ข้อคิด

เมื่อรักนั้นมีวันหมดอายุ

September 6, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,337 views 1

เมื่อรักนั้นมีวันหมดอายุ

เมื่อรักนั้นมีวันหมดอายุ

ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง ความรักก็เช่นกัน มันอยู่บนพื้นฐานการเกิดและดับ แม้มันจะตั้งอยู่ คงอยู่ มีให้เห็นอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็จะต้องดับไป เป็นการสิ้นอายุของความรักนั้นเอง

เรามักจะไม่รู้ตัวเมื่อความรักในความหลงได้บังเกิดขึ้นในใจ ปล่อยให้มันตั้งอยู่ คงอยู่ ให้มันดำเนินต่อไป และพัฒนาขึ้นไปโดยไม่คิดว่ามันจะต้องดับไปในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นความประมาทอย่างยิ่ง

ในบทความนี้จะมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้ได้เสพความรัก เป็นมุมของผู้ที่เห็นว่าความรักนั้นเที่ยง หรือมุมของของผู้ที่เห็นว่าการครองคู่นั้นสามารถพัฒนาไปสู่ความเจริญได้ สามารถปล่อยวางได้ พาให้พ้นทุกข์ได้

1).ถ้าเรารักกันมากพอ

หลายคนคิดว่าหากเราดูแลความรักของเราดี หากเรารักกันมากพอ ความรักนั้นจะคงอยู่ตลอดไป จะมันไม่วันดับ ไม่มีวันจืดจาง จึงเฝ้าทำดีเติมเชื้อแห่งรักเข้าไปเพื่อให้กองไฟแห่งความรักนั้นลุกโชนอยู่ตลอดเวลา เขาไม่รู้เลยว่าความรักใดที่ต้องอาศัยอาหาร ความรักเหล่านั้นไม่เที่ยง เมื่ออาหารหมด รักนั้นก็จะหมดตามไปด้วย

ไม่มีใครรู้ว่าวันไหนคือวันที่รักจะหมดอายุ กรรมจะเป็นผู้ลิขิตเหตุการณ์นั้นเอง ผู้ที่คิดว่ารักนั้นเที่ยง หรือคิดว่าตนเองสามารถดูแลรักให้ดีไปตลอดได้ นั้นคือผู้ที่มีความยึด เป็นผู้ที่พยายามฝืนชะตากรรม ทั้งที่จริงตามสภาพแล้วจะต้องถูกชะตาฟ้าลิขิตให้เลิกรากันในวันใดวันหนึ่ง แต่ด้วยความยึดดี ติดดี เขาจึงเฝ้าพยายามดูแลความรักให้มากกว่าเดิม ทำดีให้มากกว่าเดิม เพื่อให้ความรักนั้นคงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งท้ายที่สุดความรักก็ต้องจบลงอยู่ดี ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย การพลัดพรากจากของรักทั้งหลายย่อมทำให้ผู้ที่ยึดติดในความรักนั้นทุกข์ทรมานอยู่ดี

2).รักแต่ไม่ยึด

แม้กระทั่งผู้ที่มีความเห็นว่า ”ฉันจะรัก แต่ฉันจะไม่ยึด” เหมือนกับคนที่จะเสพความรักไปจนถึงจุดสูงสุด แล้วเมื่อเห็นว่ามีทิศทางลงสู่ความเสื่อมก็พร้อมจะสละเรือ ปล่อยสถานการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามจริง ส่วนจิตนั้นก็ปล่อยวาง ความเห็นเหล่านี้เป็นเพียงอุดมคติ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้ใดที่เข้าไปยึด ผู้นั้นไม่มีทางหนีทุกข์พ้น เพราะในสถานการณ์จริงเราไม่มีวันรู้ได้เลยว่ารักนั้นจะจบลงเมื่อไหร่ และด้วยความหลงติด หลงยึด หลงสุข หลงเสพ เขาก็จะพยายามดูแลบำเรอรักให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักนั้นกำลังจบ พอคิดว่าเหตุการณ์มีทีท่าไม่ดี ก็เร่งทำกุศล เร่งทำดีเพื่อให้กรรมดีมาเกื้อหนุนความรัก ซึ่งจะเกิดความยึดไปเรื่อยๆ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง เพราะถ้าวางได้จริงๆ ก็ควรจะวางตั้งแต่แรก ปล่อยวางจิตที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่ความสัมพันธ์จะเกินเลยคำว่าเพื่อนไป

การปล่อยวางความรัก คือการปล่อยโดยไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่เข้าไปยึดแล้วจึงพยายามปล่อยทีหลัง การปล่อยวางความรักตั้งแต่แรกนั้นเป็นหลักประกันว่าจะไม่ทุกข์ แต่การเข้าไปรักแล้วหวังว่าตนเองนั้นจะสามารถปล่อยวางได้ หรือรักอย่างไม่ทุกข์ได้ ไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่จะบอกว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ทุกข์ เพราะเมื่อเข้าไปยึดใครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว ก็ยากนักที่จะหลดพ้นจากอำนาจของความหลงติดหลงยึด ยากนักที่จะปล่อยวางได้อย่างเป็นสุข

3).ครองรักสร้างกุศล

พลังความดีที่เพียรพยายามสร้างขึ้นในขณะที่ครองรักกันนั้น ยากที่จะสู้พลังของความชั่วและพลังกิเลสที่สะสมไปในระหว่างที่ครองคู่กันได้ เพราะในการจะครองรักจับคู่กันนั้นโดยมากมีกิเลสเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อครองรักกันก็ต้องบำรุงบำเรอกิเลส พากันเสพสิ่งที่มอมเมา สมสู่กัน ทำร้ายกันด้วยคำหวานบ้าง คำสัญญาที่หลอกลวงบ้าง ทำร้ายกันด้วยคำพูดไม่ดี ตัดพ้อ ประชด ฯลฯ จนถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายกันบ้าง ทุกวินาทีของการครองรักเรียกได้ว่ามีแต่จะสะสมอกุศลกรรม

แล้วทีนี้จะเอาดีที่ไหนมาสู้ได้ ต้องทำดีแค่ไหนถึงจะพอ ถึงจะทำทานตักบาตรทุกวัน ถึงจะฟังธรรมทุกวัน หมั่นเข้าวัดกันเป็นประจำ ก็ใช่ว่าจะเอามาชดเชยหรือหักล้างกับอกุศลกรรมที่ทำสะสมไว้ได้ ชั่วก็ส่วนชั่ว ดีก็ส่วนดี สุดท้ายแม้จะทำดีได้มากขนาดไหน ก็จะมีดีก้อนหนึ่ง ชั่วก้อนหนึ่ง ทั้งชั่วและดีสุดท้ายก็จะต้องส่งผล ให้ได้รับทั้งทุกข์และสุข แตกต่างจากคนโสดที่ไม่ต้องมีส่วนชั่ว คือทำดีอย่างเดียว ผลชั่วไม่ต้องรับ เพราะไม่ได้ทำ

4).รักกันไปจนแก่

หลายคนอาจจะสงสัยว่าในเมื่อรักนั้นมีวันหมดอายุ แล้วคนที่รักกันไปจนแก่ล่ะ คนที่ตายพร้อมกันก็ยังมี ก็ต้องตอบว่าอันนี้เขาเป็นพวกรักอายุยืน บางทีรักกันไปถึงภพหน้าชาติหน้า หรืออีกหลายๆชาติต่อไปเลย หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องโรแมนติก เป็นรักในอุดมคติ เป็นที่สุดของโลก

รักมันก็ไปหมดอายุเอาตอนแก่ ตอนจะตายจากกันนั่นแหละ แม้ใครจะเป็นฝ่ายไปก็จะต้องทุกข์ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อยู่ก็เศร้าหมอง ฝ่ายที่จะไปก็ผูกพันไม่อยากจาก จิตก็วนเวียนผูกอยู่ด้วยกันนั่นเอง ถ้ารักกันจนแก่นี่เรียกได้ว่ามีอุปาทานฝังลึกแล้ว ยากนักที่จะล้างได้ง่าย เดี๋ยวเกิดชาติใหม่ก็มาเจอกันอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสุขเหมือนเดิม เพราะถ้าเสพสุขจากกุศลกรรมไปหมดแล้ว ก็ต้องเวียนกลับไปรับทุกข์จากอกุศลกรรมแทน ดังนั้นพวกที่รักกันนานก็เกิดจากการที่เกลียดกันนานนั่นแหละ มันสลับขั้วกลับไปกลับมา ทำดีก็รักกัน หมดดีที่ทำก็เกลียดกัน ต่อมาก็ทำชั่วใส่กันจนทุกข์เกินทน แล้วก็กลับมาทำดีสุดท้ายก็กลับมารักกันอีก วนไปวนมาแบบนี้

หากเรามองในมุมของโลก คิดบนวิถีแห่งโลกีย์ ความรักเช่นนั้นก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาของใครหลายๆคน แต่ในมุมมองของผู้ที่แสวงหาทางพ้นทุกข์นั้น การรักกันจนกว่าจะแก่ตายไปข้างหนึ่งนั้นคือสภาพที่น่าขยาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครยินดีที่จะไปทำเช่นนั้น เพราะการไปผูกกับคนใดคนหนึ่ง ต้องไปดูแลเขา หรือต้องให้เขามาดูแลนั้น คือการไม่มีอิสระ มีความเป็นทาสต่อกัน ขัดขวางกันและกัน แทนที่จะได้เอาเวลาไปทุ่มเทศึกษาหนทางสู่การพ้นทุกข์ กลับต้องมาคอยดูแลสิ่งที่ไม่พาให้พ้นทุกข์

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะคนที่มีความเห็นความเข้าใจไปในทางโลกก็จะมองอย่างหนึ่ง คนที่ไปทางธรรมก็จะมองอีกอย่างหนึ่ง เราไม่สามารถทำให้ใครมองเห็นว่าการครองรักกันจนแก่นั้นเป็นทุกข์ได้ จนกว่าเขาจะเห็นทุกข์นั้นด้วยตนเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

6.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เมฆกับความรัก

September 5, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,777 views 0

เมฆกับความรัก

ลูกหมู : โอ๊ะ!! นั่นเมฆรูปหัวใจโชคดีจังที่ได้เห็น ความรักครั้งใหม่ของฉันจะต้องดีแน่เลย

หมูเด็ก : แต่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปเป็นรูปอื่นนะ

ลูกหมู : เมฆเปลี่ยนแต่ความรักของฉันจะไม่เปลี่ยนไปนะ

หมูเด็ก : ความรักก็เหมือนเมฆนั่นแหละ ตอนแรกมันก็ไม่มีหรอก ต่อมามันก็ก่อตัวให้เห็น ให้เรารัก ให้เราหลงว่ามันจะดี แต่สุดท้ายมันก็สลายหายไป

ลูกหมู : ฉันจะพยายามทำให้ความรักอยู่กับเราไปนานๆ

หมูเด็ก : ถึงจะพยายามอย่างไร แต่สุดท้ายมันก็จะเปลี่ยนไป แม้อย่างนั้นเธอก็ยังอยากจะพยายามเพื่อสิ่งนั้นอยู่อีกหรือ?

ลูกหมู : ใช่แล้ว เพราะฉันจะพยายามรักษาความรักให้คงอยู่ ดูแลกันไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปเป็นคู่กันไป

หมูเด็ก : แบบนั้นก็พอจะทำให้ครองรักกันไปนานๆได้นะ แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงก็ต้องทุกข์อยู่ดี

ลูกหมู : ฉันจะมีความรักโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น ฉันพร้อมจะปล่อย ฉันจะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง

หมูเด็ก : ก็ปล่อยตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ ตอนที่ความสัมพันธ์ยังไม่ลึกซึ้ง ยังไม่ผูกพันกันมาก

ลูกหมู : …

ลูกหมู : …(a. ถ้าคุณเป็นลูกหมู จะตอบว่าอย่างไร?)

หมูเด็ก : …

– – – – – – – – – – – – – – –

*เนื้อหาในตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขและมีเนื้อหาต่อเนื่องไปเรื่อยๆตามที่เหตุปัจจัยจะอำนวย เช่นมีคนมาเสนอความคิดเห็น ผมก็จะลองพิมพ์ต่อไปเรื่อยๆ ตามที่เห็นว่าเหมาะสม เข้ากับเนื้อหาและเป็นประโยชน์

– – – – – – – – – – – – – – –

3.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความกล้า

September 4, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,415 views 1

ความกล้า

ความกล้า

ในโลกนี้มีความกล้าด้วยกันหลายแบบหลายมิติ บ้างก็กล้าทำชั่ว บ้างก็กล้าทำดี บ้างก็กล้าทำในสิ่งที่ไม่รู้จะทำไปทำไม แม้แต่คนที่กล้าทำเรื่องที่ไร้สาระสุดๆ ก็ยังได้รับลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขอยู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่วนอยู่ในวิถีของโลก ที่สุดแล้วความกล้าเหล่านั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับความกล้าที่จะหลุดพ้นจากโลก กล้าออกจากโลกียะไปสู่โลกุตระ

ความกล้าที่จะพาให้พ้นโลก คือ กล้าต่อต้านกิเลสไม่ยอมให้กับกิเลสเหมือนเคย มีอาการแข็งข้อ ไม่ทำตาม ไม่ส่งส่วย ไม่สนใจกิเลส

กล้าต่อสู้กับกิเลส หยิบอาวุธคือปัญญาขึ้นมาต่อสู้กับกิเลส คิดหากลยุทธ์ในการทำลายกิเลสให้ราบคาบ หาทางเอาชนะมันอย่างไม่ลดละ

กล้าทำลายกิเลส ในที่สุดแล้วหากต้อนกิเลสจนมุมได้ ก็จะทำลายมันไม่ให้เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว ไม่ให้เหลือแม้ผงธุลี แม้รอยอาลัยใดๆในจิตใจก็จะไม่ให้เหลือไว้ ถอนรากถอนโคนกันไปเลย

…เหตุที่เราไม่กล้าคิดจะต่อกรกับกิเลสเพราะกลัวเสียสุขที่เคยได้เสพไป

ทำอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่ากล้าสู้กับกิเลส ก็คือเริ่มจากศีล พื้นฐานก็คือศีล ๕ แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ลดการเบียดเบียนลงไปเรื่อยๆ เมื่อถือศีลก็เหมือนกับเราเข้าสู่สนามรบ หากไม่มีศีลก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอะไร อยากทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อมีศีลก็จะต้องต่อสู้กับความอยากที่จะทะลักออกมา พยายามจะทำลายศีลที่เราใช้อาศัยในการกำจัดกิเลส และนี่คือสนามรบของคนกล้า ที่กล้าจะเผชิญหน้าและกล้าทำลายผู้ร้ายที่ชั่วที่สุดในโลกที่มาฝังตัวอยู่ในจิตวิญญาณของเรามานานแสนนาน

– – – – – – – – – – – – – – –

4.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ความรักไม่เที่ยง

September 3, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,693 views 0

ความรักไม่เที่ยง

ความรักไม่เที่ยง

เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความรักในวันนี้จะเป็นเหมือนกับเมื่อวาน ความรักในวันพรุ่งนี้จะยังคงเป็นเหมือนในวันนี้ และในอนาคตต่อไปอีกหลายเดือนหลายปีข้างหน้าความรักที่เรารู้จัก จะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม?

ความไม่เที่ยงนั้นคือความเปลี่ยนแปลงที่มีทั้งสภาพที่เพิ่มขึ้น ลดลง จนกระทั่งดับไป และมันจะไม่อยู่คงที่เหมือนเดิมตลอดกาล

สำหรับคนที่ประมาทต่อพลังของกิเลสที่ซ่อนอยู่ในภาพของความรัก ก็อาจจะปล่อยให้ความรักที่ปนด้วยกิเลสนั้นเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เช่นเดียวกับการที่ใครสักคนก้าวเข้ามาในชีวิต เข้ามามีความสัมพันธ์หรือกระทั่งเข้ามาจีบ ในตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะหลงรัก แต่พอเขาเข้ามาดูแลเอาใจ เข้ามาบำรุงบำเรอกิเลส ซึ่งสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายไปเสียแล้ว หลงรักหมดตัวหมดใจไปแล้ว เหมือนกับโดนคำสาปให้ต้องหลงงมงายอยู่กับความรักจนถอนตัวไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้คงอยู่เช่นนั้นตลอดไป เมื่อมีเกิดมันก็ต้องเสื่อมและดับลงสักวันหนึ่ง ไม่มีความรักใดที่เหมือนเดิมทุกวัน มันมีความเปลี่ยนแปลง แต่เราจะสามารถเห็นและเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของมันได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้ที่เข้าไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าการมีความรัก การมีคนรัก การมีคู่รักนั้นดี เป็นสิ่งมีคุณค่า เป็นประโยชน์ เป็นความสุข จะไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ แต่จะเห็นตามที่ตนเองอยากเห็นเท่านั้น คือเห็นว่ารักนั้นเที่ยง เห็นว่าเรานั้นสามารถรักษาความรักได้ยืนนาน เห็นว่ารักนั้นจะคงอยู่ยั่งยืนตลอดไป

…เมื่อความจริงไม่เป็นดังความฝัน เมื่อรักทั้งหลายนั้นย่อมเสื่อมและดับลงไปตามกาลเวลา ผู้ที่ยังหลงติดหลงยึดจึงต้องเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

ถ้าความรักนั้นดีจริง มันก็คงจะดีอยู่เช่นนั้นตลอดกาล แต่ในความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักนั้นมักจะต้องมีการดูแลเอาใจใส่ เพื่อเป็นอาหารให้ความรักนั้นคงอยู่ได้ แต่ความรักเช่นนี้ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันเต็ม ต้องให้อาหารตลอด ต้องเติมต้องเพิ่มตลอด เสพไม่รู้จักอิ่ม เมื่อไม่ได้เสพสมใจก็เกิดความไม่พอใจ หงุดหงิดรำคาญใจ เรียกร้องขออาหาร หากยังไม่ได้ก็จะทำให้เกิดทุกข์ยิ่งขึ้น ส่วนจะทุกข์มากทุกข์น้อยก็แล้วแต่ว่าเคยหล่อเลี้ยงความรักกันมาอย่างไรถ้าบำเรอกิเลสมากก็ทุกข์มาก บำเรอกิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย

ความหลงจะหลอกให้เราหาข้ออ้างในการมีคู่ หลอกให้เราเข้าไปคว้าสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน โดยจะมีความเห็นและเข้าใจว่าการเป็นคู่รักนั้นสามารถหาประโยชน์ได้แม้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่มีตัวตน ไม่มีจริง ไม่มีสาระตั้งแต่แรก ดังนั้นผู้ที่เห็นสิ่งที่ไม่มีสาระว่าเป็นสาระ จึงเป็นสภาพที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตั้งแต่แรก

ผู้ที่เข้าใจความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีสาระใดๆในความรักเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่เอาตัวเข้าไปคลุกคลีกับความรักที่มากกว่าการเป็นเพื่อน เพราะไม่มีประโยชน์ใดเลยที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่ไม่มีสาระ ว่าเป็นสาระ เป็นสิ่งสำคัญเป็นของจริง เป็นตัวตน

– – – – – – – – – – – – – – –

3.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)