Tag: ความสุข

โสดอย่างเป็นสุข

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 7,532 views 0

โสดอย่างเป็นสุข

โสดอย่างเป็นสุข

…เมื่อความโสดที่เคยเป็นเหมือนคำสาป กลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก

ปลายทางสุดท้ายของความรักที่เป็นชานชาลาเป้าหมายของการเดินทางของทุกดวงวิญญาณ ไม่ว่าเราจะหลงเดินทางตามกิเลสมานานแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุดเราก็จะมาลงตรงสถานีนี้ กับสถานีปลายทางที่ชื่อว่า “โสดอย่างเป็นสุข

เรามักจะเข้าใจกันไปว่าการมีคู่รักเป็นความสุข เมื่อเห็นผู้คนครองคู่กันแล้วมีความสุขเราก็หลงอยากมีสุขอย่างเขาบ้าง จึงเริ่มจะพยายามผลักไสความโสดออกจากชีวิต คนมากมายสามารถไล่ความโสดออกไปได้ ก็จะไปเจอกับชีวิตแบบหนึ่ง ส่วนคนอีกมากมายที่ยังคงครอบครองความโสดทั้งที่ไม่อยากจะครอบครองก็ต้องเจอกับชีวิตอีกแบบหนึ่ง

คนมีคู่ก็ทุกข์แบบคนมีคู่ คนโสดก็ทุกข์แบบคนโสด ไม่ว่าจะมีคู่หรือโสดก็ยังต้องทนทุกข์อยู่กับความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยู่นั่นเอง

การมีความอยากแต่ไม่ได้เสพในสิ่งที่อยากเสพนั้นทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ความอยากจะทำให้เราเหงา ให้เราแสวงหา ให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ใครสักคนมาสนใจเรา มาหลงรักเรา มาครองคู่กับเรา นี่คือสิ่งที่ทำให้คนโสดบางพวกกลายเป็นคนมีคู่ และคนโสดบางพวกต้องจมอยู่กับทุกข์เพราะไม่ได้เสพสมดังใจ

ถ้าเรามีโอกาสที่จะขอพรเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้กับตัวได้จริงๆ ส่วนมากก็คงจะขอคู่รักที่เหมาะสมกับใจของตัวเอง และคงจะมีน้อยคนที่จะเลือกว่าขอเป็นโสดตลอดทุกชาติ

คนที่ขอให้ตัวเองโสดมีด้วยหรือ? เขารังเกียจความรักอย่างนั้นหรือ? เป็นคนเย็นชาอย่างนั้นเชียวหรือ? ไม่มีใครรักเลยประชดหรือเปล่า? ….อาจจะเป็นเรื่องที่ดูขัดกับความเป็นจริงในสังคมสักหน่อย แต่ในบทความนี้เราจะมาขยายสภาพของ “โสดอย่างเป็นสุข” ความโสดในมิติที่แตกต่างออกไปจากความโสดที่โหยหาและเดียวดาย เป็นความโสดที่อบอุ่นชุ่มเย็น พิเศษ ล้ำลึก และทรงคุณค่ากันใน 9 หัวข้อดังต่อไปนี้

1). ไม่รักไม่ชัง

มากันที่ข้อแรกของความโสดอย่างเป็นสุข คือการไม่รักและไม่ชัง เป็นสภาพที่อยู่ตรงกลางระหว่างการดูดกับการผลัก เป็นตัวยืนยันการปฏิบัติอยู่บนทางสายกลางซึ่งไม่โต่งไปในทางทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคือกาม อีกด้านหนึ่งคืออัตตา

ในมุมของกามก็คือการมีความรักแบบหลงรักหรือมีคนรักเข้าไปรักเข้าไปเสพสมในอารมณ์ต่างๆ ส่วนในมุมของอัตตาคือความขยาดในความรักทั้งๆที่ยังอยากมีความรัก การจะโสดอย่างเป็นสุขเราต้องพ้นจากสองสภาวะดังกล่าว

1.1)รัก

รัก ในแบบทั่วไปนั้นคือการพาตนเองไปสู่สิ่งที่หลง สิ่งที่ชอบ ไปคลุกคลี ไปเสพ ไปมัวเมาอยู่กับสิ่งนั้น โดยมากคำว่ารักนั้นมักจะถูกความหลงเข้าครอบงำ แม้ตนเองจะไม่ได้จะมีคู่รัก แต่ก็มักจะยังยินดีกับความรักในแบบคนคู่ ดูละครก็ชอบใจที่พระเอกนางเอกรักกัน เห็นคนครองคู่แต่งงานกันก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วย

1.2) ไม่รัก

ทีนี้เวลาจะออกมันก็ต้องไม่รัก คือไม่ไปหลงเสพอีกแล้ว สมมุติว่าเราชอบคนคนหนึ่ง เราก็จะพยายามลดการดูดดึงของกิเลสที่ทำให้เราเข้าไปเสพในความเป็นเขา ไม่ว่าจะความงาม น้ำเสียง ท่าทาง เหตุการณ์ เรื่องราว คำมั่นสัญญาต่างๆ ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วกิเลสจะพาให้เราหลงไปเสพสิ่งเหล่านี้ เป็นความสุขลวงที่ล่อเราไว้ให้หลงเสพอย่างมัวเมาไม่มีวันได้โงหัวขึ้นมาเห็นแสงเดือนแสงตะวัน

จนกระทั่งเราปฏิบัติจนถึงผลจนเกิดความเจริญขึ้นในจิตใจจริงๆ คือ “ความไม่รัก” เกิดขึ้นจริงแล้ว สภาพการดูดดึง ความชอบ ความหลงต่างๆจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น จะไม่มีความยินดีในการครองคู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้สึกชิงชังการมีคู่

1.3) ชัง

เมื่อความรักไม่เกิดขึ้นดังใจหมายหรือผิดหวังจากความรัก เราก็มักจะเข็ดขยาดกับความรักจนสร้างความรังเกียจความรัก สร้างเหตุผลและข้อแม้มากมายเพื่อไม่ให้ตัวเองเข้าใกล้รัก ปิดประตูขังตัวเองไว้กับความอยากมีคู่ที่ฝังใจอยู่ลึกๆ

ความชังโดยทั่วไปไม่สามารถทำให้ตัวเองโสดอย่างเป็นสุขได้ เพราะนอกจะทำให้ทุกข์เมื่อต้องเห็นคนรักกันแล้ว ยังต้องทุกข์กว่าเมื่อพลาดกลับไปมีความรักอีกครั้ง

1.4) ไม่ชัง

ความไม่ชังนั้นเกิดจากการพากเพียรปฏิบัติจนล้างอัตตาหรือความยึดดีถือดีได้ คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะไม่ชังความรัก ไม่ชังคนที่มีรัก ไม่ชังแม้จะเห็นคนพลอดรักหรือไปงานแต่งงานของใคร ไม่มีอาการกดดันตัวเอง ไม่ผลักไสสิ่งใด ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะเห็นว่าเป็นธรรมชาติของกิเลส คนมีกิเลสก็เป็นแบบนี้ อยากมีรักแบบนี้ แล้วสุดท้ายก็ต้องทุกข์แบบนั้น

ความไม่ชังคือจุดจบของความไม่รักไม่ชัง เราจำเป็นต้องทำลายความรักแบบหลงจนสิ้นเกลี้ยงก่อนแล้วค่อยมาทำลายความชัง ไม่เช่นนั้นมันก็จะพันกันไปพันกันมา แก้ไม่ได้สักอย่าง

แต่ถึงแม้ว่าเราไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด ไม่รักไม่ชังแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถไปมีคู่ได้ด้วยความเฉยๆ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าจะต้องเจอกรรมอะไรบ้าง คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะขยาดในกรรมของการมีคู่ เพราะรู้ว่าการที่ต้องมาใช้ผลกรรมที่กระทำต่อกันนั้นหนักหนาสาหัสกว่ามาก ยิ่งคนที่โสดอย่างเป็นสุขนี่จะไม่เหลือความสุขในการมีคู่แล้ว เพราะมองทะลุสุขลวงเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว เหลือแต่ทุกข์จริงๆ ดังนั้นเมื่อเราเดินบนทางสายกลาง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราต้องกลับไปมีคู่หรือรังเกียจคนมีคู่เลย

2). ไม่มีเงื่อนไขในการเป็นโสด

คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะเป็นผู้ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆในการโสดเลย ไม่เป็นเหมือนอย่างชาวบ้านที่ตั้งข้อแม้ว่าถ้าเขาหรือเธอไม่สามารถสนองกิเลสหรือดีดังที่ใจฉันหวังได้ ฉันก็จะเป็นโสดต่อไป

มีคนจำนวนมากที่ยังโสดแต่ก็มักจะมีข้อแม้ว่า ถ้าหาคนดีกว่าไม่ได้ คนที่พาเจริญกว่าไม่ได้ ก็โสดเสียดีกว่า ลักษณะเหล่านี้คือผู้ที่ยังมีความหวัง ยังตั้งข้อแม้ มีเงื่อนไขในการโสดอยู่ กล่าวคือถ้ามีคนสามารถดีดังใจหวัง ปรนเปรอกิเลสได้สมใจก็จะยอมทิ้งความโสดซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนโสดทั่วไปที่ตั้งกำแพงกิเลสไว้สูงตามกิเลสของตนเอง

ซึ่งความโสดที่มีเงื่อนไขเหล่านั้นมักจะเป็นเงื่อนไขจากฝ่ายกิเลส เช่น เขาต้องรวย เขาต้องมีหน้าที่การงานดี เขาต้องมาขอเราด้วยเงินหลักล้านขึ้นไป ฯลฯ โสดฝันไกลแบบนี้ก็ยังคงต้องทนทุกข์กับความโลภของตัวเองต่อไป ในส่วนเงื่อนไขของฝ่ายศีลธรรมก็มีเช่นกัน เช่นเราถือศีล ๕ คู่ของเราต้องไม่ต่ำกว่าศีล ๕ หรือเรากินมังสวิรัติคู่ของเราก็ต้องมีบุญบารมีที่จะสามารถกินมังสวิรัติเหมือนเราด้วย อันนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งสุดท้ายก็จะได้คนประมาณศีลที่ตั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเงื่อนไขในการมีคู่อยู่ดี

คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะไม่หาเรื่องใส่ตัว จะไม่สร้างเงื่อนไขใดๆให้เสียความโสด ไม่มีข้อแม้ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการต่อรอง เพราะความโสดนั้นเป็นที่สุดแล้ว

3). ไม่เหงา

ความเหงานี่แหละคือกิเลสที่ผลักดันให้เราไปมีคู่ ถึงจะไม่มีคู่เราก็มักจะไปหาเพื่อนหรือกลุ่มสังคม สุดท้ายก็จะวนมาเรื่องหาคู่อยู่ดี เพราะความเหงานั้นไม่ได้หายไปด้วยการมีใครสักคน แต่จะหายไปจากการทำลายกิเลสเรื่องความเหงาเท่านั้น

ความเหงาคือความพร่องในจิตใจ อยากหาใครมาเติมเต็มตัวตนของเรา เป็นเพราะเราไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่พึ่งตัวเอง ไม่ศรัทธาในตัวเอง เราจึงสร้างช่องว่างลวงๆ เพื่อให้ใครเข้ามาอยู่ในช่องว่างนั้น แท้จริงเราก็เอาเขามาเพื่อเสพให้สมใจเรา พอเขาทำไม่ได้ดังใจเรา เขาจากเราไป ช่องนั้นก็ว่าง เราก็เหงาอีก

เราไม่มีวันเติมเต็มความเหงาด้วยสิ่งอื่นนอกจากตัวเราเอง การจะออกจากความเหงาจำเป็นต้องกลับมายึดที่ตัวเองก่อน เอาตัวเองเป็นสรณะก่อน ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเองก่อน เห็นคุณค่าในตัวเองเสียก่อนจึงจะออกจากความเหงาได้ แล้วเมื่อมีอัตตามากๆจึงค่อยล้างอัตตาที่มีทีหลัง เพราะถ้าเราเหยาะแหยะจะไม่สามารถทำลายความพร่องในใจนี้ได้เลย ถมไปก็หาย ถมไปก็ยังว่างเปล่าเหมือนเดิม

4). ไม่เรียกร้องสิ่งใด

ลักษณะที่เห็นได้ชัดของคนที่โสดอย่างเป็นสุข และยินดีจะโสด คือไม่มีการเรียกร้องสิ่งใด ไม่ส่งสัญญาณใดๆ ที่เปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ใดๆต่อไป ไม่เหมือนกับคนโสดทั่วไปที่ยังมีอารมณ์แอบเหงา อยากมีใครสักคน อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า

โดยเฉพาะเรื่องคุณค่าในตนเอง คนที่โสดอย่างเป็นสุขคือคนที่ถมช่องว่างที่เคยเว้นไว้ให้คนอื่นเข้ามาด้วยคุณค่าในตนเอง ดังนั้นจึงไม่คิดจะเรียกร้องให้ใครมาเห็นคุณค่าใดๆ เพราะรู้ว่าตนเองนั้นมีคุณค่าเช่นไร คนที่รู้ค่าในตนอย่างแท้จริงจะไม่ต้องการเรียกร้องให้ใครมายืนยันคุณค่าหรือเห็นคุณค่าใดๆ

คนที่ยังเรียกร้องความสนใจ เรียกร้องบางสิ่งอยู่คือคนที่ต้องการสิ่งเหล่านั้นมาเติมเต็มใจที่พร่อง เพราะขาดจึงต้องเติม เขาเหล่านั้นจึงต้องแสวงหาสิ่งภายนอกมาเติมเต็มตัวเองตลอดเวลาอย่างไม่จบไม่สิ้น

5). เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

เมื่อเราพากเพียรปฏิบัติจนสามารถล้างกิเลสในเรื่องความอยากมีคู่ได้หมดแล้ว จะพบว่าความโสดนี่เองคือสมบัติแท้ที่ตามหามานาน มันอยู่คู่กับเรามานานแล้วแต่เราไม่เคยเห็นค่าของมัน เพราะกิเลสมันบังเอาไว้ บังให้เราไม่เห็นของดีใกล้ตัว บังให้เราเห็นดอกบัวเป็นกงจักร ให้เราไปหาภาระ ไปหาทุกข์มาใส่ตัว โดยเอาสุขลวงมาล่อให้สร้างวิบากกรรมชั่วให้ตัวเอง

ความโสด นั้นเป็นสิ่งที่จะเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เป็นสมบัติที่ไม่มีสิ่งใดควรค่าที่จะแลก ไม่ว่าจะมีเงินทองกองไว้มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะมีคนมาคอยดูแลเอาใจ ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะงดงามเพียงใด และไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะเป็นคู่รัก คนรัก คนที่เคยรัก คนที่หลงรักมากมายสักเพียงไหน ก็ไม่สามารถที่จะแลกความโสดนี้ไปได้

เราไม่สามารถวัดคุณค่าของความโสดได้จากการเปรียบเทียบกับสิ่งใดทั้งสิ้น การได้โสดอย่างเป็นสุขนั้นมีค่ามากมายมหาศาล เป็นบรมสุข ถ้าเอาตามภาษาให้มันถึงใจก็ต้องบอกว่า “โคตรพ่อโคตรแม่สุข” ที่มันสุขเพราะไม่ต้องไปแบกทุกข์ให้มันลำบากตัวเองอีกต่อไป

ในทางเดียวกันคนที่โสดอย่างเป็นสุขก็จะหวงความโสด ไม่ยอมให้ใครพรากความโสดนี้ไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีคลุมถุงชน หรืออื่นๆก็จะพยายามใช้ปัญญาเพื่อหลีกหนีออกจากสภาพนั้นเพราะรู้ดีในใจว่าสุขที่มากกว่าโสดไม่มีอีกแล้ว

6). เป็นไปเพื่อกุศลเพียงอย่างเดียว

ความโสดอย่างเป็นสุขนั้นจะเกิดขึ้นจากจิตอันเป็นกุศลฝ่ายเดียว คือเกิดความดีอย่างเดียว เป็นไปในทิศทางบวกทางเดียว จะไม่หลงไปในทางอกุศล ไม่ใช่โสดเพื่อเสพอะไรบางอย่าง แต่เป็นโสดเพื่อสละความอยากในการเสพ

หากความโสดนั้นเป็นไปเพื่ออกุศล ยังมีความชั่วปนอยู่ ยังทำผิดศีลบางอย่างอยู่ ก็อาจจะยังเป็นความโสดที่ขาดๆเกินๆ ยังพร่องอยู่นั่นเอง ต่างจากความโสดที่เป็นไปเพื่อกุศล โสดอย่างเป็นสุข ความโสดนั้นเต็มไม่มีพร่องไม่มีขาด จึงไม่ต้องทำความชั่วหรืออกุศลใดๆ ไม่ให้ตัวเองได้เสพสุขตามกิเลสจนเกิดอกุศล

แม้จะมีความเต็มแต่ก็ยังทำความดีต่อ ทำกุศลต่อ สิ่งที่ดีเหล่านั้นก็จะเริ่มล้นออกจากตัว เป็นคลื่นของความดี เป็นกระแสแห่งกุศลที่กระจายออกไป คนที่โสดอย่างเป็นสุขนี้เองคือคนที่จะทำให้สังคมและคนรอบข้างดีขึ้นเรื่อยๆตามบุญบารมีที่เขาพอจะทำได้

7). ความรักแท้

ความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวคนที่ยินดีจะโสดนั้นคือเป็นคนที่ไม่มีความรัก ซึ่งก็อาจจะมีอยู่จริงๆในคนโสดประเภทที่ชังความรัก แต่คนที่โสดอย่างเป็นสุข โสดจากการทำลายกิเลสจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะนอกจากความรักนั้นจะไม่ถูกทำลายแล้ว รักที่มีนั้นจะเพิ่มความบริสุทธิ์ขึ้นไปอีก

เพราะทำลายความหลงสุขในความรักได้จนหมดสิ้น จึงสามารถแยกรักและหลงออกได้ทั้งหมดอย่างชัดเจน เมื่อสกัดความหลงซึ่งเป็นเชื้อร้ายแห่งทุกข์ออกก็จะเหลือความรักแท้ เป็นความบริสุทธิ์แท้ๆ ที่ไม่มีกิเลสปน

เป็นความรักที่มีประสิทธิภาพกว่าใครๆ เหนือกว่ารักของพ่อแม่ เหนือกว่ารักญาติ รักชุมชม รักสังคม รักประเทศ รักโลก และแน่นอนว่าเหนือกว่ารักตัวเองแบบเห็นแก่ตัวเพราะจะมีแต่ความเสียสละ เข้าอกเข้าใจ เห็นจริงรู้จริงทั้งในรูปธรรมและนามธรรมของความรัก

ความรักที่ไม่มีกิเลสนี้ จะรักคนอื่นไปพร้อมๆกับรักตัวเอง เพราะรักตัวเองก็เลยรักคนอื่น เพราะรักคนอื่นก็เลยรักตนเอง จึงมีความรักแท้ให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ

8.) เมตตาที่กว้างไกลกว่า

เมื่อมีความรักที่ไม่มีกิเลสปนแม้แต่น้อย หรือที่เรียกกันว่า “ความรักแท้” ก็สามารถที่จะเมตตาได้มากกว่าเดิม เพราะไม่เอาอะไรมาเสพเพื่อตัวเองแล้ว ไม่ทำกิจกรรมใดๆเพราะอยากจะได้รัก หรือได้รับความสนใจ ดังนั้นจึงกลายเป็นชีวิตที่มีประสิทธิภาพที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นมากขึ้น

เพราะรักที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนั้น จึงสามารถแผ่ความรัก ความเมตตา ความเห็นใจ ความเข้าใจ ออกไปได้กว้างไกลกว่าเดิม

ความรักจะเหลือแต่อารมณ์ของการให้ ไม่ได้ยึดบุคคล เรา เขา สิ่งของหรือเหตุการณ์ใดๆเป็นที่ตั้ง จึงทำให้ไม่มีเงื่อนไขใดๆในการเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความเป็นพรหมอยู่ในตัวอย่างแท้จริง

เมื่อเมตตาได้อย่างไม่มีข้อจำกัดก็จะสามารถสร้างกุศล สร้างความสุขให้กับตัวเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน ความสุขที่ได้รับนั้นแตกต่างจากสุขจากการเสพ แต่เป็นสุขจากความเจริญที่เกิดขึ้นในจิตใจ

เมตตาที่กว้างไกลนั้น เป็นไปเพื่อกุศล ลดการสร้างอกุศล คือทำแต่ความดี ความชั่วและบาปจะไม่ทำเลย เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเพราะทำไปก็ไม่เกิดกุศล ไม่เกิดผลดี ถ้าเป็นเมตตาที่ดูเหมือนจะดีแต่ให้ผลร้ายก็จะไม่ทำ เพราะรู้ชัดเจนว่าผลเหล่านั้นจะนำมาซึ่งทุกข์

นั่นหมายถึงเมตตาที่มีนั้นประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเมตตาแบบศรัทธาที่ให้แบบไม่รู้คุณรู้โทษ ไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก ไม่รู้เหตุไม่รู้ผล ไม่รู้นามรูป ซึ่งเมตตาแบบนั้นยังไม่ใช่เมตตาที่ถูกทางพุทธ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

9). รักข้ามภพข้ามชาติ

และความรักที่เกิดจากการโสดอย่างเป็นสุขนี้เองคือรักที่ยั่งยืน ไม่ผันแปร เพราะไม่ได้มีกิเลสมาเป็นแรงผลักดันอีกต่อไป มีแต่ความเมตตาล้วนๆมาเป็นตัวผลัก ดังนั้นความรักของคนโสดจึงยั่งยืนที่สุดในโลก ยั่งยืนขนาดข้ามภพข้ามชาติ

ยินดีที่จะเป็นผู้ให้ฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องการรับอะไรมาตอบแทนเพื่อตนเองหวังดีกับผู้อื่นอยู่เสมอ และความหวังดีนั้นไม่มีขอบเขตของเวลามาเป็นตัวกำหนดจะชาตินี้หรือชาติไหนๆก็ยังหวังดีและยินดีที่จะให้อยู่เหมือนเดิม เกิดมากี่ชาติๆก็ยังให้อยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีโอกาสให้ได้เพียงเล็กน้อยก็จะอดทน รอคอยที่จะให้สิ่งดีอยู่เสมอ ไม่คิดโกรธหรือโทษใครที่เขาไม่ยินดีที่จะรับสิ่งดีนั้น เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าการล้างกิเลสนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ จึงให้อภัยกับทุกคนที่หลงผิดได้เสมอ

ความรักที่ยิ่งใหญ่จนข้ามภพข้ามชาตินี้ ไม่สามารถเกิดได้หากเรายังเห็นแก่ตัว ยังหาผู้คน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ใดมาเสพเพื่อให้ตัวเองได้สุขจากความรักอยู่ หรือการมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนไม่กล้าที่จะมอบความรักความเมตตาให้กับใคร สภาวะเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ไม่ไหลไปกับโลก ทวนกระแสโลก จะเกิดขึ้นได้จากการเพียรอย่างถูกทางพ้นทุกข์เท่านั้น

สภาวธรรม หรือสภาพจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมจนเกิดสภาพ “โสดอย่างเป็นสุข” นี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอา คาดคะเนเอา เดาเอาได้ การจะเข้าถึงหรือเข้าใจสภาวะเหล่านี้ต้องเพียรปฏิบัติด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จนสำเร็จมรรคผลในเรื่องของความรักจนเกิดความกระจ่างแจ้งในตนว่าโสดอย่างเป็นสุขนั้นสุขอย่างไร ดังที่ได้แจงมาทั้งหมด 9 ข้อนั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

3.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

วิธีพิสูจน์รักแท้

December 24, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 17,229 views 0

วิธีพิสูจน์รักแท้

วิธีพิสูจน์รักแท้

…รักนั้นแท้จริงหรือ? เป็นกุศลจริงหรือ? นำมาซึ่งความสุขจริงหรือ?

ความต้องการที่จะมีใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างกาย เข้ามาเป็นคู่ชีวิตนั้นเป็นความต้องการที่ยากจะต้านทานได้ แม้ว่าจะได้ยินคำบอกเล่าเรื่องจริงของความรักมามากมาย แต่เราก็มักจะเลือกเชื่อในมุมที่เราต้องการ เลือกที่จะเชื่อว่าความรักนั้นคือสิ่งที่สวยงาม เชื่อว่าความรักของเราคือความสุข คือความยั่งยืน เคียงคู่กันสร้างกุศลร่วมกันตลอดไป

การสร้างกุศลร่วมกันนั้นดูจะเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้เราคิดว่าการมีคู่นั้นดี เพราะเป็นไปในแนวทางร่วมกันทำดี ร่วมกันเจริญ คงเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถต้านทานความดีความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตา ฐานะ นิสัยของคู่รัก เราจึงสร้างเหตุผลต่างๆนาๆขึ้นเมื่อเพื่อให้เราได้มีคู่อย่างมั่นใจ เต็มใจ ภาคภูมิใจ เพื่อให้เราได้เสพสมใจในความรัก ในความมั่งคั่ง ในความสมบูรณ์ตามแบบที่โลกเข้าใจ

…รักแท้นั้นคืออะไร?

รักนั้นคือความต้องการ คือตัณหา คือความอยาก ส่วนคำว่าแท้นั้นหมายถึง เที่ยง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่แปรปรวน ไม่หวั่นไหว ความรักแท้ก็คือความรู้สึกต้องการที่ไม่หวั่นไหว ในเรื่องของคู่รักนั้นก็หมายถึงความรู้สึกที่มีต่อคู่ของตนอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

คนเรานั้นมีความพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้ายก็จะพยายามไขว่คว้าให้ได้มาเสพสมใจ คนรักก็เช่นกัน เป็นหนึ่งในเรื่องที่เราต้องพยายาม ในมุมของผู้ชายก็ต้องดูแลเอาใจ เลี้ยงดู ป้อนคำหวานให้คำสัญญา ในมุมของผู้หญิงก็คล้ายๆกันแต่ก็มักจะมีเรื่องของความงามเข้ามาเกี่ยวมากหน่อย คือต้องทำตัวให้งาม ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ว่าง่ายๆก็คือต้องพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ เพื่อที่จะให้ชายสักคนมาหลงใหลได้ปลื้ม

เราจึงพยายามเร่งและบำรุงบำเรอกิเลสของอีกฝ่ายให้ตกลงปลงใจเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ ถาวร มั่นคง ซึ่งในระยะนี้หลายคนจะเรียกว่า “ช่วงโปรโมชั่น” เป็นช่วงที่แต่ละฝ่ายจะพยายามให้ว่าที่คู่รักได้เห็นภาพที่ดีที่สวยงามของตนเอง เพื่อที่จะได้อีกฝ่ายมาเสพสมใจ ชายก็เสพหญิง หญิงก็เสพชาย เสพในตัวตนของกันและกัน

ทีนี้ช่วงโปรโมชั่นนั้นจะสั้นจะยาวก็ขึ้นอยู่กับกิเลส ถ้ากิเลสมากก็จะสั้น ถ้ากิเลสน้อยก็จะยาว ยกตัวอย่างเช่นพ่อบุญทุ่ม ที่ดูแลเทคแคร์เอาใจ เลี้ยงดูทั้งกายและใจของอีกฝ่ายหมายจะให้เขาหลงรัก ลักษณะนี้ก็มักจะเป็นแบบสั้น แต่ถ้าคบกันเป็นเพื่อนช่วยเหลือกันดูแลกันไปแบบนี้ก็มักจะยาวหน่อย

แต่เมื่อปัจจัยต่างๆได้เปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนจากคนที่คบหาเป็นแฟน จากที่เคยมีระยะห่างก็จับมือถือแขนกอดจูบใกล้ชิด จากที่ไม่เคยมีอะไรกันก็มีอะไรกัน จากแฟนมาเป็นสามีภรรยา จากที่เคยเต่งตึงกลับหย่อนยาน จากที่เคยมีกันสองคนก็มีคนเพิ่มมาหลายคนจากที่เคยไม่มีภาระก็มีภาระ จากที่เคยสนองกิเลสกันได้ก็เริ่มจะไม่สามารถสนองกันได้จนเต็มอิ่ม

ปัจจัยเหล่านี้เองที่จะมาทดสอบความรักแท้ คนที่อ้างนักอ้างหนาว่าตนเองมีรักแท้ รักที่ตนมีเป็นของแท้ คนที่ตนเองเลือกคือเนื้อคู่ คือคนที่ฟ้าส่งมาให้ คือคนที่จะร่วมชีวิตไปจนตาย หลังจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ “ความรัก” ยังจะสามารถคง “ความแท้” ได้หรือไม่

เราจะเห็นได้ว่าความจริงมักจะเปิดเผยหลังการเปลี่ยนแปลง ว่าความรักนั้นแท้หรือไม่แท้ เอาของปลอมมาหลอกขายเป็นของแท้หรือไม่ โดยการดูจากเหตุการณ์เหล่านี้ หลายคู่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้กัน หลายคนเปลี่ยนไปหลังจากเป็นแฟนกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากแต่งงานกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากมีลูกด้วยกัน หลายคู่เปลี่ยนไปหลังจากผ่านไปเป็นสิบยี่สิบปีก็มี

และหลายคู่เหล่านั้นทำได้แค่ประคองชีวิตคู่ต่อไปแบบที่ทั้งรักทั้งชัง หวานอมขมกลืน ใช้ชีวิตแบบน้ำท่วมปาก จะพูดว่าชีวิตดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่จะบอกทุกข์มันก็มีสุขร่วมด้วยอยู่บ้าง สุขทุกข์ปนกันไป ทุกข์มากหน่อย สุขนิดเดียว แต่ก็ยอมทนต่อไป บางคู่ทนไม่ได้ก็เลิกราหย่าร้างกันไป ทิ้งไว้เพียงคนที่อกหักผิดหวังกับความรัก รังเกียจความรัก ประณามความรัก

ทั้งหมดนั้นเกิดก็เพราะว่า “ความรักมันไม่แท้ตั้งแต่แรก” ไม่ใช่ว่าตอนแรกแท้แล้วตอนหลังมันไม่แท้ อันนี้มันเล่นคำ ของแท้จริงๆมันต้องไม่แปรเปลี่ยน ไม่เวียนกลับ ไม่เปลี่ยนจากรักเป็นเมินเฉย ไม่เปลี่ยนจากความต้องการเสพเป็นต้องการให้ออกไปจากชีวิต

การพิสูจน์ความรักแท้โดยรอการทดสอบจากกาลเวลาและกรรมนั้นช้าและเสี่ยง เพราะบางคู่กว่าจะรู้ตัวก็มีลูกเป็นเครื่องผูกมัดไปแล้ว หนีไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องแบกไว้แบกทั้งลูกแบกทั้งความขมขื่นที่ได้รับ เราจึงควรศึกษาวิธีพิสูจน์รักแท้ในหัวข้อต่อไป

…การสร้างกุศลร่วมกันคืออะไร?

หลายคนที่คิดจะมีคู่ก็มักจะใช้เหตุผลเรื่องของการสร้างกุศล ร่วมบุญ สร้างความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมไปด้วยกัน การที่คนเราจะเจริญไปพร้อมๆกับคู่รักได้นั้น ต้องมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาที่เสมอกัน (สมชีวิสูตร) ความเสมอกันนี้จะทำให้ได้พบเจอกันในชาติภพต่อๆไป ชาติในที่นี้ไม่ใช่แค่ชีวิตหน้า แต่เป็นชีวิตนี้ที่จะเกิดความรู้สึกต่างๆในอนาคตต่อไป

คู่รักที่ประคองคุณสมบัติสี่ข้อนี้ให้เสมอกันได้จะทำให้ชีวิตรักเป็นไปอย่างราบรื่น ได้อยู่ด้วยกันนานตราบเท่าที่ยังเสมอกัน แต่ความเสมอกันนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ความดีเท่านั้น อาจจะหมายถึงความเลวเสมอกันก็ได้ เช่นไม่มีศรัทธาในความดีเหมือนกัน ไม่ถือศีลเหมือนกัน ไม่เสียสละเหมือนกัน ไม่มีปัญญาเหมือนกัน คู่ที่เสมอกันเหล่านี้ก็สามารถร่วมภพร่วมชาติกันสร้างบาป เวร ภัยไปได้กันทุกภพทุกชาติเช่นกัน

ดังเป้าหมายของเราที่ตั้งไว้ว่าเราจะครองคู่กันเพื่อร่วมกันสร้างกุศล ร่วมบุญ สร้างความเจริญต่างๆ เราจึงไม่มีทางที่จะเลือกวิธีที่ทำให้ชีวิตตกต่ำอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันกับคำว่าการสร้างกุศลนั้นคือการเพิ่มความดี นั่นหมายถึงเราต้องพากันทำดี เร่งทำความดีและจะไม่หยุดอยู่ที่เดิมแล้วใช้ชีวิตเสพสุขไปวันๆอย่างแน่นอน

การสร้างกุศลร่วมกันนั้นหมายถึงการยกระดับศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ไปด้วยกันกับคู่รัก ในบทนี้จะขอยกตัวอย่างในกรณีของศีลเพราะเห็นภาพได้ชัดเจน

ความเจริญของคนนั้นเริ่มต้นจากการมีศีล มีศีลก็มีธรรม มีศีลก็มีปัญญา จริงๆแล้วทั้งสี่ข้อนี้ไม่ได้แยกกันแต่เชื่อมโยงกันร้อยเรียงผูกพันกันอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อหยิบยกข้อใดข้อหนึ่งมาอธิบาย ก็สามารถขยายไปถึงข้ออื่นๆได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราตั้งใจจะยกระดับการทำกุศลของชีวิตคู่ เราจึงตัดสินใจถือศีลในข้อที่ละเว้นการเบียดเบียนสัตว์อื่น เราจึงเลือกที่จะกินมังสวิรัติ การเลือกที่จะถือศีลนี้ต้องมีศรัทธา และมีความเสียสละความอยากเพื่อละเว้นการเบียดเบียน รวมถึงมีปัญญาที่จะทำให้การถือศีลเป็นไปในแนวทางที่พาพ้นทุกข์ได้

เมื่อเราถือศีลดังนี้ ก็จะเป็นกุศล เป็นความดีในชีวิตเรา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ของเราจะสามารถถือศีลตามได้ด้วย เช่นเรากินมังสวิรัติ แต่เขากลับยินดีในการกินเนื้อสัตว์ ไม่ยินดีจะเป็นมังสวิรัติ เท่านี้ศีลก็เริ่มไม่เสมอกันแล้ว เพราะศรัทธาไม่เสมอ จาคะไม่เสมอ และปัญญาไม่เสมอ จึงไม่ยินดีที่จะถือศีลร่วมกัน

เมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำขององค์ประกอบทั้งสี่ข้อนี้แล้ว ก็จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคู่เกิดขึ้น เหมือนเทวดากับมารอยู่ด้วยกัน วิธีที่จะทำให้กลับมาเป็นคู่กันแบบปกติมีสองทาง ทางหนึ่งคือทำให้เป็นเทวดาทั้งคู่ ทางที่สองคือกลับไปเป็นมารเหมือนกันทั้งคู่

แต่ในเมื่อเราบอกว่าเรามีคู่เพื่อทำกุศลไปร่วมกัน เพื่อความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมไปด้วยกัน หากคำตอบของเราที่ว่าจะยอมลดศีลไปเพื่อให้ชีวิตได้เคียงคู่กันอย่างปกตินั้น ก็สามารถเป็นเหตุผลได้แล้วว่าจริงๆเราไม่ได้อยากมีคู่เพราะจะทำกุศลร่วมกันหรอก เราแค่อยากมีคู่เฉยๆและอยากมีเพื่ออะไรก็มีกิเลสมากมายมารองรับในผลนี้ ส่วนการทำกุศลนั้นก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างให้เราได้เสพคู่อย่างดูมีเหตุมีผลเท่านั้นเอง

คนที่มีปัญญาก็จะไม่รีบแต่งงาน จะดูกันไปคบกันไป เพิ่มอธิศีล คือกระทำศีลให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ดูว่าคนที่เราเรียกว่าเนื้อคู่นั้นจะตามศีลเราไหวไหม เขามีอินทรีย์พละมากพอไหม เขามั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไหม ถ้าเรายกระดับศีลเรื่อยๆแล้วเขาตามไม่ทัน นั่นไม่ใช่เนื้อคู่ของเราอย่างแน่นอน เพราะถ้าเราสามารถถือศีล ปฏิบัติศีลยากๆได้ แต่เขาทำไม่ได้ ก็คือศีลไม่เสมอกัน ดังนั้น ศรัทธา จาคะ ปัญญา ก็จึงไม่เสมอกัน คนที่มีบุญบารมีไม่พอเหมาะกับเราก็ไม่มีทางเป็นเนื้อคู่เราได้อย่างแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ศีลจะเป็นสิ่งที่ทดสอบความแท้ของคน ทดสอบบุญบารมีของคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะสนใจทดสอบคู่ของตน ในทางกลับกันก็ยังยอมยินดีลดศีลของตนเพื่อให้ตัวเองได้มีคู่อีกด้วย เช่นบางคนกินมังสวิรัติได้ แต่เพื่อให้ได้มีสามีหรือภรรยาเป็นตัวเป็นตน ก็ยอมเลิกกินมังสวิรัติกลับไปกินเนื้อสัตว์เพราะคู่คนนั้นเขาไม่กินมังสวิรัติ ความจริงที่เกิดในโลกมันก็แบบนี้ ใครจะยอมเพิ่มศีลเพื่อคัดคนที่ตัวเองหลงออกจากชีวิตได้ เวลาคนหลงแล้วธรรมะก็ไม่เกิด กิเลสมันชั่วแบบนี้เพราะมันทำให้เราทิ้งศีลธรรม ยอมลดคุณงามความดีกลับไปชั่วเพื่อไปเสพให้สมใจตามที่กิเลสต้องการ

…ความสุขในการมีคู่คืออะไร?

การที่เราไปมีคู่นั้น ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความหลงสุข หลงว่ามีคู่แล้วจะเป็นสุข หลงว่าชีวิตสมบูรณ์แล้วจะเป็นสุข ถ้าถามว่าความสุขของการมีคู่คืออะไรก็มักจะได้คำตอบแบบอุดมคติว่าอยู่ด้วยกัน ดูแลกัน พึ่งพากัน ฯลฯ ซึ่งจริงๆความสุขเหล่านี้มีอยู่แล้วในครอบครัว ในพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย เราสามารถใช้คำเหล่านี้ได้กับคนใกล้ตัวของเราทุกคน

สิ่งเดียวที่ต่างออกไปจากสิ่งที่ได้รับจากพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหายก็คือการสมสู่หรือเซ็กส์ (sex)…เรามักจะปิดบังความจริงไว้ใต้เหตุผลสวยหรูต่างๆให้ดูว่าความรักของตนนั้นสวยงามเลิศเลอและสูงค่า แต่สุดท้ายก็มาติดตรงเรื่องเซ็กส์ เรื่องการสมสู่ เป็นเรื่องลับๆที่ไม่มีใครเคยบอกกล่าว ว่าจริงๆแล้วฉันมีคู่และฉันแต่งงานก็เพราะอยากมีเซ็กส์นี่แหละ เรื่องเซ็กส์จึงเป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เป็นปัญหาที่หลายคนสงสัยว่าทำไมหลายคนหลายคู่จึงทะเลาะเลิกรากัน หรือจนกระทั่งมีปัญหา ชู้ กิ๊ก เมียน้อย ฯลฯ เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มักจะมีเรื่องเซ็กส์เป็นเบื้องหลังเสมอ

โดยปกติแล้วเรามักจะไม่ยอมรับในเรื่องเซ็กส์หรอก มันเป็นกิเลสที่เก็บไว้ลึกๆ เก็บไว้สนองกันในคู่ของตน ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเพราะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เราสามารถเห็นภาพสะท้อนได้จากสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น มีการผลิตยาปลุกเซ็กส์ หรือยาที่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว หรือเมื่อมีกระแสสมุนไพรกระชับช่องคลอดหรือทำให้หน้าอกใหญ่ก็มีแต่คนตามหา ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นเป็นตลาดที่มีการเจริญเติบโตอย่างลับๆแม้ว่าจะไม่เปิดเผย แต่ก็มี supply & demand มากจนสังเกตได้ถึงขนาดที่ว่าในยุคสมัยนี้มีการศัลยกรรมเพื่อให้มีหน้าอกใหญ่กลายเป็นเรื่องปกติ หรือมีดารานักน้องที่แต่งตัวโป๊ เต้นด้วยท่าเต้นที่ยั่วยวนจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามากเกินไปจนอุจาดตา ซึ่งเป็นเจตนาที่ชัดเจนในการกระตุ้นทางเพศ

ถ้าเราสามารถตัดเรื่องเพศ เรื่องการสมสู่ออกไปจากชีวิตคู่ได้ เราจะไม่รีบแต่งงาน เราจะไม่มีรู้สึกว่าต้องการ การกอด การจูบ หรือแม้แต่การถูกเนื้อต้องตัวกัน ไม่รีบเสียตัวให้กันและกันเพียงเพราะความใคร่อยาก เราจะคบกันไปเรื่อยๆ ดูกันไปเรื่อยๆ เพราะหวังคบกันอย่างเพื่อนชีวิต เมื่อเซ็กส์ไม่ใช่คำตอบในชีวิต การแต่งงานหรือการคบหาในลักษณะแฟนก็ไม่ใช่คำตอบในชีวิตเช่นกัน คนที่รักกันอย่างจริงใจจะไม่รีบหรือผูกมัดกันและกันด้วยการสมสู่หรือการแต่งงาน

นอกจากเรื่องการสมสู่แล้วคนทั่วไปก็ยังคบหากันด้วยผลประโยชน์ต่างๆ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ในเรื่องลาภก็คบกันเพราะเขามีเงิน เพราะเขารวย มีกำลังปรนเปรอกิเลสของเรา เราจึงมีความสุข ในเรื่องยศเพราะเขามีหน้าที่มีตำแหน่งมีอำนาจเราจึงเสพสุขด้วยผลพวงแห่งอำนาจของเขา ในเรื่องสรรเสริญเพราะเขาเป็นคนที่ได้รับความนิยม เป็นคนที่สังคมยอมรับเราจึงพลอยหลงใหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วย ในเรื่องโลกียสุขคือเราได้เขามาปรนเปรอกิเลสต่างๆ มาดูแลเอาใจ มาบำรุงกาม มาบำเรออัตตาของเรา เราจึงเป็นสุขและหลงในสุขเหล่านั้น

มีหลายต่อหลายคู่ที่คบหากันด้วยผลประโยชน์ทางโลกเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรความสุขของคนมีกิเลสก็หนีไม่พ้นอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา แม้จะมีเหตุผลมากมายที่ยอมรับได้ในทางโลกแค่ไหน ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่สวยหรูที่ใช้กันในสังคมอุดมกิเลส เพื่อที่จะทำให้การเสพกิเลสเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เป็นเรื่องปกติ เช่น ถึงคนคนนี้จะดีแสนดีแค่ไหนแต่ถ้าจนฉันก็ไม่แต่งงานด้วยถึงแม้เขาจะเป็นคนดีแต่ถ้าเลี้ยงดูบำรุงบำเรอกิเลสฉันไม่ได้ก็ไร้ค่าและสังคมอุดมกิเลสก็จะเออออตามไปด้วย ในทางตรงกันข้ามถึงแม้คนคนนี้จะเลวทรามแค่ไหนแต่ถ้ารวยฉันก็ยอมได้ฉันพร้อมจะหาข้อดีของเขาแม้จะยากปานงมเข็มในมหาสมุทรก็จะหาและสังคมอุดมกิเลสก็จะเออออตามไปด้วย เหล่านี้เองเรียกว่าการเสพสุขทางโลกซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในสังคม มีให้เห็นกันเป็นประจำตามข่าวสารประจำวัน

ในความเจริญสูงสุดตามหลักการของพุทธ สุดท้ายคู่รักก็จะกลายเป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ไม่มีเซ็กส์ ไม่มีการกอดจูบลูบคลำ ไม่มีการสนองกิเลสใดๆแก่กันและกัน สรุปแล้วก็เหมือนได้ญาติเพิ่มมาคนหนึ่ง แล้วจะเอาเขามาเพิ่มทำไมในเมื่อจริงๆแล้วเราก็มีญาติพี่น้องมิตรสหายให้ดูแลมากอยู่แล้ว

คนที่อยากจะรักใคร ดูแลใครสักคนตราบชั่วชีวิตจริงๆ มีรักแท้จริงๆ เขาจะไม่ไปหาคู่ให้เสียเวลาหรอก เพราะเขามีพ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนมิตรสหายที่พร้อมจะให้เขาดูแลอยู่ตั้งมากมายแล้ว ทำไมยังต้องเอาคนที่ไม่รู้จักกันเข้ามาในชีวิตเพียงเพราะอยากเสพกิเลสบางอย่างแค่นั้นเอง

การเพิ่มใครสักคนเข้ามาในชีวิตจะทำให้เราเสียเวลาในการดูแลคนสำคัญในชีวิตไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เรามีแฟนเพิ่มมาหนึ่งคนก็ลดเวลาที่เราจะพูดคุยและดูแลพ่อแม่ไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเรามีแต่งงานมีลูกเราก็แทบจะไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่เลย นี่หรือสิ่งที่เราเรียกว่าความรัก นี่หรือคือสิ่งที่เราตอบแทนคนที่รักเรามากที่สุด กับคนที่ห่วงใยเรามาทั้งชีวิตเรายังให้ค่า ให้ความสำคัญไม่เท่าใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาในชีวิตเรา เพียงเพราะเขามาบำเรอสุขให้เรา เพียงเพราะต้องการสมสู่ เพียงเพราะแค่อยากมีลูก จึงทำให้เราเห็นแก่ตัวเอาความสุขนั้นไว้คนเดียวแล้วทิ้งให้คนที่รักเรารอคอยอย่างเดียวดายหรือ

ความสุขในการมีคู่ของคนมีกิเลสก็จะเยอะแยะมากมายไปหมด ให้พูดกันทั้งวันก็ไม่จบ มีหลักฐานมีที่อ้างตามแต่กิเลสจะพาไป แต่ถ้าได้ลองล้างกิเลสกันดูจะพบว่ามันไม่เห็นว่าจะมีความสุขตรงไหน คบกันเป็นเพื่อนก็ได้ เป็นคู่กันไปก็มีแต่ภาระ พาชั่ว พาจน ยากนักที่จะพาให้เจริญในศีลในธรรมร่วมกัน แต่การพากันเสพกิเลสไม่ว่าจะเรื่องอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตานั้นเป็นเรื่องง่ายสุดง่าย

แต่ก็อย่างว่า ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็คือคนที่หลงมัวเมาในสุขลวง หลงมัวเมาในเรื่องโลก ไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นกุศลอกุศลได้ ไม่สามารถแยกแยะความดีความชั่วจริงๆได้ ก็จะวนเวียนต่อไปในเรื่องคู่เพราะหลงว่าเป็นสุข มีความสุข สามารถบำเรอสุขให้ตนได้ ที่จริงแล้วมันก็กิเลสแท้ๆ กิเลสบริสุทธิ์ เป็นทุกข์แท้ๆ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เพียงแค่ได้สุขลวงมาเสพ ก็ยินยอมที่จะทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์

– – – – – – – – – – – – – – –

24.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

การเดินทางที่แสนพิเศษ

December 23, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 7,848 views 0

การเดินทางที่แสนพิเศษ

การเดินทางที่แสนพิเศษ

….การท่องเที่ยวผ่านอดีต ไปอนาคต จบลงที่ปัจจุบัน

ในชีวิตหนึ่งเราอาจจะเดินทางไปไหนต่อไหนก็ได้ ไกลเท่าไรก็ได้ อาจจะทั่วโลกหรือทั่วจักรวาลก็ยังได้ เราได้เห็นได้เรียนรู้สิ่งต่างๆระหว่างการเดินทางมากมาย จนถึงจุดหมายซึ่งทำให้เราพบกับสิ่งที่เราเรียกว่าความสุข แต่ก็ยังมีการเดินทางที่พิเศษกว่านั้นเป็นการเดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้ว่าจะนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเก่า นอนอยู่บนเตียงเดิมเดิม แต่กลับงดงามอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้

จินตนาการสามารถพาเราไปที่ไหนก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ได้ ละเอียดเท่าไรก็ได้ จะแวะพัก จะย้ายที่ จะทำอะไรก็ได้…

เราจึงใช้จินตนาการเหล่านั้นพาตัวเองผ่านอดีต ผ่านหลายภพหลายชาติที่เคยติดเคยยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เดินทางตรวจสอบจิตใจว่าเรายังเหลืออะไรให้หวนไปในอดีตเหล่านั้นหรือไม่ เรายังสุขยังทุกข์กับเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นหรือไม่ ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาสร้างรอยยิ้มและน้ำตามากมาย เป็นเหมือนเส้นทางที่มีแต่ความทรงจำที่ผ่านมามากมายขื่นขมและงดงามหาที่เปรียบไม่ได้

เรายังคงเฝ้าถามตัวเองว่ายังเหลือทุกข์เหลือสุขอยู่ในอารมณ์เหล่านั้นหรือไม่ แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เราอยากทำให้มันกลับมาหรืออยากลบมันทิ้งไปหรือไม่

หลังจากเราเดินทางไปในอดีต เราก็จะไปท่องเที่ยวกันต่อในอนาคต เราจะพาจินตนาการไปยังที่ที่อยากไป คนที่อยากพบ เหตุการณ์ที่อยากเจอ เป้าหมายในชีวิตของเราที่อยากมี ความฝันวันวานที่เราเคยมี เราใช้เวลาดื่มด่ำไปกับจินตนาการในอนาคต เรามีความสุขหรือไม่ที่เราคิดถึงมัน จะดีไหมถ้าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นจริง เราใช้มันเป็นแรงผลักดันในชีวิตได้ไหม ถ้าถึงวันที่เราฝันจริงๆ แล้วเราจะมีความสุขจริงๆใช่ไหม?

เราเดินทางไปยังอนาคต ที่เวลาทั้งหลายจะเคลื่อนไปตามจินตนาการของเรา คนข้างๆเราเขายังจะอยู่กับเราถึงวันที่เราหวังหรือไม่ พ่อและแม่ของเราจะจากไปตอนไหน เราจะต้องอยู่คนเดียวอีกนานแสนนานไหม ถ้าเราต้องโดดเดี่ยวและสูญเสียจริงๆ เราจะทุกข์ เราจะเสียใจ เราจะทนได้ไหม เราจะไม่ร้องไห้ได้ไหม

หากเรายังคงยินดีในอดีตและอนาคต เราก็ยังคงต้องเดินทางต่อไป การเดินทางของเรานั้นยังไม่จบยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมัน เราต้องใช้เวลามากมายเดินทางข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นจากเดือนเป็นปี จากปีเป็นชีวิต เราตายและเกิดใหม่เพื่อเดินทางเรียนรู้บนถนนเส้นเดิม แม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่เราก็ยังจะเดินทางตามหาความฝันเหมือนเดิม

จนกว่าเราจะพบว่าเราพอแล้ว เราไม่ยินดีในสุขและไม่สนใจจะจมอยู่กับทุกข์ทั้งในอดีตและอนาคตแล้ว ไม่มีเรื่องใดๆให้เราต้องทำ ไม่ต้องไขว่คว้าฝันนั้นอีกต่อไปแล้ว เราจึงยินดีที่จะหยุดเดิน เราไม่กลับไปอดีต และจะไม่เดินต่อไปในอนาคต การเดินทางของเราจบลงที่ตรงนี้ ตอนนี้ เราอยู่กับปัจจุบัน อดีตคือความทรงจำดีๆ เรื่องราวมากมายที่ผ่านมานั้นยังคงมีอยู่ อนาคตต่อจากนี้ก็ยังมีอยู่แต่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

การเดินทางที่แสนพิเศษจะเกิดขึ้นเพราะมันมีตอนจบ มีเส้นทาง มีประสบการณ์ มีเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาแล้วก็มีตอนจบ เป็นการสิ้นสุดของการเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมานานแสนนาน ผ่านรอยยิ้มและน้ำตามากมาย บทสรุปนั้นงดงามด้วยเรื่องราวของทุกก้าวที่ผ่านมา

พระอาทิตย์กำลังขึ้นในเช้านี้ แต่ไม่มีการเดินทางอีกต่อไป ไม่ต้องท่องเที่ยวอีกต่อไป เหลือเพียงแค่คนหนึ่งคนที่ใช้ชีวิตไปอย่างปกติ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนอีก ไม่ต้องกลับไปอดีต ไม่ต้องไปอนาคต เพราะเขาอยู่กับปัจจุบัน

– – – – – – – – – – – – – – –

22.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

กินร่วมใจ : ตรวจกามและอัตตาเมื่อต้องทดลองกินเนื้อสัตว์

December 23, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,454 views 0

กินร่วมใจ : ตรวจกามและอัตตาเมื่อต้องทดลองกินเนื้อสัตว์

กินร่วมใจ : ตรวจกามและอัตตาเมื่อต้องทดลองกินเนื้อสัตว์

การตรวจสอบระดับที่ 3 ที่จะกระทุ้งให้เห็นกิเลสอย่างเด่นชัด แบบชัดแจ้งอยู่ในใจกันเลยทีเดียว การจะมาถึงระดับนี้ได้เราจำเป็นต้องผ่านในระดับ 1 และ 2 ด้วยใจที่โปร่งโล่งสบายมาก่อน หากอ่านและทดสอบตัวเองในระดับ 1,2 แล้ว ยังมีอาการขุ่นเคืองใจไม่ว่าจากกามหรืออัตตา ก็ถือว่ายังไม่ผ่าน

การที่เรายังไม่ผ่านด่านง่ายแล้วจะกระโดดมาเล่นด่านยากนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะไม่สามารถจัดการกับกิเลสแล้วยังจะโดนกิเลสเล่นงานซ้ำอีก เพราะในด่านนี้ก็จะเข้าไปคลุกวงในกับกิเลสมากขึ้น เข้าไปใกล้มากขึ้น จนเรียกได้ว่าหลายคนคงจะไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้

สติปัฏฐานยังคงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นมากสำหรับการตรวจจับสภาวะของกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจ ใครที่มาถึงขั้นตอนนี้แบบกดข่มก็จะยิ่งเป็นภัยกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมะนั้นเหมือนดาบสองคมยิ่งลึกก็จะยิ่งเข้าใจยาก พอไม่สามารถเข้าใจได้ก็อาจจะเกิดการเพ่งโทษกันเกิดขึ้น แต่จริงๆแล้วเพราะเราไม่เข้าใจนัยสำคัญของธรรมนั้นต่างหาก

ขั้นตอนที่ 1).คำเตือน!!

ถ้ายังไม่ผ่านบททดสอบใจตัวเองในระดับที่ 1 , 2 ก็ไม่ควรจะอ่านบทความนี้ต่อ เพราะบทความนี้จะเป็นภัยมากถึงมากที่สุดต่อผู้ที่ยังไม่สามารถจัดการกับกิเลสได้

อีกประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการกินมังสวิรัติ บทความนี้อาจจะไม่เหมาะกับท่านเลย หากท่านต้องการให้บทความนี้สอนกินมังสวิรัติ เนื้อหาเหล่านั้นไม่มีอยู่ในบทความนี้ เพราะในบทความนี้เราจะสอนเฉพาะเรื่องกิเลสโดยใช้มังสวิรัติมาเป็นเครื่องมือในการขัดเกลากิเลส ซึ่งอาจจะไม่มีประโยชน์กับท่านที่ไม่ได้แสวงหาหนทางลด ละ เลิกการยึดมั่นถือมั่น

การทดสอบต่อไปนี้ทำเพื่อตรวจสอบให้เห็นว่ายังคงมีกิเลสเหลืออยู่ในจิตใจเท่านั้นไม่ใช่การกระทำที่ทำโดยทั่วไป ไม่ใช่ทำเป็นประจำ แต่กระทำเฉพาะผู้ที่ต้องการความมั่นใจว่าตนเองนั้นไม่ได้มีความอยากในเนื้อสัตว์จริงๆ เพื่อสร้างความมั่นใจอย่างแท้จริงแบบไม่ต้องคิดเอาเอง จินตนาการไปเอง เพราะทดสอบกันอยู่ตรงหน้า ถ้ากามและอัตตายังเกิดอยู่ก็ไปพิจารณาธรรมใหม่ แต่ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นรู้สึกเฉยๆก็จบกันไป

ขั้นตอนที่ 2).กินร่วมใจ

ในการกินที่ร่วมไปกับใจนั้นเป็นคำที่ยกมาเพื่อเปรียบเทียบกับการกินที่ใกล้ใจมากที่สุด เมื่อเรามั่นใจว่าเรารู้สึกว่าไม่อยากกินเนื้อสัตว์อย่างเต็มที่แล้ว จะมีอะไรมาทดสอบใจเราได้ดีเท่ากับ “การทดลองกิน” เมนูที่ชอบ สิ่งที่เคยติดในอดีต หรือสิ่งที่เคยฝันไว้ ที่เขาว่าดีว่าเลิศคือสิ่งไหน ถ้ามีโอกาส มีทุน มีปัจจัยที่เหมาะสม ก็ทดลองดูเลย ไม่ใช่สิ่งเสียหายที่เราจะลองทดสอบ

จะลองเคี้ยวให้ละเอียดสุดละเอียด สูดดมทุกกลิ่นที่มี สัมผัสทุกคำที่เคี้ยว ลิ้มรสทุกอย่างที่มีแล้วก็คายทิ้งไปก็ได้ เพียงแค่ได้สัมผัสสิ่งที่เคยยึด เคยติด เคยเป็นตัวเป็นตนของเรา เราสามารถจะรับมันเข้ามาและปล่อยมันทิ้งอย่างสบายใจได้หรือไม่ ทำโดยไม่ฝืน ไม่ลำบาก ให้รู้ดีในใจว่าจะทำอีกกี่ครั้งผลก็เหมือนเดิม ยังเฉยๆอยู่เหมือนเดิม ก็ถือว่าผ่านบททดสอบนี้

ขั้นตอนที่ 3). ตรวจสอบกาม

เมื่อเราได้ลองกินเนื้อไป หากเรายังไม่ผ่านพ้นความอยากกินเนื้อสัตว์ อาการจะออกตั้งแต่ก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างรู้สึกได้ ให้ค่อยๆสังเกตตัวเองว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าคิดว่าไม่ไหวรู้ดีว่าในใจนั้นอยากกินก็ไม่ต้องไปกินให้เสียเวลา เพราะมันเห็นกิเลสชัดๆอยู่แล้ว ถือว่าสอบตกตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

ส่วนผู้ที่ยังเฉยๆจนกระทั่งกินเข้าปากไปแล้วเคี้ยว ก่อนกินก็ไม่รู้สึกอะไรนะ แต่พอเคี้ยวกลับมีความสุข จะเริ่มเสียดายที่ต้องทิ้ง เสียดายรส อยากจะกลืนลงคอ อยากกินอีกคำ อยากกินอีกเรื่อยๆ แม้ว่าจะคายทิ้งไม่กลืนแต่ความอยากจะยังคงอยู่ มันจะหลอกหลอนให้จิตวนเวียนกลับไปคิดถึงเมนูเนื้อจานนั้น ไม่สามารถตัดให้ขาดไปจากใจได้

ความสุขนี่แหละคือตัววัดว่ายังเหลือความอยากอยู่เท่าไหร่ ถ้ารู้สึกสุขก็คือกามขึ้น ถ้าทุกข์ก็คืออัตตาขึ้น มันจะมีอยู่สองอย่างที่มักจะเกิดขึ้น ในกรณีที่ไม่เกิดทั้งสองอย่างก็คือภาวะของอุเบกขา คือเฉยๆ ในกรณีนี้ต้องมาตรวจกันอีกทีว่าเป็นอุเบกขาแบบเคหสิตเวทนา หรือเนกขัมมเวทนา ถ้าให้คนทั่วไปมากินก็อาจจะรู้สึกเฉยๆได้ เพราะตรวจใจตัวเองไม่เป็น รับรู้ความรู้สึกไม่ได้ ปากก็บอกว่าเฉยๆ แต่ในใจก็รู้สึกสุขอยู่เล็กๆ เช่นในกรณีที่เรากินจนอิ่มแล้ว ให้ของที่เราชอบมากินต่อเราก็ไม่อยากกิน เฉยๆ แบบนี้มันคือความเฉยๆแบบชาวบ้าน ไม่ใช่การบรรลุธรรมหรือพ้นความอยากอะไรเลย

ขั้นตอนที่ 4). ตรวจสอบอัตตา

เราสามารถเห็นอัตตาได้ตั้งแต่ยังไม่กินเนื้อสัตว์นั้นๆ คือจะมีความรังเกียจถ้าจะต้องกลับไปกิน แม้ใครจะบอกให้ลองกลับไปกินก็จะไม่ยินดีทดลองเพราะทั้งรังเกียจเนื้อสัตว์ รังเกียจการกินเนื้อสัตว์ และรังเกียจการที่ตัวเองจะได้ชื่อว่าเป็นมังสวิรัติที่ไปกินเนื้อสัตว์ มันจะทุกข์ใจตั้งแต่เริ่มคิด อันนี้ก็เป็นลักษณะของอัตตา

ความยึดมั่นถือมั่นยังเกิดได้ในระหว่างกินและหลังกิน แม้ว่าจะทำเพียงแค่เคี้ยวแต่ไม่กลืน แต่จะรู้สึกขยะแขยง ขุ่นใจ กระวนกระวายใจ ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ให้ลองอีกก็ไม่อยากลอง หรือถ้าอัตตาแรงจัดๆก็จะรังเกียจวิธีนี้ไปเลย

ในบางครั้งอัตตาคือตัวบังไม่ให้เห็นกามคือเรามีอัตตามากจนไปกดข่มกาม ไปกลบกามไว้ จริงๆเราอาจจะรู้สึกสุขที่ได้กินได้เคี้ยวนะ แต่ความยึดดีมันไม่ยอม มันจะสร้างเหตุผลขึ้นมาทันทีที่เรารู้สึกสุข ตบความสุขทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าไม่มีสติไม่รู้รับกิเลสตามความเป็นจริง การมีอัตตามากๆจะบังทุกสิ่งทุกอย่างและกลบมันไว้ภายใต้ภาพของคนดีเหมือนการกวาดฝุ่นเข้าไปซุกในพรม แน่นอนว่าในเวลาปกติเราจะไม่เห็นฝุ่นนั้น แต่ถ้าเปิดพรมออกมาก็คงจะฝุ่นคลุ้งกันเลยทีเดียว

อัตตาก็เหมือนกับพรมที่สามารถเอากามเข้าไปซุกข้างในได้อย่างแนบเนียน เราสามารถซ่อนความอยากไว้ในความยึดดีได้ ลักษณะเหล่านี้คือลักษณะเด่นของสมถะวิธี เป็นวิธีของฤๅษี ที่ใช้การกดข่มเข้าไปในภพ ใช้อัตตามากดกาม ไม่ให้กามได้แสดงอาการ ดังนั้นผู้ที่ใช้วิธีนี้จะทำให้การตรวจสอบความอยากทั้งหมดที่ทำมาไร้ประโยชน์ในทันที

ขั้นตอนที่ 5). สรุปผล

ในการตรวจสอบนี้จะได้ผลที่ค่อนข้างชัดว่าเรายังอยากกินอยู่หรือไม่ เรายังมีอัตตามากอยู่หรือไม่ ผู้ที่เรียนรู้กิเลสต้องทำลายกามไปพร้อมๆกับอัตตา ถ้าถามว่าทำลายกามหรือความอยากกินทั้งหมดก่อนแล้วค่อยมาทำลายอัตตาได้ไหมก็ต้องตอบว่าได้ แต่มันไม่ง่ายที่จะมาทำลายอัตตาทั้งหมดตอนท้าย ถ้าเราไม่ทยอยล้างตั้งแต่แรก อัตตานี่แหละจะเป็นตัวกั้นไม่ให้เราล้างอัตตา มันจะยึดดีถือดี ไม่ยอมให้เราทำอะไรกับมันง่ายๆ ใครมาสอนก็ไม่ฟัง ใครมาบอกก็ไม่เชื่อ เชื่อแต่ตัวเองเท่านั้น ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันกินมังสวิรัติมาแล้วกว่า … ปี มันจะมีข้ออ้างและเหตุผลมากมายที่จะไม่ล้างอัตตา

ก็เหมือนกันกับคนที่ติดเนื้อสัตว์นั่นแหละ มันจะมีเหตุผลและข้ออ้างมากมายที่จะไม่ออกจากความอยากกินเนื้อสัตว์ แต่อัตตาจะต่างออกไปเพราะมีความยากมากกว่า นั่นเพราะโดยรวมมันอยู่ฝั่งดี เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์แล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีคนที่มีอัตตามากๆจะก็จะไปเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ มักจะทำให้เกิดบรรยากาศที่กดดัน อึดอัด เพราะความยึดดีถือดีนั่นเอง

ผู้ปฏิบัติธรรมพึงทบทวนตนเองอยู่เสมอว่าเรานั้นอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ เรากำลังทำตัวใหญ่คับฟ้าหรือไม่ เพียงแค่กินมังสวิรัติได้เราถึงกับยกหางตัวเองว่าเป็นคนดีแล้วอย่างนั้นหรือ มีคนดีอีกมากมายที่เสียสละเพื่อสังคมและโลกแต่เขาไม่ได้กินมังสวิรัติและเขาก็ไม่เคยอวดตนว่าเขาเป็นคนดี แล้วเราทำดีได้เพียงเล็กน้อยยังกล้าอวดแบบนี้มันก็เหมือนที่เขาว่าแมงป่องมีพิษน้อยแต่อวดโอ้ชูหาง ส่วนงูมีพิษมากแต่ไม่แสดงออกง่ายๆ

อัตตาก็เช่นกัน จะทำให้เราภูมิใจในความดีอยู่ลึกๆ ถ้าใครชมก็จะฟูใจตาม แต่ถ้าใครด่าก็จะร้อนรน จากสภาพของเทวดาตกไปเป็นเดรัจฉานทันที คนดีที่ไม่ล้างอัตตาก็มีแต่จะเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น แต่ก็เป็นเรื่องยากสุดยากที่จะยอมรับว่าตัวเองมีอัตตา ใครเล่าจะยอมทิ้งคราบคนดี จะยอมลอกคราบแห่งความดีทิ้ง เมื่อไม่ยอมทิ้งมันก็ติดดียึดดีอยู่แบบนั้น มันก็เป็นความดีที่ไม่ดีที่สุดอยู่นั่นเอง

ติดตามต่อได้ที่

Facebook Group : Buddhism Vegetarian (มังสวิรัติวิถีพุทธ)