Tag: โสด
อยู่เป็นโสดดี หรือมีคู่ อยู่ที่การให้คุณค่า
ถ้าเราให้คุณค่ากับสิ่งไหน สิ่งนั้นก็จะสำคัญกับเรา แม้ว่าแท้จริงมันจะเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตก็ตามที เพียงแค่เราหลงให้คุณค่ากับมัน มันก็จะมีคุณค่า มีมูลค่า มีราคา ที่เราจะยอมจ่ายให้กับมัน
เรื่องคู่ก็เช่นกัน มันก็อยู่ที่ใครจะให้คุณค่ากับสิ่งนั้น ถ้าให้มาก ก็จะรู้สึกว่ามันมีค่ามาก ไม่ให้เลย มันก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ตัวแปรที่จะส่งผลต่อการให้ค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือ “กิเลส”
กิเลสไม่มีจุดจบ แต่ความไม่มีกิเลสมีจุดจบ ดังนั้นพระพุทธเจ้าและสาวกจึงพากันสละกิเลส ตั้งแต่วัตถุหยาบ ๆ ไปจนถึงขั้นสละตัวตนทิ้งไปเสีย
คู่นั้นคือวัตถุที่อยู่ระหว่างทางที่จะต้องสละต่อไปจนหมดกิเลส ก็เรียกว่าประมาณต้น ๆ ทางนั่นแหละ ไม่ได้ลึกลับอะไรมากมาย เพราะเป็นรูปของความเบียดเบียนที่เห็นได้ชัดอยู่ ยังไม่ถึงขั้นนามธรรมที่มองไม่เห็น
ถ้าเราลดกิเลสได้ตามลำดับ ละอบายมุข ถือศีล ๕ และพัฒนาไปเรื่อย ๆ การให้คุณค่าในการมีความรักแบบคนคู่จะลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะจะเริ่มเห็นว่ามีอะไรที่ดีกว่า สุขกว่า เบากว่า สบายกว่า
เมื่อมีสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าการมีคู่ การไปแสวงหาคู่ครองหรือหมกมุ่นเรื่องความรักก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ในทันที
แต่การจะเห็นว่าสิ่งใดมีคุณค่ามากกว่าการมีคู่ เช่น เห็นว่าการอยู่เป็นโสดนั้นดีกว่าการมีคู่นั้นไม่ง่าย ต้องอาศัยธรรมะเป็นเครื่องชี้นำและอาศัยพุทธสาวกเป็นผู้ชี้ทาง
ซึ่งจะเป็นการกระทำที่สวนกระแสโลกอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกต่างชี้นำให้ไปมีคู่ มีคู่ให้เป็นตัวอย่าง พลอดรักกันเป็นตัวอย่าง ทำท่าทีเป็นสุขให้เป็นตัวอย่าง แล้วคนส่วนใหญ่เขาจะไปทางไหน เขาก็ไปตามกระแสโลกนั่นแหละ
ดังนั้นการสวนกระแสโลกมาให้คุณค่ากับการอยู่เป็นโสดจึงเป็นเรื่องยากจริง ๆ
ตึงจนเครียด?
ก็เห็นโพสที่เขาแสดงความเห็นกันแบบตึงจนเครียด ก็เลยมาตรวจตัวเองว่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เช่นนั้นรึเปล่า
งานที่ผมทำ ที่คนอื่นจะพอเห็นได้ คือบทความ และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโสดและคนคู่ ซึ่งถ้าเลื่อนดู บางทีก็จะมีติดกันหลายวันหลายตอนจนบางคนอาจจะเข้าใจว่าผมจริงจังมาก
จริง ๆ ก็ไม่ใช่หรอก งานหลักของผมคือทำสวน งานรองทำงานสื่อจิตอาสา ถ้าเหลือเวลาว่างอีกคิดอะไรออกก็เอามาพิมพ์ เรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์นั่นแหละ
ส่วนที่พิมพ์ติด ๆ กันบ้าง เพราะมันเป็นประโยชน์ไง บางทีพิมพ์บทแรกไป ก็คิดบทสองได้ เอ้อ มันก็น่าจะเป็นประโยชน์นะ ก็พิมพ์ไปซะหน่อย คนเขาสนใจ เขาก็อ่าน ไม่สนใจเขาก็ผ่าน เฟสบุ๊คมันดีตรงนี้นี่แหละ คือคนเขามีอิสระในการอ่านหรือไม่อ่านก็ได้ เราก็ไม่ได้บังคับใครมาอ่านซะหน่อย
ส่วนตัวผมสบายมาก ทั้งใจทั้งกาย สบายใจเพราะได้แบ่งปันสิ่งดี สบายกายเพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักเหนื่อยจากงานมาพิมพ์หรือไม่ก็ตอนค่ำ ๆ ที่มีเวลาผ่อนคลายค่อนข้างเยอะ
ถ้าความตึงมันไม่ได้เกิดที่เรา แล้วมันจะเกิดกับคนอื่นได้ไหม? ก็ตอบว่าได้ ถ้าเขามีความชังมาก ๆ หรือเขาอินทรีย์พละอ่อน พระพุทธเจ้าเคยตรัสเกี่ยวกับพวกอินทรีย์พละอ่อนหรือพวกภูมิธรรมอ่อนแอว่า สอนอะไรก็ไม่ทำ สอนอะไรก็ว่ายาก สอนอะไรก็แย้ง ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นธรรมดาในโลก เก่งสุดอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนหาว่าตึงเลย อันนี้มันก็เป็นเรื่องของโลกไป
เรื่องโสดนี่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากแบ่งปันสิ่งดีนะ ใครเห็นประโยชน์เขาก็มาเอาเอง เพราะรู้ว่าจริง ๆ มันยาก มันยากกว่าฐานศีล ๕ อีก แค่ถือศีล ๕ ละอบายมุข หมั่นทำดี ก็ใช่ว่าจะมีกำลังที่จะพาตนเองเป็นโสดได้ เพราะการจะปฏิบัติตนเป็นโสด มันก็ต้องฝืนกิเลสมากกว่า แต่คนจะมาถือศีล ๕ ละอบายมุขได้เขาก็ดีมากแล้วแหละ ดีกว่าคนทั่วไป แต่เรื่องเป็นโสดนี้บางทีมันก็ไม่ใช่ฐานเขา
แต่ถึงมันจะยาก มันก็ยังเป็นดี ที่ควรประกาศไว้ เพราะทุกวันนี้ในสังคมส่วนใหญ่จะมีความรู้ตันอยู่แค่ มีคู่ดีอย่างไร ใช้ชีวิตคู่ปล่อยวางอย่างไร มันติดเพดานตรงนี้ ผมก็คิดว่าเราน่าจะขยายแนวคิดไปให้ครบจบถึงการพ้นทุกข์อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่ใช่มาติดอยู่ที่เสพกามอย่างผาสุก อันนี้ไม่เจริญ
คนที่มีภูมิธรรม มีของเก่ามา หรือตั้งใจปฏิบัติเขาจะได้มีทางเดินต่อ ไม่ใช่ไปหลงอยู่กับการหาคู่ดีคู่ไม่ดี มันเสียเวลาชีวิตมาก แทนที่จะได้เอากำลังที่มีไปทำสิ่งที่มีประโยชน์กว่า ก็ต้องเสียเวลาเพราะไม่รู้ว่าอะไรมันดีกว่าการมีคู่ที่ดี
อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ที่พิมพ์ไปเยอะ ๆ นั่น พิมพ์แบบไม่มีหวังเลย เพราะขนาดผมเจอคนที่เขาศรัทธามากเลยนะ เกื้อกูลมากด้วย คือมีทั้งศรัทธาและสร้างวิบากดีร่วมกัน ยังไม่รอดเลย
การจะมาหวังให้พิมพ์ ๆ กันแค่นี้แล้วอ่านจนโสดอย่างผาสุกได้นี่ก็เก่งเกินคนไปแล้ว เพราะที่ให้ไปก็มีแค่ความรู้กับสภาวะ แต่ถ้าไม่มีวิบากดี ที่ทำดีมามาก หรือเคยเกื้อกูลกันมา นี่มันจะไม่มาไม่ไปหรอก แต่อย่างน้อยก็จะไม่เสื่อมไปมากกว่าที่ตนเองเป็น
การตั้งจิตปฏิบัติตนเป็นโสด คือ อยู่คนเดียวให้ได้อย่างผาสุก การอยู่คนเดียว อยู่เป็นโสดนั่นแหละคือโจทย์ ว่าเราจะแส่หาความไม่โสดหรือเปล่า
คนโสดอยู่คนเดียวก็เป็นสุข อยู่กับเพื่อนก็เป็นสุข เพราะขนาดคู่ยังไม่เอา แล้วจะไปเอาอะไรกับเพื่อน ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แล้วไปติดเพื่อน ไปหวั่นไหวกับเพื่อนนะ ถ้าโสดได้จริงมันจะแกร่งขนาดไม่ติดเพื่อน แต่ก็จะอาศัยเพื่อนในการสร้างความเจริญ จะไม่มีหรอกทะเลาะกันหรืออาการง้องอน ซึ่งเป็นธาตุแห่งความเป็นคนคู่เช่นนั้น ก็เป็นเพื่อนแค่ร่วมงาน ปรึกษา ร่วมพัฒนากันไป แต่ไม่ได้ผูกกัน ไม่ได้ยึดกัน แค่อาศัยกันเท่านั้น
จะว่าไปคนอินทรีย์พละอ่อน นี่ถ้าเขาไปอ่านพระไตรปิฎก เขาจะรู้สึกตึงเครียดมากเลยนะ มีแต่ประโยคย่ำยีกิเลส มันจะอึดอัดในใจเพราะกิเลสไม่ชอบธรรมะ มันก็เป็นธรรมดาของมันแบบนี้แหละ
ประพฤติตนเป็นโสด ทั้งรูป ทั้งนาม
บทความก่อนมีคำว่าโสดทั้งรูปทั้งนาม ก็นึกถึงตัวเองสมัยศึกษาธรรมใหม่ ๆ บางทีก็งงศัพท์ ว่าไอ้คำที่ว่า มันหมายความว่ายังไง มันเป็นยังไง ก็เลยเอามาลองพิมพ์ให้อ่านกัน
โสดทั้งรูป
คืออยู่เป็นโสดนั่นแหละ ตั้งตนอยู่เป็นโสดให้ได้ ให้นิ่งเลยเลย ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหว ไม่ไหวติง มีสาวมาอ่อย มีหนุ่มมาเกี้ยวก็ไม่ออกอาการหวั่นไหว อันนี้คือทำรูปให้เป็นโสดได้
ไม่ใช่ว่าเป็นโสดแล้วแส่หานะ ไปแจกขนมจีบเขาไปทั่วอันนี้ไม่ใช่ มันต้องนิ่งพอจะทน ถ้ามีหนุ่มสาวเขามาทักทาย มาหยอกล้อ ก็ไปเล่นกับเขา ไปยุ่งกับเขาแบบล้น ๆ เกิน ๆ คือมีอาการดีใจ เหมือนหมากระดิกหางเวลาเห็นคนให้อาหาร อันนี้ไม่ดี อาการเหล่านี้ต้องเก็บให้อยู่ ให้รูปสวยไว้ก่อน ถ้ายั่วขึ้นรูปไม่สวย ถ้ายั่วแล้วยังไม่ออกอาการเรียกว่ารูปสวย
ส่วนคนมีคู่นี่รูปเขาไม่สวยอยู่แล้ว เป็นวิบากกรรมของเขาที่ต้องแบก บางคนมีคู่มาก่อนเจอธรรมะ มันก็ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องยอมรูปไม่สวย แต่สามารถทำนามให้สวยได้
โสดทั้งนาม
นาม คือ นามธรรม คือใจนั่นแหละ เอาใจให้เป็นโสดให้ได้ แม้โสดโดยรูปธรรมเราจะเก๊ก ๆ อยู่บ้าง แม้ไม่ออกอาการแต่ใจยังหวั่นไหว ก็ยังดี แต่จะดีกว่าถ้าใจไม่หวั่นไหว
การที่ใจไม่หวั่นไหว ในการไปชอบคนนู้น ไปรักคนนั้น มันก็ต้องล้างกิเลส อันคือความอยากในการมีคู่เสียให้หมด ถ้าล้างหมดมันจะไม่มีอาการอยากแล่บออกมา
ซึ่งอาการอยากนี่แหละที่ทำให้รูปไม่สวย ถึงแม้จะกดไว้ อดทนไว้ แต่กิเลสมันเต็มอก วันหนึ่งมันก็จะล้นทะลักออกมาเป็นอาการล้น ๆ เกิน ๆ ในการปฏฺิบัติต่อบุคคลที่ชอบอยู่ดี
การเป็นโสดโดยนามนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนและศึกษากับผู้รู้จริง เพราะถึงขั้นล้างกิเลส มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเก๊กกันได้ มันต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องขุดรากของความหลงออกมา ให้หมดแบบถอนรากของโคน มันถึงจะเป็นโสดได้อย่างผาสุก
โสดโดยนามธรรมนี่ ก็สามารถปฏิบัติได้ทั้งคนโสดและคนมีคู่ ก็ล้างกิเลสหมวดเดียวกันนั่นแหละ คือความอยากมีคู่ ความยินดีในการมีคู่ การเห็นความสำคัญในการมีคู่ การให้คุณค่าในการมีคู่จนสร้างตัวตน หรืออัตตาขึ้นมาว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้จริง สิ่งนี้สุข สื่งนี้เท่านั้นคือเป้าหมาย เราก็ต้องทำลายตัวนี้
ถ้าโสดโดยนามได้จริง คู่จะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป จิตมันจะไม่ให้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นคุณค่า เป็นสิ่งดี แต่จะเป็นเพียงสมมุติโลก เป็นคนคนหนึ่ง ไม่พิเศษ คนโสดก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะโสดอยู่แล้วก็เบาสบายต่อไป ส่วนคนคู่ก็เลือกปฏิบัติเอาเท่าที่เป็นกุศล เพราะถ้าบาปไม่มีแล้ว ที่เหลือก็แต่ประมาณกุศลเท่านั้นว่า กุศลอันไหนดีกว่า
คือจะเลิกหรือไม่เลิกตอนไหนก็ได้ มีอิสระในการตัดสินใจ ให้เลิกเดี๋ยวนั้นก็เลิกได้เลย โดยเฉพาะอีกฝ่ายเปิดทางนี่จะไม่ขัดเลย จะยินดี ยอมเป็นหม้าย ยอมให้เขาทิ้ง ยอมให้มีคนอื่นมาพรากไปอย่างสบายใจ แม้จะยังอยู่ในสถานะคู่ ก็จะคิดอยู่นั่นแหละว่าจะทำยังไงหนอ ถึงจะพ้นสถานะนี้ได้อย่างไม่เป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นมาก จิตจะมีอิทธิบาทในการทบทวนเพิ่มปัญญาในการออกจากสถานะคู่ไปเรื่อย ๆ ไม่แช่อยู่ ไม่หยุดหรือจมอยู่ แต่จะพยายามออกเพราะรู้ว่าเป็นสถานะที่เป็นอกูศล เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี พอวิบากร้ายที่เคยทำมาหมด ปัญญาถึงรอบ ก็จะมีวิธีการพูด มีกุศโลบายที่จะอธิบายเขาให้เข้าใจ หรือ มีคนมาเจาะช่องให้ออกได้เอง ถึงตอนนั้นก็วิ่งออกอย่างเริงร่าเหมือนคนวิ่งเข้าเส้นชัยได้คนแรกได้เลย
สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนโสดอย่างผาสุกทั้งรูปทั้งนามได้ในที่สุด
โสดถ่วงโลก ไม่ให้จมดิ่งไปมากกว่านี้
โดยวิถีของโลกนี้ก็มีอยู่บล็อกเดียวอยู่แล้ว คือใช้ชีวิตตามอยาก หาคู่บำเรอกิเลส แล้วก็สร้างครอบครัวครอบตัวครอบใจกันไป มีลูกมีหลาน นอนบนกองทรัพย์ที่ลูกหลานหามา แล้วก็ตายกันไป
เป็นสูตรสำเร็จที่คนเอาไว้ใช้ป้องกันสิ่งที่ตนเองกลัว กลัวไม่มีคนรัก กลัวไม่มีทรัพย์ กลัวลำบาก กลัวป่วยแล้วไม่มีคนดูแล กลัวตายแล้วไม่มีคนเผา กลัวไม่มีคนทำบุญส่งไปให้ สารพัดความกลัวที่จะทำให้คนแสวงหาสิ่งใด ๆ มาแปะ มาเติมเต็มให้รู้สึกอุ่นใจ
ทีนี้โมเดลใช้ชีวิตอยู่คนโสดนี่มันก็มีอยู่ในสังคมเหมือนกัน คือโสดเพื่อที่จะเสพอีกอย่าง โสดไม่ผูกมัด โสดไม่เอาภาระเป็นต้น คือเอาแต่ใจตนเองสุด ๆ นั่นแหละ อันนี้มันก็จะคงสภาพได้ช่วงหนึ่ง แต่เดี๋ยวกิเลสมันก็แส้เฆี่ยนให้วิ่งไปหาคู่อยู่ดี แม้จะหาไม่ได้ แต่ใจก็ยังถวิลหา ระลึกถึง ฝันถึง ฝังใจ ฯลฯ
ทั้งมีคู่และโสดที่เต็มไปด้วยความอยากเหล่านั้น ต่างก็อยู่ฝั่งเดียวกันคือฝั่งโลก หรือโลกียะ ความเป็นโลกคือวนเวียนอยู่กับโสดหรือมีคู่ เปลี่ยนสถานะไป แต่ไม่พ้นความอยาก
ทีนี้อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งโลกุตระ ซึ่งมีน้อยมาก น้อยอย่างเทียบกันไม่ได้เลย แต่ก็จำเป็นต้องอยู่ แสดงตน แสดงธรรม เพื่อถ่วงโลกไว้ ไม่ให้ไหลลงมากกว่านี้ ไม่ให้มืดบอดไปมากกว่านี้
ถ้าไม่มีธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัส คนนี่มืดบอดเลยนะ ชีวิตจะเป็นไปได้ไม่กี่ทาง เช่น หาคู่ มีครอบครัว หรือไม่ก็โสดแบบอัตตาจัด ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความอยาก
การมีธรรมะแสดงอยู่ ทำให้คนที่เขาทุกข์ เขาอยากหลุดพ้นจากทุกข์สามารถที่จะมีทางออกทาง ออกจากโลก มันก็มีแค่มาฝั่งโลกุตระเท่านั้นถึงจะพ้น เพราะความเป็นโลกคือความวน หลงเสพหลงสุขสารพัดลีลา ซึ่งจะทำพาทุกข์มาให้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
การที่ผมพิมพ์บทความเรื่องโสดบ่อย ๆ นี่คือการถ่วงโลกไว้ เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนทำจริง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ได้มีเวลามาขยาย แต่ก็ได้ให้แนวทางไว้ แต่คนที่จะมาแสดงตัวตนให้ชัด ๆ น่ะมีน้อย คนที่จะมาเปิดเผยอย่างจริงจังก็มีน้อย ดีไม่ดีมีพวกผีแอบปลอมปนเข้ามาอีก
การพิมพ์ไปแต่ละบทความ คนที่มีปัญญาเขาจะได้ประโยชน์ทุกครั้ง แม้ทีละน้อยก็จะได้ประโยชน์ เพิ่มภูมิธรรม เพิ่มความรู้ แม้รู้อยู่แล้วก็ได้รู้เหลี่ยมรู้มุมเพิ่ม ส่วนคนที่ไม่มีปัญญาก็ตรงข้ามนั่นแหละ เหมือนน้ำเต็มแก้ว ที่สำคัญเป็นน้ำเน่าด้วย เพราะไม่รู้จักว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร ซึ่งจะก็มักทำสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรลงไป
การบำเพ็ญทำดีก็ไม่มีอะไรมากกว่าการคิดดีซ้ำซาก การทำดีซ้ำซาก การพูดธรรมซ้ำซาก คือซ้ำ ๆ ทวน ๆ ไปอยู่แบบนั้น ซ้ำคือซ้ำ ย้ำในความดี ทวนคือทวนกระแสโลก
ถ้าได้ตามนี้ถือว่าเยี่ยม เชื่อไหม คนไม่มีภูมิธรรม ไม่ได้ปฏิบัติธรรมถึงผล ไม่มีมรรคผล เขาทำย้ำซ้ำทวนไม่ได้หรอก เพราะเขาจะไม่มีจิตยินดีในธรรม เขาจะเบื่อไปตามโลกีย์วิสัย คนที่มีญาณปัญญาจะมีความร่าเริ่งในธรรม ยินดีในธรรม เขาจะย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ในธรรมนั้นได้อยากผาสุก เบิกบาน แจ่มใส ก็เว้นเสียแต่ง่วงนอนมาก ๆ นั่นแหละ
ย้ำด้วยการทวนกระแสโลก อันนี้คือความจริง คนไม่มีธรรมจะไม่แกล้วกล้าอาจหาญ จะไม่กล้าท้า ไม่กล้าทวนกระแสโลก แสดงธรรมกระมิดกระเมี้ยน ไม่กล้าหาญ ไม่เปิดเผย มีแต่ภาพกว้าง ๆ แนวคิดกว้าง ๆ เป็นคอนเซ็ปต์ทั่ว ๆ ไปที่ใครก็รู้ได้ ไม่กล้าลงลึกในสภาวธรรม ไม่กล้าแจงแจงรายละเอียด เพราะตัวเองไม่พ้น มันก็จะเหนียม ๆ เก้อ ๆ อยู่แบบนั้น โดยเฉพาะตัวเองไม่มี มันก็ทวนไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าแสดงตัวออกมาหรอก
สรุปคือเขาจะไม่มาทำงานพวกนี้หรอก ครูบาอาจารย์ที่ผมศรัทธาท่านพูดเรื่องเดิมมาหลายสิบปีแล้วก็ยังพูดเรื่องเดิมอยู่ ผ่อนน้ำหนักกว่าเก่าด้วย คือสมัยแรกท่านก็เข้มเชียว แต่มาตอนนี้น้ำหนักก็เบาลงแต่สวยงามมากขึ้น ศิลปะก็เปลี่ยนไปตามภูมิตามการประมาณของท่าน แต่หลักสำคัญคือเนื้อหาเก่า พูดเรื่องเก่า เรื่องเดิม
คือเรื่องที่สืบต่อมาตั้งแต่หลายต่อหลายชาติ ก็พูดเรื่องเดิมตั้งแต่ชาติที่แล้ว ยันชาตินี้ และคิดว่าชาติหน้าท่านก็คงจะพูดต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก
คนมีปัญญาจะรู้ว่าพูดเรื่องการลดกิเลสเรื่องการไม่เบียดเบียนนี่มีประโยชน์ที่สุดในโลก ควรพูด ควรย้ำมากที่สุดในโลก เพราะไม่มีอะไรดีเท่ากับพูดหรือแสดงธรรมเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว