ความรัก

ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

August 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,106 views 0

ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

ความรักกับการเปลี่ยนแปลง

กาลเวลาที่ผ่านไปได้แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยน แม้แต่ใจคนที่หนักแน่น คำพูดที่จริงจัง คำสัญญาที่ตั้งมั่นว่าจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็ต้องค่อยๆเสื่อม ค่อยๆพราก ค่อยๆจาก และเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล….

ขับรถไป เปิดวิทยุไป แล้วเขาก็เปิดเพลงหนึ่ง ฟังแล้วรู้สึกทันทีว่าน่าจะเอาเรื่องราว อารมณ์ความรู้สึกนี้มาพิมพ์บทความกันสักหน่อย (เปลี่ยน – บี๋ คณาคำ อภิรดี : http://www.youtube.com/watch?v=0i-e5nnDfgU)บทความนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากการฟังเพลงนี้ละนะ

ความรักกับความเปลี่ยนแปลง…เรื่องราวเกี่ยวกับความรักในบทนี้ ก็คงจะกล่าวกันถึงความรักที่มีความเปลี่ยนแปลงที่มีทิศทางในลักษณะที่เสื่อมลง คลายลง ถดถอยลง จนถึงสลายหายไป เป็นทุกข์แบบชัดเจน

ขึ้นชื่อว่าความรักนั้นก็เหมือนของหอม ของงาม น่าโหยหา น่าเอามาผูกพัน น่าเอามายึดไว้ข้างกาย เป็นความสุขความสมบูรณ์ตามที่สังคมและโลกสอนให้เราเข้าใจ ให้เรารับรู้ว่าการที่คนเราได้รับความรัก ได้มีคู่รัก นั่นคือจุดสมบูรณ์ของชีวิต เหมือนในนิทาน ในนิยาย ในละคร ที่ตอนจบพระเอกและนางเอกก็ได้ร่วมชีวิตกัน

เป็นเหมือนเรื่องราวที่โลกทำให้เราเข้าใจว่าการได้มีคู่ ได้สมรส มีครอบครัว นั้นคือความสุข เป็นจุดจบของทุกสิ่ง เพราะส่วนใหญ่เรื่องราวในหนังมันก็จบแค่นั้น… แต่ถ้าชีวิตจริงมันจบแค่นั้นก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า

เมื่อได้เสพสมใจ คือการแต่งงาน จนไปถึงการสมสู่ ความต้องการของเราจะได้รับการเติมเต็มอย่างสูงที่สุด ตามแต่ใครจะสร้างกิเลสเหล่านั้นขึ้นมา ดังจะเห็นได้โดยทั่วไปว่า ไม่มีงานใดยิ่งใหญ่มากเท่างานแต่งงานในชีวิตของคนหนึ่งคนแล้ว เรียกได้ว่าเป็น“จุดพีค” ของชีวิตเลยทีเดียว ถ้าเป็นละครก็คือตอนสำคัญเชียวละ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับต้องการเสพความสุขเหล่านี้ “มากขึ้นเรื่อยๆ” ในขณะที่ความอยากจะตอบสนองของอีกฝ่ายลดลง หรือหมดความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของคู่ตน ที่มีแต่จะพัฒนาความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ขึ้นทุกวัน

เมื่อคนเรามีความต้องการ ความอยากเป็นเจ้าของ หรือกระทั่งความใคร่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “ความรัก” เข้ามาเป็นตัวแทนโดยทำทุกอย่างให้เหมือนทุ่มเท ใส่ใจ เอาใจใส่ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะสนองกิเลสอีกฝ่ายให้พอใจกับการกระทำของตน เรียกง่ายๆว่า เอาใจ…จนจีบติด , เมื่ออีกฝ่ายเริ่มสนใจ ก็จะสนองกิเลสเพิ่มเข้าไปอีก หาสิ่งมาเติมกิเลสเข้าไปอีกให้เกิดความอยากร่วมชีวิต ให้มาแต่งงานร่วมกัน มีคำหวาน คำสัญญา คำพูดและสิ่งของอีกมากมายที่จะมาหลอกล่ออีกฝ่ายให้มาตกลงปลงใจกับตนเอง โดยเนื้อแท้ที่ทำทั้งหมดตั้งแต่แรกคือจะเอามาสนองกิเลสตัวเอง คือ อยากครอบครอง อยากสมสู่ อยากมีคนแก้เหงา อะไรก็ว่ากันไป… จนสนองกิเลสกันสำเร็จ ตกลงใจร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน

การกระทำเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามสัญชาติญาณ ไม่ต้องนึกหรือบังคับ กิเลสก็จะกุมบังเหียนพาเราไปสู่จุดที่อยากจะเสพสมใจเอง โดยทั่วไปแล้ว คนจะเข้าใจว่า ตัวเองเข้าใจว่าทำอะไรอยู่ แต่ไม่เข้าใจว่าจริงๆที่ทำอยู่ นั้นมาจากคำสั่งของกิเลส ประมาณว่าไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าโดนบงการ เลยเข้าใจไปว่า ทำด้วยหัวใจ,ความรักอยู่ที่ใจ,คนมีรักถึงจะเข้าใจ,เราให้เพราะอยากให้,ฯลฯ …กิเลสทั้งนั้น

ความฉิบหายจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้ เมื่อฝ่ายหนึ่งได้เสพสมกิเลสตามที่ตนพอใจแล้ว อาจจะเป็นเรื่องการได้ครอบครอง การได้สมสู่ การได้มีสิ่งที่หวัง ก็จะเริ่มลดความพยายามในการตามใจ หรือการสนองกิเลสของอีกฝ่ายลง ในขณะที่อีกฝ่ายก็งง ว่าทำไมแต่งงาน หรือเป็นแฟนกันแล้ว ได้กันแล้ว กลับเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม นั่นก็เพราะเขาได้ในสิ่งที่คาดหวังมาหมดแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำมาก็แค่เพื่อเสพสมบางสิ่งจากตัวเราเท่านั้นเอง เมื่อเขาเสพสมใจแล้วเขาจะพยายามต่อไปเพื่ออะไร?

จากจุดนี้ก็คงจะไม่มีใครพูดตรงๆถึงปัญหาซึ่งเป็นรากเหง้าเหล่านี้เพราะส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้ เนื่องจากไม่เคยศึกษากิเลสตัวเอง ก็เลยจะออกมาในรูปของการทะเลาะ ความไม่เข้าใจกัน ความขัดแย้ง อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง ไปจนกระทั่งถึงเลิกราต่อกัน

ในอีกกรณีหนึ่งก็คือการสร้างภาพกันทั้งคู่ เวลาที่ยังไม่อยู่ร่วมกันก็เป็นคนดีทั้งคู่ แต่พอมาอยู่ด้วยกัน เริ่มเคยชินกัน จึงไม่ค่อยสำรวม กิเลสที่เคยกดข่มไว้ก็ค่อยๆคลายออกมา กลายเป็นความเอาแต่ใจ อารมณ์ร้าย เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทีนี้พอคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ร่วมกัน แต่ละคนก็อยากได้ อยากให้อีกฝ่ายสนอง แรกๆก็พอจะสนองกันไปได้ วันหนึ่งเริ่มไม่ไหว ก็เลิกสนอง กลายเป็นหามือที่สามมาสนองกิเลส หรือไม่ก็เลิกรากันไป

ดังจะเห็นได้ว่า ในทุกการเปลี่ยนแปลงของความรักนั้นมีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดัน เป็นเหมือนแรงลมที่ทำให้ทุกๆอย่างเคลื่อนไหว ดังนั้นความรักที่ขับเคลื่อนไปด้วยลมแห่งกิเลสจะไม่มีวันเปลี่ยนไปได้อย่างไร

ทีนี้คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น หลงไปในคำสัญญา ก็จะยึดว่าเขาต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนจากวันที่รักเรามากที่สุด เมื่อคิดเช่นนี้ มันก็ทุกข์เอง และพยายามจะกอดทุกข์เหล่านั้นไว้ไม่ปล่อย โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ารักที่มาจากกิเลสนั้นจะต้องมีวันเปลี่ยนแปลงไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ถึงแม้ว่ารักนั้นจะสะอาดปราศจากกิเลศก็ตาม ก็ยังต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง ความพลัดพราก คนที่เคยดูแลเรา อาจจะกลายเป็นคนที่เราต้องดูแล คนที่เราฝากชีวิตไว้ อาจจะจากเราไปก่อนที่เราจะทำใจได้ ความเปลี่ยนแปลงนำพาทุกข์มาให้ผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเสมอ

ความรักที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยงแท้แน่นอน นั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้เพียงแค่พูด แค่คิดเอา แค่ตั้งมั่นสัญญา หรือด้วยความเข้าใจเพียงแค่ว่า “เรานี่แหละมีรักที่มั่นคง” สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถหยุดความเปลี่ยนแปลงของกิเลสเรา ที่มันจะโตขึ้นทุกวันทุกวันได้

หากเราอยากพบกับความรักจริงๆแล้ว คงต้องพยายามบากบั่น ทำลายความเอาแต่ใจ ความอยากครอบครอง ความหลง ความเหงา ฯลฯ ของตัวเองให้สิ้นเกลี้ยงเสียก่อน จึงจะพอเห็นแสงสว่างปลายทางที่เรียกว่ารักแท้ได้บ้าง

หากใจยังปนเปื้อนไปด้วยกิเลส ก็คงมีแต่คำว่า “รักแท้” ที่เป็นคำลวง พาให้หลงใหล พาให้ปักใจเชื่อ และรอวันเวลาผ่านเข้ามาพรากสิ่งลวงนั้นไปในวันใดก็วันหนึ่ง เหลือทิ้งไว้แต่คนที่ยังยึดมั่นกับรักแท้ที่เป็นคำลวง คนที่หลงเข้าใจไปว่าทุกสิ่งจะไม่เปลี่ยนแปลง

– – – – – – – – – – – – – – –
24.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

August 11, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,048 views 0

จริงหรือที่ว่ารัก?...เราจะรู้ได้อย่างไร...เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

จริงหรือที่ว่ารัก?…เราจะรู้ได้อย่างไร…เมื่อรักนั้นปนเปื้อนด้วยกิเลส

บังเอิญได้ดูเรื่องราวจำลองของเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเรื่องของความรักปนไปกับความเหงาและความใคร่ ก็คงจะดีถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง (Club Friday The Series 4 หรือรักแท้จะแพ้ความต้องการ (เรื่องราวจาก คุณแอร์ )[ http://www.youtube.com/watch?v=zS3U4MROlvE ])

เป็นเรื่องที่ใช้เวลาดูเป็นชั่วโมง…. พอดูแล้วก็นึกถึงเหตุของความรัก ที่เกิดมาด้วยหลายแรงผลักดัน ความถูกใจ ความใคร่ ความเหงา ลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ สุดท้ายก็ออกมาในรูปของคำว่า ”ความรัก” แต่ถ้าหากเราไม่แยกส่วนผสมของรักให้ดี ก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่ามีกิเลสปนเปื้อนอยู่เป็นส่วนใหญ่

คนเรามักจะนิยามความรักในมุมสวยงาม แต่ไม่เคยลองพิจารณาดีๆว่าเรารักเพราะอะไร เพราะรูปสวย เพราะรวยทรัพย์ เพราะมีหน้าที่การงานดีในสังคม เพราะเขาเอาใจเรา เพราะเขาให้คุณค่าเรา เพราะเขาสนองได้ตามที่เราอยากได้ ความรู้สึกเหล่านี้เป็นกิเลสล้วนๆ ความรักที่แท้นั้นไม่ควรปนเปื้อนด้วย อบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา คือกิเลสที่จะนำมาสู่ความทุกข์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

รักที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ความอยาก ความใคร่ ไม่มีทางจบด้วยความสุข เพราะเมื่อไม่ได้เสพสมกิเลสหรือสมความใคร่อยากนั้นก็เกิดทุกข์ แต่พอได้เสพก็ลดทุกข์ลงไปได้บ้างแต่กลับเติมกิเลสให้ต้องการมากขึ้นเสพมากขึ้น มีความอยากความเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย เป็นเพียงแค่สุขลวงที่มาล่อให้เกิดทุกข์จริงเท่านั้น

เราอาจจะเห็นว่าหลายคู่ก็รักกันดี จึงพยายามเอามาคิดฝันถึงเรื่องของตัวเอง จนลืมไปว่าเรามีกรรมที่ต่างกัน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอสิ่งที่ดีแบบคนอื่นเขา ถึงแม้ว่าถ้าเจอคนที่ดีจริงก็จะไม่พากันไปสู่นรก คือการแต่งงาน สังเกตุว่าเมื่อมีการแต่งงาน หลายๆสิ่งจะเปลี่ยนไป เพราะเมื่อคนมีกิเลสสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว วันใดวันหนึ่งที่ไม่สามารถสนองกิเลสอีกฝ่ายได้ ก็จะกลายเป็นชนวนให้เกิดความบาดหมาง จนกระทั่งเป็นเหตุให้บางคู่ได้มีอิสระ บางคู่ต้องอยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง บางคู่ก็มีแต่ทนทุกข์ บางคู่มีลูกเป็นบ่วงยึดไว้อีก

ผมเคยได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้า ใจความประมาณว่า “คนที่ไม่มีลูกเป็นคนที่โชคดีมาก แล้วจะกล่าวไปใยกับคนที่เป็นโสด” ดังจะเห็นได้ว่า การมีลูกนำทุกข์มาให้ และการแต่งงานก็นำทุกข์มาให้เช่นกัน จริงๆแล้วเราทุกข์ตั้งแต่มีความรักที่เต็มไปด้วยความอยากหรือกิเลสอยู่แล้ว

ความรักที่ดีนั้นควรจะอยู่บนพื้นฐานของอิสระ เกื้อกูลกันด้วยสิ่งที่เป็นกุศล พากันทำกุศล พากันเจริญ ไม่มีการผูกมัดกันด้วยสัญญาใดๆ เป็นรักที่ยอมปล่อย ยอมสละ ยอมแม้แต่จะไม่ครอบครอง ยอมปล่อยให้คู่ของตัวเองเป็นไปตามกรรมที่เขาควรจะเป็น รักอย่างเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยไม่มีการยึดมั่นถือมั่น เขาจะอยู่กับเราก็ได้ เขาจะไปจากเราก็ได้

ในเรื่องนี้ถ้าเราเข้าใจกรรมและผลของกรรมอย่างถ่องแท้ จะไม่สงสัยใดๆ จะเข้าใจว่า ว่ามันก็เป็นของมันแบบนี้ละนะ เพราะการที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายหรือวิบากบาปแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากกิเลสของเรานั่นแหละ เพราะเราเคยไปทำอะไรไม่ดีมากสักอย่าง ผลมันก็เลยออกมาแบบนี้ ก็จะรับรู้จะเข้าใจ รับผลแล้วก็หมดไป ดีซะอีกได้ใช้หนี้บาปให้หมดไปอีกเรื่อง อาจจะลองจินตนาการตามไปก็ได้ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็ไปทำแบบนี้มานั่นแหละ เราเองที่ทำมา…

และจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปอย่างไร คนก็หนีไม่พ้นเรื่องกามเมถุน …กิเลสอันเป็นรากที่ทำให้เกิดความใคร่จนลงมือก่อบาปเหล่านี้ คือกามราคะ เป็นสังโยชน์ที่ผูกมัดเราให้ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส กามราคะไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องสมสู่ ยังรวมไปถึงการเสพในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่างๆ เช่น ฟังเพลงเพราะ กินอาหารอร่อย ชอบกลิ่นหอมๆ ชอบคนหล่อคนสวย ชอบบ้านที่อยู่สวย ชอบเตียงที่นุ่ม อะไรก็ว่ากันไป

หลายคนเข้าใจว่าอายุมากขึ้นแล้วคงเบื่อหน่ายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ กิเลสจะเปลี่ยนรูปจากความต้องการในการสมสู่เป็น ความติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อื่นๆได้เช่นกัน สังเกตก็ได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งดื้อ ยิ่งอยากเสพของอร่อย อยากสบาย มีความอยากและข้อแม้เต็มไปหมด ทุกข์เหล่านี้มันจะอยู่ตามหลอกหลอนเราตราบเท่าที่เรายังยึดกามราคะนี้ไว้เป็นตัวเรา จะเกิดอีกกี่ครั้งก็ต้องเจอมันทุกครั้ง เจอเรื่องราวประมาณนี้เรื่อยไป วิธีเดียวที่จะกำจัดมันก็คือ…ล้างกิเลส

– – – – – – – – – – – – – – –
10.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร

August 10, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,856 views 0

เปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร

เปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร

ชีวิตที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง นิสัย ความเชื่อ ความเข้าใจ ความคาดหวัง แม้แต่ฝันในวัยเด็ก หรือสิ่งที่เราเคยยึดมั่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง กลับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เราเคยสังเกตกันบ้างไหมว่าทำไมเราจึงเปลี่ยนแปลง แล้วอะไรทำให้เราเปลี่ยน…

ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดได้จากแรงกระตุ้นทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกคือครอบครัว มิตรสหาย คนรัก สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ส่วนภายในก็คือ ความตั้งใจของตัวเอง

เปลี่ยนเพราะกิเลส….

การเปลี่ยนแปลงในบางครั้งเกิดจากแรงผลักดันของกิเลส ความอยากได้อยากมีอยากเป็น จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีกิเลสเป็นตัวผลักดันนั้น ผลย่อมออกมาไม่สวยงามอย่างแน่นอน

เช่น บางคนเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดี ด้วยการออกกำลังกาย แต่งตัวสวย กินอาหารดี กินผักผลไม้ เปลี่ยนบุคลิก โดยมีความตั้งใจของตัวเองอันเกิดจากความอยากจะพ้นสภาพทุกข์ใจของความไม่สวย ไม่งาม ไม่แข็งแรง ดูไม่ดี ไม่มั่นใจ ฯลฯ บวกกับแรงของกิเลสที่อยากสวยอยากงาม ดูดี ในเวลาเดียวกัน รวมถึงมีแรงกระตุ้นจากภายนอก เช่น สังคมบอกว่าผอมจึงจะสวย แต่งหน้าจึงสวย ต้องมีรูปร่างแบบนี้จึงจะดูดี เพื่อนทักว่าโทรม ครอบครัวทักว่าดูแลตัวเองหน่อย แฟนชอบแซวว่าอ้วน… ดูเผินๆอาจจะเป็นเพราะแรงกระตุ้นจากภายในและภายนอก แต่ความจริงมันคือแรงกระตุ้นของกิเลส

เพราะมีกิเลสจึงมีทุกข์ เก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้เป็นการเปลี่ยนเพื่อหนีจากทุกข์แบบหนึ่งไปเจอทุกข์อีกแบบหนึ่งเท่านั้น

ทุกข์ใหม่ที่จะเจอหลังจากการเปลี่ยนแปลงแบบมีกิเลสนี้จะมีอะไรบ้าง เช่น เราต้องเสียเวลาแต่งหน้า ต้องลำบากออกกำลังกายเกินความจำเป็น ต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางใหม่ โดยไม่รู้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อกิเลสเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ไม่มีสาระ ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะการหนีจากทุกข์หนึ่งไปเจออีกทุกข์หนึ่งก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้

กิเลสมักจะหลอกให้เราหลงทางว่าเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราจึงควรตรวจสอบให้ดีว่าความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นจริงหรือไม่ เป็นไปเพื่อสะสมกิเลสหรือลดกิเลส แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ลองปรึกษาเพื่อนหรือถามผู้รู้เพิ่มเติมก็ได้

เปลี่ยนเพราะเข้าใจในกิเลส….

๑…เปลี่ยนตัวเองเพราะทุกข์ของตัวเอง

เมื่อคนเราเจอทุกข์เข้ามากๆ และทนกับทุกข์นั้นๆไม่ไหว ก็จะเป็นไปดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม” เมื่อถึงจุดที่เราได้เข้าใจทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ วิธีดับทุกข์ จนกระทั่งเข้าใจวิถีปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์เมื่อเข้าใจได้ดังนี้แล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง เช่น วิธีคิด วิถีชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อมไปจากเดิม เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่าสิ่งเดิมที่เคยคิด เคยมี เคยเป็นนั้นเป็นทุกข์ และก็จะไม่ยินดีที่จะไปสร้างทุกข์ใหม่อีกด้วย เป็นการดับทุกข์ที่เหตุ คือการดับกิเลสของตัวเองแทนที่จะไปหาสุขลวงมาแก้ทุกข์ที่มี หรือจะเรียกได้ว่าไม่ไปหาทุกข์ใหม่มากลบทุกข์เก่า

การออกจากทุกข์เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคิดแล้วจะหลุดพ้นจากทุกข์นั้นได้ทันทีเสมอไป ต้องปฏิบัติอย่างตั้งมั่น ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นจนกระทั่งเกิดผล คือเข้าใจเหตุปัจจัยในการเกิดทุกข์ จนกระทั่งถึงความรู้สึกเบื่อหน่ายจากสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ เมื่อเราไม่ได้ยึดสิ่งเดิมไว้ เราก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ด้วยความเต็มใจ พอใจ และเป็นสุขจากการเปลี่ยนแปลงนั้น

๒…เปลี่ยนตัวเองจากการเห็นทุกข์ของผู้อื่น

สำหรับบางคนก็ไม่จำเป็นต้องเจอทุกข์เอง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เช่นเห็นคนเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็สามารถใช้ทุกข์ของคนอื่นมาพิจารณา จนตัวเองเลิกกินเหล้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ไม่กินเหล้าได้ โดยไม่ต้องรอให้เจออุบัติเหตุแบบนั้น

เห็นคนชิงดีชิงเด่นในที่ทำงานแล้วรู้สึกว่าพวกเขาทุกข์และชีวิตวุ่นวาย เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์ ก็สามารถออกจากความอยากเด่น อยากดัง อย่างแย่งชิงตำแหน่งได้โดยไม่ต้องลงสนามไปเล่นกับเขาให้ตัวเองทุกข์

คนที่เห็นความโหดร้ายของอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์แล้วย้อนกลับมาดูตัวเองว่าถ้าเรายังกินเขาอยู่ ต่อไปชาติใดชาติหนึ่งเราก็ต้องโดนแบบนั้นบ้าง ก็สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ ออกจากกิเลสนั้นๆได้โดยไม่ต้อง เสียเวลาทุกข์เพราะวิบากกรรมที่ไม่อยากจะทำ

บางคนเห็นคนอื่นเป็นมะเร็งจากสาเหตุที่กินเนื้อสัตว์มาก โดยเฉพาะการปิ้งย่าง เมื่อรับรู้และเห็นถึงความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินผักได้

หรือคนที่ติดบุหรี่ แต่ไปเห็นอาการป่วยของคนที่ติดบุหรี่เหมือนกัน เห็นความทุกข์ ทรมาน อันเกิดจากบุหรี่ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตัดบุหรี่ออกจากชีวิตได้โดยไม่ต้องรอให้ตัวเองป่วย

หรือกระทั่งคนที่เคยอยากมีคู่ พอเห็นคนอื่นเขาทุกข์จากเรื่องคู่ เรื่องครอบครัว ก็ไม่อยากมีเอาเฉยๆ ยอมเปลี่ยนแปลงมาเป็นคนโสดอย่างเต็มใจ

ลักษณะนี้ก็เรียกว่าเห็นทุกข์จึงเห็นธรรม แต่ดีตรงที่ไม่ต้องเจอทุกข์หนักกับตัวเอง คือผู้ที่มีบุญบารมีสะสมมา เป็นสิ่งที่เคยบำเพ็ญเพียรกับเรื่องเหล่านั้นมานาน แค่มีเหตุปัจจัยมากระตุ้นให้ระลึกได้ ก็เพียงพอที่จะสามารถเห็นและเข้าใจความเป็นจริงได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ เพียงแค่เห็นคนอื่นทุกข์ก็สามารถเข้าใจและละเหตุแห่งทุกข์ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดตัวเองได้

และผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่านั้นคือไม่มีอาการติดสิ่งเหล่านั้นมาตั้งแต่เกิดเลย ไม่ว่าใครจะพาทำ เติม เสริมแต่ง ยั่วเย้า จะมอมเมาอย่างไรก็ไม่ไปติดเหมือนคนอื่นเขา ถึงจะติดก็ติดแค่เปลือก ใช้เวลาสักพักก็หลุดจากกิเลสเหล่านั้นได้ไม่ยาก ต่างจากคนทั่วไปที่เวลามีกิเลสแล้วก็ยิ่งจะยึดมั่นถือมั่น ยิ่งพอกพูนสะสมกิเลสเข้าไปเรื่อยๆ

๓…เปลี่ยนตัวเองเพราะทุกข์ของผู้อื่น

เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากจิตที่เป็นกุศลหรือความคิดที่อยากทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นเป็นตัวผลักดัน เป็นแรงกระตุ้นจากภายนอกเข้ามาสู่ภายในให้เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นประโยชน์ภายนอกอีกที

เช่น เราอยากจะช่วยเหลือคนอื่น เราอยากจะเป็นคนดีให้พ่อแม่ภูมิใจ เราอยากเก่งขึ้นเพื่อผู้อื่น เราอยากจะเสียสละเพื่อให้สังคมดีขึ้น เพราะเหตุที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ครอบครัว คนรัก คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน มิตรสหาย สิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวสะท้อนให้เราเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วกลายเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกของเราให้อยากจะเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเองเพื่อผู้อื่น

และเมื่อเรามีปัญญาที่เห็นปัญหา เห็นทุกข์ของผู้อื่น มีเมตตามากเพียงพอที่จะเห็นใจผู้อื่น มีความตั้งใจมากพอที่จะกรุณา เราจะยอมเสียสละ ยอมลดอัตตาตัวตนของตัวเอง ยอมลดกิเลสที่ตัวเองมีเพื่อคนอื่น เพื่อที่จะขยายขอบเขตที่จะทำสิ่งที่เป็นกุศลได้มากกว่าเดิม เหมือนการลอกคราบเก่าทิ้งไป ให้ตัวเองเติบโตขึ้นเพื่อไปช่วยคนอื่นได้มากขึ้น

เช่น เด็กที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเองมาเป็นเด็กขยัน ทั้งเรียนหนังสือและดูแลพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เจ็บป่วยทำงานไม่ได้ มีให้เห็นได้บ่อยๆ ในสังคมไทย

คนทั่วไปที่ยอมสละเงิน ไปช่วยคนอื่นที่ตกยากลำบาก ยอมเปลี่ยนตัวเองจากคนตระหนี่ถี่เหนียว หรือใช้เงินเหล่านั้นเพื่อสนองกิเลสตัวเอง มาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สละของตนให้กับผู้อื่น เพราะเห็นความทุกข์ยากของคนอื่นเป็นเหตุ

ผู้ทำงานจิตอาสา เสียสละเวลา ทุน สุขภาพ ฯลฯ ของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือสังคม ก็เกิดจากคนธรรมดาทั่วไปที่เข้าใจปัญหาของสังคมจนเปลี่ยนแปลง ปลุกตัวเองขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม

ผู้นำทางการเมืองหลายคนก็เคยเป็นคนธรรมดาสามัญ แต่เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤติ ก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตน ดังคำที่ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ”

พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เสียสละประโยชน์คือความสงบของตัวเอง เปลี่ยนตัวเองออกจากฐานที่มั่น มาช่วยเหลือคนและโลก โดยการเผยแพร่ธรรม บางท่านมีเวลาอิสระ ส่วนตัว พักผ่อน น้อยกว่าคนที่ทำงานออฟฟิศทั่วไปเสียอีก หรือแม้แต่ท่านที่อุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับศาสนา ให้กับสังคมและโลกก็มีให้เห็นเหมือนกัน

จะเห็นได้ว่าในขณะที่คนเหล่านี้เสียสละเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม เพื่อให้โลกได้ประโยชน์แล้ว ตัวของเขาเองก็ได้รับคุณค่า ได้บุญกุศลไปในเวลาเดียวกันด้วย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงและสร้างความสุข สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและโลกอีกด้วย

…สรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุใดนั้นก็คงไม่ได้สำคัญเท่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมีปลายทางไปทางไหน ไปสู่ความสุขหรือความทุกข์ ไปสู่สิ่งที่ดีงามหรือจะตกต่ำลงไปอีก การรู้ถึงผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

– – – – – – – – – – – – – – –
10.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ความงามกับความรัก

August 9, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,620 views 0

ความงามกับความรัก

ความงามกับความรัก

ในสังคมปัจจุบัน ความงามกับความรักปนเข้าไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกันจนแทบจะแยกไม่เอาว่า เรารักเพราะความงามหรือรักเพราะอะไรกันแน่…

ในบทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง… หน้าจริง : ALARM9(http://www.youtube.com/watch?v=eqPSUAWuaZc ) เรื่องราวในเพลงเป็นเด็กผู้หญิงอ้วนๆคนหนึ่งที่พยายามแต่งเติมเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะชอบในสิ่งนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงผู้ชายที่เธอบอกชอบนั้น ไม่ได้ชอบเธอที่รูปร่างหรือการแต่งตัว แต่ผูกพันกันด้วยคุณค่ามากกว่าความงามแค่รูปกาย

คงปฏิเสธได้ยากว่าความงามนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดคนหมู่มากให้เข้ามาหา ไม่ว่าจะหญิงสวยชายหล่อก็เรียกว่ารูปงามทั้งนั้น คนทั้งหลายก็เลยพากันแต่งเสริมเติมสวย เพิ่มความงามขึ้นไป ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายในสมัยนี้ก็ไปศัลยกรรมเพื่อความงามเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงเลยสำหรับผู้หญิง การเสริมความงามกลายจนถึงการศัลยกรรมก็เป็นเรื่องที่ปกติ ใครไม่ทำสิแปลก…

ก็คงจะดีถ้าความงามนั้นดึงเอาคนที่ดีเข้ามาใกล้ตัว แต่ในความจริงแล้ว ความงามนั้นก็ดึงเอาเฉพาะคนที่ต้องการสิ่งสวยงาม คนที่เสพรูปกาย หลงติดในรูป กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่เขาเข้ามา เขาจะเข้ามาเอาแต่ความงามเท่านั้น

ในความจริงแล้วความงามไม่ได้มีผลอะไรต่อความรักเลย จะมีผลก็เฉพาะต่อความหลง จะทำให้หลงรัก ให้ลำเอียงเพราะรักใคร่ ความยึดมั่นถือมั่น การเสพสมใจในรูปที่สวยงาม เรียกได้ว่ายิ่งงามเท่าไหร่ก็จะยิ่งดึงคนที่มากด้วยกิเลสเข้ามาใกล้ตัวมากเท่านั้น แล้วมีคนที่มีกิเลสมากๆอยู่ใกล้ตัวจะดีไหมล่ะ? ความรักที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหามันดีไหมล่ะ? แรกแบบหลงในรูปมันดีไหมล่ะ?

จริงๆความรักที่เรามีคืออะไรกันแน่ เรารักในอะไรกันแน่ ในความสวยหล่อของเขา ในความรวยของเขา ในบุคลิกของเขา หรือในคุณค่าของเขา ทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เสื่อมลงไป สลายไปได้ตามกาลเวลา ความงามนั้นไม่มีทางยั่งยืนตลอดกาล ความรวยก็ไม่แน่นอน นิสัยก็ยังเปลี่ยนได้ แต่คุณค่าจะไม่มีวันเปลี่ยนไปมีแต่จะยิ่งพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ

หากเรามีความรักในคุณค่าแท้ของอีกฝ่าย เข้าใจว่าจริงๆคนหนึ่งคนตรงหน้าเรามีความหมายเพื่ออะไร เข้าใจคุณค่าที่มากกว่าการเสพสมกิเลสร่วมกันแล้ว ก็จะเข้าใจถึงประโยชน์แท้จริงๆของสิ่งที่เขามี จะเห็นคุณค่าจริงๆที่เขามี ไม่ใช่เห็นตามที่กิเลสของตัวเราเองที่อยากให้เขาเป็นอยากให้เขามีดั่งใจเรา หรือเห็นไปตามที่กิเลสของเขาปั้นแต่งภาพลวงหลอกให้เราเห็นว่าเขาเป็นเช่นนั้นเช่นนี้

เมื่อเข้าใจคุณค่าแท้ของความรัก จะสามารถเข้าใจและหลุดพ้นสภาพที่หลงรักจากรูป กลิ่น เสียง สัมผัส ความรวย ความมีชื่อเสียง ฐานะ หน้าที่การงาน บุคลิก นิสัย อุดมการณ์ ภาพลักษณ์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายเลย จะเหลือแต่คุณค่าแท้ของคนหนึ่งคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา เป็นเพื่อนมนุษย์ที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สอดร้อยไปในความสัมพันธ์จนเกิดเป็นคุณค่าร่วม แม้จะเรียกว่าความรักเหมือนกันกับคนทั่วไป แต่ก็เป็นความรักที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยกิเลส ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยเสน่หา ไม่ได้ปนเปื้อนด้วย อบายมุข กามอารมณ์ โลกธรรม อัตตา ใดๆเลย เป็นความรักที่หลุดพ้นจากรักเพราะความงามไปไกล เป็นความรักแท้ที่ประเมินค่าไม่ได้ หาซื้อไม่ได้ ต้องสร้างเอาเอง

เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ก็อย่ามัวหลงไปเติมความงามเพื่อหาความรักอยู่เลย รักแท้ไม่มีอยู่ในกองกิเลสหรอกนะ เอาเวลามาเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองจะดีกว่า ทำตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อสังคม ต่อโลกนี้ แล้วคุณจะถูกห้อมล้อมด้วยคนที่มาเกื้อกูลกันด้วยคุณค่า ถ้าวันนั้นมาถึงแล้ว ก็คงจะรู้ได้เองว่าคุณค่าของความรักแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

– – – – – – – – – – – – – – –
9.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์