ความรัก
ศรัทธาของคนใกล้ตัว
ศรัทธาของคนใกล้ตัว
เราคงจะเคยสงสัยกันว่า ทำไมความรัก ความเคารพ ความเอื้ออาทรต่อกัน น้ำใจ สิ่งดีต่างๆ กลับมีให้กันน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อเริ่มแรกก็มักจะดึงดูดเข้ามาด้วยความชอบ ความรัก เราเข้าหาสิ่งของ สัตว์ และผู้คนด้วยความชอบ ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย พ่อแม่ พี่น้อง ต่างมีจุดเริ่มต้นกันด้วยความชอบหรือไม่ชอบทั้งนั้น
ความไม่ชอบนั้นทำให้เราผลักตัวเองออกจากสิ่งนั้นได้ง่าย ทำให้มันห่างหาย สลาย หรือตายจากออกจากชีวิตเราได้ง่าย นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะถ้าเราไม่ชอบ แล้วสิ่งนั้นไม่เกี่ยวกับเรามันก็จะหายไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าแม้เราจะไม่ชอบ แต่จะถูกความดี คุณค่าของสิ่งนั้น หรือกรรม ทำให้กลับกลายมาเป็นชอบ จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ดังนั้นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่จะดำเนินต่อไปก็มักจะเป็นความชอบ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ กลับเปลี่ยนแปลงได้ทั้งในทิศทางที่เป็นบวกและเป็นลบ เราจะมากล่าวถึงในทางลบกันก่อน
ศรัทธาที่ลดน้อยลง….
เด็กน้อย… เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก พ่อแม่ก็ให้ความรัก อุ้มชู เอาใจทุกอย่าง แต่พอโตมากลับเริ่มปล่อย เริ่มรู้สึกว่าไม่ศรัทธาลูกตัวเองเหมือนก่อน จากที่เคยเป็นเทวดาตัวน้อย กลับกลายเป็นภาระของชีวิต สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ นั่นเพราะอะไร? เพราะแรกรักนั้นมักเต็มไปด้วยความเสน่หา รักเพราะหลง แต่พอได้เจอกับนิสัยจริงของเขา ได้รับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ก็เริ่มจะหมดศรัทธาในตัวเขา นำมาซึ่งความไม่เชื่อใจกันในครอบครัว ตอนเขายังเป็นเด็กเรายังฟังเขา แต่พอเขาโตมาเราเริ่มไม่ฟังเขา นอกจากจะไม่ฟังเขาแล้วเรายังจะไปยัดเยียดความเป็นเราให้เขาอีก จนเกิดสภาพพูดกันยากในครอบครัว ดังจะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่มักจะไม่ปรึกษาปัญหาชีวิตกับพ่อแม่ แต่ไปปรึกษากับเพื่อนแทน เพราะอะไร เพราะเราศรัทธาเพื่อนมากกว่า ที่พ่อแม่ได้แสดงออกถึงความศรัทธาในกันและกันเหมือนเมื่อก่อน
คนในครอบครัว… เป็นภาพที่สะท้อนความเสื่อมศรัทธาภายในครอบครัวในปัจจุบันได้อย่างดี บางครั้งเราอาจจะนึกสงสัยว่าทำไม เพื่อน คนข้างนอก คนอื่นๆ กลับรู้จัก รู้ถึงคุณค่าของตัวเราได้มากกว่าครอบครัว บางครั้งเราไปสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ มีคนหลายคนรับรู้ แต่ครอบครัวกลับไม่รู้ บางทีก็ไม่ได้สนใจ นั่นก็เพราะความเคยชิน เราอยู่กันมา 20 ปี 40 ปี 60 ปี เราจึงเคยชินกับสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้จัก ทุกคนคิดว่าตนเองรู้จักคนอื่นในครอบครัวดี ทั้งๆที่ในความจริงแล้วแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา กิเลสของแต่ละคนทำให้เรามีเวลาร่วมกันน้อย คุยกันน้อย เข้าใจกันน้อย แต่ปัญหาคือเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเรารู้จัก เพียงแค่เพราะเราเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ความคิดนี้เป็นความประมาท เพราะไม่มีสิ่งใดเที่ยง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ความประมาทในความสัมพันธ์จึงนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาต่อกันและกัน ส่วนครอบครัวที่ศรัทธากันและกันนั้นคงมี แต่คงจะมีอยู่ไม่มาก
เพื่อนสนิท… เมื่อแรกพบกัน เป็นเพื่อนกันด้วยกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน ชอบในความสนุกเฮฮา มีน้ำใจ มีศรัทธาให้แก่กันเต็มเปี่ยม เชื่อใจกัน สามัคคีกัน แต่พออยู่ๆกันไป ทำกิจกรรมกันไป เริ่มจะมีปัญหา ต่างคนก็ต่างมีอัตตา เริ่มจะชิงดีชิงเด่น เอาตัวเองเป็นใหญ่ เริ่มจะไม่ยอมกัน ศรัทธาที่มีต่อกันก็เริ่มจะลด บางครั้งกลายเป็นแตกความสัมพันธ์ ทะเลาะกันจนถึงขั้นพยาบาทก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
คนรัก… เมื่อแรกรักกันก็หวานชื่น ชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้ ยอมให้กัน ตามใจกัน เอาใจกันทุกอย่าง พอได้เสพสมใจกัน ได้คบหากันสักพัก หรือแต่งงานกัน ก็จะเริ่มพบกับความเสื่อมของความรัก เห็นความรักนั้นค่อยๆคลาย และค่อยๆพรากจากไป ศรัทธาที่เคยเกิดขึ้นเพราะหมอกแห่งความรักก็จะค่อยๆเริ่มจางหายไป เมื่อได้พบกับชีวิตจริง เมื่อคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ด้วยกัน มันไม่ง่ายเลยที่จะสามารถสนองกิเลสให้กันได้ตลอด เมื่อสนองไม่ได้ก็เริ่มจะหมดศรัทธาต่อกันและกัน นำมาซึ่งความเบื่อหน่ายในความรัก อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง หรือหย่าร้างกันไป
คนที่เคารพ….หัวหน้าที่เคารพ ผู้นำที่เคารพ แรกๆมาเจอกันก็ยังรู้สึกศรัทธา รู้สึกว่าเก่ง แต่พออยู่กันไป ทำงานร่วมกันไปสักพัก กลับพบว่ามีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากมาย เดี๋ยวคนนั้นก็จะเอาอย่างนี้ เดี๋ยวคนนี้ก็จะเอาอย่างนั้น จากเจ้านายที่เคยเคารพศรัทธา กลายเป็นคนที่น่าเอือมระอาได้ในที่สุด
….การที่ศรัทธานั้นลดลง เป็นเพราะเขาเหล่านั้นมีกิเลส เมื่อคบหากันแรกๆคนเราก็จะไม่เอากิเลสของตัวเองออกมาเปิดเผย แอบซ่อนไว้ ทำให้ดูดี ทำให้น่าเคารพ แต่พอคบกันนานวันไป มันก็กดข่มยาก มันก็ปิดไม่มิด มันก็เอาความอยากได้เอาแต่ใจ เอาอารมณ์ไปใส่กับคนอื่น
เช่นเดียวกันกับตัวเรา การที่เราศรัทธาคนอื่นลดลง หรือคนอื่นศรัทธาเราลดลง เพราะเรามีกิเลส บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าทำไมเราต้องรู้สึกไม่ดีกับคนนั้นคนนี้ ทั้งๆที่ตอนแรกก็รู้สึกหลงรักชอบพอใจกับเขา นั่นก็เพราะเราติดดี ยึดดี หวังให้เขาดีดังใจเราทุกอย่าง เราเจอเขาครั้งแรก เราก็เห็นว่าเขาดี เราก็เลยอยากให้เขาดีอย่างใจเราหมายตลอด โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าความดีที่เห็นนั้นก็ไม่เที่ยงพอเขาคบกันไปก็เริ่มเห็นความไม่ดี เราก็ผิดหวัง เราทุกข์ บางทีคนเรายังไปคาดหวังให้คนอื่นดีขึ้นอีกด้วย การคงสภาพความดีว่ายากแล้ว การทำตัวให้ดีขึ้นนั้นยากยิ่งกว่า โอกาสในการผิดหวังก็จะยากขึ้นไปด้วย
และการที่คนอื่นศรัทธาตัวเราลดลงนั้น ก็เพราะเรามีกิเลสที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ทันระวังตัว เพราะเมื่อคนเราสนิทกันมากๆ ก็จะได้รับโอกาสในการเห็นธาตุแท้ของกันและกัน ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ง่ายนัก ถ้าเพื่อนผู้คบหาคนนั้นไม่ได้บอกข้อเสียนั้นแก่เรา บางครั้งอาจจะบอกหรือเตือนกันสายเกินไป อาจจะทำให้ใครบางคนหายไปจากชีวิตเรา หรือเกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะความเอาแต่ใจของเรา
กัลยาณมิตร…
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า การที่เราจะพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ผาสุกอย่างยั่งยืนได้นั้น เราต้องมีมิตรดี คือกัลยาณมิตร คือ เป็นผู้ที่เราไว้ใจ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษา สามารถเห็นข้อผิดพลาดในตัวเรา วิเคราะห์แยกแยะ ช่วยแก้ปัญหา ชี้แจงได้ สามารถเตือนเราได้และ เราสามารถยอมรับคำเตือนของมิตรคนนี้ได้โดยไม่โกรธเคือง และยังต้องพากันไปทางเจริญ
ตัวเราก็เช่นกัน นอกจากเขาจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อเราแล้ว เราเองก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อเขา ความสัมพันธ์ขาเดียวไม่มีทางไปได้ไกล หากใครคนใดคนหนึ่งหวังแต่จะพึ่งพาคนอื่น อีกคนก็คงต้องเหนื่อยและจากไปในวันใดวันหนึ่ง แต่ถ้าหากเราเกื้อกูลกัน เป็นมิตรดีของกันและกัน รักกัน เคารพกัน ให้อภัยกัน พากันสู่ความเจริญ แน่นอนว่าปัญหาในชีวิตนั้นจะแก้ง่ายขึ้นอีกมาก
ศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้น….
ศรัทธาที่จะเพิ่มมากขึ้นได้อย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้มาจากความหลง หรือความลำเอียงใดๆ เพราะความรู้สึก รัก ชัง หลง กลัว นั้นไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แปรเปลี่ยนผกผันได้ตลอดเวลา
การที่ศรัทธาจะเพิ่มได้นั้น เกิดจากการที่เราลดกิเลส เมื่อเราลดกิเลสด้วยการปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม ขัดเกลาจิตใจตัวเองให้ดี ไม่ให้กิเลสนั้นได้กระจายออกมาทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เมื่อเราทำกิจกรรมการงานในชีวิตโดยสังวรระวังไม่ให้กิเลสของตัวเองไปกระทบใคร ก็จะทำให้บาป ความชั่ว รวมทั้งวิบากกรรมก็จะลดน้อยลง เพราะเราไม่ได้ทำชั่วแล้ว ในทางเดียวกัน การทำดีในแต่ละกิจกรรมก็จะยิ่งส่งผลดีมากขึ้นเพราะไม่มีกิเลสมาคอยขัดขวาง นั่นหมายถึงเราสามารถเข้าถึงสิ่งที่ดี เข้าถึงบุญกุศลที่มากกว่าได้ หากเราลดกิเลส
คนรอบข้างที่เคยเสื่อมศรัทธาจากเราก็จะรู้สึกได้ถึงการพัฒนาของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปประกาศบอกใครว่าเราเป็นคนดี เป็นคนเก่งเพียงแค่เราลดกิเลสไปเรื่อยๆ ทำความดีไปเรื่อยๆ ความดีนั้นจะนำมาซึ่งศรัทธา เป็นศรัทธาที่แท้ และไม่เสื่อม เพราะเป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา เห็นถึงคุณค่าที่มีในตัวเรา ไม่ใช่ศรัทธาด้วยความรัก ความชัง ความหลง ความกลัว ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะต้านทานความเสื่อมได้ คือการทำให้เกิดผลเจริญขึ้นในตัวเรา เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นความไม่เที่ยงที่เป็นไปในทางบวก ทางเจริญ ทางแห่งบุญ
– – – – – – – – – – – – – – –
23.9.2557
ทำไมเธอไม่เลิกทำบาป ทำไมเธอไม่ทำดีทำไมเธอไม่ปล่อยวาง
ทำไมเธอไม่เลิกทำบาป ทำไมเธอไม่ทำดี ทำไมเธอไม่ปล่อยวาง
หลายครั้งในชีวิต เราคงจะเคยสงสัย ว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นจึงไม่เลิกทำบาป ไม่หาอะไรดีๆในชีวิตทำ ไม่อยู่กับปัจจุบัน จมอยู่แต่ในอดีตและวาดฝันล่องลอยไปแต่ในอนาคต และเคยสงสัยไหมว่า ในหลายๆครั้งไม่ว่าเราจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไร จะแนะนำอย่างไร ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาก็ยังคงทำบาปเหมือนเดิม ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ยังเศร้าหมองอยู่เหมือนเดิม….นอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้วยังอาจจะแย่ลง และอาจจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ผิดใจกันเข้าไปอีก
….ปัญหา
เรามักจะรู้สึกขัดอกขัดใจเมื่อเจอกับคนหรือเหตุการณ์เหล่านี้…
นักโทษที่ต้องโทษจำคุกอยู่นาน เมื่อพ้นโทษมาแล้ว แต่ก็ยังมาก่อคดีอยู่อีก ,นักการเมืองที่มีประวัติโกงแม้ว่าจะโดนจับได้แล้ว แต่ก็ยังจะหาทางโกงอยู่อีก , คนที่รู้ว่าฆ่าสัตว์ผิดศีล ไม่ดีเป็นบาป แต่ก็ยังตบยุงอยู่อีก , คนที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอโทษขอโพยกันไปแล้ว บอกว่าจะแก้ไข แต่ก็ยังทำผิดอยู่อีก ,คนที่รู้ว่าการกินเหล้าเสพสิ่งเสพติดของมึนเมา นั้นเป็นบาป แต่ก็ยังกินอยู่อีก ,คนที่มัวเมายึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบจนเริ่มสะสมทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียในชีวิตของตนเอง แต่ก็ยังหลงมัวเมาอยู่อีก …ฯลฯ
หรือการที่ใครสักคนหนึ่งใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ไปวันๆ ไม่ทำอะไรให้ชีวิตมันดีขึ้น เขาไม่ทำเรื่องชั่วหนักๆแล้วนะ แต่เราก็ยังเห็นว่ามันไม่ดี เราก็อยากให้เขาลุกขึ้นมาทำชีวิตของตัวเองให้ดี เช่น ขยันเรียนเพิ่ม,หาความรู้ในการทำงานเพิ่ม,ออกกำลังกายรักษาสุขภาพ,หากิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคม ทำบุญบริจาคทรัพย์ แบ่งปันแรงงาน ฯลฯ
หรือแม้แต่การที่ใครสักคนจะใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย เศร้าโศกเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา เศร้าหมองจากการสูญเสียสิ่งสำคัญ จมอยู่กับทุกข์ อยู่กับอดีต ซึมเศร้าเหงาหงอย
…แล้วจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร
….การที่เรารู้สึกหงุดหงิดใจ ว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่ปรับปรุงตัวไปในทางที่ดี นั่นแหละคือเรามีอาการ “ติดดี” อาการติดดี ยึดดี ถือดี ต้องเกิดดีจึงจะเป็นสุข พอไม่เกิดดีตามที่ใจคิดก็จะเป็นทุกข์ ซึ่งในขณะที่เราติดดียึดดี เราก็มักจะไปคาดหวัง ไปแนะนำ ไปบีบคั้น ไปหาสารพัดวิธีมาให้เขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราต้องการ พอเขาไม่เปลี่ยนหรือทำไม่ได้อย่างใจเรา เราก็ทุกข์ ร้อนใจ หงุดหงิด สุดท้ายก็กลายเป็นเราเองที่ไม่ปล่อยวาง
บางทีเราเห็นทางแก้นะ แล้วพยายามจะไปฝืนกิเลส พยายามจะไปล้วงกิเลส จะไปชี้ขุมทรัพย์ให้เขาเห็นว่าการที่เขาทุกข์ สับสน เศร้าหมอง ยังทำบาป ไม่ทำดีอยู่นั้น เป็นเพราะเขาอาจจะยึดติดในสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่พอเราไปพูดแบบนี้เขาอาจจะไม่พอใจเราก็ได้ เพราะพลังกิเลสเขามากกว่าพลังความดีของเรา
สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งดีนะ เขาก็ยอมรับและเห็นด้วยว่าเป็นสิ่งดี แต่เขาไม่เอา ไม่ทำ ไม่ต้องมาบอก ไม่ต้องมาสอน อยากจะทำก็ทำไป ฉันไม่ทำก็เรื่องของฉันฉันยินดีจะเสพกิเลสนี้ต่อไป ยินดีที่จะทำชั่ว ยินดีที่จะไม่ทำดี ยินดีที่มัวเมาเศร้าหมองต่อไป ฉันมีความสุขในแบบของฉันปล่อยฉันเป็นในแบบของฉัน อยากสอนก็ไปสอนคนอื่น…ทีนี้ถ้าเราปล่อยวางความติดดียึดดีถือดีไม่ทันละก็ มีโอกาสได้ผิดใจกันอย่างแน่นอน เพราะยิ่งเขาถอย เราก็จะยิ่งยัดยาแรงมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสกระทบกระทั่งกันด้วยความยึดมั่นถือมั่นของแต่ละฝ่ายมากขึ้น
ดูสิว่ากิเลสมันรุนแรงได้ขนาดนี้ มีพลังขนาดสะท้อนพลังดี สะท้อนพลังบุญที่จะพาลดกิเลส ถ้าจิตใจของเขาเต็มไปด้วยกิเลสแบบนี้ ต่อให้อีกกี่สิบผู้วิเศษมาบอก มาสอน มาแนะนำ ก็เอาไม่อยู่หรอก จะยัดให้ตายก็ยัดไม่เข้า ดีแค่ไหนเขาก็ไม่เอา ก็เขามีกิเลสอยู่เต็มหัวใจแล้วยังจะมีที่ว่างตรงไหนให้บุญเข้าไปแทรก
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องยอมปล่อยวาง ปล่อยให้เขาทำบาปทำชั่ว หรือใช้ชีวิตไปวันๆ ซึมเซาหม่นหมองไปเรื่อยๆ ยอมปล่อยเขาไป แม้ว่าทางที่เขาไปจะเป็นนรกก็ตาม วันใดที่เขาทุกข์เกินทน เมื่อเขาสะสมความชั่วที่เขาทำจนสุกงอม วิบากบาปจะส่งผลให้เขาได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เหมือนดังพระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้า หาวิธีทำร้ายทำลายพระพุทธเจ้าสารพัด แต่สุดท้ายตัวเองโดนธรณีสูบจนร่างแหลก เจ็บปวดทรมานจนกระทั่งสำนึกบาปของตน จึงตั้งจิตขอเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านได้พยากรณ์ว่า หลังจากที่พระเทวทัตต้องรับกรรมทุกข์ทรมานในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์พระเทวทัตจะทำดีบำเพ็ญเพียรจนได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใดองหนึ่งในอนาคต …เห็นไหมว่าขนาดคนที่ชั่วสุดชั่วอย่างพระเทวทัต สุดท้ายก็จะเปลี่ยนมาเป็นคนดี ดีขนาดพระปัจเจกพุทธเจ้าเชียวนะ แต่ก็ต้องทนรับใช้กรรมไปก่อน อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่กว่าจะหมดวิบาก
เมื่อเราทำชั่วที่สุด เดี๋ยวก็ต้องกลับมาทำดีอยู่ดีนั่นแหละ เหมือนเดินไปเจอทางตันสุดท้ายมันก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ เดินผิดทางเดินถูกทางไปเรื่อยๆ เมื่อทำดีไปเรื่อยๆชาติใดชาติหนึ่งก็จะเจอวิธีพ้นทุกข์ เลิกทำบาป ทำแต่ความดี ทำจิตใจปล่อยวางความเศร้าหมองได้ บรรลุธรรมกันได้สักชาติหนึ่งละนะ
คนที่เราคาดหวังว่าจะช่วยเขาหรือหวังจะให้เขาดีขึ้นก็เช่นกัน ถึงแม้เราจะไม่สามารถช่วยได้ วันใดวันหนึ่งเขาก็จะทำทุกข์ไปเรื่อยๆจนได้รับวิบากกรรม เขาก็จะเข้าใจได้เองว่าสิ่งที่เขาทำมันบาปมันไม่ดี ถึงแม้จะสำนึกในชาตินี้ไม่ได้ ก็อาจจะไปสำนึกในชาติหน้าก็ได้ เพราะบุญบาป วิบากกรรมมันก็ตามติดตัวเป็นสมบัติของเขาไปนั่นแหละ วันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องบรรลุธรรมแน่นอน
ส่วนเรานั้น เมื่อได้ทำหน้าที่มิตรที่ดี คอยแนะนำ ช่วยแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ทำตามที่เราหมาย ก็ให้ปล่อยวางเสีย คือให้ทำดีแล้ววางดีตรงนั้นเลย ทำดีเสร็จก็จบไป จะเกิดสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะการจะเกิดสิ่งดีหรือเขาสามารถฟังเราจนแก้ปัญหาได้นั้น เกิดจากหลายปัจจัย คือบุญบาปของเรา บุญบาปของเขา สังเคราะห์กันให้เกิดผล ซึ่งอาจจะเป็นดี ร้าย หรือไม่เกิดอะไรเลยก็ได้วันหนึ่งถ้าเขาเข้าใจที่เราบอก เราก็ค่อยแนะนำเขาอีกทีก็ได้
…คนบาปคนหลงมัวเมาเป็นเรื่องธรรมดา
การที่คนจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั้น ในยุคนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นยุคที่เต็มไปด้วยการส่งเสริมกิเลส เรามีการทำการตลาดเป็นกิจกรรมส่งเสริมกิเลส ทำให้คนอยากมี ทำให้คนอยากได้ ทำให้คนไม่รู้ดีรู้ชั่ว เช่น เราเริ่มนุ่งน้อยห่มน้อย เริ่มจะไม่สงวนร่างกายเพราะเราหลงไปว่าดี เข้าใจไปว่าการอวดเนื้อหนังเป็นสิ่งดี คนส่วนใหญ่ก็หลงตามไปด้วยนะว่าดี แท้จริงแล้วนั่นเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นทุกข์แท้ๆเลยทีเดียว
ทุกวันนี้เราเองก็ยังแทบจะแยกไม่ออกว่าสิ่งใดที่ชั่วหรือดีแท้ต่อชีวิตเรา บางครั้งสิ่งที่เขาว่าดี แต่ทำไมพอเราเอามาใช้ เอามาเสพกลับเกิดทุกข์ โชคดีที่เรายังมีหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว โดยใช้ธรรมะหรือศีลของพระพุทธเจ้าเป็นหลักยึด
….ลองเป็นคนบาปดูบ้างไหม
ตอนที่เห็นคนอื่นทำบาป ไม่ทำดี หลงมัวเมา เป็นทุกข์ เราก็มักจะเห็นได้ง่าย แนะนำได้ง่าย แต่พอมาเป็นที่ตัวเราเองเรากลับแก้ไม่ได้ เช่น ให้เราถือศีล ๕ เราก็ทำแทบไม่ได้แล้ว ถามว่าศีลดีไหม ก็ดี แต่ทำไม่ได้ นี่แหละคือพลังกิเลสที่มาต้านไว้ คนที่เขาสู้กิเลสไม่ได้ก็แบบนี้แหละ ไม่ว่าจะพยายามยังไงมันก็จะไม่อยากสู้ จะไปเสพท่าเดียว ไม่คิดด้วยว่ากิเลสคือความทุกข์ เข้าใจว่าการได้เสพสมใจคือความสุข กอดกิเลสไว้อย่างนั้นยึดกิเลสเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ยึดเป็นตัวเป็นตน
ถ้าเรายังรู้สึกว่าเราเก่ง แล้วคนอื่นต้องทำได้อย่างเรา ก็ลองไปหาคนที่เก่งกว่า หรือลองถือศีลที่ยากขึ้น เช่น ศีล ๘ ศีล๑๐,กินมังสวิรัติ กินจืด กินมื้อเดียว ไม่แต่งตัวไม่แต่งหน้า แล้วเราก็จะรู้ว่าจริงๆแล้วเราก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่หรอก เรายังมีกิเลสอีกมาก แค่เรามองไม่เห็นตัวเองเท่านั้นเอง เรามัวแต่เอาตาไปมองคนอื่น ไม่เคยมองตัวเอง ทั้งๆที่ควรจะแก้กิเลสของตัวเองก่อนแล้วค่อยไปแก้คนอื่น งานตัวเองยังไม่เสร็จเลย ชอบรีบไปวิจารณ์งานคนอื่น
บาปคือการสั่งสมกิเลส ศีลเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นกิเลสที่เหลืออยู่ได้ชัดเจน ตราบใดที่เราถือศีลแล้วยังทุกข์จากการถือศีล นั่นแหละคือเรามีกิเลส มีบาป
….เมื่อเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้ว
ทุกคนอยากทำดี อยากเป็นคนดี อยากเป็นที่รักของคนอื่น ไม่มีใครที่อยากทำบาป อยากเศร้า อยากหลง อยากมัวเมา เพียงแค่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นบาป และถึงเขาเหล่านั้นจะรู้ว่ามันไม่ดี ก็ไม่สามารถที่จะหยุดความอยากนั้นไว้ได้ เพราะแรงแห่งกิเลสนั้นมักจะมีพลังรุนแรงกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ จะบอกว่าการไม่ทำบาปดีไหม หลายคนก็ตอบว่าดี เรารู้กันทุกคน แต่ทำกันไม่ได้ มันฝืนใจ มันทรมาน ไปเสพกิเลสแล้วมีความสุขมากกว่า ใครจะอยากมาอดทนฝืนทวนกระแสกิเลส มาล้างกิเลสกันล่ะ
ทุกวันนี้เราอยู่กับสังคมและโลกในยุคมอมเมากิเลส แม้ว่าเราจะทำบุญทำทาน แต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าทุกวันนี้เราได้สะสมกิเลสเข้าไปทุกวัน เราอยากกินของอร่อยมากกว่าเดิมใช่ไหม , เราแต่งหน้าจัดแต่งตัวโป๊กว่าเดิมใช่ไหม , เราใช้เงินเก่งกว่าเดิมใช่ไหม ,เราอยากได้อยากมีมากขึ้นใช่ไหม, เรามีความอดทนน้อยลงใช่ไหม , เราโกรธกันง่ายขึ้นใช่ไหม , เราให้อภัยกันน้อยลงใช่ไหม นี่แหละพลังแห่งการร่วมกันสั่งสมกิเลสบนโลกใบนี้ ทุกคนต่างช่วยกันเสพ ช่วยกันเติมกิเลสให้แก่กันและกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น
เรื่องกิเลสไม่ดีทุกคนก็รู้ แต่ปัญหาคือไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน ไม่มีใครพาล้าง พาฆ่า พาทำลายกิเลส เรื่องการชำระกิเลสเหล่านี้ต้องให้ผู้ที่ทำเป็นสอนเท่านั้น จะคิดเอาเอง นึกเอาเอง มั่วเอาเองไม่ได้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การที่เราจะบรรลุธรรมหรือล้างกิเลสได้ เราต้องพบกับสัตบุรุษ คือคนผู้มีสัจจะแท้ มีธรรมที่สวนกระแสโลก มีโลกุตตรธรรมอยู่จริง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสอนได้ ไม่ได้หมายความว่าแค่บวชเป็นพระจะสอนได้ ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจธรรมะปฏิบัติธรรมแล้วจะสอนได้ แต่ต้องเป็นคนที่ล้างกิเลสเป็นจึงจะสอนได้
วิธีที่จะพบสัตบุรุษนั้นไม่จำเป็นต้องไปค้นหา ไม่ต้องไปตรวจค้นสืบค้นจากที่ไหน เพราะถึงจะหาแทบพลิกแผ่นดินยังไงก็จะหาไม่เจอ แต่ที่ต้องทำคือทำดีไปมากๆ อดทนทำดีไปอย่างตั้งมั่น ทำบุญทำทาน ทำงานอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่อย่างเต็มใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศีลให้เคร่งครัด แต่ไม่เครียดจนทรมาน ลดการเบียดเบียน ลดเนื้อกินผัก หาทางทำดีไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะได้พบเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
21.9.2557
อย่าไว้ใจชาย
อย่าไว้ใจชาย
มารยาหญิงที่ว่ามีกว่าร้อยเล่มเกวียน กลวิธีมากมายหลากหลายกระบวนท่า แต่สุดท้ายก็ต้องพลาดท่าให้กับชายอยู่ดีนั่นแหละ
มารยา กลยุทธ์ กลวิธีของชายนั้น มักจะไม่ได้ถูกบันทึกหรือกล่าวขานไว้ กว่าจะรู้ตัวก็มักจะพลาดท่าเสียทีไปแล้ว ทั้งการหลอกล่อลับลวงพรางด้วยของขวัญและคำหวานมากมายให้เฝ้าเพ้อฝันไปถึงความรักที่งดงามและอนาคตที่สวยหรู คำสัญญาที่ว่าจะมั่นคง ความจงรักภักดี การเกื้อกูลดูแลกันและกัน คำยืนยันหรือการแต่งงานมีครอบครัว เหล่านี้คือมารยาที่ชายใช้ล่อลวงใจหญิงได้ทุกยุคทุกสมัย เราลองมาดูตัวอย่างกลยุทธ์ของชายแต่ละแบบกัน
1. ผู้ชายติดอบายมุข (อบายมุข): ตัวเองก็เสพติดอบายมุขทั้งการพนัน หวย หุ้น ติดเหล้าติดยาเสพติด สิ่งมัวเมาทั้งหลาย เที่ยวกลางคืน ท่องเที่ยวไปเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในที่ต่างๆ เที่ยวเล่นดูดนตรี ดูการแสดง คบคนชั่ว เกียจคร้านการทำงาน วิธีของผู้ชายเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หานำอบายมุขที่ตัวเองเสพติด เช่น ชอบกินเหล้าก็ชวนกันไปกิน ชอบดูการแสดงชอบดูหนังก็ชวนกันไปดู ชอบรถแต่งรถหรูก็ชวนกันมานั่ง ใช้อบายมุขที่น่าจะตรงกับกิเลสไปเสนอให้กับผู้หญิงที่หลงเสพหลงติดพอกัน พากันมัวเมาไปในที่สุด และมักจะมีคำนิยามแบบสวยๆว่าชอบทำกิจกรรมเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ชอบอบายมุขเหมือนกัน ก็เลยพากันไปนรกด้วยกัน
ผู้หญิงที่มีกิเลสหนาก็มักจะโดนชักจูงด้วยอบายมุขได้ง่าย เพียงแค่หลงชอบเสพสิ่งเดียวกันก็อาจจะยอมร่วมหอลงโรงด้วยกันได้แล้ว จากความหลงติดหลงยึดสุขลวงจากการเสพอบายมุข คือกิเลสในระดับหยาบ ที่พาให้เสียเวลา เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ เสียชีวิต ฯลฯ
2.ผู้ชายบ้ากาม(กามคุณ): กามในที่นี้คือกามคุณ๕ คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เป็นภัย ผู้ชายที่ติดกามก็มักจะบำรุงดูแลตัวเองให้ดูดี งดงาม ออกกำลังกายให้ดูดี หรือกระทั่งไปผ่าตัดศัลกรรมให้หน้าตาดีดั่งใจหมาย ในขณะเดียวกันความบ้ากามก็ยังจะทะลักไปบ้านอกร่างกายตัวเองด้วย คือจะไปเสพคนสวยคนงาม ด้วยความที่คนสวยคนงามเหล่านั้นก็มีกิเลสของเธออยู่ คือความติดสวย สุดท้ายก็จะพากันบำรุงบำเรอกิเลส พากันกินอาหารอร่อย พากันแต่งตัวให้ดูดี รวมไปถึงการเสพกามเมถุนร่วมกัน เพราะยังมีกิเลสในชั้นของกามอย่างแน่นหนา
ผู้ชายที่พรั่งพร้อมไปด้วย รูปงาม เสียงงาม กลิ่นงาม และสัมผัสอันน่าหลงใหล จะพาให้ผู้หญิงที่บ้ากามด้วยกันหลงไปได้ง่าย เช่น เพียงแค่พบคนหน้าตาดี ก็สามารถยอมพลีกายให้เขาได้เพียงแค่ต้องการเสพสมใจว่าได้คบหากับคนหน้าตาดี หรือไม่ก็ยินดีคบหาเป็นแฟน หรือแต่งงาน เพราะชอบที่เขาหน้าตาดี พูดดี มีทักษะการสัมผัสเสียดสีที่ดี ก็หลงติดกามกันไป
ความงามด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั้น เป็นสิ่งที่ดึงดูด พาให้หลงใหล พาให้เคลิ้มหลงไป แม้แต่หญิงที่ว่าใจแข็งมั่นคงก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อพลังแห่งกามทั้ง ๕ นี้ได้ ยอมเผลอไปรักโดยที่ไม่ทันระวังตัว โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้แพ้พ่ายต่อกิเลสไปแล้ว
3.ผู้ชายเจ้าชู้(โลกธรรม) : เขาเหล่านี้คือผู้ที่เสพลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ผู้ชายเจ้าชู้มักสามารถใช้โลกธรรมในการจูงใจหญิงได้ค่อนข้างเก่ง ป้อนคำหวาน ดูแล เทคแคร์ เอาใจใส่ บำเรอด้วยทรัพย์สิน คำเยินยอ และให้ความสำคัญ ทำเสมือนว่าเขาให้ค่ากับผู้หญิงคนนั้นมาก แต่แท้ที่จริงเขาเองสามารถที่จะเข้าใจและใช้กิเลสที่ระดับที่ละเอียดกว่ากามมาเป็นตัวล่อผู้หญิงได้
เราคงเคยสังเกตกันมาบ้าง ว่าทำไมบางทีผู้ชายที่หน้าตาไม่ดี ไม่หล่อ ดูไม่ดี แต่กลับควงคู่กับผู้หญิงสวยๆอยู่เสมอ นั่นก็เพราะเขามีลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่ในปริมาณมาก หญิงที่ว่าจิตใจมั่นคง ไม่มัวเมาในอบายมุข ไม่หลงในกามรูปหรือไม่หลงคนหน้าตาดี ก็อาจจะมาแพ้พ่ายกันในด่านของโลกธรรมนี้ก็ได้ นั่นเพราะตัวเธอเองก็อยากเสพความสบาย เสพความร่ำรวย การเอาใจใส่ จนอาจจะเผลอยอมปล่อยตัวปล่อยใจเพื่อแลกกับการได้เสพกิเลสเหล่านี้ ซึ่งมีเขาผู้มากไปด้วยโลกธรรม คอยบำรุงบำเรอให้ก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายเจ้าชู้จะหยุดอยู่แค่เรา ถ้าเราเองไม่สามารถสนองต่อความอยากในกามของเขา ไม่สนองโลกธรรมของเขา เขาก็อาจจะทิ้งเราไปมีคนใหม่ที่สามารถจะสนองกิเลสเขาได้มากกว่าเรา ซึ่งเขาจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเขามีอำนาจในการที่จะสนองกิเลสผู้อื่นอยู่ในมือ เป็นอำนาจบาป ที่นำมาซึ่งความทุกข์ นำมาซึ่งนรกอย่างไม่จบไม่สิ้น
4.ผู้ชายนักฝัน(อัตตา): ช่างคิดช่างฝัน ปั้นจินตนาการ วาดฝันไว้ เจ้าอุดมการณ์ ชายในกลุ่มนี้มักจะไม่ได้ล่อลวงหญิงด้วย อบายมุข กามคุณ และโลกธรรมอีกแล้ว แต่จะล่อลวงเธอด้วยความฝัน อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่งดงาม เช่น คำพูดที่บอกว่าเธอคือเนื้อคู่ , เราจะเป็นคู่รักที่รักกันตลอดไป , ผมจะซื่อสัตย์ตลอดไป , ผมจะดูแลคุณตลอดไป ,เราจะพากันเจริญไปด้วยกัน ,เราจะสร้างครอบครัวไปด้วยกัน เป็นคำมั่นสัญญา เป็นอัตตา เป็นความยึดมั่นถือมั่น ทำตัวเหมือนหลักชัยให้ผู้หญิงซึ่งอ่อนไหว อ่อนต่อโลกได้ยึดเกาะพาให้หลงใหล พาให้ฝากตัว ฝากใจ ฝากชีวิตเอาไว้กับเขา
แต่ความยึดมั่นถือมั่นนั้นก็เป็นกิเลส อุดมการณ์จะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้ารากของมันคืออัตตา ก็เหมือนมีรังปลวกอยู่ใต้หลักไม้ใหญ่ จะดูยิ่งใหญ่หรือแข็งแกร่งแค่ไหนไม่นานก็คงจะผุกร่อนพังทลาย เพราะโดนปลวกคือกิเลสกัดกินจนหมด
สิ่งที่เคยยึดมั่นอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในสักวันหนึ่ง คำสัญญากลายเป็นเพียงแค่ลมปาก สิ่งที่เหลือคือความอึดอัดกดดัน ความผิดหวัง ความฝันที่พังทลาย ทิ้งไว้แต่ซากแห่งความฝันของหญิงผู้ที่ได้แต่หลงเสพหลงละเมอไปในคำหวานและอุดมการณ์ของคนกิเลสหนา
5.ผู้ชายรักจริง(เสน่หา): จะมีลักษณะที่ดูปักมั่น หลงมัวเมาในหญิงที่เธอหมายมั่น ทุ่มเทเอาใจ รักจริงหวังแต่ง แสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอกิเลสให้กับเธอ ถ้าเธอชอบอบายมุขก็จะพาเธอไปเสพอบายมุข ถ้าเธอชอบกามคุณ ก็จะไปเธอไปกินของอร่อย พาไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ทำตัวเองให้ดูดีให้เธอชอบ ถ้าเธอชอบโลกธรรม ก็จะขยันทำงานหาเงินมาให้เธอ พยายามทำตัวให้ประสบความสำเร็จในชีวิต มีฐานะหน้าที่การงานที่ดีเพื่อให้เธอยอมรับ ถ้าเธอชอบอัตตาก็ป้อนคำมั่นสัญญาผูกมัดเธอด้วยกิเลส ด้วยสัญญาว่าเราจะไม่พรากจากกัน เราจะดูแลกันไปชั่วนิรันดร์
เป็นผู้ชายที่มีกลยุทธ์และใช้วิธีที่หลากหลายเพื่อที่จะมัดใจเธอ ให้เธอยอมรับ ให้เธอหลงเสพในความรักของเขา ให้เธอรักเขา หญิงที่ว่าใจแกร่งเพียงใด เจอกับกลยุทธ์ทุ่มเทเอาใจใส่ สลับซับซ้อนแบบนี้ ก็ยากที่จะหนีรอดไปได้ เป็นกลยุทธ์ที่พรั่งพร้อมไปด้วยกิเลสในทุกระดับ ยินดีบริการ บำรุงบำเรอให้เธอเต็มที่จนกว่าเธอจะยอมรับรัก
ที่เขาทำทั้งหมดนี้ เขาก็แค่ทำให้เธอเพียงคนเดียว เพราะเขาอยากจะเสพเธอคนเดียว อยากจะได้เธอมาคนเดียว อาจจะกระจายการสนองกิเลสเหล่านี้ออกไปยังคนใกล้ชิดของเธอแต่จะไม่ได้เน้นมากเท่าไหร่
แต่ความเสน่หานั้นไม่เที่ยง มีรักได้ก็หมดรักได้ ทันทีที่เขาได้เสพสมใจทุกอย่างแล้ว เขาก็อาจจะละทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดีก็ได้ บางคนอาจจะแค่ยินดีเสพแค่คุยกัน บางคนอาจจะยินดีเสพแค่เป็นแฟนกัน บางคนอาจจะยินดีเสพแค่มีอะไรกัน บางคนอาจจะยินดีเสพแค่แต่งงานกัน บางคนอาจจะยินดีเสพแค่มีลูกด้วยกัน ถ้าเขาได้รับสิ่งที่เขาอยากจะเสพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็คือนรก เมื่อความอยากเสพในกิเลสนั้นหมดเชื้อเพราะได้เสพสมใจแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องบำรุงบำเรอสนองกิเลสเธออีกต่อไป เป็นเวลาที่หญิงที่หลงไปกับรักจริงที่หลอกลวงจะต้องเริ่มต้นใช้หนี้บาปหนี้กรรมกันต่อไป
6.ผู้ชายแสนดี(เมตตา): ชายผู้มีจิตใจที่เมตตา เกื้อกูลทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เขาให้ความสำคัญกับทุกๆคน คอยดูแล กิจกรรมการงานของของเพื่อน ดูแลทุกข์สุขของเพื่อน มิตรสหาย โดยไม่ได้หวังเสพสิ่งใด ทำไปด้วยจิตที่เมตตาหวังจะให้คนอื่นได้ดี ให้คนอื่นมีความสุข คลายทุกข์
แม้เขาเหล่านี้จะมีเมตตามาก แต่ก็อาจจะยังมีกิเลสในเรื่องของคนคู่อยู่ บางครั้งความเมตตานั้นอาจจะปนผสมไปด้วยกิเลสลึกๆในใจของเขา คือเมตตาปนไปกับความอยากเสพเธอคนนั้น แต่ก็มักจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนนัก เพราะจะไม่ออกมาในรูปของการจีบ การป้อนคำหวาน การเอาใจ แต่จะเป็นการดูแล ช่วยเหลือ ปรับทุกข์ บำรุงสุข เป็นเพื่อนคู่คิดคอยปลอบใจ ไม่ล่วงเกินเข้าไปในเชิงชู้สาวมากนัก ดูเหมือนว่าไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน
เขาเหล่านี้จะไม่บำรุงบำเรอเธอด้วยกิเลส พาไปพบแต่สิ่งที่พาให้ชีวิตเจริญ จะไม่พาเธอไปทางเสื่อม เช่น ไม่พาไปเสพ อบายมุขอีกแล้ว แต่ยังมีกามคุณบ้าง เหลือโลกธรรมบ้าง และอาจจะยังเหลือในส่วนของอัตตาตามแต่ที่เขาจะมีอยู่บ้าง ถ้าจะให้เปรียบก็เรียกได้ว่าเป็นคนดีที่มากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับดีที่สุด
แม้ว่าจะเราจะเจอผู้ชายที่ดี ไม่เอากิเลสมาบำรุงบำเรอขนาดนี้ แม้ว่าจะเรียกได้ว่าพากันเจริญ ก็อย่าได้พลั้งเผลอไปเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะดีแสนดีแค่ไหน มีความสุขขนาดไหน แต่การดำเนินชีวิตคู่นั้น เราก็ต้องรับวิบากกรรมร่วมกัน ทุกข์ด้วยกัน มีครอบครัวซึ่งเป็นภาระด้วยกัน ผูกภพ ผูกชาติ ผูกกรรมไปด้วยกัน ความสุขที่ได้ก็ไม่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายก็ต้องตายจากกันไป เมื่อเรายึดคนดีเป็นของเรา เมื่อเขาพรากจากเราไปเราก็ต้องเสียใจอยู่ดี
7.ผู้ชายที่มีรักแท้(อุเบกขา): ความรักแท้นั้นหากจะบอกว่าเป็นรักที่ครอบครองก็คงจะไม่ถูกนัก ชายที่มีรักแท้คือผู้ที่ยินดีจะเสียสละความรักของตน ยอมทิ้งความสุขส่วนตนให้คนอื่น ยอมทิ้งโอกาสในการเสพสุขของตนให้กับผู้อื่น ยอมปล่อยให้เนื้อคู่ของตนเองนั้นเป็นอิสระจากการผูกมัดโดยกรรมกิเลสใดๆทั้งปวง ยอมที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมที่ควรจะเป็นโดยไม่คิดจะเอากิเลสของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วม
การปล่อยวางความรัก ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้ หากมองผ่านๆโดยทั่วไปก็เหมือนกับเอาตัวรอด เหมือนกับเห็นแก่ตัว แต่แท้ที่จริงไม่ใช่แบบนั้น
เพราะเขาคนนั้นมีความรักที่มากกว่ารักในแบบของการครอบครอง มากกว่ารักของคนสองคน มากกว่ารักแบบครอบครัว มากกว่ารักแบบคนรัก จึงยอมสละรักที่น้อย เพื่อที่จะได้รักที่มากกว่า นั่นคือรักที่สามารถเผื่อแผ่ไปให้กับทุกคนบนโลกได้ รักได้แม้กระทั่งศัตรู เป็นรักที่ให้ได้อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม
แม้แต่ชายที่ดูเหมือนว่าจะกล่าวอ้างว่ามีรักแท้แบบนี้ก็อย่าได้ตายใจไป เพราะกิเลสของคนเรานั้นมีความลับลวงพราง อาจจะมีผู้คนที่มัวเมาในอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา อวดอ้างเอาคุณเหล่านี้เป็นของตนก็เป็นได้ เราจึงต้องคอยสังเกตติดตาม พิจารณาตามไปว่ารักแท้ที่เขามีนั้นเป็นจริงดังที่เขาบอกหรือไม่ หรือเป็นรักลวงที่สอดไส้ไปด้วยกิเลสก้อนใหญ่
….ดังที่ยกตัวอย่างมา จะเห็นได้ว่ากิเลสนั้นมีลีลาท่าทางมากมายที่จะทำให้เราหลงไปกับสิ่งลวง สิ่งที่ไม่เป็นจริง เมื่อหลงเสพหลงยึดไปแล้ว เช่น คบกันเป็นแฟน ได้เสียกัน แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว สุขที่เคยมีก็อาจจะเปลี่ยนสภาพเป็นทุกข์ก็ได้ ทุกข์จากการมี ทุกข์การยึด ทุกข์การครอบครอง
กิเลสนั้นมีความซับซ้อน มีความหลากหลายของการแสดงลีลาออกมา แม้ว่าบางครั้งเราตั้งสติดีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตามการยั่วยวนของกิเลสเหล่านั้นได้ทัน เพราะเวลาที่พบเจอจริงๆมักจะผสมปนเปกันมาแบบมั่วๆ ดูไม่ออก แยกไม่ออกว่าแบบไหนจริงใจ แบบไหนหลอกลวง
สุดท้ายไม่ว่าเหตุจะเป็นอย่างไร เขาจะมาจีบเรา หรือเราจะไปหลงคารมของเขาเอง เราก็เป็นเหยื่ออยู่ดี เหยื่อของกิเลสที่พาให้หลงไปว่าสิ่งที่เขานำมาปรนเปรอบำรุงบำเรอเรา คำหวาน ของขวัญ คำมั่นสัญญา การดูแลเหล่านั้นจะอยู่ตลอดกาล จะไม่แปรเปลี่ยน
หญิงใดที่สามารถรักษาความโสด จิตใจที่สันโดษ พอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่หาชายใดมาบำรุงบำเรอกิเลส บำเรออบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตาของตัวเองแล้ว นับได้ว่าเป็นหญิงที่มีบุญ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องทรมานจากการแบกวิบากบาปจากการมีคู่ แบกสามี แบกลูก แบกครอบครัว แบกแม่ผัว แบกพ่อตา แบกญาติ เพราะลำพังแค่แบกชีวิตตัวเองก็หนักพออยู่แล้ว
– – – – – – – – – – – – – – –
19.9.2557
รักที่มากกว่า
รักที่มากกว่า
คำว่ารักเป็นคำที่คนนิยม มีการตีความหมายของคำว่ารักออกมาหลายแง่ หลายมุม หลายนิยาม หลายความเข้าใจ จนยากที่จะเข้าใจว่ารักจริงๆเป็นเช่นไร
แม้จะเคยได้พบกับความรัก แต่รักของเรากับเขาก็อาจจะไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่เราก็รักกัน แต่ทำไมมันไม่เหมือนกัน เพราะเรานิยามต่างกัน? เพราะเราเข้าใจต่างกัน? หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเรามีกิเลสที่ต่างกัน…
คำว่า “รัก” นั้นอาจจะเป็นดอกไม้ หรือมีดที่ฉาบไว้ด้วยน้ำผึ้งก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้มัน ซึ่งความรักนั้นถ้าแบ่งตามใจคน ก็คงจะอวดอ้างว่ารักของตนนั้นยิ่งใหญ่ บริสุทธิ์ เป็นรักแท้หาที่ใดเปรียบได้ แต่ถ้าแบ่งตามกิเลสเราก็จะเห็นได้ชัดจากการกระทำที่ออกมา โดยไม่ต้องไปคิดวิเคราะห์หรือหลงไปในคำพูดที่เป็นคำลวง
รักหยาบๆ ….. เป็นรักที่หามาเสพเพื่อตน ใช้คำว่ารักเพื่อที่จะได้ใครสักคนมาบำรุงบำเรอกิเลสตัวเอง
เช่น จริงๆก็ไม่ได้ชอบเขามากหรอก แต่เขาหล่อและรวย คิดว่าน่าจะดูแลเราได้เลยคบกันไป
…หรือเช่น ชอบเขามาก ก็เลยใช้คำว่ารัก ป้อนคำหวาน ในนามแห่งความรัก ทำดีไปจนกว่าเขาจะยอมให้เสพสมใจ
…หรือเช่น เราก็ไม่ได้ชอบเขาหรอก แต่บังเอิญว่าเหงา อยากหาคนมาบำเรอความใคร่เลยคบกันไป
…หรือเช่น ชอบเขามาก อยากได้เขามาเป็นของตัว จนสามารถยอมใช้ร่างกายตัวเองแลกกับการมีเขาไว้ในชีวิต
…หรือเช่น เขาก็ไม่ได้นิสัยดีอะไรมากมายหรอก แต่ทำงานเก่งขยันเอาใจเราทุกอย่าง เราคบเขาไว้ก็ดีก็เลยบอกรักเขาเพื่อให้เขาทำอย่างที่เราอยากเสพไปเรื่อยๆ
ความรักที่เกิดจากเหตุเหล่านี้ก็เป็นเรื่องหยาบ เรื่องกาม เรื่องหน้าตา เรื่องสังคม เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นรักที่วนเวียนอยู่กับการเสพกิเลส เสพโลกธรรม ยากจะหาความสุขเพราะจิตคิดแต่จะเอา ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องพบกับความพราก ความไม่ได้ ความเสียไปแบบไม่หวนกลับ คนที่มีรักแบบนี้ยังต้องทนทุกข์อยู่มากตามความหนาของกิเลส ตามความอยากได้อยากมี
รักดีๆ….. เป็นความรักที่เกิดจากการเกื้อกูลกันมา พึ่งพากันและกัน สนับสนุนช่วยเหลือดูแล คนที่มีความรักแบบนี้จะลดการอยากได้อยากมีในกันและกันในระดับหยาบลงไปแล้ว แต่จะมีสภาพเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง จะเริ่มเข้าใจสาระแท้ของคำว่ารักได้มากขึ้น เริ่มจะมองเห็นคุณค่าแท้ในตัวคนมากขึ้น มองข้ามกาม คือความหล่อสวย มองข้ามโลกธรรม คือความรวย มีชื่อเสียง มีตำแหน่งการงานดี เหล่านี้ไปได้บ้างแล้ว จึงทำให้รักที่มีนั้นค่อนข้างราบรื่น ไม่หวือหวา เป็นไปเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน
รักที่มากกว่า…. เป็นความรักที่เสียสละ คำว่าเสียสละ คือสละโดยที่ไม่หวังจะได้อะไรกลับมา เรามักจะถูกทำให้สับสนเมื่อเห็นภาพพ่อบุญทุ่มเสียสละให้ผู้หญิงคนหนึ่งตลอด นั่นอาจจะเป็นเพราะเขามีแผนเพื่อที่จะเสพผู้หญิงคนนั้นในสักวันหนึ่ง เป็นความหยาบที่ซ้อนเข้าไปในการเสียสละ
การเสียสละที่แท้จริง คือการยอมลำบาก ยอมทน ยอมเจ็บ ยอมเหนื่อย เพื่อคนที่รักได้
เช่น แม้คนรักจะต้องตกงานหรือพิกลพิการ แต่ก็ยังดูแลกันไปไม่ทิ้งกัน ไม่โกรธ แม้สิ่งที่เคยมีเคยได้จะไม่มีอีกต่อไป แต่ก็ยังดูแลด้วยความรักและเข้าใจในกรรมที่เขาทำมา
เช่น แม้จะโดนต่อว่า ดุด่าจากฝ่ายตรงข้าม ก็ยอมเจ็บ ยอมโดนด่าโดยไม่โกรธเคือง ยอมให้อภัย สละความโกรธออกไป เพื่อที่จะไม่ไปส่งเสริมกิเลสของตนเองและคู่ครอง
หรือเช่น ยอมสละให้เขาไปกับคนใหม่ที่เขาถูกใจ โดยที่ไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาต เข้าใจและยอมปล่อยเขาไปตามที่เขาอยากจะไป
รักแท้ …. ความรักที่แท้จริงนั้น เป็นความรักที่เข้าใจทุกอย่าง เข้าใจว่าฉันก็เป็นแบบนี้ เธอก็เป็นแบบนั้น เรามีกรรมเป็นของตัวเอง ฉันก็มีของฉัน เธอก็มีของเธอ แต่จะทำอย่างไรเราจึงจะสามารถกุศลสูงสุดได้?
รักที่แท้คือการยอมปล่อย ยอมให้คู่ของตนเป็นไปตามกรรมที่เขาควรจะเป็น ไม่คิดจะเอาเขามาเสพ ไม่แม้แต่อยากจะได้รับสิ่งดีจากเขา ไม่ต้องการคำหวาน คำปลอบโยน กำลังใจ อ้อมกอด หรืออนาคตใดร่วมกัน ไม่คิดจะเอาเขามาผูกไว้ด้วยการคบหาเป็นแฟน หรือการแต่งงาน ที่เราเห็นชัดแล้วว่าจะนำมาซึ่งความทุกข์
ยอมแม้แต่จะไม่ไปรักเขา ยอมให้จิตเราเลิกผูกพันกับเขา ยอมให้เราเลิกยึดมั่นถือมั่นในตัวเขา แม้ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะเป็นดั่งเนื้อคู่ที่ผูกภพผูกชาติกันมานานแสนนาน แต่ก็จะยอมที่ปล่อยความสัมพันธ์นี้ให้เป็นอิสระ ให้เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีกิเลสใดๆมาเจือปนให้หม่นหมอง
ไม่หลงรัก ไม่ผลักไส ไม่ดูด ไม่ผลัก ไม่รัก ไม่เกลียด ไม่ชอบ ไม่ชัง ก็คงจะเหลือสาระแท้ เหลือแต่ประโยชน์ เหลือแต่กุศลร่วมกันเท่าที่พอจะทำได้ เป็นรักที่เข้าใจถึงสาระแท้ของชีวิตว่าควรจะต้องทำอะไรให้พ้นทุกข์ เข้าถึงความสุขแท้
เป็นรักที่นำมาซึ่งที่สุดของประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน เพราะตนเองก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากเพราะวิบากกรรมของคู่ครอง เพราะแค่วิบากกรรมของตัวเองก็หนักจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะกิเลสของตัวเองอีก และประโยชน์ท่าน ก็คือ สามารถเอาเวลาที่เคยไปทำเรื่องไร้สาระมาสร้างประโยชน์กับคนผู้อื่น สังคม สิ่งแวดล้อม ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
รักแท้ที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเสพสมใจในชาตินี้ภพนี้ แต่เป็นไปเพื่อกุศล เป็นประโยชน์ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่นๆต่อไป
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คงจะรู้แล้วว่าตัวเองพอใจอยู่ที่รักแบบไหน ความรู้สึกนั้นแหละคือระดับกิเลสของตัวเอง หนาบ้าง บางบ้างแล้วแต่ใครจะขัดกิเลสกันมาเท่าไหร่
– – – – – – – – – – – – – – –
15.9.2557