คู่มือคนโสด
วิธีรับมือคนมาจีบแบบบัณฑิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัณฑิตคือผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด แล้วจะทำอย่างไร? เมื่อเราตั้งใจอยู่เป็นโสด แล้วมีคนมาจีบ
คนที่เขามาจีบเราในตอนที่เราปฏิบัติธรรมอยู่ ก็ไม่ต้องไปชังเขานะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องไปชอบเขากลับ เราก็ทำหน้าที่ของเราคือตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควร คือตั้งใจเป็นโสดแม้เขาจะมาจีบ มาชอบ หรือกระทั่งมาอ่อยเหยื่อก็ตาม
ก็ให้ตั้งจิตเราให้ถูก ให้ตั้งใจไว้ว่าหน้าที่ของเราคือความเกื้อกูล ไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์ ไม่พาให้เขาหลง เท่าที่ปัญญาของเราพอจะทำได้
ที่เขามาชอบเรา มันมีหลายเหตุ อันนี้ไม่ต้องไปเดาให้เมื่อยหัว เสียเวลาเปล่า ๆ เอาเป็นว่าที่เขามาชอบเนี่ย มันจะทำให้เขาเป็นทุกข์แน่ ๆ เพราะเขาจะไม่มีวันสมหวัง
เพราะเราจะไม่ทำอย่างคนอื่นเขา เราจะไม่ล่อลวง ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่ทำทีเล่นทีจริง ทิศของเราชัดเจนคือเราจะพากันไปพ้นความหลง พ้นจากความทุกข์ เรารู้ดีอยู่ว่าการไปมีคู่คือทางไปทุกข์ ดังนั้นการไม่รับรักเขา นั่นคือความเกื้อกูลที่เราพึงกระทำได้
เวลาคนเขาตอบรับรักกัน ส่วนใหญ่เขาก็ดีใจกันมากมายนั่นแหละ เพราะเขาเห็นของไม่ดีเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาก็เลยหลงดีใจกับสิ่งที่จะพาให้เป็นทุกข์
พอคบกันไปแล้วทุกข์มันจะเริ่มเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จากความคาดหวัง ความเอาแต่ใจ ความพร่องของเหตุการณ์ต่าง ๆ การอยู่เป็นคู่นั้นมีแต่ทุกข์ ทุกจังหวะชีวิต ไปไล่ตรวจสอบดูเถอะ ถ้าเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนหรืออะไร ๆ ไม่ได้ดั่งใจ ความทุกข์จะเกิดขึ้นไหม แค่จินตนาการก็เห็นแต่ทุกข์ทั้งนั้น ของจริงก็ไม่เหลือหรอก เพราะทุกข์จริงและออกยากด้วย
ทีนี้เราเห็นทุกข์ขนาดนี้ เราก็จะไม่พาเขาไปทางนั้น เขาอาจจะผิดหวังที่เราไม่รับรัก แต่เขาจะไม่ทุกข์ไปมากกว่านั้น แล้ววันหนึ่งที่เขาสั่งสมประสบการณ์ของทุกข์จากความรักมากพอ เขาจะรู้ว่า การที่เราไม่ไปคบกับเขานั่นแหละ คือการเกื้อกูลกัน คือน้ำใจที่มีให้กัน คือการหวังให้เกิดแต่ประโยชน์ในชีวิตของกันและกัน
ก็อาจจะมีที่คนเขาคิดไปว่า ถ้าคบหากับคนดีที่ปฏิบัติธรรมก็คงจะดีสิ ไม่ทำร้ายเรา แต่ในความจริงมันจะทุกข์ไปอีกแบบ การคบหากันในโลกส่วนใหญ่จะอยู่ในมิติของกาม แต่ถ้ามาคบหาคนที่ปฏิบัติธรรม จะต้องเผชิญกับมิติของอัตตา
ไม่ใช่แค่อัตตาของคู่หรอกนะ แต่เป็นอัตตาของเราด้วย เพราะบางทีฐานมันไม่เสมอกัน เช่น คู่เขาฐานศีล ๘ ขึ้นไปแล้ว เขาไม่สัมผัส ไม่มองตา ไม่คุยด้วย ไม่สมสู่ ไม่เหลืออะไรให้เสพแล้ว ทีนี้ถ้าเราฐานไม่ถึงมันจะทรมานจากความอยาก มันอยากได้ความรักแบบโลกีย์ แต่เขาไม่มีให้ มันจะทุกข์เพราะความอยากมันบีบคั้น มันก็จะทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้การจะช่วยเขาจากการหลงรักเรานี่เป็นความยากอีกระดับ เพราะมันจะมีองค์ประกอบที่มากั้นเยอะ 1.เขาหลงเรา 2.มีวิบากกรรมที่เคยทำชั่วมา 3.ปัญญาของเรา
1.ถ้าเขาหลงเรานี่มันจะพูดกันเข้าใจยาก เหมือนตัวเราอยู่ตรงนี้ แล้วเขาไปมองตรงอื่น ก็จะสื่อสารกันยาก เพราะสาระของเราคือธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนั้นมันจะพาไปสู่ทิศทางที่ถูกได้ยาก
2.วิบากกรรม เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและทำใจยอมรับ บางทีมันเกิดจากเราทำชั่วมามาก พอเวลาจะพูดดีทำดี มันจะไปไม่ออก ไม่เข้าท่าขึ้นมาเฉย ๆ หรือถ้าฝั่งเขา เขาก็อาจจะทำไม่ดีมามาก วิบากบาปมันเลยกั้นไว้
3.ปัญญาของเรา อันนี้เป็นสิ่งที่พอจะพัฒนาได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สะสมข้ามภพข้ามชาติ สุดท้ายก็ต้องใช้ตัวนี้แหละช่วยเขา เราต้องเก่งขึ้นเพื่อช่วยเขา แต่ก็ให้วางใจว่าขนาดพระพุทธเจ้าที่มีปัญญาสูงสุดในโลก ก็ยังไม่สามารถทำให้นางพิมพาบรรลุธรรมได้ทันที จะต้องหน่วงไปอีกสักพัก แม้นางพิมพาจะมีภูมิเก่าถึงขั้นอรหันต์ แต่มันจะฝ่าวิบากกรรมตามข้อ 2 ไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นปัญญาตัวจบคือปัญญาปล่อยวาง คือช่วยเต็มที่แล้วปล่อยวางให้ได้ ให้รู้ว่าจังหวะไหนควรใช้ จังหวะไหนควรวาง
สรุป… การที่เราไปหลงตามเขาคืองานหลักของเรา ส่วนงานช่วยเขาเป็นงานรอง ถ้ามีกำลังถึงจะทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้ แต่ถ้ากำลังจิตไม่ถึง มันหวั่นไหว ก็ให้เน้นไปที่งานตัวเองก่อนเป็นหลัก เพราะถ้าเราพ้นทุกข์ได้ เราจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเรายังเป็นทุกข์ ยังหวั่นไหวกับเขาอยู่ เราจะช่วยเขาไม่ได้เลย ดีไม่ดีจะลากเขาลงนรกไปกับเราด้วยอีกต่างหาก
อย่าแต่งงานเลย อยู่เป็นสมบัติของชาติเถอะ!
มานึกออกวันนี้ ได้ยินมาก็นาน เวลาที่เพื่อนผู้หญิงในเฟสบุคเขากล่าวถึงสามีแห่งชาติอะไรประมาณนี้แหละ เป็นคำที่มักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ
ถ้าเป็นคนที่มีคนรักมาก ๆ ก็ไม่มีใครอยากจะให้เขาไปเป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรอก ใครก็ฝันอยากจะได้เขาคนนั้นมาเป็นคู่ทั้งนั้น(แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อยากฝัน) แล้วถ้ามีคนอื่นได้ไปแล้ว แต่เราไม่ได้ ก็มักจะอิจฉาตาร้อนกัน
พวกดาราก็เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้พอเห็นภาพ พอมาชีวิตจริง คนที่คนอยากได้กันมาก ๆ อันดับแรกน่าจะคนหน้าตาดี คนรวย . . . ส่วนคนดีน่าจะเป็นฟังชั่นท้าย ๆ ที่เขาเลือก
ทีนี้คนที่มีดีมาก ๆ ก็ต้องมีคนอยากได้หลายคน มันก็จะแย่งกัน แม้จะแย่งกันในใจแต่มันก็ยังเป็นทุกข์อยู่ สมมติว่าเราไปชอบสาวสวยคนหนึ่ง แล้วมีผู้ชายมากมายมาจีบ มันก็จะมีอาการร้อนรนเป็นธรรมดา
แต่ถ้าสาวสวยคนนั้น ประกาศว่าจะตั้งตนเป็นโสดไปทั้งชาติ ให้เลิกหวัง อันนี้เขาก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ เพราะเหมือนจะมีธรรมมากั้นคู่แข่งไว้ ที่เหลือก็มีแค่ความโง่ส่วนตัวแล้วที่จะไปหวังเอาชนะใจเขา ถ้าเลิกเอาชนะ มันก็พ้นทุกข์ ถ้ายังไปเอาชนะอยู่มันก็ทุกข์ทั้งสองฝ่าย
จะเห็นได้ว่า แม้เราจะมีองค์ประกอบที่ดีเลิศ เช่น เกิดมาหน้าตาดี มีฐานะดี การศึกษาดี การงานดี แต่ถ้าเราไม่ใช้องค์ประกอบเหล่านั้นในการล่อลวงคน เขาก็จะไม่เป็นทุกข์ หรือเป็นทุกข์น้อย แต่ถ้าเรายิ่งยั่ว ยิ่งอ่อย นี่มันจะไปกันใหญ่ เขาจะร้อนรน กระสันอยากได้เรา มันก็เป็นวิธีของคนฉลาด(กิเลส) ที่จะยั่วเย้าให้คนเข้ามาหลงตนเองมาก ๆ แล้วเลือกเอาแต่ที่ถูกใจ
ก็ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ เพราะมีการเลี้ยงชีพ(การทำให้ชีวิตดำรงอยู่) ด้วยทางที่ผิด คือมีการล่อลวงคนอื่นเขา ด้วยองค์ประกอบที่เรามี เช่น อบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา มันก็จะพากันไปทุกข์ในท้ายที่สุด
ถ้าคนบำเพ็ญคุณความดีมาหลาย ๆ ชาติ จะมีองค์ประกอบดี ๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นในตนเอง เอาไว้ให้โลกได้เสียดายเล่น ๆ แต่จริง ๆ คือเอาไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างนั่นแหละ ว่าหน้าตา การศึกษา ฐานะ ฯลฯ ไม่ใช่สิ่งที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้เลย พอเข้าใจอย่างนั้นเราก็จะไม่เอาสิ่งเหล่านั้นไปล่อลวงใครให้หลงตามที่เรามี
มันก็จะเป็นไปของมันอยู่แบบนั้น คือมีอยู่นะ หน้าตา ฐานะ การศึกษา ฯลฯ แต่จะไม่เป็นโทษต่อใคร จะมีแต่ทำประโยชน์ให้เขา ไม่ล่อลวงเขา
การยั่ว การอ่อย การทอดสะพาน ฯลฯ สารพัดการดึงดูดความสนใจนั้นยังเป็นพฤติกรรมล่อลวงอยู่ ยังหาเหยื่ออยู่ ต้องหาคนที่เขาหลงมาเสพ คือหาคนโง่กว่าเข้ามาในชีวิตตนนั่นแหละ เพราะคนที่เขามีปัญญามากกว่า เขาไม่ติดกับอะไรพวกนี้อยู่แล้ว มันเลยต้องอาศัยอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา นี่แหละ เป็นเหยื่อล่อ
ถ้าไม่มีพฤติกรรมเหล่านี้ มันก็จบ ก็ปล่อยคนเขาอยู่ของเขาไป ให้หลงไปตามธรรมของเขาไป แต่อย่าให้เขามาหลงเพราะเราเป็นเหตุ
เราก็อยู่ให้เขาดู เป็นสมบัติของชาติ เป็นของสาธารณะ เป็นอิสระ ไม่ผูกมัด เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง เพราะไม่เบียดเบียนใคร และไม่ล่อลวงให้ใครมาเบียดเบียนเรา
เอาเวลาไปช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนจะดีกว่า คิดดู ถ้าตั้งใจบำเพ็ญตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว แก่ไปบารมีจะมากขนาดไหน คนดี คนมีน้ำใจ สังคมเขาไม่ปล่อยให้อดอยากแห้งตายไปเปล่า ๆ หรอก เขาจะรักษาไว้ เพราะเขาได้ประโยชน์จากการทำดีของเรา
ถ้าเขาปล่อยตายก็ดีเหมือนกัน จะได้ทำเป็นตัวอย่างให้โลกเห็น จะได้แสดงธรรมในหมวดการปล่อยวาง ว่าการทำดีที่จริงนั้น ไม่ได้หวังให้ใครมาตอบแทน ไม่ได้หวังให้ใครมาเข้าใจ ผาสุกทั้งตอนทำ และมีความผาสุกเป็นผลสืบเนื่องต่อไป
อย่าไปแต่งงานเลย อยู่เป็นโสดเป็นสมบัติแก่โลกนี้เถอะ บัณฑิตในยุคนี้มีน้อยเหลือเกิน พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด เขาก็รู้กันว่า ก็มีแต่บัณฑิตนั่นแหละ
โสดข้ามปี
ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เป็นโสดข้ามปี เพราะอย่างน้อยก็พ้นการผูกด้วยเวร การข้องเกี่ยวกันด้วยอกุศลกรรมกันไปอีกปี
ก็คิด ๆ อยู่เหมือนกันว่า เรานี่ก็โสดข้ามมาหลายปีแล้ว มันก็สุขสบายดี ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องกังวลใด ๆ
ผมเข้าใจคนมีคู่นะ ว่ามันทุกข์อย่างไร แต่เขาจะเข้าใจว่าผมไม่ทุกข์อย่างไรนี่ก็ไม่หวังว่าเขาจะเข้าใจนะ
การมีคู่ข้ามปีนี่มันต้องแบกรับความหวัง ความกดดัน ความบีบคั้นของหลาย ๆ อย่าง เชื่อไหมมันไม่เป็นสุขหรอก เพราะเขาก็ต้องการของเขา เราก็ต้องการของเรา มันก็บีบคอกันเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้นนั่นแหละ ถ้าแลกเปลี่ยนกันได้ สมยอมกันได้ มันก็รอดพ้นไปเป็นครั้ง ๆ
แต่คนคู่นี่มันไม่มีวันลงเอยด้วยคำตอบเดียวกันทุกครั้งหรอก เพราะมันคนละคนกัน มีอุปาทาน มีตัณหา มีภพ ต่างกันไป คนหนึ่งชอบภูเขา อีกคนชอบทะเล คนหนึ่งอยากอยู่บ้าน คนหนึ่งยอมฝ่ารถติดไปเที่ยว คนหนึ่งอยากประหยัดเงิน อีกคนจะเอาเงินไปเสพสุขวันปีใหม่
แล้วเทศกาลปีใหม่นี่ต้องยอมรับเลย มีแต่กาม กับกาม ของกินอร่อย ๆ อากาศดี ๆ วิวสวย ๆ กลิ่นหอม ๆ เสียงเพราะ หรือเสียงพลุก็ยังเป็นสิ่งเสพได้ สุดท้ายก็สัมผัส ตั้งแต่สัมผัสของของกินจนไปถึงเรื่องอื่น ๆ
คนคู่เขาจะอยู่กันได้ เขาต้องบำเรอกัน มันมีรายจ่ายทั้งที่เป็นเงินและไม่ใช่เงิน เป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเลยในชีวิต เพื่อแลกมาซึ่งการได้เสพสมใจบางอย่างตามที่ตนยึดไว้
ลองไม่บำเรอกันดูสิ บ้านแตก เอาแบบธรรมะเข้ม ๆ เลยก็ได้ ไม่สัมผัสร่างกาย ไม่มองตา ไม่คุยด้วย อันนี้ฐานอนาคามีในพระไตรปิฎกนะ เรียกว่าบ้านแทบแตก ไปฟังธรรมะพระพุทธเจ้ามา บรรลุธรรม กลับไปบ้านเปลี่ยนเป็นคนละคน เมียจิตตกหนัก สุดท้ายฝ่ายเมียไปบวชกับพระพุทธเจ้า บรรลุเป็นพระอรหันต์ (อ้าว…)
ที่ยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้มันแบบคนดีในอุดมคติละนะ เอามานำแปะหัวไว้ก่อน ทีนี้มาแบบคนทั่วไปบ้าง ลองไปบำเรอกันดูสิ ไม่งอนก็ทะเลาะ บ้านแตกล่ะทีนี้ มันก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นการอยู่เป็นคู่สุดท้ายมันก็ต้องยอมบำเรออีกฝ่ายอยู่ดี เพราะเขาต้องใช้เราเป็นสิ่งเสพ เป็นอาหาร พอเขาไม่ได้อาหาร เขาหิว เขาก็ร้องโวยวาย จะไปบำเรอเขามันก็เป็นบาป จะไม่ทำอีกมันก็อึดอัดกดดันอีก
นักปฏฺิบัติธรรมที่อยู่ในสภาพคู่ ก็ยังต้องทนเป็นผู้บำเรอต่อไป ยังมีสถานะเป็นทาสรัก เพราะเขาไม่ปล่อย ต้องอยู่ให้เขาเสพกามเสพอัตตาจากตัวเราไป ค่าตัวเรายังไม่สูงพอ ธรรมเรายังไม่เข้มพอ มารก็เลยเอาบ่วงคล้องคอไว้ได้นาน ถ้าปฏิบัติธรรมเข้ม ค่าตัวจะมากตาม เขาต้องจ่ายแพงเพื่อที่จะรั้งเราไว้ ไม่นานเขาหมดกุศลที่เคยทำร่วมกันมันก็หลุด แต่พวกค่าตัวถูก ศีลไม่เข้มก็อยู่ไปแบบดอกเบี้ยผ่อนบ้าน 20-30 ปีนู่น
ดังนั้นคนโสดไม่ต้องน้อยใจไป ว่าเรานี้อยู่เป็นโสดข้ามปี ให้เราทำใจให้ยินดีว่า ชีวิตเราไม่ได้ล่อลวงใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้ทำให้ใครมาหลงรักเรา ไม่ได้พาใจเราไปหลงรักใคร
การอยู่เป็นโสด คือสถานะของผู้ที่ไม่เบียดเบียนใคร พากเพียรอยู่เป็นโสด คนมีธรรมะเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต เราโสดข้ามปีได้แสดงว่าเรามีของเก่ามาดี มีพอให้ปกป้องเราข้ามพ้นไปอีกปี แม้มันอาจจะไม่ได้เสพสุขตามที่ใจอยาก แต่มันก็ไม่ทุกข์มาก
ลองไปดูคนที่เขาแต่งงานแล้ว ส่วนใหญ่ดูไม่จืด ยังไม่รวมกับที่เขาไม่เปิดเผยนะ เวลาเขาทะเลาะกัน โกรธกันนี่เขาไม่เอามาพูดกันมากหรอก เขาก็เอาแต่ตอนดี ๆ มาโชว์เท่านั้นแหละ
เหมือนกับนิทานที่มันตัดจบตรงที่เจ้าหญิงเจ้าชายแต่งงานกัน เพราะหลังจากนั้นมันจะมีแต่ทุกข์ไง เขาเลยตัดจบตรงนั้น ให้คนฝัน ๆ เอา อย่าไปเชื่อคำลวงโลกมาก ไม่มีหรอกสุขแท้น่ะ มีแต่สุขลวง
สุขลวง คือสุขที่ปั้นขึ้นมาเองว่ามันเป็นสุข เหมือน เอาก้อนหินมาอมแล้วหลงว่ามีรสอร่อย เพราะจินตนาการรสขึ้นเอง เหมือนเด็กที่หลงในของเล่นชิ้นนั้นชิ้นนี้ พอโตมาไปเล่นของเล่นนั้นก็ไม่สุขเหมือนเคยแล้ว เพราะตอนเสพมันปั้นรสขึ้นมา พอเสพไปนาน ๆ มันจะชิน มันจะไม่สุขเหมือนตอนเสพแรก ๆ แล้วความจริงจะปรากฎ
ที่คนเขาไปแต่งงานกัน เพราะเขาหลงว่ามันจะมีรสสุขมากกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟน พอความจริงเปิดเผย พอวิบากกรรมที่เคยบังตาจางคลายเท่านั้นแหละ จากที่เคยชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้ นกจะกลับมาเป็นนก ไม้จะกลับมาเป็นไม้ แล้วปัญหาคือมันแต่งงานไปแล้ว ออกไม่ง่ายแล้ว เหมือนตอนโสดจะแก้ปัญหา มันก็มีสมการแค่ตัวแปรเดียว 2x+1=9 อะไรแบบนี้ พอมีคู่ไปแล้วสมการมันจะไม่ใช่แค่ตัวแปรเดียว มันจะไม่ใช่แค่ 2 ตัวแปรธรรมดา มันจะติดนั่นติดนี่เต็มไปหมด สารพัดสูตรสมการ ใส่เข้ามาเถอะ จะหารกี่ชั้น จะยกกำลังกี่รอบ จะซับซ้อนแค่ไหนก็ไม่ยากเท่าไขสมการคนคู่
ดีแค่ไหนแล้ว ที่เรายังเป็นโสดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ใครเลิกกันแล้วก็ไม่ต้องหวนคืนสังเวียนเพราะ สภาพคนคู่คือสภาพที่ต้องรบกันอยู่เรื่อยไป มันจะเหนื่อยมาก ถ้าไม่อยากเหนื่อย เป็นคนดูก็แล้วกัน ให้คนที่เขายังมีความอยากมาก ๆ เล่นในสังเวียนนี้ต่อไป เราอย่าไปเล่นกับเขาเลย
การยอมพรากจากคู่ คือที่สุดของทุกข์ในการมีคู่
พิมพ์เรื่องคนโสดมาก็มาก ตอนนี้พิมพ์ในมุมคนคู่บ้าง เชื่อไหมว่าสุดท้ายเมื่อคนมีคู่เข้าใจธรรมะ เขาก็จะหันมาเป็นโสดกันทั้งนั้น
มีหลักฐานมากมายจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระเวสสันดรชาดก ซึ่งจะมีตอนหนึ่งที่มีการสละภรรยาเป็นทาน ในชาดกบทนี้ เป็นชาดกที่ผมรับรู้มาว่าคนข้องใจกันมาก ไม่เข้าใจว่าการสละลูก เมียเป็นทานคือการบำเพ็ญบารมีตรงไหน ซึ่งจริง ๆ มันก็เข้าใจยากจริง ๆ นั่นแหละ เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปไปแล้ว
เชื่อไหมว่าถ้าเราบำเพ็ญไปเรื่อย ๆ คู่ครองของเราก็จะมีบารมีที่มากตามไปเรื่อย (เพื่อปราบเรานั่นแหละ) เขาจะมาแบบครบเลย หน้าตา ฐานะ การศึกษา นิสัย มารยาท ธรรมะ จะดีพร้อม งามพร้อม หรือถ้าไม่พร้อมก็จะมีจุดเด่นพิเศษที่เราพ่ายแพ้ ไม่ยอมปล่อยเพราะยึดสิ่งนั้นไว้
การปฏิบัติธรรมในเรื่องคู่ในบทจบก็คือ “เขาดีขนาดนี้ ยอมสละเขาได้ไหมล่ะ” มันจะยากก็ตรงนี้นี่แหละ คนก็งง จะสละทำไม ก็เขาเป็นคนดี เขาก็ดีกับเราขนาดนี้
เจอคู่ชั่ว ๆ นี่มันทิ้งกันไม่ยากหรอก ดีไม่ดีเขาก็ทิ้งเรา แต่เจอคู่ดีนี่มันทิ้งยาก ติดสวรรค์ ติดสุข ติดความเป็นเทวดา(มีอำนาจ มีคนบำเรอ) หรือไม่ก็ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ฯลฯ
พอคนทำดี มันจะมีกุศลกรรมให้ได้รับ บางทีมันจะมาในรูปของคู่ครอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้สิ่งนั้นจะเป็นลาภ แต่ก็เป็นลาภเลว ที่คนหลงดีใจได้ปลื้มกับมัน อยู่กับมัน แล้วก็แช่อยู่ในภพคู่ครองนั้น ๆ นานนนนนนนน…
ให้คิดก็คิดกันไม่ออกเลยนะ เจอคู่ดีสมบูรณ์ครบพร้อมจะออกยังไง จะถอนใจออกมายังไง ก็มีแต่จะเอาเขาเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละ ชีวิตติดเมถุน มันจะติดเสพความเป็นเทวดา ความเป็นคนพิเศษ ความมีอำนาจ มีการให้เกียรติ ให้ความรัก ความเอาใจ ความสำคัญ เป็นเครื่องร้อยรัดคนไว้กับทุกข์ เรียกว่าเมถุนสังโยค
แต่เชื่อไหม แม้จะดีแค่ไหน มันจะมีจุดพร่อง มีจุดพลาดเสมอ ทีนี้คนที่หลงจะมองข้ามจุดพร่องตรงนี้ไป แล้วไม่เอามาพิจารณาทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เห็นโทษภัยอื่น ๆ ที่ตามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะมันเป็นกิเลสฝั่งติดสุข มันจะแกะยาก ถอนยาก
ไม่ต้องไปคิดถึงระดับพระเวสสันดรหรอก อันนั้นมันไกลไป ไม่ใช่ฐานะที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่ก็ใช้หมวดทานมาเป็นกรรมฐานได้
เช่น คนดีนี่ใคร ๆ ก็อยากได้ใช่ไหม แล้วเราเอามาเก็บไว้คนเดียว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเราสละออกไป คนอื่นเขาก็ดีใจ เพราะเราปล่อยคนดีคนหนึ่งกลับไปให้โลก เขาก็ไม่ต้องมาแย่งเรา ไม่ต้องผิดศีล
ยิ่งถ้าเราปล่อยเขาไปแล้วเขาไม่มีคู่ใหม่ ยิ่งดีใหญ่เลย เขาก็จะได้ใช้ชีวิตเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไม่ต้องบำเรอเรา ไม่ต้องบำเรอใครอีกให้เสียเวลาชีวิต
ที่สำคัญเราจะช่วยเขาได้ เราจะพาเขาเจริญได้ เพราะการผูกกันไว้นี่มันเจริญได้ยาก มันติดเพดาน มันมีอกุศลวิบากต่อกันมาก แต่ถ้าเราปล่อยได้ เขาจะเห็นเราเป็นตัวอย่าง อาจจะขัดข้องขุ่นใจบ้าง แต่เขาจะจำว่ามันมีสิ่งดีกว่าการอยู่เป็นคู่กันอยู่ในโลก นั่นก็คือการไม่อยู่เป็นคู่กันนั่นเอง
ยกตัวอย่างมาแล้วก็รู้สึกว่ายากโคตร ๆ แต่จะเป็นโสดอย่างผาสุกได้ต้องพิจารณาธรรมหมวดนี้เหมือนกัน มันจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการก้าวเข้าสู่การเป็นโสดอย่างยั่งยืน มันต้องยินดีที่จะสละโควต้าของตัวเองที่จะมีคู่ไปให้คนอื่น
ไม่ต้องห่วงหรอก เราล่อลวงคนอื่นมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วิบากกรรมเขาจะไม่มาเอาคืน ถึงจะตั้งจิตเป็นโสด แต่ก็จะมีผู้ท้าชิงอยู่นั่นแหละ
ดังนั้นอย่าไปกังวลเลยว่าจะไม่มีคู่ หรือจะสละไปแล้ว แล้วเขาจะหายไป เขาไม่หายไปไหนหรอก เขาก็วนเวียนมาอยู่นั่นแหละ ด้วยเหตุที่ทำบาปด้วยกันไว้มาก และถ้าเป็นคนดีจะมีอีกแรงหนึ่งคือเป็นที่รักของเขา เขาก็ยึดไว้
แท้จริงแล้วคู่ครองเป็นสภาพสมมุติที่คนยึดไว้ ความเป็นพ่อแม่ลูกยังดูจริงยิ่งกว่า แต่คนกลับไม่ค่อยยึดอาศัย ไม่ค่อยเห็นจะมีใครตั้งตนเป็นโสดเพื่อที่จะได้ใช้เวลาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าสักเท่าไหร่ จริง ๆ มันก็สมมุติเหมือนกันนั่นแหละ แต่ดันไปหลงสมมุติตัวที่มันตื้น มันเบียดเบียน มันเป็นบาป แล้วดันทิ้งสมมุติที่เป็นความเกื้อกูล เป็นกุศล
สรุปกันสั้น ๆ ว่า อาการทุกข์ที่เกิดเพราะไม่อยากพราก ไม่อยากสละจากคู่ นั่นแหละคือประตู ถ้ารู้แจ้งในทุกข์นี้ก็จบ จิตจะปล่อย จะยอมพราก สละได้ ทิ้งได้ ตามเหตุปัจจัย ไม่ยึดติดว่าคนคนนั้นเป็นคู่อีกต่อไป จะเข้าใจทั้งสัญญาแบบโลก ๆ กับการไม่ยึดสัญญาแบบโลก ๆ จะตัดสินใจตามกุศลเป็นหลัก
หัดพิมพ์มุมคนคู่ เอาไว้เท่านี้ก่อน ได้เหลี่ยมหนึ่งก็ยาวแล้ว ไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่