Tag: กิเลส

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

August 31, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,239 views 0

 

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

ทำไมเธอไม่เป็นดังที่ฉันหวัง

คงจะมีหลายครั้งหลายเหตุการณ์ในชีวิต ที่เราหมายมั่นตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อเราลงมือทำบางสิ่งลงไปแล้ว สิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปตามที่เราคาดหวังไว้ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น กลายเป็นเหมือนกับว่าเราพยายามที่ทำให้น้ำทะเลจืด พยายามทำไปอยู่อย่างนั้นโดยไม่เข้าใจความเป็นจริง…

อาจจะเพราะทำกรรมอะไรเอาไว้…

คงจะเหมือนกันกับตอนที่เรายังเป็นเด็ก พ่อแม่ของสอนสั่ง แนะนำสิ่งที่ดีให้กับเรา แต่เราก็ยังจะดื้อ ไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ดี ก็จะเอาแต่สิ่งที่กิเลสของตัวเองต้องการ จนถึงเวลาที่ผลของกรรมสุกงอม เราจึงได้รับผลของกรรมนั้น พ่อแม่อาจจะไม่ได้มาดื้อกับเราเหมือนที่เราไปดื้อกับท่านก็ได้ แต่อาจจะส่งคนบางคน สิ่งบางสิ่ง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ ที่ทำให้เราต้องทุกข์กับความดื้อรั้น เอาแต่ใจของสิ่งๆนั้น ซึ่งอาจจะมาในรูปของ คนในครอบครัว คนรัก เพื่อน ลูกน้อง สิ่งของ หรือเหตุการณ์อื่นๆก็ได้เหมือนกัน เป็นอะไรก็ได้ เดาไปก็ไม่ถูก แต่เมื่อเวลาถูกกระทำกลับก็จะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองได้บ้าง

ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว ไม่มีทางผ่านพ้นไปโดยที่เราไม่ได้รับผลนั้นอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าชาตินี้เราไปทำกับใครไว้ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่ได้รับ เราได้สิทธิ์นั้นแน่นอน แล้วกรรมเขายังใจดีแบ่งให้เรารับไปในชาติหน้า และชาติอื่นๆสืบไปด้วย จึงเรียกได้ว่า การทำกรรมดีหรือกรรมชั่วครั้งเดียว ก็สามารถนอนรอรับผลกันได้จนคุ้มข้ามชาติกันเลย

ในเวลาที่เหมาะสม กรรมก็จะดึงคู่เวรคู่กรรมของเราเข้ามา หรือที่ใครหลายๆคนอาจจะเรียกว่าเนื้อคู่ก็ได้ เป็นคนที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้รุนแรงกว่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์แบบเดียวกัน คนทั่วไปทำอะไรกับเราแบบหนึ่ง เราไม่ถือสา แต่พอเป็นคนนี้ทำกับเรา เรากลับถือสา คิดมาก ถ้าเป็นเชิงคู่รักที่เคยเสพสมกิเลสร่วมกันมา ก็จะมีลักษณะเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่คนอื่นเขาจีบเราแทบตาย เราไม่สนใจ แต่คนนี้พูดไม่กี่ประโยค เรากลับหลงใหล ลักษณะแบบนี้แหละที่เรียกว่าตัวเวรตัวกรรม เจอแล้วก็ให้พึงระวังตั้งสติกันไว้ดีๆ เพราะกรรมจะลากเขาเหล่านั้นเข้ามาใช้เวรใช้กรรมด้วยกันต่อ อาจจะเป็นคนมาร่วมรัก คนที่ได้รักแค่ฝ่ายเดียว คนที่เข้ามารัก หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือคนใดๆที่มีจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของเราก็ได้

กรรมส่วนหนึ่งก็มาจากกิเลสของเรานี่แหละ ด้วยความที่เราอยากจะสนองกิเลสของเรา ก็เลยไปทำสิ่งที่ไม่ถูกใจใครหลายๆคนไว้มาก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กรรมเหล่านั้นก็จะส่งผลมาเป็นเหตุการณ์ที่พาให้ขัดใจเรา ทำให้เราทุกข์ แต่เราก็ไม่สามารถหนีออกไปได้ เรายังต้องวนอยู่กับทุกข์เหล่านั้นโดยไม่เห็นทางออก แม้จะมีคนมาบอกแนะนำ เราก็จะไม่ฟัง ถึงฟังก็ไม่เข้าใจ จนบางครั้งพาลไปสร้างกรรมใหม่ ไม่พอใจคนที่หวังดี ไม่พอใจคนที่มาแนะนำทางออกให้เราด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่หลงในกิเลส เมื่อเวลาที่มีคนมาพูดขัดใจ ขัดกับกิเลสของเรา เราก็มักจะไม่พอใจ ไม่สนใจ ด้วยเหตุนั้นเราก็เลยต้องทนทุกข์ไปจนกว่าจะรับวิบากกรรมชุดนั้นหมด

กรรมที่เราได้รับนั้น เป็นเพียงภาพเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่เราได้ทำมา ที่เราเคยทำชั่วมาตั้งแต่ชาติไหนๆก็ตาม เป็นสิ่งที่เราต้องรับเพราะเราทำมา แต่โลกก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น เรายังสามารถทำกุศล เพื่อที่จะละลาย ลด บรรเทาอกุศล หรือความทุกข์ โทษ ภัย ที่เกิดขึ้นได้ …หากยังรู้สึกทุกข์ มืดมัว ปวดหัว หาทางไปไม่เจอ ก็ให้ทำดีมากๆ ทำดีไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาหมดวิบากกรรมชุดนั้นๆ ก็จะมีเหตุการณ์ที่พาหลุดจากสภาพนั้นเอง อาจจะเกิดปัญญาเข้าใจก็ได้ หรือเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ แต่จะพ้นจากสภาพของทุกข์ที่เคยแบกเอาไว้

ดังนั้นการล้างกรรมที่ดีที่สุด ก็คือการล้างกิเลส เพราะเมื่อเราหมดกิเลสนั้นๆ เราก็จะไม่สร้างวิบากบาปต่อไปอีก และกุศลยังสามารถไปละลายวิบากบาปที่เคยทำในอดีตให้เบาบางได้อีกด้วย เรียกว่าปิดประตูนรกกันไปเลย

เมื่อเราจมอยู่กับความคาดหวัง ฝนลมๆแล้งๆ….

ความคาดหวังกับความผิดหวังเป็นของคู่กัน คงเพราะเรามีความฝัน อุดมคติ ความมั่นใจ ความยึดดีถือดี ว่าสิ่งดีจะต้องเกิดเมื่อเราคิดดีพูดดีทำดี แต่ในความเป็นจริง ดีนั้นอาจจะไม่เกิดก็ได้ เมื่อดีไม่เกิดสมใจ คนติดดีก็เลยเป็นทุกข์ บางคนก็ถึงกับฝันลมๆแล้งๆ หลอกตัวเองไปวันๆว่าสิ่งที่ดีจะต้องเกิด โดยไม่ได้เข้าใจเหตุปัจจัยที่ทำให้ดีนั้นเกิด เหมือนคนที่เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งจะสร้างชีวิตให้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังมัวแต่นอนฝันอยู่บนเตียง

การที่เราไปเฝ้าฝันให้เขาหรือใครเปลี่ยนนั้น เป็นการเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากเรื่องกรรมที่ถูกที่ควร เพราะการที่เขาจะเปลี่ยนได้นั้น จะเกิดจากกรรมของเขาเอง ไม่ได้เกิดจากการที่เราคิดหวัง ฝันไป หรือจะไปบอกให้เขาแก้ไข ไปช่วยเขาแก้ไข โดยมีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าเขาจะแก้ไขเพราะเขาก็มีกรรมของเขา เขาก็เป็นอย่างนั้น เราจะอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราหวัง เราก็จะผิดหวัง แล้วเราก็ทุกข์ เหมือนอย่างที่หลวงพ่อชาท่านได้สอนไว้ว่า เราอยากให้เป็ดมันเป็นไก่ มันก็ทุกข์ เพราะเป็ดมันก็เป็นเป็ด มันจะเป็นไก่ตามใจเราไปไม่ได้

จะไปแก้เขานี่มันยาก ลองกลับมาแก้ตัวเราก่อนดีไหม…

เมื่อเราไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ เราก็จะลองกลับมาแก้ตัวเองกันดู เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ฝืนธรรมชาติ หรือฝืนกิเลสของตัวเองนั้น มันยากขนาดไหน เรามาลองปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆในชีวิตกันดู เช่น ตื่นให้เช้าขึ้น ,นอนให้พอดี ,ศึกษาแต่สาระหรือสิ่งที่มีประโยชน์ ,กินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ , ทำงานบ้านเป็นประจำ, เลิกสิ่งฟุ่มเฟือย, เลิกสิ่งที่ทำให้หลงมึนเมา ในแบบหยาบๆ ก็คือ เหล้า เบียร์ ยาเสพติด ฯลฯ หรือจะขยับขึ้นมาก็เลิกหลงเมามายในสิ่งที่หลงอยู่เช่น ชอบฟังเพลง ชอบดูกีฬา ชอบเล่นพนันชอบดูละคร ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบไปตระเวนกินของอร่อย บ้าดารา ฯลฯ,,,

ถ้ายังรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยลดสิ่งไร้สาระพวกนี้มันง่ายไป ก็ลองถือศีล ๕ ดู และยกระดับของศีลขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น ศีล ๘ ศีล ๑๐ ไปจนถึงนำจุลศีลบางข้อที่พอจะปฏิบัติได้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะศีลเหล่านี้เป็นไปเพื่อความสุข เพื่อการพ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ดีเลิศ เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลก

แล้วเราก็จะเห็นว่า…เป็นอย่างไรล่ะ เราเองก็ยังเปลี่ยนแปลงไปทำสิ่งที่ดีไม่ได้เลย ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ดี แต่ความคิดหรือกิเลสข้างในมันจะค้านแย้งตลอดเวลา มีหลายๆเหตุผลที่เราจะไม่ยอมทำดี เช่น ก็แค่อยากเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข , ไม่ได้เคร่งขนาดนั้น , แค่อยากมีชีวิตที่ดี ….ฯลฯ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละ เป็นวิธีปฏิบัติสู่ชีวิตที่ดี ที่เราเองก็ทำไม่ได้แถมยังปฏิเสธ พร้อมทั้งหาเหตุผลมากมายที่จะไม่ทำดีเหมือนกัน

จะเห็นว่าการจะแก้ตัวเรานี่ยังทำได้ยากเลย จะทำตัวเราให้เป็นคนดีว่ายากแล้ว การไปแก้คนอื่นนั้นยากกว่า เพราะการจะไปแก้คนอื่นหรือไปสั่งสอน ไปแนะนำคนอื่นนั้น จำเป็นต้องทำตัวเองให้เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้เสียก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง” เข้าใจกันง่ายๆว่า ทำตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยไปสอนคนอื่น

เมื่อเห็นดังนี้แล้วว่า ต้องทำตัวเองให้ดีก่อน จึงจะสามารถช่วยคนอื่นได้ เราก็พยายามทำตัวให้ดี ลดอบายมุข หยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสไปเรื่อยๆเมื่อเราทำดีมากๆ เวลามีคนที่เขามาทำสิ่งไม่ดีกับเรา เขาก็จะได้รับวิบากกรรมแรงกว่าทำสิ่งไม่ดีกับเราในสมัยเมื่อเรายังชั่วอยู่ เมื่อได้รับวิบากกรรมแรง ก็จะเกิดทุกข์แรง เมื่อเกิดทุกข์แรง ก็จะสามารถเข้าใจได้เร็ว ดังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม

ดังนั้น การที่เราพยายามทำดี ประพฤติตัวเป็นคนดี ก็เพื่อที่จะช่วยเขาทางอ้อม คือเร่งให้เขาได้รับ ทุกข์ โทษ ภัย จากการที่เขายังยึดมั่นในสิ่งไม่ดีให้เร็วขึ้น จะได้เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ เลิกทำชั่วให้เกิดทุกข์ จะได้พ้นทุกข์ได้ไวขึ้น จากที่เคยต้องจมอยู่หลายปี ถ้าเราทำดีมากๆ เขาอาจจะหลุดจากสภาพดื้อรั้นนั้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน โดยเฉพาะคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เช่น คนในครอบครัว คนรัก เพื่อนร่วมงาน คนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตกับเรามากๆ จะได้รับผลกระทบนี้โดยตรง

จนผู้ที่ได้ทดลองทำดีสามารถเห็นผลได้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเราเปลี่ยน ทุกคนก็จะเปลี่ยนตาม โดยที่แทบจะไม่ต้องพูด บอกกล่าว ชี้แจง แถลง บังคับใดๆ กับคนเหล่านั้นเลย เขาจะเห็นดีตามเรา และเกิดศรัทธาจนเขาอาจจะทดลองที่จะเปลี่ยนตามเราดูบ้าง หรือในบางกรณี คนที่ร้ายกับเราก็อาจจะหลุดพ้นชีวิตเราไปเลยก็ได้ เพราะเราได้ใช้วิบากบาปที่ต้องมาทนใช้กรรมร่วมกันนั้นหมดไปแล้ว เมื่อเขาเองไม่คิดจะร่วมกุศลกับเรา เขาก็จะไปตามทางที่กิเลสเขาชี้นำ ในส่วนนี้ถ้าช่วยเขาได้ก็ช่วยไป ถ้าช่วยไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป

แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำดีแล้วไม่เกิดดี นั่นก็เพราะว่าเรายังทำดีไม่มากพอ ก็ให้พยายามทำดีไปเรื่อยๆ อย่าไปหวังผล วันหนึ่งจะพบการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเอง กรรมจะจัดสรรช่องให้เราออกไปพบสิ่งที่ดี มีสิ่งดีในชีวิตเข้ามา แม้แต่คนรอบข้างก็อาจจะเปลี่ยนไปเพราะพลังแห่งความดี หรือกุศลที่เราทำมานั่นเอง

หรือในอีกกรณีคือการทำดีที่ไม่เข้าใจถึงผลแห่งความดี คือทำดีในความเข้าใจที่โลกเข้าใจ แต่ผิดไปจากทางของพุทธ คือผิดสัมมาทิฏฐิ เมื่อผิดไปจากความคิดเห็น ความเข้าใจ ความเชื่อที่ถูกที่ควร ก็มีแต่จะพาไปนรกเท่านั้น กลายเป็นดีที่ทำไปนั้น ไม่ได้ดีตามจริง เพียงแค่เป็นดีที่เขาบอกกันมา แต่ไม่ใช่สาระแท้ ไม่ได้พาพ้นทุกข์ ไม่ได้พาลดกิเลส จึงมีกุศลเพียงน้อยนิด หรือบางทีก็อาจจะกลายเป็น “ทำบุญได้บาป” มาแทนก็เป็นได้

ดังนั้น ในเรื่องของความดี จำเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้ มีเพื่อนที่คอยช่วยแนะนำในทางที่ถูกที่ควร เพราะความดีที่ถูกตามหลักของพุทธนั้น จะคิดเอาเองไม่ได้ เข้าใจเองไม่ได้ ต้องมีผู้รู้มีแสดงให้เห็นเท่านั้น เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าว่า ถ้าคนจะบรรลุธรรม หรือจะปฏิบัติชีวิตไปสู่การพ้นทุกข์ ต้องคบหาสัตบุรุษเสียก่อน สัตบุรุษก็คือบัณฑิตที่มีสัจจะแท้ มีธรรมนั้นๆในตัวเอง ปฏิบัติจนเข้าใจแจ่มแจ้ง รู้จริงเรื่องกิเลส เกิดปัญญารู้แจ้งในตัวเอง แล้วจึงสามารถถ่ายทอด สอน แนะนำ คนอื่นได้

– – – – – – – – – – – – – – –

31.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ความตายชนะทุกสิ่ง

August 30, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,724 views 0

ความตายชนะทุกสิ่ง

ความตายชนะทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หรือต่ำต้อยเพียงใด ชีวิตก็ต้องดำเนินมาถึงความตาย แม้ชีวิตจะมีแต่ความสุข ที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง อำนาจ คนรัก ญาติมิตร บริวาร หรือกระทั่งความทุกข์ โรค ภัย ไข้เจ็บ ความเหงา เศร้า ทรมาน ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความตาย ทุกสิ่งช่างไร้ค่า…เมื่อต้องเผชิญกับความตาย

เมื่อความตายมาถึง สิ่งที่สั่งสมมาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ จะผ่านไปได้ก็เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนทางที่ไปนั้น ก็เป็นไปตามกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้ทำมา คงจะมีหลายคนในโลกที่ไม่เชื่อและยังไม่เข้าใจเรื่องตายแล้วไปไหน?

ความตายไม่ได้นำไปสู่การดับสูญ เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนสภาพจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง เปลี่ยนจากคนที่นอนป่วยกลายเป็นสิ่งอื่น ตามกรรมที่เขาได้ทำมา ทำชั่วก็ไปชั่ว ทำดีก็ไปดี ทำชั่วดีปนกัน กรรมเขาก็คำนวณให้ออกไปอย่างเหมาะสม นั่นก็เพราะกฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ดังจะเห็นได้ว่าตัวเราที่นั่งอ่านบทความอยู่ตรงนี้ก็เป็นผลจากกรรมในอดีต เราเกิดมาพร้อมกับกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาแต่ชาติปางก่อน

การที่เราเกิดมามีกินมีใช้เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยสี่ โดยทั่วไปก็มักมองว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญ เป็นเรื่องของโชค แต่ในทางพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญหรือโชคดีอะไรทั้งนั้น มีแต่ความจริงที่ว่า สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งดีสิ่งชั่วเหล่านั้นที่เราได้รับ คือสิ่งที่เราทำมาทั้งนั้น

ความตายที่ผ่านเข้ามาก็เป็นเพียงการชำระล้างของกรรม เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ ผู้ที่สะสมโลกียะทรัพย์ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขลวงๆ ก็จะต้องพลอยสิ้นเนื้อประดาตัว ขาดทุนไปตามๆกัน คงจะมีแต่ผู้ที่สะสมอริยทรัพย์ คือบุญและกุศลเท่านั้นที่พอจะสามารถกอบโกยทุนบางส่วน ไปลงทุนในละครบทต่อไปได้

ความตาย และการเกิดของกิเลส…

แต่ความตายก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าการเกิด การเกิดนั้นย่อมเป็นทุกข์ยิ่งกว่า เพราะความเกิดเป็นเหตุแห่งความตาย ตายแล้วก็เกิดวนกันไปอยู่อย่างนี้ ดังที่กิเลสเกิดในแต่ละวัน เช่น เราอยากกินของที่ชอบ กิเลสก็เกิดขึ้นมา แล้วมันก็ตั้งอยู่สักพัก ไม่ว่าจะได้กินหรือไม่ได้กิน มันก็จะดับไปของมันเอง แต่แล้ววันต่อมามันก็เกิดอีก แล้วก็ตั้งอยู่สักพัก ไม่นานไปก็ดับไปอีก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้วนเวียนไปเรื่อย ไม่มีวันจบสิ้น

แม้ว่าความตายนั้นจะชนะทุกสิ่งได้ แต่ความตายของกิเลสนี้ เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นเอง กิเลสคือศัตรูร้ายที่ฝังตัวแอบซ่อนอยู่ข้างในจิตใจเรา เป็นตัวบงการให้มีการเกิด แต่ตัวมันเองจะไม่ยอมตาย ถ้ามัวแต่เลี้ยงมันไว้ คนที่ตายก็เป็นตัวเราเองนี่แหละ แล้วมันก็จะสั่งให้เราเกิด เพื่อหาอาหารให้มัน ให้เสพสมใจมัน ใช้งานเราจนร่างกายที่ได้รับมาทรุดโทรม เจ็บป่วย แก่เฒ่า แล้วก็ตายจนต้องทิ้งร่างนี้ไป เบิกทุนบุญกุศลในชาติก่อนเพื่อเกิดมาตายไปชาติหนึ่งเปล่าๆ โดยไม่ได้ใช้ทำประโยชน์ คือการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวอริยทรัพย์ เพราะมัวแต่ทำตามคำสั่งกิเลสให้ไปสะสมโลกียะทรัพย์

การจะเอาชนะกิเลสนั้น จึงจะเป็นต้องสวนกระแส ต้องคอยต้าน คอยฝืน ไม่ทำตามกิเลส พิจารณาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียที่เกิดจากการทำตามคำสั่งของกิเลสนั้นๆ ค้นหาว่าจริงๆแล้วเราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร และเข้าไปค่อยๆพิจารณาตามจริงถึงสาระแท้ของสิ่งนั้นว่ามีคุณค่าจริง หรือแค่กิเลสต้องการ เมื่อเราใช้ปัญญาพิจารณาอย่างตั้งมั่น จนเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วว่ากิเลสนั้นไม่ใช่ตัวเรา เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีประโยชน์หรือสาระใดๆเลย กิเลสก็จะยอมถอย ยอมตายไปจากใจของเราเอง เป็นการชนะศึกจากการรบกับกิเลสโดยใช้ปัญญา

เป็นการมอบความตายให้กับกิเลส โดยที่มันเองก็ยินดีที่จะตาย และตายไปตลอดนิรันดร์กาล เป็นความตายที่เอาชนะได้แม้แต่กิเลส เป็นความตายที่ไม่ต้องมีการกลับมาเกิดอีก และไม่ต้องมีการตายอีกต่อไป

– – – – – – – – – – – – – – –
28.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ก่อนที่เราจะต้องจากกัน

August 26, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,594 views 1

ก่อนที่เราจะต้องจากกัน

ก่อนที่เราจะต้องจากกัน

เคยลองคิดกันบ้างไหมว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา เรายังจะอยากทำอะไร อยากพูดอะไร กับใครบ้าง…

ส่วนใหญ่ก่อนที่เราหรือใครสักคนจะจากไปนั้น ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมอะไรสักเท่าไหร่หรอก อย่างดีก็คงจะมีโอกาสได้แค่พูดกันบ้าง หรือได้แค่มองตากันโดยไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ในวันนี้เราคิดว่าวันเหล่านั้นช่างดูห่างไกล แต่ที่จริงคนเราสามารถตายกันได้ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่าวิบากกรรมจะมาพรากความปกติของเราไปเมื่อไหร่

ก่อนที่ฉันจะต้องจากไป…

เมื่อถึงเวลาของเรา เพียงแค่ได้ลองจินตนาการไปถึงวาระสุดท้ายที่น่าจะสวยงามที่สุด และมีโอกาสมากที่สุดในการสื่อสาร ก็คือเจ็บป่วยและค่อยๆตายจากไป ก็จะสามารถสร้างความน่าสลดหดหู่ให้เกิดขึ้นในจิตใจได้มากพอสมควร ไม่มีใครที่ไม่จากไป ไม่มีใครอยู่ยั่งยืน เพียงแค่เราเองไม่เคยคิดจินตนาการ ออกแบบภาพความตายของเราไว้เท่านั้นเอง

เมื่อเราถึงคิดถึงวาระสุดท้าย ความอยาก ความขับข้องใจ ความคาดหวัง ฯลฯ จะวิ่งเข้ามาหาอย่างเต็มที่ เราจะสามารถฝึกซ้อมที่จะสั่งเสียได้จากการฝึกพิจารณาความตายเหล่านี้ แต่จริงๆแล้วเสน่ห์ของการพิจารณาความตายไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะสั่งเสียหรือสื่อสารอะไร ยังไง กับใคร แต่อยู่ที่ว่า “ทำไม”…เราจึงอยากบอก อยากจะสื่อสาร หรืออยากจะทำสิ่งเหล่านั้น

การพิจารณาความตายจะทำให้เราสามารถเห็นกิเลสลึกๆที่ยังผลักดันเราอยู่ ว่าจริงๆในชีวิตของเรายังขาด อยากได้อยากมีอะไร ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ในการแก้ไขปัจจุบันที่ยังบกพร่องอยู่นั่นเอง

ก่อนที่เราจะต้องจากกัน…

ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตกันอยู่โดยเชื่อว่า พรุ่งนี้ฉันจะก็จะเจอคนอื่นๆเหมือนทุกวัน เจอพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรัก เหมือนทุกๆวัน โดยไม่ได้ฉุกคิดว่ามันอาจจะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเราและเขาก็ได้นะ

เรื่องราว ความฝัน อนาคต หลายสิ่งอีกมากมายที่เราคิดว่าจะทำร่วมกัน จะถูกทำลายลงในพริบตา ทันทีที่อีกฝ่ายจากไป สิ่งที่เราคิดว่ามันน่าจะมี กลับไม่มีอีกต่อไป เมื่อทุกอย่างจบอย่างไม่สวยงามเหมือนภาพในฝัน ความจริงได้พรากคนที่รัก คนที่ใกล้ชิด คนที่เราชัง จากไปก่อนที่เราจะได้ทำสิ่งที่ดี ได้แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเสมอ

เรามักจะเห็นภาพคนที่คิดจะทำดีเมื่อสายไปแล้ว นั่นเพราะเขาไม่ได้ตระหนักถึงความไม่แน่นอน ประมาทในกาลเวลา ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปจนไม่ได้ทำหน้าที่ หรือบางสิ่งที่ควรจะทำ

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าใจความไม่แน่นอน คือการพลัดพรากก่อนเวลาที่เราคิดว่าสมควรได้ บางคนประสบพบเห็น และเรียนรู้กับเหตุการณ์สูญเสียอยู่มากมาย แต่กลับไม่สามารถทำใจยอมรับได้เมื่อเสียสิ่งที่ตนรักไป นั่นก็เพราะไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเรากำลังยึดมั่นถือมั่นอะไร การที่เราไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสียบางอย่าง เช่น คนรู้จักตายไปเราก็เฉยๆ แต่เมื่อคนที่รักตายกลับเศร้าโศกเสียใจนั่นก็เพราะเรามีความยึดมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตนต่างกัน

แล้วทำไมเราต้องยึดมั่นสิ่งเหล่านั้นด้วย เพราะเราเห็นว่า คนนั้นเป็นพ่อแม่ของเรา คนนั้นเป็นญาติของเรา คนนั้นเป็นเพื่อนของเรา คนนั้นเป็นคนรักของเรา เรายึดสิ่งนั้นเป็นของตัวเองทั้งที่เขาไม่ใช่ของเรา เขาก็มีกรรมของเขา มีเวลาที่จำกัดของเขา ไม่มีใครหรืออะไรมาพรากเขาไปนอกจากกรรมของเขาเอง การที่เขาเกิดมาและตายจากไปมันก็เป็นเรื่องของเขา

ส่วนเรื่องของเราก็คือ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีหรือยัง เราเป็นลูก เป็นพ่อแม่ เป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นคนรักที่ดีแล้วหรือยัง? ให้เราเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆว่าเราทำหน้าที่ดีพอหรือยัง? พิจารณาในใจตัวเองให้เห็นกระทั่งว่า ถึงแม้จะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับฉันและเขาแล้ว ก็จะไม่เสียใจ เพราะสิ่งที่ทำลงไปนั้น ได้ทำดีที่สุดแล้ว ได้ทำเต็มที่แล้ว เหมาะสมที่สุดแล้ว

เมื่อเราซ้อมที่จะพลัดพรากได้อย่างนี้บ่อยๆ เราก็จะค่อยๆคลายความรัก หลง ชอบ เกลียด ชัง ฯลฯ เหล่านี้ลงไป เป็นการทำให้ความหลงผิดยึดมั่นถือมั่น ตายก่อนที่เราหรือเขาจะตายไป เมื่อเราทำลายหรือปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่น หรืออัตตาเหล่านั้นแล้ว ก็จะพบว่าทำให้เราสามารถใช้ชีวิตปัจจุบันให้มีความสุขมากขึ้น

เราพิจารณาความตาย เพื่อให้ปัจจุบันของเรามีคุณค่ามากขึ้น ทำสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อความเศร้าสลดสังเวชใจเท่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –
26.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

August 11, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,050 views 0

จริงหรือที่ว่ารัก?...เราจะรู้ได้อย่างไร...เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

บังเอิญได้ดูเรื่องราวจำลองของเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเรื่องของความรักปนไปกับความเหงาและความใคร่ ก็คงจะดีถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง (Club Friday The Series 4 หรือรักแท้จะแพ้ความต้องการ (เรื่องราวจาก คุณแอร์ )[ http://www.youtube.com/watch?v=zS3U4MROlvE ])

เป็นเรื่องที่ใช้เวลาดูเป็นชั่วโมง…. พอดูแล้วก็นึกถึงเหตุของความรัก ที่เกิดมาด้วยหลายแรงผลักดัน ความถูกใจ ความใคร่ ความเหงา ลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ สุดท้ายก็ออกมาในรูปของคำว่า ”ความรัก” แต่ถ้าหากเราไม่แยกส่วนผสมของรักให้ดี ก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่ามีกิเลสปนเปื้อนอยู่เป็นส่วนใหญ่

คนเรามักจะนิยามความรักในมุมสวยงาม แต่ไม่เคยลองพิจารณาดีๆว่าเรารักเพราะอะไร เพราะรูปสวย เพราะรวยทรัพย์ เพราะมีหน้าที่การงานดีในสังคม เพราะเขาเอาใจเรา เพราะเขาให้คุณค่าเรา เพราะเขาสนองได้ตามที่เราอยากได้ ความรู้สึกเหล่านี้เป็นกิเลสล้วนๆ ความรักที่แท้นั้นไม่ควรปนเปื้อนด้วย อบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา คือกิเลสที่จะนำมาสู่ความทุกข์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

รักที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ความอยาก ความใคร่ ไม่มีทางจบด้วยความสุข เพราะเมื่อไม่ได้เสพสมกิเลสหรือสมความใคร่อยากนั้นก็เกิดทุกข์ แต่พอได้เสพก็ลดทุกข์ลงไปได้บ้างแต่กลับเติมกิเลสให้ต้องการมากขึ้นเสพมากขึ้น มีความอยากความเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย เป็นเพียงแค่สุขลวงที่มาล่อให้เกิดทุกข์จริงเท่านั้น

เราอาจจะเห็นว่าหลายคู่ก็รักกันดี จึงพยายามเอามาคิดฝันถึงเรื่องของตัวเอง จนลืมไปว่าเรามีกรรมที่ต่างกัน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอสิ่งที่ดีแบบคนอื่นเขา ถึงแม้ว่าถ้าเจอคนที่ดีจริงก็จะไม่พากันไปสู่นรก คือการแต่งงาน สังเกตุว่าเมื่อมีการแต่งงาน หลายๆสิ่งจะเปลี่ยนไป เพราะเมื่อคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว วันใดวันหนึ่งที่ไม่สามารถสนองกิเลสอีกฝ่ายได้ ก็จะกลายเป็นชนวนให้เกิดความบาดหมาง จนกระทั่งเป็นเหตุให้บางคู่ได้มีอิสระ บางคู่ต้องอยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง บางคู่ก็มีแต่ทนทุกข์ บางคู่มีลูกเป็นบ่วงยึดไว้อีก

ผมเคยได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้า ใจความประมาณว่า “คนที่ไม่มีลูกเป็นคนที่โชคดีมาก แล้วจะกล่าวไปใยกับคนที่เป็นโสด” ดังจะเห็นได้ว่า การมีลูกนำทุกข์มาให้ และการแต่งงานก็นำทุกข์มาให้เช่นกัน จริงๆแล้วเราทุกข์ตั้งแต่มีความรักที่เต็มไปด้วยความอยากหรือกิเลสอยู่แล้ว

ความรักที่ดีนั้นควรจะอยู่บนพื้นฐานของอิสระ เกื้อกูลกันด้วยสิ่งที่เป็นกุศล พากันทำกุศล พากันเจริญ ไม่มีการผูกมัดกันด้วยสัญญาใดๆ เป็นรักที่ยอมปล่อย ยอมสละ ยอมแม้แต่จะไม่ครอบครอง ยอมปล่อยให้คู่ของตัวเองเป็นไปตามกรรมที่เขาควรจะเป็น รักอย่างเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยไม่มีการยึดมั่นถือมั่น เขาจะอยู่กับเราก็ได้ เขาจะไปจากเราก็ได้

ในเรื่องนี้ถ้าเราเข้าใจกรรมและผลของกรรมอย่างถ่องแท้ จะไม่สงสัยใดๆ จะเข้าใจว่า ว่ามันก็เป็นของมันแบบนี้ละนะ เพราะการที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายหรือวิบากบาปแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากกิเลสของเรานั่นแหละ เพราะเราเคยไปทำอะไรไม่ดีมากสักอย่าง ผลมันก็เลยออกมาแบบนี้ ก็จะรับรู้จะเข้าใจ รับผลแล้วก็หมดไป ดีซะอีกได้ใช้หนี้บาปให้หมดไปอีกเรื่อง อาจจะลองจินตนาการตามไปก็ได้ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็ไปทำแบบนี้มานั่นแหละ เราเองที่ทำมา…

และจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปอย่างไร คนก็หนีไม่พ้นเรื่องกามเมถุน …กิเลสอันเป็นรากที่ทำให้เกิดความใคร่จนลงมือก่อบาปเหล่านี้ คือกามราคะ เป็นสังโยชน์ที่ผูกมัดเราให้ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส กามราคะไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องสมสู่ ยังรวมไปถึงการเสพในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่างๆ เช่น ฟังเพลงเพราะ กินอาหารอร่อย ชอบกลิ่นหอมๆ ชอบคนหล่อคนสวย ชอบบ้านที่อยู่สวย ชอบเตียงที่นุ่ม อะไรก็ว่ากันไป

หลายคนเข้าใจว่าอายุมากขึ้นแล้วคงเบื่อหน่ายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ กิเลสจะเปลี่ยนรูปจากความต้องการในการสมสู่เป็น ความติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อื่นๆได้เช่นกัน สังเกตก็ได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งดื้อ ยิ่งอยากเสพของอร่อย อยากสบาย มีความอยากและข้อแม้เต็มไปหมด ทุกข์เหล่านี้มันจะอยู่ตามหลอกหลอนเราตราบเท่าที่เรายังยึดกามราคะนี้ไว้เป็นตัวเรา จะเกิดอีกกี่ครั้งก็ต้องเจอมันทุกครั้ง เจอเรื่องราวประมาณนี้เรื่อยไป วิธีเดียวที่จะกำจัดมันก็คือ…ล้างกิเลส

– – – – – – – – – – – – – – –
10.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์