที่สุด การมาเป็นเพื่อนนักปฏิบัติธรรมชายหญิงนั้นก็อาจจะไม่สะดวกนัก หรือในคู่ที่ต่างวัยกันก็อาจจะมีคนหนึ่งชิงตายไปเสียก่อน ดังนั้นคู่บุญที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาหลายต่อหลายชาติมักจะเกิดในเพศและวัย รวมถึงองค์ประกอบต่างๆในชีวิตที่ใกล้เคียงกันเพื่อเอื้อให้เกิดการเจริญในธรรมได้ดีที่สุด

คู่รักสู่คู่บุญ

หัวข้อนี้อาจจะถูกใจคนอยากมีคู่รักและเจริญในธรรมไปด้วย แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนจากคู่รักมาสู่คู่บุญนั้นจะต้องผ่านแบบทดสอบมากมาย

การเป็นคู่รักนั้นเกิดจากความหลงเสพหลงสุข เมื่อมีความรักก็อยากได้อยากเสพ จึงหาคนมาครองคู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่มีความพยายามที่จะเจริญในธรรม ดังนั้นจึงต้องขัดเกลากิเลสของตนและคู่เพื่อให้พัฒนาสู่ภพที่เอื้อให้เกิดความเจริญสูงสุด

การขัดเกลากิเลสนั้นมีตั้งแต่การไม่พากันไปสู่ทางชั่ว ไม่บำรุงบำเรอกิเลสให้กันและกัน และในส่วนที่ยากที่สุดคือไม่สมสู่กัน เป็นเรื่องยากที่จะบอกให้คนรักไม่สมสู่กันตั้งแต่วันแรกที่คบหากันไปจนตาย เพราะถ้าไม่ต้องการสมสู่กันแล้ว น้ำหนักในการมีคู่ครองก็แทบจะเบาลงไปในทันที ดังนั้นปราการแรกสู่ความเจริญคือให้เว้นขาดจากการสมสู่กับคู่ของตนตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน

เมื่อเป็นคู่กันแล้ว แต่งงานกันแล้ว แม้จะไม่สมสู่กันก็ยังไม่เรียกได้ว่าหลุดพ้นหรือสามารถเจริญในธรรมได้ดีนัก เขาทั้งคู่ต้องสลัดความหลงในรูปของกันและกัน ผู้ชายก็ไม่หลงในความเป็นหญิง ผู้หญิงก็ไม่หลงมัวเมาในรูปกายของตัวเองและไม่หลงยึดว่าต้องมีชายมาบำเรอตน

ปฏิบัติไปเรื่อยๆหลายภพหลายชาติ ผู้หญิงที่สามารถทำลายภาวะของความเป็นหญิงในตนลงได้ ตัดเหตุแห่งความเป็นหญิงได้ ก็จะเปลี่ยนมาเกิดเป็นเพศชายได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพศชายด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่ หากยังตัดความอยากในการสมสู่หรือความรักใคร่ออกไม่หมด ในชาติใดชาติหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นชายรักชายก็ได้ ไปๆมาๆ กิเลสเพิ่มก็เวียนกลับสลับกันไปเป็นชายหญิงกันใหม่

ดังนั้นกว่าจะเปลี่ยนคู่รักมาเป็นคู่บุญได้แท้จริงนั้นยากมาก ต้องพรากจากการสมสู่ ต้องพรากจากความหลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นกรรมที่สะสมมาหลายภพหลายชาติ ใช่ว่าจะหลุดพ้นกันได้ง่ายๆ แม้คนหนึ่งไม่อยากสมสู่ แต่อีกคนอยากสมสู่ สุดท้ายก็ต้องมาคอยบำเรอกัน ซึ่งก็จะผูกติดกันไปแบบคู่รักเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน

ถ้าถามว่าคู่รักเช่นนี้ทำบุญได้ไหม ก็ตอบว่าได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีและเจริญได้เร็วเท่ากับคู่บุญที่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเทียบกันแล้วก็เหมือนกับม้าที่วิ่งแข่งกับเต่า ดังนั้นหากจะเรียกคู่รักว่าคู่บุญนั้นก็คงจะไม่เข้าในความหมายของคู่บุญที่ยกไว้ในตอนต้น จึงสรุปว่าการยังอยู่ในภพของคู่รักนั้น จึงไม่เรียกว่าคู่บุญ เพราะยังมีเหตุในการทำบาปและความเสื่อมแห่งมิตรภาพอยู่ในความเป็นคู่รักนั้น

คู่บุญหรือคู่บาป

มาถึงคู่สุดท้าย คือคู่บาป คู่ที่พากันใช้ชีวิตไปตามสังคมและโลก ทำทานบ้าง เข้าวัดบ้าง สนองกิเลสกันบ้าง สมสู่กันบ้าง เรียกง่ายๆว่าใช้ชีวิตไปตามวิถีของคนทั่วไปนั่นเอง

การมีคู่แบบนี้ไม่เป็นบุญสักนิดเดียว เพราะบุญคือการชำระกิเลส แต่คู่รักที่ไม่ยินดีถือศีล ไม่ยินดีในการลดกิเลส ไม่ละเว้นการสมสู่ ไม่สลัดความหลงในรูปของกันและกัน แถมยังพากันบำเรอกามกันอย่างไม่เกรงกลัวพิษภัยของบาปจึงพาเป็นคู่ที่พากันไปแต่ทางเสื่อม หรือที่เรียกว่าคู่บาป

เขาเหล่านั้นก็จะเกิดมาเป็นตัวเวรตัวกรรมของกันและกัน คอยฉุดกันลงนรก หากคนใดคนหนึ่งทำกุศลมากพอจนจะได้ฟังธรรมที่พาพ้นทุกข์ อีกคนหนึ่งก็จะฉุดไปลงนรก ไม่ยอมให้อีกคนได้โผล่พ้นขึ้นมาจากใต้กองกิเลส เพราะกลัวว่าถ้าหากคู่ของตนทิ้งตนไปสนใจธรรมแล้วตนเองจะไม่เหลือใครให้เสพ แล้วก็ผลัดกันสกัดกั้นกันและกันอย่างนี้ไปอีกหลายภพหลายชาติ เป็นภาระของกันและกัน เป็นตัวถ่วงความเจริญของกันและกัน เป็นบาปของกันและกัน

ข้อสังเกตง่ายๆคือคู่บาป จะพาให้เราลดศีลของเราหรือลดความเจริญในธรรม คือธรรมที่มีอยู่แล้วก็เสื่อมลง เช่น เราเป็นคนที่กินมังสวิรัติอยู่แล้ว แต่พอไปมีคนรัก เขาไม่ยินดีที่จะถือศีลตามเรา ถึงแม้จะพยายามทำตามก็ทำได้ยากได้ลำบากจนเขารู้สึกกดดัน เราจึงรู้สึกเห็นใจเขาและเวียนกลับไปกินเนื้อสัตว์เป็นเพื่อนเขา

หรือผู้หญิงที่ตั้งใจจะไม่สมสู่จนกว่าจะแต่งงาน แต่เมื่อเจอกับคู่บาปที่มีถ้อยคำสนองกิเลส คำหวานที่ล่อลวงให้ยอมพรากพรหมจรรย์ไปให้เขาก่อนถึงวันที่คิดว่าสมควร ลักษณะเหล่านี้คือคู่ที่พาให้ตกต่ำลง ให้เสื่อมจากศีลธรรมที่เป็นมาตรฐานที่เคยตั้งไว้

หรือพอเราจะไปทำกุศล ไปทำทาน เข้าวัดปฏิบัติธรรม ไปเจอครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่จะไปบวช คนรักของเราก็จะกั้นขวางไว้ไม่ให้เราได้เข้าใกล้ธรรม ไม่ให้เราได้สร้างกุศลหาเจริญในธรรมนานนัก หรือที่หนักๆเลยก็พวกที่จับพระสึกมาแต่งงานก็มีให้เห็นกันมาแล้ว นี่คือพลังของคู่บาปที่จะพยายามพาเรากลับไปนรก กลับไปในทางเสื่อมและจะต้องวนเวียนคอยลากกันและกันกลับไปนรกเพราะจะไม่มีใครยอมให้ใครทิ้งกันไปเจริญ จะต้องอยู่สนองความใคร่อยากด้วยกัน จะต้องมาบำเรอกิเลสของกันและกัน จะต้องเป็นตัวตนของกันและกัน ชาตินี้คนหนึ่งลากอีกคนลงนรก อีกชาติหนึ่งก็จะโดนแก้แค้นโดยการถูกลากลงนรก ผูกพันกันไปด้วยหนี้บาปหนี้กรรมกันอีกหลายกัปหลายกัลป์

. . . จะเห็นได้ว่าการเป็นคู่รักกันโดยไม่มีศีลธรรมนั้นจะพาให้หลงวนอยู่ในกองกิเลสยากจะหลุดออกมาได้ ส่วนคู่รักที่มีศีลมีธรรมนั้นก็กว่าจะทำลายความเป็นคู่รักให้เหลือแต่คู่บุญได้นั้นก็ยากเย็นแสนเข็ญ กามก็อยากเสพ กุศลก็อยากทำ กว่าจะถึงคู่บุญจริงๆนั้นก็ไกลแสนไกล

ดังนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรกจะดีกว่า อย่าไปหลงผูกกันให้ลำบากต้องมาแก้กันทีหลัง เพราะตอนแก้มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนผูก เหมือนกับตอนที่กิเลสเข้ามาแล้วมันไม่ได้ล้างออกไปกันได้ง่ายๆ เพราะถึงแม้จะมีวิธีทำลายกิเลสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วประกาศไว้อยู่ ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำใจให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งความรู้เหล่านั้นได้ง่ายๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เนื้อคู่

May 13, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,266 views 0

เนื้อคู่

คำสั้นๆที่พาให้คนมากมาย

หลงวนเวียนอยู่กับฝันลวงๆ

= == = = = = = = = = = = =

เนื้อคู่ หรือจะเรียกให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า “ตัวเวรตัวกรรม” คือใครสักคนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตและก่อเวรก่อกรรมกันไปให้ต้องไปรับวิบากกรรมกันทีหลัง

และคนที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากก็มักจะถูกเรียกว่า คู่แท้ หรือไม่ก็เนื้อคู่ มักจะถูกใช้ในมุมของ “คู่ครองที่ดี” เท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วศัตรูคู่แค้นก็สามารถเกิดมาเป็นคู่ครองได้เช่นกัน ดังนั้นสภาพของคู่แท้ คือแท้ด้วยการผูกกันด้วยหนี้บาปหนี้กรรมทั้งหลาย เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนสองคน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคู่เท่านั้น

แม้ว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาจะมีบทบาทในชีวิตมาก มีรักที่เกื้อกูลแบ่งปันอย่างจริงใจ แต่มักจะไม่ค่อยได้รับสิ่งดีที่ลูกตอบแทนให้ ตำแหน่งของคู่แท้หรือเนื้อคู่กลับไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาในชีวิตและเสริมเติมแต่งบำรุงบำเรอกิเลสให้กันจนถึงวันแต่งงาน

เมื่อมีการแต่งงานนั่นหมายถึงวันที่เกิดความคะนองกิเลสสูงสุด สุขที่สุด ใคร่อยากเสพมากที่สุด มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ทุกคนต่างพากันยินดีในคนสองคนที่กิเลสหนามาอยู่ด้วยกัน พากันยินดีในการมีคู่ นี่คือการก่อเวรก่อกรรมที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต

พออยู่ร่วมกันไปก็มีทะเลาะกันบ้าง เสพสุขร่วมกันบ้าง ทุกข์สุขปะปนกันไป เกิดเป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องมาคอยรับผลกันอีก หนี้เก่ายังไม่หมดก็ยังก่อหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก เลยกลายเป็นตัวเวรตัวกรรมที่จะต้องมาชดใช้หนี้กรรมกันไปอีกหลายต่อหลายชาติ

แล้วตกลงมันน่าเจอไหมนี่ สิ่งที่เขาเรียกว่า “เนื้อคู่” เนี่ย…

– – – – – – – – – – – – – – –

13.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักกับการปฏิบัติธรรม

May 12, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,493 views 0

เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าการปฏิบัติธรรมกับการครองคู่มันไปด้วยกันได้

แม้จะได้ฟังสัจธรรมมาว่าการมีคู่นั้นเป็นทุกข์ เท่าที่ได้เรียนรู้จากพระไตรปิฎกมานี่ก็ไม่เห็นสุขเลย

แต่กิเลสข้างในมันก็ยังสั่งให้พยายามคิดหาทางจะมีคู่ไปด้วยเจริญในธรรมไป ด้วย …ดูสิกิเลสมันเก่งขนาดไหน เราว่าเราเก่งแล้ว กิเลสมันเก่งกว่าเราอีก มันหลอกเราไปอีกชั้นหนึ่ง

มาตอนนี้ก็บอกกันตรงๆอย่างไม่อายเลยว่า แต่ก่อนนี่มันหลงไปจริงๆ หลงคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสุข เข้าใจว่าสิ่งนั้นสุดยอด หาเหตุผลมากมายให้การได้มีคู่นั้นดูมีประโยชน์และไม่ต้องรู้สึกผิดบาปใดๆ มันหลงไปไกลมาก

เรามุ่งมาศึกษาธรรมแล้วเรายังแสดงกิเลสของเราออกไปโดยที่เห็นว่ามันเป็นสิ่ง ดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แสดงมิจฉาทิฏฐิเราออกมาได้แบบหน้าไม่อาย ทั้งที่จริงๆมันน่าอายมากเลยนะ

ดังนั้นจึงได้นำความรู้ที่ได้มา พิมพ์ลงในบทความ “ความรักกับวิถีทางปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์” เพื่อให้ทุกท่านๆได้ร่วมเรียนรู้กัน