Tag: ความรัก
ฉันดีพอ..กับเธอแล้วหรือยัง?
ฉันดีพอ..กับเธอแล้วหรือยัง?
คนเราเมื่ออยากจะได้บางสิ่งบางอย่าง ก็ต้องพยายามแสวงหามา ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของก็คงจะง่าย มีรูปร่าง ขนาด ที่รู้ว่าจะต้องหยิบจับอย่างไรเพื่อจะให้ได้มา ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะได้ครอบครอง แต่ถ้าเป็นเรื่องของคน เรื่องของจิตใจ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้มา ต้องจ่ายเท่าไหร่ ต้องทำดีแค่ไหน ถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง…
คงจะเหมือนสภาพที่ยิ่งทำเท่าไหร่ก็ยิ่งไกล ระยะห่างที่ดูเหมือนจะไม่ไกลแต่ก็ไม่มีวันไปถึง คือช่องว่างของจิตใจระหว่างคนสองคนที่ไม่สามารถวัด ไม่สามารถคาดคะเนได้ว่า เท่าไหร่ถึงจะพอ…
ใจของคนเราคงเหมือนหลุมของกิเลส ถ้ามีใครสักคนไปเติมจนเต็มก็คงจะได้โอกาสครอบครอง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าหลุมแห่งกิเลสนั้นกว้างยาวลึกเท่าไหร่ ต้องใส่อะไรลงไปถึงจะเต็ม
หลุมกิเลสต้องใส่อะไรลงไปบ้าง? ความสนุกสนาน ความสวยงาม ความดูดี ความมั่นคง ความอบอุ่น มีฐานะ เงินทองของมีค่า ชื่อเสียง อุดมการณ์ ความเป็นผู้นำ ความคิดสร้างสรรค์ การเอาใจใส่ …ฯลฯ แค่คิดว่าจะต้องใส่อะไรลงบ้างไปก็ปวดหัวแล้ว ปัญหาต่อมาคือต้องใส่ไปมากเท่าไหร่ และต่อเนื่องขนาดไหน จนกว่าจะเติมกิเลสให้เขาพอใจกับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้จนเขาคิดว่าเราดีพอสำหรับการสนองกิเลสของเขา
…บางคนใส่แค่ ความสวยงาม หน้าตาดี ก็ยินยอมให้ครอบครองกันแล้ว
…..บางคนใส่ คำพูดหวานๆ คำโกหก คำหลอกลวง ก็ยินยอมให้ครอบครองกันแล้ว
…….บางคนต้องใส่ เงินทองของมีค่า ฐานะ ความมั่นคง ถึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน
………บางคนต้องใส่ ความมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคม ความเป็นที่ยอมรับ ถึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน
…………และบางคนอาจจะต้องใส่ อุดมการณ์ ความเห็นที่ตรงกัน ความเข้าใจที่เสมอกัน จึงจะยินยอมให้ครอบครองกัน
แค่คิดว่าเราจะต้องหาอะไรมาเติมให้อีกฝ่ายยอมรับ และเห็นว่าตัวเราดีพอสำหรับเขา ก็เหนื่อยสุดแสนจะเหนื่อย เพราะบางคุณสมบัติ อาจจะไม่ได้มีมาแต่กำเนิด ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้มีความรู้ ชื่อเสียง สุดท้ายก็ต้องลำบากพัฒนาตัวเอง โดยมีกิเลสที่มีชื่อเรียกเล่นๆแบบไพเราะเสนาะหู ว่า “ความรัก” เป็นตัวนำ
แต่ขึ้นชื่อว่ากิเลส ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เรียนรู้ได้ยาก กำจัดได้ยาก หลุมแห่งกิเลสที่เราเคยเข้าใจว่าต้องเติมแค่นั้นแค่นี้ถึงจะเต็ม ไม่ได้คงสภาพอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ทุกครั้งที่เราใส่ความเสพสมใจให้กับเขา หลุมกิเลสจะเปิดกว้างและลึกขึ้น ขยายตัวขึ้นเพื่อที่จะรองรับกิเลสที่มากกว่า แม้ว่าเราจะพยายามถมมันลงไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือสุขลวงๆ สักเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรู้สึกว่า เราห่างไกลออกไปจากความรักมากขึ้นเรื่อยๆ
และคนที่โชคร้าย ก็จะสามารถเติมกิเลสกันจนเต็มได้ครอบครอง ได้เสพสมอารมณ์ ได้แต่งงานกัน สมรสกัน ได้โอกาสในการมีลูก มีครอบครัวร่วมกัน เป็นการหนีจากทุกข์แห่งความเหงา เปล่าเปลี่ยว ความใคร่อยาก ไปเจอทุกข์อีกแบบ คือทุกข์แบบคนคู่ ทุกข์แบบมีครัวมาครอบไว้ กรงขังที่ยากจะหลุดออกมาได้ และบ่วงที่มีชื่อว่าลูก เสพสมอยู่กับสุขลวง ที่ให้สุขนิดหน่อย แต่ทุกข์มากมาย
ส่วนคนที่โชคดีก็จะเรียนรู้ว่า หลุมแห่งกิเลสของเขาหรือเธอเหล่านั้น ไม่มีวันที่จะถมเต็ม เขาก็มีกิเลสของเขา เราก็มีกิเลสของเรา และหันมามองว่าจริงๆ เราเองนั่นแหละ ที่จะเอาเขามาเติมเต็มกิเลสของเรา เราจะต้องได้เขามาครอบครองถึงจะเสพสมใจ ปัญหาก็คือเราเองก็ไม่เคยจะเติมตัวเองจนเต็มเสียที ยังเป็นคนที่ขาดที่พร่องอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าจะได้ครอบครองเขาแล้วมันยังไง? มันสุขเหมือนวันแรกไหม? มันจะค่อยๆลดลงใช่ไหม?
แค่หลุมกิเลสในตัวเราก็ใหญ่มากพอแล้ว ยังต้องลำบากไปยุ่งวุ่นวายกับกิเลสของคนอื่นอีก แล้วไปหวังว่าเขาจะมาเติมเต็มกิเลสให้กับเรา เป็นฝันลมๆแล้งๆ คนที่เราหวังไม่มีวันจะสวยงามคงทนได้ตลอดไป ไม่มีวันมีฐานะร่ำรวยมั่นคงได้ตลอดไป ไม่มีวันมีชื่อเสียง เกียรติยศได้ตลอดไป ไม่มีวันที่ความฝันหรืออุดมการณ์ของเขาจะไม่สลายหรือเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีวันจะดูแลเราหรืออยู่ให้เราแลดูได้ตลอดไป ทุกอย่างเสื่อมไปตลอดเวลา
เราเองก็เป็นหลุมกิเลสที่มีแต่จะลึกและกว้างขึ้นทุกๆวัน ถ้ามัวแต่ไปยุ่งกับกิเลสของคนอื่น ก็ไม่มีวันได้จัดการกิเลสของตัวเอง หลุมกิเลสที่กว้างและลึกไม่มีวันเติมเต็มด้วยการหามาเสพ แต่ต้องใช้การพิจารณาความจริงตามความเป็นจริงว่า กิเลสนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา เป็นทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และให้เห็นลึกลงไปถึงราก ว่าจริงๆแล้วเราต้องการเสพอะไรกันแน่ อยากได้มาเพื่ออะไร เรายึดเราติดเราหลงในอะไร หากเราเห็นตามจริงแล้วว่าเราหลงยึดอะไร ก็เหมือนได้เห็นประตูสู่การปลดเปลื้องกิเลสเหล่านั้น ที่เหลือก็แค่พยายามเดินไปให้ถึงประตู เปิดมันและเดินออกไป เท่านั้นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
26.8.2557
ความรักกับการเปลี่ยนแปลง
ความรักกับการเปลี่ยนแปลง
กาลเวลาที่ผ่านไปได้แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยน แม้แต่ใจคนที่หนักแน่น คำพูดที่จริงจัง คำสัญญาที่ตั้งมั่นว่าจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็ต้องค่อยๆเสื่อม ค่อยๆพราก ค่อยๆจาก และเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล….
ขับรถไป เปิดวิทยุไป แล้วเขาก็เปิดเพลงหนึ่ง ฟังแล้วรู้สึกทันทีว่าน่าจะเอาเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึกนี้มาพิมพ์บทความกันสักหน่อย (เปลี่ยน – บี๋ คณาคำ อภิรดี : http://www.youtube.com/watch?v=0i-e5nnDfgU)บทความนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากการฟังเพลงนี้ละนะ
ความรักกับความเปลี่ยนแปลง…เรื่องราวเกี่ยวกับความรักในบทนี้ ก็คงจะกล่าวกันถึงความรักที่มีความเปลี่ยนแปลงที่มีทิศทางในลักษณะที่เสื่อมลง คลายลง ถดถอยลง จนถึงสลายหายไป เป็นทุกข์แบบชัดเจน
ขึ้นชื่อว่าความรักนั้นก็เหมือนของหอม ของงาม น่าโหยหา น่าเอามาผูกพัน น่าเอามายึดไว้ข้างกาย เป็นความสุขความสมบูรณ์ตามที่สังคมและโลกสอนให้เราเข้าใจ ให้เรารับรู้ว่าการที่คนเราได้รับความรัก ได้มีคู่รัก นั่นคือจุดสมบูรณ์ของชีวิต เหมือนในนิทาน ในนิยาย ในละคร ที่ตอนจบพระเอกและนางเอกก็ได้ร่วมชีวิตกัน
เป็นเหมือนเรื่องราวที่โลกทำให้เราเข้าใจว่าการได้มีคู่ ได้สมรส มีครอบครัว นั้นคือความสุข เป็นจุดจบของทุกสิ่ง เพราะส่วนใหญ่เรื่องราวในหนังมันก็จบแค่นั้น… แต่ถ้าชีวิตจริงมันจบแค่นั้นก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า
เมื่อได้เสพสมใจ คือการแต่งงาน จนไปถึงการสมสู่ ความต้องการของเราจะได้รับการเติมเต็มอย่างสูงที่สุด ตามแต่ใครจะสร้างกิเลสเหล่านั้นขึ้นมา ดังจะเห็นได้โดยทั่วไปว่า ไม่มีงานใดยิ่งใหญ่มากเท่างานแต่งงานในชีวิตของคนหนึ่งคนแล้ว เรียกได้ว่าเป็น“จุดพีค” ของชีวิตเลยทีเดียว ถ้าเป็นละครก็คือตอนสำคัญเชียวละ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับต้องการเสพความสุขเหล่านี้ “มากขึ้นเรื่อยๆ” ในขณะที่ความอยากจะตอบสนองของอีกฝ่ายลดลง หรือหมดความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของคู่ตน ที่มีแต่จะพัฒนาความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ขึ้นทุกวัน
เมื่อคนเรามีความต้องการ ความอยากเป็นเจ้าของ หรือกระทั่งความใคร่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “ความรัก” เข้ามาเป็นตัวแทนโดยทำทุกอย่างให้เหมือนทุ่มเท ใส่ใจ เอาใจใส่ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะสนองกิเลสอีกฝ่ายให้พอใจกับการกระทำของตน เรียกง่ายๆว่า เอาใจ…จนจีบติด , เมื่ออีกฝ่ายเริ่มสนใจ ก็จะสนองกิเลสเพิ่มเข้าไปอีก หาสิ่งมาเติมกิเลสเข้าไปอีกให้เกิดความอยากร่วมชีวิต ให้มาแต่งงานร่วมกัน มีคำหวาน คำสัญญา คำพูดและสิ่งของอีกมากมายที่จะมาหลอกล่ออีกฝ่ายให้มาตกลงปลงใจกับตนเอง โดยเนื้อแท้ที่ทำทั้งหมดตั้งแต่แรกคือจะเอามาสนองกิเลสตัวเอง คือ อยากครอบครอง อยากสมสู่ อยากมีคนแก้เหงา อะไรก็ว่ากันไป… จนสนองกิเลสกันสำเร็จ ตกลงใจร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน
การกระทำเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามสัญชาติญาณ ไม่ต้องนึกหรือบังคับ กิเลสก็จะกุมบังเหียนพาเราไปสู่จุดที่อยากจะเสพสมใจเอง โดยทั่วไปแล้ว คนจะเข้าใจว่า ตัวเองเข้าใจว่าทำอะไรอยู่ แต่ไม่เข้าใจว่าจริงๆที่ทำอยู่ นั้นมาจากคำสั่งของกิเลส ประมาณว่าไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าโดนบงการ เลยเข้าใจไปว่า ทำด้วยหัวใจ,ความรักอยู่ที่ใจ,คนมีรักถึงจะเข้าใจ,เราให้เพราะอยากให้,ฯลฯ …กิเลสทั้งนั้น
ความฉิบหายจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้ เมื่อฝ่ายหนึ่งได้เสพสมกิเลสตามที่ตนพอใจแล้ว อาจจะเป็นเรื่องการได้ครอบครอง การได้สมสู่ การได้มีสิ่งที่หวัง ก็จะเริ่มลดความพยายามในการตามใจ หรือการสนองกิเลสของอีกฝ่ายลง ในขณะที่อีกฝ่ายก็งง ว่าทำไมแต่งงาน หรือเป็นแฟนกันแล้ว ได้กันแล้ว กลับเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม นั่นก็เพราะเขาได้ในสิ่งที่คาดหวังมาหมดแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำมาก็แค่เพื่อเสพสมบางสิ่งจากตัวเราเท่านั้นเอง เมื่อเขาเสพสมใจแล้วเขาจะพยายามต่อไปเพื่ออะไร?
จากจุดนี้ก็คงจะไม่มีใครพูดตรงๆถึงปัญหาซึ่งเป็นรากเหง้าเหล่านี้เพราะส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้ เนื่องจากไม่เคยศึกษากิเลสตัวเอง ก็เลยจะออกมาในรูปของการทะเลาะ ความไม่เข้าใจกัน ความขัดแย้ง อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง ไปจนกระทั่งถึงเลิกราต่อกัน
ในอีกกรณีหนึ่งก็คือการสร้างภาพกันทั้งคู่ เวลาที่ยังไม่อยู่ร่วมกันก็เป็นคนดีทั้งคู่ แต่พอมาอยู่ด้วยกัน เริ่มเคยชินกัน จึงไม่ค่อยสำรวม กิเลสที่เคยกดข่มไว้ก็ค่อยๆคลายออกมา กลายเป็นความเอาแต่ใจ อารมณ์ร้าย เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทีนี้พอคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ร่วมกัน แต่ละคนก็อยากได้ อยากให้อีกฝ่ายสนอง แรกๆก็พอจะสนองกันไปได้ วันหนึ่งเริ่มไม่ไหว ก็เลิกสนอง กลายเป็นหามือที่สามมาสนองกิเลส หรือไม่ก็เลิกรากันไป
ดังจะเห็นได้ว่า ในทุกการเปลี่ยนแปลงของความรักนั้นมีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดัน เป็นเหมือนแรงลมที่ทำให้ทุกๆอย่างเคลื่อนไหว ดังนั้นความรักที่ขับเคลื่อนไปด้วยลมแห่งกิเลสจะไม่มีวันเปลี่ยนไปได้อย่างไร
ทีนี้คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น หลงไปในคำสัญญา ก็จะยึดว่าเขาต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนจากวันที่รักเรามากที่สุด เมื่อคิดเช่นนี้ มันก็ทุกข์เอง และพยายามจะกอดทุกข์เหล่านั้นไว้ไม่ปล่อย โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ารักที่มาจากกิเลสนั้นจะต้องมีวันเปลี่ยนแปลงไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ถึงแม้ว่ารักนั้นจะสะอาดปราศจากกิเลศก็ตาม ก็ยังต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง ความพลัดพราก คนที่เคยดูแลเรา อาจจะกลายเป็นคนที่เราต้องดูแล คนที่เราฝากชีวิตไว้ อาจจะจากเราไปก่อนที่เราจะทำใจได้ ความเปลี่ยนแปลงนำพาทุกข์มาให้ผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเสมอ
ความรักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยงแท้แน่นอน นั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้เพียงแค่พูด แค่คิดเอา แค่ตั้งมั่นสัญญา หรือด้วยความเข้าใจเพียงแค่ว่า “เรานี่แหละมีรักที่มั่นคง” สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถหยุดความเปลี่ยนแปลงของกิเลสเรา ที่มันจะโตขึ้นทุกวันทุกวันได้
หากเราอยากพบกับความรักจริงๆแล้ว คงต้องพยายามบากบั่น ทำลายความเอาแต่ใจ ความอยากครอบครอง ความหลง ความเหงา ฯลฯ ของตัวเองให้สิ้นเกลี้ยงเสียก่อน จึงจะพอเห็นแสงสว่างปลายทางที่เรียกว่ารักแท้ได้บ้าง
หากใจยังปนเปื้อนไปด้วยกิเลส ก็คงมีแต่คำว่า “รักแท้” ที่เป็นคำลวง พาให้หลงใหล พาให้ปักใจเชื่อ และรอวันเวลาผ่านเข้ามาพรากสิ่งลวงนั้นไปในวันใดก็วันหนึ่ง เหลือทิ้งไว้แต่คนที่ยังยึดมั่นกับรักแท้ที่เป็นคำลวง คนที่หลงเข้าใจไปว่าทุกสิ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง
– – – – – – – – – – – – – – –
24.8.2557
ความงามกับความรัก
ความงามกับความรัก
ในสังคมปัจจุบัน ความงามกับความรักปนเข้าไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกันจนแทบจะแยกไม่เอาว่า เรารักเพราะความงามหรือรักเพราะอะไรกันแน่…
ในบทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง… หน้าจริง : ALARM9(http://www.youtube.com/watch?v=eqPSUAWuaZc ) เรื่องราวในเพลงเป็นเด็กผู้หญิงอ้วนๆคนหนึ่งที่พยายามแต่งเติมเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะชอบในสิ่งนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงผู้ชายที่เธอบอกชอบนั้น ไม่ได้ชอบเธอที่รูปร่างหรือการแต่งตัว แต่ผูกพันกันด้วยคุณค่ามากกว่าความงามแค่รูปกาย
คงปฏิเสธได้ยากว่าความงามนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดคนหมู่มากให้เข้ามาหา ไม่ว่าจะหญิงสวยชายหล่อก็เรียกว่ารูปงามทั้งนั้น คนทั้งหลายก็เลยพากันแต่งเสริมเติมสวย เพิ่มความงามขึ้นไป ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายในสมัยนี้ก็ไปศัลยกรรมเพื่อความงามเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงเลยสำหรับผู้หญิง การเสริมความงามกลายจนถึงการศัลยกรรมก็เป็นเรื่องที่ปกติ ใครไม่ทำสิแปลก…
ก็คงจะดีถ้าความงามนั้นดึงเอาคนที่ดีเข้ามาใกล้ตัว แต่ในความจริงแล้ว ความงามนั้นก็ดึงเอาเฉพาะคนที่ต้องการสิ่งสวยงาม คนที่เสพรูปกาย หลงติดในรูป กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่เขาเข้ามา เขาจะเข้ามาเอาแต่ความงามเท่านั้น
ในความจริงแล้วความงามไม่ได้มีผลอะไรต่อความรักเลย จะมีผลก็เฉพาะต่อความหลง จะทำให้หลงรัก ให้ลำเอียงเพราะรักใคร่ ความยึดมั่นถือมั่น การเสพสมใจในรูปที่สวยงาม เรียกได้ว่ายิ่งงามเท่าไหร่ก็จะยิ่งดึงคนที่มากด้วยกิเลสเข้ามาใกล้ตัวมากเท่านั้น แล้วมีคนที่มีกิเลสมากๆอยู่ใกล้ตัวจะดีไหมล่ะ? ความรักที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหามันดีไหมล่ะ? แรกแบบหลงในรูปมันดีไหมล่ะ?
จริงๆความรักที่เรามีคืออะไรกันแน่ เรารักในอะไรกันแน่ ในความสวยหล่อของเขา ในความรวยของเขา ในบุคลิกของเขา หรือในคุณค่าของเขา ทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เสื่อมลงไป สลายไปได้ตามกาลเวลา ความงามนั้นไม่มีทางยั่งยืนตลอดกาล ความรวยก็ไม่แน่นอน นิสัยก็ยังเปลี่ยนได้ แต่คุณค่าจะไม่มีวันเปลี่ยนไปมีแต่จะยิ่งพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ
หากเรามีความรักในคุณค่าแท้ของอีกฝ่าย เข้าใจว่าจริงๆคนหนึ่งคนตรงหน้าเรามีความหมายเพื่ออะไร เข้าใจคุณค่าที่มากกว่าการเสพสมกิเลสร่วมกันแล้ว ก็จะเข้าใจถึงประโยชน์แท้จริงๆของสิ่งที่เขามี จะเห็นคุณค่าจริงๆที่เขามี ไม่ใช่เห็นตามที่กิเลสของตัวเราเองที่อยากให้เขาเป็นอยากให้เขามีดั่งใจเรา หรือเห็นไปตามที่กิเลสของเขาปั้นแต่งภาพลวงหลอกให้เราเห็นว่าเขาเป็นเช่นนั้นเช่นนี้
เมื่อเข้าใจคุณค่าแท้ของความรัก จะสามารถเข้าใจและหลุดพ้นสภาพที่หลงรักจากรูป กลิ่น เสียง สัมผัส ความรวย ความมีชื่อเสียง ฐานะ หน้าที่การงาน บุคลิก นิสัย อุดมการณ์ ภาพลักษณ์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายเลย จะเหลือแต่คุณค่าแท้ของคนหนึ่งคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา เป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สอดร้อยไปในความสัมพันธ์จนเกิดเป็นคุณค่าร่วม แม้จะเรียกว่าความรักเหมือนกันกับคนทั่วไป แต่ก็เป็นความรักที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยกิเลส ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยเสน่หา ไม่ได้ปนเปื้อนด้วย อบายมุข กามอารมณ์ โลกธรรม อัตตา ใดๆเลย เป็นความรักที่หลุดพ้นจากรักเพราะความงามไปไกล เป็นความรักแท้ที่ประเมินค่าไม่ได้ หาซื้อไม่ได้ ต้องสร้างเอาเอง
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ก็อย่ามัวหลงไปเติมความงามเพื่อหาความรักอยู่เลย รักแท้ไม่มีอยู่ในกองกิเลสหรอกนะ เอาเวลามาเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองจะดีกว่า ทำตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อสังคม ต่อโลกนี้ แล้วคุณจะถูกห้อมล้อมด้วยคนที่มาเกื้อกูลกันด้วยคุณค่า ถ้าวันนั้นมาถึงแล้ว ก็คงจะรู้ได้เองว่าคุณค่าของความรักแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
– – – – – – – – – – – – – – –
9.8.2557