ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

August 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,260 views 0

ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

กาลเวลาที่ผ่านไปได้แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยน แม้แต่ใจคนที่หนักแน่น คำพูดที่จริงจัง คำสัญญาที่ตั้งมั่นว่าจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็ต้องค่อยๆเสื่อม ค่อยๆพราก ค่อยๆจาก และเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล….

ขับรถไป เปิดวิทยุไป แล้วเขาก็เปิดเพลงหนึ่ง ฟังแล้วรู้สึกทันทีว่าน่าจะเอาเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึกนี้มาพิมพ์บทความกันสักหน่อย (เปลี่ยน – บี๋ คณาคำ อภิรดี : http://www.youtube.com/watch?v=0i-e5nnDfgU)บทความนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากการฟังเพลงนี้ละนะ

ความรักกับความเปลี่ยนแปลง…เรื่องราวเกี่ยวกับความรักในบทนี้ ก็คงจะกล่าวกันถึงความรักที่มีความเปลี่ยนแปลงที่มีทิศทางในลักษณะที่เสื่อมลง คลายลง ถดถอยลง จนถึงสลายหายไป เป็นทุกข์แบบชัดเจน

ขึ้นชื่อว่าความรักนั้นก็เหมือนของหอม ของงาม น่าโหยหา น่าเอามาผูกพัน น่าเอามายึดไว้ข้างกาย เป็นความสุขความสมบูรณ์ตามที่สังคมและโลกสอนให้เราเข้าใจ ให้เรารับรู้ว่าการที่คนเราได้รับความรัก ได้มีคู่รัก นั่นคือจุดสมบูรณ์ของชีวิต เหมือนในนิทาน ในนิยาย ในละคร ที่ตอนจบพระเอกและนางเอกก็ได้ร่วมชีวิตกัน

เป็นเหมือนเรื่องราวที่โลกทำให้เราเข้าใจว่าการได้มีคู่ ได้สมรส มีครอบครัว นั้นคือความสุข เป็นจุดจบของทุกสิ่ง เพราะส่วนใหญ่เรื่องราวในหนังมันก็จบแค่นั้น… แต่ถ้าชีวิตจริงมันจบแค่นั้นก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า

เมื่อได้เสพสมใจ คือการแต่งงาน จนไปถึงการสมสู่ ความต้องการของเราจะได้รับการเติมเต็มอย่างสูงที่สุด ตามแต่ใครจะสร้างกิเลสเหล่านั้นขึ้นมา ดังจะเห็นได้โดยทั่วไปว่า ไม่มีงานใดยิ่งใหญ่มากเท่างานแต่งงานในชีวิตของคนหนึ่งคนแล้ว เรียกได้ว่าเป็น“จุดพีค” ของชีวิตเลยทีเดียว ถ้าเป็นละครก็คือตอนสำคัญเชียวละ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับต้องการเสพความสุขเหล่านี้ “มากขึ้นเรื่อยๆ” ในขณะที่ความอยากจะตอบสนองของอีกฝ่ายลดลง หรือหมดความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของคู่ตน ที่มีแต่จะพัฒนาความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ขึ้นทุกวัน

เมื่อคนเรามีความต้องการ ความอยากเป็นเจ้าของ หรือกระทั่งความใคร่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “ความรัก” เข้ามาเป็นตัวแทนโดยทำทุกอย่างให้เหมือนทุ่มเท ใส่ใจ เอาใจใส่ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะสนองกิเลสอีกฝ่ายให้พอใจกับการกระทำของตน เรียกง่ายๆว่า เอาใจ…จนจีบติด , เมื่ออีกฝ่ายเริ่มสนใจ ก็จะสนองกิเลสเพิ่มเข้าไปอีก หาสิ่งมาเติมกิเลสเข้าไปอีกให้เกิดความอยากร่วมชีวิต ให้มาแต่งงานร่วมกัน มีคำหวาน คำสัญญา คำพูดและสิ่งของอีกมากมายที่จะมาหลอกล่ออีกฝ่ายให้มาตกลงปลงใจกับตนเอง โดยเนื้อแท้ที่ทำทั้งหมดตั้งแต่แรกคือจะเอามาสนองกิเลสตัวเอง คือ อยากครอบครอง อยากสมสู่ อยากมีคนแก้เหงา อะไรก็ว่ากันไป… จนสนองกิเลสกันสำเร็จ ตกลงใจร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน

การกระทำเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามสัญชาติญาณ ไม่ต้องนึกหรือบังคับ กิเลสก็จะกุมบังเหียนพาเราไปสู่จุดที่อยากจะเสพสมใจเอง โดยทั่วไปแล้ว คนจะเข้าใจว่า ตัวเองเข้าใจว่าทำอะไรอยู่ แต่ไม่เข้าใจว่าจริงๆที่ทำอยู่ นั้นมาจากคำสั่งของกิเลส ประมาณว่าไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าโดนบงการ เลยเข้าใจไปว่า ทำด้วยหัวใจ,ความรักอยู่ที่ใจ,คนมีรักถึงจะเข้าใจ,เราให้เพราะอยากให้,ฯลฯ …กิเลสทั้งนั้น

ความฉิบหายจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้ เมื่อฝ่ายหนึ่งได้เสพสมกิเลสตามที่ตนพอใจแล้ว อาจจะเป็นเรื่องการได้ครอบครอง การได้สมสู่ การได้มีสิ่งที่หวัง ก็จะเริ่มลดความพยายามในการตามใจ หรือการสนองกิเลสของอีกฝ่ายลง ในขณะที่อีกฝ่ายก็งง ว่าทำไมแต่งงาน หรือเป็นแฟนกันแล้ว ได้กันแล้ว กลับเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม นั่นก็เพราะเขาได้ในสิ่งที่คาดหวังมาหมดแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำมาก็แค่เพื่อเสพสมบางสิ่งจากตัวเราเท่านั้นเอง เมื่อเขาเสพสมใจแล้วเขาจะพยายามต่อไปเพื่ออะไร?

จากจุดนี้ก็คงจะไม่มีใครพูดตรงๆถึงปัญหาซึ่งเป็นรากเหง้าเหล่านี้เพราะส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้ เนื่องจากไม่เคยศึกษากิเลสตัวเอง ก็เลยจะออกมาในรูปของการทะเลาะ ความไม่เข้าใจกัน ความขัดแย้ง อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง ไปจนกระทั่งถึงเลิกราต่อกัน

ในอีกกรณีหนึ่งก็คือการสร้างภาพกันทั้งคู่ เวลาที่ยังไม่อยู่ร่วมกันก็เป็นคนดีทั้งคู่ แต่พอมาอยู่ด้วยกัน เริ่มเคยชินกัน จึงไม่ค่อยสำรวม กิเลสที่เคยกดข่มไว้ก็ค่อยๆคลายออกมา กลายเป็นความเอาแต่ใจ อารมณ์ร้าย เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทีนี้พอคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ร่วมกัน แต่ละคนก็อยากได้ อยากให้อีกฝ่ายสนอง แรกๆก็พอจะสนองกันไปได้ วันหนึ่งเริ่มไม่ไหว ก็เลิกสนอง กลายเป็นหามือที่สามมาสนองกิเลส หรือไม่ก็เลิกรากันไป

ดังจะเห็นได้ว่า ในทุกการเปลี่ยนแปลงของความรักนั้นมีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดัน เป็นเหมือนแรงลมที่ทำให้ทุกๆอย่างเคลื่อนไหว ดังนั้นความรักที่ขับเคลื่อนไปด้วยลมแห่งกิเลสจะไม่มีวันเปลี่ยนไปได้อย่างไร

ทีนี้คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น หลงไปในคำสัญญา ก็จะยึดว่าเขาต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนจากวันที่รักเรามากที่สุด เมื่อคิดเช่นนี้ มันก็ทุกข์เอง และพยายามจะกอดทุกข์เหล่านั้นไว้ไม่ปล่อย โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ารักที่มาจากกิเลสนั้นจะต้องมีวันเปลี่ยนแปลงไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ถึงแม้ว่ารักนั้นจะสะอาดปราศจากกิเลศก็ตาม ก็ยังต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง ความพลัดพราก คนที่เคยดูแลเรา อาจจะกลายเป็นคนที่เราต้องดูแล คนที่เราฝากชีวิตไว้ อาจจะจากเราไปก่อนที่เราจะทำใจได้ ความเปลี่ยนแปลงนำพาทุกข์มาให้ผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเสมอ

ความรักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยงแท้แน่นอน นั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้เพียงแค่พูด แค่คิดเอา แค่ตั้งมั่นสัญญา หรือด้วยความเข้าใจเพียงแค่ว่า “เรานี่แหละมีรักที่มั่นคง” สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถหยุดความเปลี่ยนแปลงของกิเลสเรา ที่มันจะโตขึ้นทุกวันทุกวันได้

หากเราอยากพบกับความรักจริงๆแล้ว คงต้องพยายามบากบั่น ทำลายความเอาแต่ใจ ความอยากครอบครอง ความหลง ความเหงา ฯลฯ ของตัวเองให้สิ้นเกลี้ยงเสียก่อน จึงจะพอเห็นแสงสว่างปลายทางที่เรียกว่ารักแท้ได้บ้าง

หากใจยังปนเปื้อนไปด้วยกิเลส ก็คงมีแต่คำว่า “รักแท้” ที่เป็นคำลวง พาให้หลงใหล พาให้ปักใจเชื่อ และรอวันเวลาผ่านเข้ามาพรากสิ่งลวงนั้นไปในวันใดก็วันหนึ่ง เหลือทิ้งไว้แต่คนที่ยังยึดมั่นกับรักแท้ที่เป็นคำลวง คนที่หลงเข้าใจไปว่าทุกสิ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง

– – – – – – – – – – – – – – –
24.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

August 22, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,237 views 0

แมลงทับ... ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านสวน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นสิ่งแปลกตาที่ไม่น่าจะอยู่บนพื้นดิน เดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นซากแมลงทับตัวหนึ่งที่ห้อมล้อมไปด้วยฝูงมด

ผมไม่ได้เห็นแมลงทับมานานมาแล้วเพราะอยู่แต่ในเมืองกรุง สีสันของแมลงทับเป็นสีเขียวมันเงาสวยงามเหมือนสีของอัญมณี ผมชอบมันนะ ตอนเด็กก็ยังเคยซื้อแมลงทับมาเลี้ยงอีกด้วย …ผมกำลังคิดจะเก็บมันขึ้นมา แต่เมื่อเห็นฝูงมดรอบๆ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าซากแมลงทับตัวนี้คงมีประโยชน์กับพวกมันมากกว่าตัวผมแน่นอน

ฝูงมดพยายามรุมล้อมแมลงทับ คงจะขนย้ายหรือหาอะไรที่พอจะกินได้ มดมันคิดแค่เรื่องดำรงชีวิต ไม่เหมือนกับที่ผมคิด…เพราะเมื่อกี้นี้ ผมคิดจะหยิบมันขึ้นมาเพราะความสวยงามของมัน

…. ผมเดินออกมาจากซากแมลงทับและฝูงมด พร้อมกับคิดว่า…ทำไมเราถึงไปติดกับความสวยงามเหล่านั้นนะ ทั้งที่จริงมันไม่ใช่สาระ หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ สิ่งที่มดเห็นคือคุณค่าของชีวิตจริงๆ เป็นอาหารจริงๆ ไม่ใช่เอามาประดับตกแต่งอะไรอย่างคนเรา

ความคิดมันขยายต่อไปอีกว่า การที่คนเรามานั่งแต่งหน้า แต่งตัว ประดับประดา แต่งรถ แต่งบ้าน แต่งสวน…ฯลฯ นี่มันไม่มีสาระทั้งนั้นเลย มีแต่ความอยากสวยอยากงาม …ความอยากที่มดมันยังไม่มีเลย …ถ้าเกิดมาเป็นคนแล้วขยันให้ได้อย่างมด เอาแต่สาระที่จำเป็นให้ได้อย่างมด สามัคคีให้ได้อย่างมด ก็คงจะดีนะ

…ซากแมลงทับถึงคนจะไม่สนใจ แต่มดก็ยังสนใจ แต่ซากคนนี่สิ สวยแค่ไหนก็ไม่มีใครเอา เผาทุกราย ยกเว้นแต่ว่าเป็นคนดี มีคุณค่า น่ากราบไหว้จริงๆ ก็คงจะมีบ้างที่จะมีใครอยากเก็บซากคนดีเหล่านั้นไว้ เพื่อประโยชน์อะไรสักอย่าง

– – – – – – – – – – – – – – –
22.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

 

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

August 11, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,184 views 0

จริงหรือที่ว่ารัก?...เราจะรู้ได้อย่างไร...เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

บังเอิญได้ดูเรื่องราวจำลองของเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเรื่องของความรักปนไปกับความเหงาและความใคร่ ก็คงจะดีถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง (Club Friday The Series 4 หรือรักแท้จะแพ้ความต้องการ (เรื่องราวจาก คุณแอร์ )[ http://www.youtube.com/watch?v=zS3U4MROlvE ])

เป็นเรื่องที่ใช้เวลาดูเป็นชั่วโมง…. พอดูแล้วก็นึกถึงเหตุของความรัก ที่เกิดมาด้วยหลายแรงผลักดัน ความถูกใจ ความใคร่ ความเหงา ลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ สุดท้ายก็ออกมาในรูปของคำว่า ”ความรัก” แต่ถ้าหากเราไม่แยกส่วนผสมของรักให้ดี ก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่ามีกิเลสปนเปื้อนอยู่เป็นส่วนใหญ่

คนเรามักจะนิยามความรักในมุมสวยงาม แต่ไม่เคยลองพิจารณาดีๆว่าเรารักเพราะอะไร เพราะรูปสวย เพราะรวยทรัพย์ เพราะมีหน้าที่การงานดีในสังคม เพราะเขาเอาใจเรา เพราะเขาให้คุณค่าเรา เพราะเขาสนองได้ตามที่เราอยากได้ ความรู้สึกเหล่านี้เป็นกิเลสล้วนๆ ความรักที่แท้นั้นไม่ควรปนเปื้อนด้วย อบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา คือกิเลสที่จะนำมาสู่ความทุกข์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

รักที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ความอยาก ความใคร่ ไม่มีทางจบด้วยความสุข เพราะเมื่อไม่ได้เสพสมกิเลสหรือสมความใคร่อยากนั้นก็เกิดทุกข์ แต่พอได้เสพก็ลดทุกข์ลงไปได้บ้างแต่กลับเติมกิเลสให้ต้องการมากขึ้นเสพมากขึ้น มีความอยากความเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย เป็นเพียงแค่สุขลวงที่มาล่อให้เกิดทุกข์จริงเท่านั้น

เราอาจจะเห็นว่าหลายคู่ก็รักกันดี จึงพยายามเอามาคิดฝันถึงเรื่องของตัวเอง จนลืมไปว่าเรามีกรรมที่ต่างกัน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอสิ่งที่ดีแบบคนอื่นเขา ถึงแม้ว่าถ้าเจอคนที่ดีจริงก็จะไม่พากันไปสู่นรก คือการแต่งงาน สังเกตุว่าเมื่อมีการแต่งงาน หลายๆสิ่งจะเปลี่ยนไป เพราะเมื่อคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว วันใดวันหนึ่งที่ไม่สามารถสนองกิเลสอีกฝ่ายได้ ก็จะกลายเป็นชนวนให้เกิดความบาดหมาง จนกระทั่งเป็นเหตุให้บางคู่ได้มีอิสระ บางคู่ต้องอยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง บางคู่ก็มีแต่ทนทุกข์ บางคู่มีลูกเป็นบ่วงยึดไว้อีก

ผมเคยได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้า ใจความประมาณว่า “คนที่ไม่มีลูกเป็นคนที่โชคดีมาก แล้วจะกล่าวไปใยกับคนที่เป็นโสด” ดังจะเห็นได้ว่า การมีลูกนำทุกข์มาให้ และการแต่งงานก็นำทุกข์มาให้เช่นกัน จริงๆแล้วเราทุกข์ตั้งแต่มีความรักที่เต็มไปด้วยความอยากหรือกิเลสอยู่แล้ว

ความรักที่ดีนั้นควรจะอยู่บนพื้นฐานของอิสระ เกื้อกูลกันด้วยสิ่งที่เป็นกุศล พากันทำกุศล พากันเจริญ ไม่มีการผูกมัดกันด้วยสัญญาใดๆ เป็นรักที่ยอมปล่อย ยอมสละ ยอมแม้แต่จะไม่ครอบครอง ยอมปล่อยให้คู่ของตัวเองเป็นไปตามกรรมที่เขาควรจะเป็น รักอย่างเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยไม่มีการยึดมั่นถือมั่น เขาจะอยู่กับเราก็ได้ เขาจะไปจากเราก็ได้

ในเรื่องนี้ถ้าเราเข้าใจกรรมและผลของกรรมอย่างถ่องแท้ จะไม่สงสัยใดๆ จะเข้าใจว่า ว่ามันก็เป็นของมันแบบนี้ละนะ เพราะการที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายหรือวิบากบาปแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากกิเลสของเรานั่นแหละ เพราะเราเคยไปทำอะไรไม่ดีมากสักอย่าง ผลมันก็เลยออกมาแบบนี้ ก็จะรับรู้จะเข้าใจ รับผลแล้วก็หมดไป ดีซะอีกได้ใช้หนี้บาปให้หมดไปอีกเรื่อง อาจจะลองจินตนาการตามไปก็ได้ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็ไปทำแบบนี้มานั่นแหละ เราเองที่ทำมา…

และจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปอย่างไร คนก็หนีไม่พ้นเรื่องกามเมถุน …กิเลสอันเป็นรากที่ทำให้เกิดความใคร่จนลงมือก่อบาปเหล่านี้ คือกามราคะ เป็นสังโยชน์ที่ผูกมัดเราให้ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส กามราคะไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องสมสู่ ยังรวมไปถึงการเสพในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่างๆ เช่น ฟังเพลงเพราะ กินอาหารอร่อย ชอบกลิ่นหอมๆ ชอบคนหล่อคนสวย ชอบบ้านที่อยู่สวย ชอบเตียงที่นุ่ม อะไรก็ว่ากันไป

หลายคนเข้าใจว่าอายุมากขึ้นแล้วคงเบื่อหน่ายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ กิเลสจะเปลี่ยนรูปจากความต้องการในการสมสู่เป็น ความติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อื่นๆได้เช่นกัน สังเกตก็ได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งดื้อ ยิ่งอยากเสพของอร่อย อยากสบาย มีความอยากและข้อแม้เต็มไปหมด ทุกข์เหล่านี้มันจะอยู่ตามหลอกหลอนเราตราบเท่าที่เรายังยึดกามราคะนี้ไว้เป็นตัวเรา จะเกิดอีกกี่ครั้งก็ต้องเจอมันทุกครั้ง เจอเรื่องราวประมาณนี้เรื่อยไป วิธีเดียวที่จะกำจัดมันก็คือ…ล้างกิเลส

– – – – – – – – – – – – – – –
10.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

จริงหรือที่ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

August 10, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 11,364 views 1

จริงหรือที่ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

จริงหรือที่ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

คงจะมีหลายครั้งที่เรามักจะคิดไปว่า เราทำดีกลับไม่ได้ดี แต่คนที่ทำแต่ความชั่วกลับได้ดี อยู่สุขสบาย แคล้วคลาดปลอดภัย ทำให้คนที่คิดจะทำดีน้อยใจ นั่นก็เพราะเราทำดีเพื่อที่จะเอาผลดี เมื่อมีความหวังว่าจะเอาดีแล้วไม่ได้รับดีตอบ ก็อกหักอกพังกันไปตามๆกัน

คำที่ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” นั้นเกิดขึ้นมาเพราะเรายังไม่เข้าใจในเรื่องของกรรมและผลของกรรม คนที่เข้าใจเรื่องของกรรมอย่างถ่องแท้ จะไม่สงสัยในการเกิดสิ่งใดๆในโลกเลย เพราะทุกสิ่งล้วนมีมาแต่เหตุ คือมีเหตุก็ต้องมีผล สิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นผล แล้วเหตุล่ะมันมาจากไหน?

พระพุทธเจ้าได้สอนให้เราเข้าใจว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับ เราทำมาแล้วทั้งนั้น

นั่นหมายความจะสิ่งดีหรือสิ่งร้าย ก็เป็นสิ่งที่ตัวเราเองสร้างมาทั้งนั้น เมื่อเราได้รับสิ่งดีเรามักจะมองข้ามเหตุของมันไป แต่เมื่อได้รับสิ่งร้าย เรากลับมองหาคนผิด มองหาคนก่อเหตุ ว่าใคร อะไรมาทำให้เราทุกข์ โดยไม่ได้มองย้อนกลับไปพิจารณาตามจริงเลยว่าสิ่งที่เราทำมานั่นแหละ ทำให้เราทุกข์

บางคนก็จะคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่า ชาตินี้ฉันไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยเบียดเบียนใคร ทำแต่ความดี แล้วทำไมฉันต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ เมื่อคิดแบบนี้ก็ทำให้ใจเป็นทุกข์ นั่นก็เพราะเขาทำดีเพื่อที่จะเอาดี หวังผลให้เกิดดี พอไม่เกิดดีดังใจหมายก็เป็นทุกข์ โดยที่ไม่คิดย้อนไปว่าการเกิดสิ่งร้ายนั้นเป็นเพราะสิ่งที่เราทำในอดีต อาจจะในวันก่อน ปีก่อน หรือชาติก่อนก็ได้

ลองนึกดูก็ได้ ว่าเราทำดีอะไรมาถึงได้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีปัจจัยสี่พร้อมเพรียง ไม่ลำบาก ไม่ขัดสน เราทำอะไรมาล่ะจึงได้สิ่งนี้ ในเมื่อสัจจะบอกว่าเราจะได้รับแต่สิ่งที่เราทำมา แล้วเราไม่เคยทำดีในชาตินี้เลย ทำไมจึงได้เกิดมามีชีวิตที่ดี ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเราไม่ได้ทำเหตุอะไรเลยในชาตินี้ แต่เกิดมาก็สมบูรณ์พร้อมแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก็เกิดจากดีที่เราทำมาแต่ปางก่อน

ในเมื่อเรายินดีได้รับสิ่งดีให้เกิดในชีวิตแล้ว แต่เวลาเกิดสิ่งร้ายเรากลับไม่ยินดียอมรับในผลกรรมที่ตัวเองทำมา เมื่อไม่ยินดีรับกรรมที่ทำมาก็จะทำให้เกิดทุกข์ ส่วนดีที่ทำใหม่เมื่อเร็วๆนี้ก็อาจจะยังไม่เกิดผล เพราะชั่วที่เคยทำมาก่อนอาจจะยังส่งผลอยู่ การทำดีแล้วคาดหวังว่าต้องเกิดสิ่งที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อไม่เกิดดีตามที่ใจหมายก็ต้องปล่อยวางให้ได้ อย่าให้ความคาดหวังกลับมาทำร้ายตัวเอง

อีกเหตุผลหนึ่งในการที่เราทำดีแล้วยังไม่ได้ดี ไม่เกิดสิ่งที่ดี เป็นเพราะเราทำดียังไม่มากพอ หรือเข้าใจไปเองว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่จริงๆมันไม่ดี ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม เพราะเราเองไม่ได้ศึกษาให้ลึกซึ้งว่าสิ่งใดดีมีคุณค่าแท้ หรือเข้าใจไปว่าดีตามที่สังคมเข้าใจ

ความดีที่สังคมเข้าใจกับความดีจริงๆ นั้นอาจจะไปกันคนละทิศละทาง ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ย่อมปนเปื้อนไปด้วยกิเลส คือความขี้เกียจ มักง่าย เร่งผล เอาแต่ใจ ฯลฯ ทำให้หลายๆสิ่งถูกบิดเบือนไปจากความจริง ความดีที่แท้ ก็ถูกปนเปื้อนด้วยทุนนิยม ความเชื่อ ความงมงาย พิธีกรรม ไสยศาสตร์ ฯลฯ เราจึงต้องศึกษาให้เข้าใจถึงความดีอย่างถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิ

ในส่วนของคนชั่วที่เขาไม่ได้ทำดีแต่ได้ดี นั่นก็เกิดจากดีที่เขาทำสะสมมานาน เมื่อเขาทำดีมา เขาก็ต้องรับดีตามที่เขาทำมา แม้ในเวลาที่เขาทำชั่ว ดีที่เขาทำก็จะมาส่งผลให้สิ่งร้ายๆเบาบางลง แต่เมื่อไหร่ที่ความชั่วที่ทำนั้นมีน้ำหนักมากกว่าดีที่เคยทำมา เมื่อนั้นแหละที่เขาจะได้รับทุกข์ โทษ ภัย ทรมานแสนสาหัส

– – – – – – – – – – – – – – –
10.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์