Tag: ความเหงา

โสดอย่างเป็นสุข

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 7,339 views 0

โสดอย่างเป็นสุข

โสดอย่างเป็นสุข

…เมื่อความโสดที่เคยเป็นเหมือนคำสาป กลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก

ปลายทางสุดท้ายของความรักที่เป็นชานชาลาเป้าหมายของการเดินทางของทุกดวงวิญญาณ ไม่ว่าเราจะหลงเดินทางตามกิเลสมานานแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุดเราก็จะมาลงตรงสถานีนี้ กับสถานีปลายทางที่ชื่อว่า “โสดอย่างเป็นสุข

เรามักจะเข้าใจกันไปว่าการมีคู่รักเป็นความสุข เมื่อเห็นผู้คนครองคู่กันแล้วมีความสุขเราก็หลงอยากมีสุขอย่างเขาบ้าง จึงเริ่มจะพยายามผลักไสความโสดออกจากชีวิต คนมากมายสามารถไล่ความโสดออกไปได้ ก็จะไปเจอกับชีวิตแบบหนึ่ง ส่วนคนอีกมากมายที่ยังคงครอบครองความโสดทั้งที่ไม่อยากจะครอบครองก็ต้องเจอกับชีวิตอีกแบบหนึ่ง

คนมีคู่ก็ทุกข์แบบคนมีคู่ คนโสดก็ทุกข์แบบคนโสด ไม่ว่าจะมีคู่หรือโสดก็ยังต้องทนทุกข์อยู่กับความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยู่นั่นเอง

การมีความอยากแต่ไม่ได้เสพในสิ่งที่อยากเสพนั้นทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ความอยากจะทำให้เราเหงา ให้เราแสวงหา ให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ใครสักคนมาสนใจเรา มาหลงรักเรา มาครองคู่กับเรา นี่คือสิ่งที่ทำให้คนโสดบางพวกกลายเป็นคนมีคู่ และคนโสดบางพวกต้องจมอยู่กับทุกข์เพราะไม่ได้เสพสมดังใจ

ถ้าเรามีโอกาสที่จะขอพรเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้กับตัวได้จริงๆ ส่วนมากก็คงจะขอคู่รักที่เหมาะสมกับใจของตัวเอง และคงจะมีน้อยคนที่จะเลือกว่าขอเป็นโสดตลอดทุกชาติ

คนที่ขอให้ตัวเองโสดมีด้วยหรือ? เขารังเกียจความรักอย่างนั้นหรือ? เป็นคนเย็นชาอย่างนั้นเชียวหรือ? ไม่มีใครรักเลยประชดหรือเปล่า? ….อาจจะเป็นเรื่องที่ดูขัดกับความเป็นจริงในสังคมสักหน่อย แต่ในบทความนี้เราจะมาขยายสภาพของ “โสดอย่างเป็นสุข” ความโสดในมิติที่แตกต่างออกไปจากความโสดที่โหยหาและเดียวดาย เป็นความโสดที่อบอุ่นชุ่มเย็น พิเศษ ล้ำลึก และทรงคุณค่ากันใน 9 หัวข้อดังต่อไปนี้

1). ไม่รักไม่ชัง

มากันที่ข้อแรกของความโสดอย่างเป็นสุข คือการไม่รักและไม่ชัง เป็นสภาพที่อยู่ตรงกลางระหว่างการดูดกับการผลัก เป็นตัวยืนยันการปฏิบัติอยู่บนทางสายกลางซึ่งไม่โต่งไปในทางทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคือกาม อีกด้านหนึ่งคืออัตตา

ในมุมของกามก็คือการมีความรักแบบหลงรักหรือมีคนรักเข้าไปรักเข้าไปเสพสมในอารมณ์ต่างๆ ส่วนในมุมของอัตตาคือความขยาดในความรักทั้งๆที่ยังอยากมีความรัก การจะโสดอย่างเป็นสุขเราต้องพ้นจากสองสภาวะดังกล่าว

1.1)รัก

รัก ในแบบทั่วไปนั้นคือการพาตนเองไปสู่สิ่งที่หลง สิ่งที่ชอบ ไปคลุกคลี ไปเสพ ไปมัวเมาอยู่กับสิ่งนั้น โดยมากคำว่ารักนั้นมักจะถูกความหลงเข้าครอบงำ แม้ตนเองจะไม่ได้จะมีคู่รัก แต่ก็มักจะยังยินดีกับความรักในแบบคนคู่ ดูละครก็ชอบใจที่พระเอกนางเอกรักกัน เห็นคนครองคู่แต่งงานกันก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วย

1.2) ไม่รัก

ทีนี้เวลาจะออกมันก็ต้องไม่รัก คือไม่ไปหลงเสพอีกแล้ว สมมุติว่าเราชอบคนคนหนึ่ง เราก็จะพยายามลดการดูดดึงของกิเลสที่ทำให้เราเข้าไปเสพในความเป็นเขา ไม่ว่าจะความงาม น้ำเสียง ท่าทาง เหตุการณ์ เรื่องราว คำมั่นสัญญาต่างๆ ฯลฯ ซึ่งโดยปกติแล้วกิเลสจะพาให้เราหลงไปเสพสิ่งเหล่านี้ เป็นความสุขลวงที่ล่อเราไว้ให้หลงเสพอย่างมัวเมาไม่มีวันได้โงหัวขึ้นมาเห็นแสงเดือนแสงตะวัน

จนกระทั่งเราปฏิบัติจนถึงผลจนเกิดความเจริญขึ้นในจิตใจจริงๆ คือ “ความไม่รัก” เกิดขึ้นจริงแล้ว สภาพการดูดดึง ความชอบ ความหลงต่างๆจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น จะไม่มีความยินดีในการครองคู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้สึกชิงชังการมีคู่

1.3) ชัง

เมื่อความรักไม่เกิดขึ้นดังใจหมายหรือผิดหวังจากความรัก เราก็มักจะเข็ดขยาดกับความรักจนสร้างความรังเกียจความรัก สร้างเหตุผลและข้อแม้มากมายเพื่อไม่ให้ตัวเองเข้าใกล้รัก ปิดประตูขังตัวเองไว้กับความอยากมีคู่ที่ฝังใจอยู่ลึกๆ

ความชังโดยทั่วไปไม่สามารถทำให้ตัวเองโสดอย่างเป็นสุขได้ เพราะนอกจะทำให้ทุกข์เมื่อต้องเห็นคนรักกันแล้ว ยังต้องทุกข์กว่าเมื่อพลาดกลับไปมีความรักอีกครั้ง

1.4) ไม่ชัง

ความไม่ชังนั้นเกิดจากการพากเพียรปฏิบัติจนล้างอัตตาหรือความยึดดีถือดีได้ คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะไม่ชังความรัก ไม่ชังคนที่มีรัก ไม่ชังแม้จะเห็นคนพลอดรักหรือไปงานแต่งงานของใคร ไม่มีอาการกดดันตัวเอง ไม่ผลักไสสิ่งใด ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะเห็นว่าเป็นธรรมชาติของกิเลส คนมีกิเลสก็เป็นแบบนี้ อยากมีรักแบบนี้ แล้วสุดท้ายก็ต้องทุกข์แบบนั้น

ความไม่ชังคือจุดจบของความไม่รักไม่ชัง เราจำเป็นต้องทำลายความรักแบบหลงจนสิ้นเกลี้ยงก่อนแล้วค่อยมาทำลายความชัง ไม่เช่นนั้นมันก็จะพันกันไปพันกันมา แก้ไม่ได้สักอย่าง

แต่ถึงแม้ว่าเราไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด ไม่รักไม่ชังแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถไปมีคู่ได้ด้วยความเฉยๆ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าจะต้องเจอกรรมอะไรบ้าง คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะขยาดในกรรมของการมีคู่ เพราะรู้ว่าการที่ต้องมาใช้ผลกรรมที่กระทำต่อกันนั้นหนักหนาสาหัสกว่ามาก ยิ่งคนที่โสดอย่างเป็นสุขนี่จะไม่เหลือความสุขในการมีคู่แล้ว เพราะมองทะลุสุขลวงเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว เหลือแต่ทุกข์จริงๆ ดังนั้นเมื่อเราเดินบนทางสายกลาง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราต้องกลับไปมีคู่หรือรังเกียจคนมีคู่เลย

2). ไม่มีเงื่อนไขในการเป็นโสด

คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะเป็นผู้ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆในการโสดเลย ไม่เป็นเหมือนอย่างชาวบ้านที่ตั้งข้อแม้ว่าถ้าเขาหรือเธอไม่สามารถสนองกิเลสหรือดีดังที่ใจฉันหวังได้ ฉันก็จะเป็นโสดต่อไป

มีคนจำนวนมากที่ยังโสดแต่ก็มักจะมีข้อแม้ว่า ถ้าหาคนดีกว่าไม่ได้ คนที่พาเจริญกว่าไม่ได้ ก็โสดเสียดีกว่า ลักษณะเหล่านี้คือผู้ที่ยังมีความหวัง ยังตั้งข้อแม้ มีเงื่อนไขในการโสดอยู่ กล่าวคือถ้ามีคนสามารถดีดังใจหวัง ปรนเปรอกิเลสได้สมใจก็จะยอมทิ้งความโสดซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนโสดทั่วไปที่ตั้งกำแพงกิเลสไว้สูงตามกิเลสของตนเอง

ซึ่งความโสดที่มีเงื่อนไขเหล่านั้นมักจะเป็นเงื่อนไขจากฝ่ายกิเลส เช่น เขาต้องรวย เขาต้องมีหน้าที่การงานดี เขาต้องมาขอเราด้วยเงินหลักล้านขึ้นไป ฯลฯ โสดฝันไกลแบบนี้ก็ยังคงต้องทนทุกข์กับความโลภของตัวเองต่อไป ในส่วนเงื่อนไขของฝ่ายศีลธรรมก็มีเช่นกัน เช่นเราถือศีล ๕ คู่ของเราต้องไม่ต่ำกว่าศีล ๕ หรือเรากินมังสวิรัติคู่ของเราก็ต้องมีบุญบารมีที่จะสามารถกินมังสวิรัติเหมือนเราด้วย อันนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งสุดท้ายก็จะได้คนประมาณศีลที่ตั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเงื่อนไขในการมีคู่อยู่ดี

คนที่โสดอย่างเป็นสุขจะไม่หาเรื่องใส่ตัว จะไม่สร้างเงื่อนไขใดๆให้เสียความโสด ไม่มีข้อแม้ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการต่อรอง เพราะความโสดนั้นเป็นที่สุดแล้ว

3). ไม่เหงา

ความเหงานี่แหละคือกิเลสที่ผลักดันให้เราไปมีคู่ ถึงจะไม่มีคู่เราก็มักจะไปหาเพื่อนหรือกลุ่มสังคม สุดท้ายก็จะวนมาเรื่องหาคู่อยู่ดี เพราะความเหงานั้นไม่ได้หายไปด้วยการมีใครสักคน แต่จะหายไปจากการทำลายกิเลสเรื่องความเหงาเท่านั้น

ความเหงาคือความพร่องในจิตใจ อยากหาใครมาเติมเต็มตัวตนของเรา เป็นเพราะเราไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่พึ่งตัวเอง ไม่ศรัทธาในตัวเอง เราจึงสร้างช่องว่างลวงๆ เพื่อให้ใครเข้ามาอยู่ในช่องว่างนั้น แท้จริงเราก็เอาเขามาเพื่อเสพให้สมใจเรา พอเขาทำไม่ได้ดังใจเรา เขาจากเราไป ช่องนั้นก็ว่าง เราก็เหงาอีก

เราไม่มีวันเติมเต็มความเหงาด้วยสิ่งอื่นนอกจากตัวเราเอง การจะออกจากความเหงาจำเป็นต้องกลับมายึดที่ตัวเองก่อน เอาตัวเองเป็นสรณะก่อน ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเองก่อน เห็นคุณค่าในตัวเองเสียก่อนจึงจะออกจากความเหงาได้ แล้วเมื่อมีอัตตามากๆจึงค่อยล้างอัตตาที่มีทีหลัง เพราะถ้าเราเหยาะแหยะจะไม่สามารถทำลายความพร่องในใจนี้ได้เลย ถมไปก็หาย ถมไปก็ยังว่างเปล่าเหมือนเดิม

4). ไม่เรียกร้องสิ่งใด

ลักษณะที่เห็นได้ชัดของคนที่โสดอย่างเป็นสุข และยินดีจะโสด คือไม่มีการเรียกร้องสิ่งใด ไม่ส่งสัญญาณใดๆ ที่เปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ใดๆต่อไป ไม่เหมือนกับคนโสดทั่วไปที่ยังมีอารมณ์แอบเหงา อยากมีใครสักคน อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า

โดยเฉพาะเรื่องคุณค่าในตนเอง คนที่โสดอย่างเป็นสุขคือคนที่ถมช่องว่างที่เคยเว้นไว้ให้คนอื่นเข้ามาด้วยคุณค่าในตนเอง ดังนั้นจึงไม่คิดจะเรียกร้องให้ใครมาเห็นคุณค่าใดๆ เพราะรู้ว่าตนเองนั้นมีคุณค่าเช่นไร คนที่รู้ค่าในตนอย่างแท้จริงจะไม่ต้องการเรียกร้องให้ใครมายืนยันคุณค่าหรือเห็นคุณค่าใดๆ

คนที่ยังเรียกร้องความสนใจ เรียกร้องบางสิ่งอยู่คือคนที่ต้องการสิ่งเหล่านั้นมาเติมเต็มใจที่พร่อง เพราะขาดจึงต้องเติม เขาเหล่านั้นจึงต้องแสวงหาสิ่งภายนอกมาเติมเต็มตัวเองตลอดเวลาอย่างไม่จบไม่สิ้น

5). เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

เมื่อเราพากเพียรปฏิบัติจนสามารถล้างกิเลสในเรื่องความอยากมีคู่ได้หมดแล้ว จะพบว่าความโสดนี่เองคือสมบัติแท้ที่ตามหามานาน มันอยู่คู่กับเรามานานแล้วแต่เราไม่เคยเห็นค่าของมัน เพราะกิเลสมันบังเอาไว้ บังให้เราไม่เห็นของดีใกล้ตัว บังให้เราเห็นดอกบัวเป็นกงจักร ให้เราไปหาภาระ ไปหาทุกข์มาใส่ตัว โดยเอาสุขลวงมาล่อให้สร้างวิบากกรรมชั่วให้ตัวเอง

ความโสด นั้นเป็นสิ่งที่จะเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เป็นสมบัติที่ไม่มีสิ่งใดควรค่าที่จะแลก ไม่ว่าจะมีเงินทองกองไว้มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะมีคนมาคอยดูแลเอาใจ ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะงดงามเพียงใด และไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะเป็นคู่รัก คนรัก คนที่เคยรัก คนที่หลงรักมากมายสักเพียงไหน ก็ไม่สามารถที่จะแลกความโสดนี้ไปได้

เราไม่สามารถวัดคุณค่าของความโสดได้จากการเปรียบเทียบกับสิ่งใดทั้งสิ้น การได้โสดอย่างเป็นสุขนั้นมีค่ามากมายมหาศาล เป็นบรมสุข ถ้าเอาตามภาษาให้มันถึงใจก็ต้องบอกว่า “โคตรพ่อโคตรแม่สุข” ที่มันสุขเพราะไม่ต้องไปแบกทุกข์ให้มันลำบากตัวเองอีกต่อไป

ในทางเดียวกันคนที่โสดอย่างเป็นสุขก็จะหวงความโสด ไม่ยอมให้ใครพรากความโสดนี้ไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีคลุมถุงชน หรืออื่นๆก็จะพยายามใช้ปัญญาเพื่อหลีกหนีออกจากสภาพนั้นเพราะรู้ดีในใจว่าสุขที่มากกว่าโสดไม่มีอีกแล้ว

6). เป็นไปเพื่อกุศลเพียงอย่างเดียว

ความโสดอย่างเป็นสุขนั้นจะเกิดขึ้นจากจิตอันเป็นกุศลฝ่ายเดียว คือเกิดความดีอย่างเดียว เป็นไปในทิศทางบวกทางเดียว จะไม่หลงไปในทางอกุศล ไม่ใช่โสดเพื่อเสพอะไรบางอย่าง แต่เป็นโสดเพื่อสละความอยากในการเสพ

หากความโสดนั้นเป็นไปเพื่ออกุศล ยังมีความชั่วปนอยู่ ยังทำผิดศีลบางอย่างอยู่ ก็อาจจะยังเป็นความโสดที่ขาดๆเกินๆ ยังพร่องอยู่นั่นเอง ต่างจากความโสดที่เป็นไปเพื่อกุศล โสดอย่างเป็นสุข ความโสดนั้นเต็มไม่มีพร่องไม่มีขาด จึงไม่ต้องทำความชั่วหรืออกุศลใดๆ ไม่ให้ตัวเองได้เสพสุขตามกิเลสจนเกิดอกุศล

แม้จะมีความเต็มแต่ก็ยังทำความดีต่อ ทำกุศลต่อ สิ่งที่ดีเหล่านั้นก็จะเริ่มล้นออกจากตัว เป็นคลื่นของความดี เป็นกระแสแห่งกุศลที่กระจายออกไป คนที่โสดอย่างเป็นสุขนี้เองคือคนที่จะทำให้สังคมและคนรอบข้างดีขึ้นเรื่อยๆตามบุญบารมีที่เขาพอจะทำได้

7). ความรักแท้

ความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวคนที่ยินดีจะโสดนั้นคือเป็นคนที่ไม่มีความรัก ซึ่งก็อาจจะมีอยู่จริงๆในคนโสดประเภทที่ชังความรัก แต่คนที่โสดอย่างเป็นสุข โสดจากการทำลายกิเลสจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะนอกจากความรักนั้นจะไม่ถูกทำลายแล้ว รักที่มีนั้นจะเพิ่มความบริสุทธิ์ขึ้นไปอีก

เพราะทำลายความหลงสุขในความรักได้จนหมดสิ้น จึงสามารถแยกรักและหลงออกได้ทั้งหมดอย่างชัดเจน เมื่อสกัดความหลงซึ่งเป็นเชื้อร้ายแห่งทุกข์ออกก็จะเหลือความรักแท้ เป็นความบริสุทธิ์แท้ๆ ที่ไม่มีกิเลสปน

เป็นความรักที่มีประสิทธิภาพกว่าใครๆ เหนือกว่ารักของพ่อแม่ เหนือกว่ารักญาติ รักชุมชม รักสังคม รักประเทศ รักโลก และแน่นอนว่าเหนือกว่ารักตัวเองแบบเห็นแก่ตัวเพราะจะมีแต่ความเสียสละ เข้าอกเข้าใจ เห็นจริงรู้จริงทั้งในรูปธรรมและนามธรรมของความรัก

ความรักที่ไม่มีกิเลสนี้ จะรักคนอื่นไปพร้อมๆกับรักตัวเอง เพราะรักตัวเองก็เลยรักคนอื่น เพราะรักคนอื่นก็เลยรักตนเอง จึงมีความรักแท้ให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ

8.) เมตตาที่กว้างไกลกว่า

เมื่อมีความรักที่ไม่มีกิเลสปนแม้แต่น้อย หรือที่เรียกกันว่า “ความรักแท้” ก็สามารถที่จะเมตตาได้มากกว่าเดิม เพราะไม่เอาอะไรมาเสพเพื่อตัวเองแล้ว ไม่ทำกิจกรรมใดๆเพราะอยากจะได้รัก หรือได้รับความสนใจ ดังนั้นจึงกลายเป็นชีวิตที่มีประสิทธิภาพที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นมากขึ้น

เพราะรักที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนั้น จึงสามารถแผ่ความรัก ความเมตตา ความเห็นใจ ความเข้าใจ ออกไปได้กว้างไกลกว่าเดิม

ความรักจะเหลือแต่อารมณ์ของการให้ ไม่ได้ยึดบุคคล เรา เขา สิ่งของหรือเหตุการณ์ใดๆเป็นที่ตั้ง จึงทำให้ไม่มีเงื่อนไขใดๆในการเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความเป็นพรหมอยู่ในตัวอย่างแท้จริง

เมื่อเมตตาได้อย่างไม่มีข้อจำกัดก็จะสามารถสร้างกุศล สร้างความสุขให้กับตัวเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน ความสุขที่ได้รับนั้นแตกต่างจากสุขจากการเสพ แต่เป็นสุขจากความเจริญที่เกิดขึ้นในจิตใจ

เมตตาที่กว้างไกลนั้น เป็นไปเพื่อกุศล ลดการสร้างอกุศล คือทำแต่ความดี ความชั่วและบาปจะไม่ทำเลย เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเพราะทำไปก็ไม่เกิดกุศล ไม่เกิดผลดี ถ้าเป็นเมตตาที่ดูเหมือนจะดีแต่ให้ผลร้ายก็จะไม่ทำ เพราะรู้ชัดเจนว่าผลเหล่านั้นจะนำมาซึ่งทุกข์

นั่นหมายถึงเมตตาที่มีนั้นประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเมตตาแบบศรัทธาที่ให้แบบไม่รู้คุณรู้โทษ ไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก ไม่รู้เหตุไม่รู้ผล ไม่รู้นามรูป ซึ่งเมตตาแบบนั้นยังไม่ใช่เมตตาที่ถูกทางพุทธ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

9). รักข้ามภพข้ามชาติ

และความรักที่เกิดจากการโสดอย่างเป็นสุขนี้เองคือรักที่ยั่งยืน ไม่ผันแปร เพราะไม่ได้มีกิเลสมาเป็นแรงผลักดันอีกต่อไป มีแต่ความเมตตาล้วนๆมาเป็นตัวผลัก ดังนั้นความรักของคนโสดจึงยั่งยืนที่สุดในโลก ยั่งยืนขนาดข้ามภพข้ามชาติ

ยินดีที่จะเป็นผู้ให้ฝ่ายเดียว โดยไม่ต้องการรับอะไรมาตอบแทนเพื่อตนเองหวังดีกับผู้อื่นอยู่เสมอ และความหวังดีนั้นไม่มีขอบเขตของเวลามาเป็นตัวกำหนดจะชาตินี้หรือชาติไหนๆก็ยังหวังดีและยินดีที่จะให้อยู่เหมือนเดิม เกิดมากี่ชาติๆก็ยังให้อยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีโอกาสให้ได้เพียงเล็กน้อยก็จะอดทน รอคอยที่จะให้สิ่งดีอยู่เสมอ ไม่คิดโกรธหรือโทษใครที่เขาไม่ยินดีที่จะรับสิ่งดีนั้น เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าการล้างกิเลสนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ จึงให้อภัยกับทุกคนที่หลงผิดได้เสมอ

ความรักที่ยิ่งใหญ่จนข้ามภพข้ามชาตินี้ ไม่สามารถเกิดได้หากเรายังเห็นแก่ตัว ยังหาผู้คน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ใดมาเสพเพื่อให้ตัวเองได้สุขจากความรักอยู่ หรือการมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจนไม่กล้าที่จะมอบความรักความเมตตาให้กับใคร สภาวะเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ไม่ไหลไปกับโลก ทวนกระแสโลก จะเกิดขึ้นได้จากการเพียรอย่างถูกทางพ้นทุกข์เท่านั้น

สภาวธรรม หรือสภาพจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมจนเกิดสภาพ “โสดอย่างเป็นสุข” นี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอา คาดคะเนเอา เดาเอาได้ การจะเข้าถึงหรือเข้าใจสภาวะเหล่านี้ต้องเพียรปฏิบัติด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จนสำเร็จมรรคผลในเรื่องของความรักจนเกิดความกระจ่างแจ้งในตนว่าโสดอย่างเป็นสุขนั้นสุขอย่างไร ดังที่ได้แจงมาทั้งหมด 9 ข้อนั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

3.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

แฟนคนไหนดี

November 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,290 views 0

แฟนคนไหนดี

แฟนคนไหนดี

แฟนในอดีตก็ผ่านไปแล้ว แฟนในอนาคตก็ยังไม่มาสักที แฟนในปัจจุบันก็ดูจะไม่ไหว หรือจริงๆแล้วไม่มีแฟนจะดีกว่า?

เรื่องของการมีคู่เป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่วนเวียนกันไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหนึ่งคนไปสองคน จากสองเพิ่มใครก็ไม่รู้มาเป็นสาม หรือจากสองลดลงมาเหลือหนึ่งก็มักจะมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นกับใครสักคนเสมอ

ก็คงจะดีหากชีวิตของเราสามารถหยุดที่ใครคนใดคนหนึ่งได้จริงๆ ได้มาเสพสมใจแล้วไม่อยากได้เพิ่มอีก สนองกิเลสแล้วกิเลสลดจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะดี แต่ความจริงแล้วเมื่อคนอยากได้อยากมีมาก พอได้เสพสมใจก็จะยิ่งอยากได้เสพสิ่งที่คิดว่าดีว่าเลิศขึ้นไปอีก จึงนำมาสู่การมีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตและนำมาสู่การเลิกรา

ในบทความนี้ก็จะพูดถึงแฟนที่อยู่คนละช่วงเวลา คือแฟนในอดีต แฟนในอนาคต และแฟนในปัจจุบัน โดยจะขยายเป็นข้อๆให้ได้พิจารณากันว่า…แฟนคนไหนดี

….แฟนในอดีต

คือคนที่ได้พรากจากไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะจากไป คำว่าอดีตนั้นคือสภาพที่ความรัก ความสมใจ ความชอบใจเดิมๆนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จางคลายไปแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการเลิกรากันหรือการอยู่ร่วมกันในสภาพที่รักเดิมนั้นได้ตายจากไป

คนที่ถูกพรากออกจากแฟนเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะเสียไป ก็ต้องทุกข์ ทรมาน คร่ำครวญ โศกเศร้า เรียกร้องหวังจะให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนดังเดิม โดยไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่ากรรมได้พรากสิ่งที่เขาหรือเธอรักและหวงแหนไปแล้ว เมื่อไม่ทำความเข้าใจก็จะวนอยู่กับทุกข์ อยู่กับฝันในวันวาน อยู่กับอดีตที่คอยหลอกหลอน อยู่กับความรักที่ไม่มีวันกลับมา วนเวียนอยู่เช่นนั้น

ส่วนคนที่ความรักได้พรากจากไป แม้ว่าตัวคู่ครองจะยังคงอยู่ ยังใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ แต่ความรักที่เคยได้เสพสมใจกลับไม่มีเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับเสื่อม จางคลาย และหายไปคนที่ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถมีอะไรคงอยู่ได้แม้แต่ความรักที่เขาเคยให้สัญญาว่าเป็นนิรันดร์และมั่นคงเพียงใด เมื่อไม่เข้าใจก็จะทุกข์ อึดอัดขัดข้องใจกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เสพความรักความอบอุ่นใจดังที่เคยได้รับจึงเกิดเป็นสภาพอยู่ไปทั้งรักทั้งทุกข์ใจ

แม้ว่าเราจะหวังจะพยายามทำให้แฟนในอดีตกลับมาเป็นเหมือนเดิมดังใจเรา หรือถึงแม้จะพยายามจนทำให้กลับมาคู่กันได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิม สภาพเดิมที่เคยสุขสมใจจะไม่เป็นเหมือนเดิมจะเกิดก็เพียงแค่สุขจากการได้เสพอาการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่นานมันก็จะค่อยๆจาง ค่อยๆจาก ค่อยๆพรากไปเหมือนเดิม

การมัวแต่คิดถึงแฟนเก่านั้นเหมือนกับคนเสียดายของ เสียดายสิ่งที่เคยมี เป็นคนยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยมี จมอยู่กับอดีต เสพสุขอยู่กับการเฝ้าฝันถึงวันดีๆในอดีต ไม่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ต้องทนทุกข์กับสิ่งลวงที่ใจตัวเองสร้างขึ้น เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้ว ความรักนั้นได้จบไปแล้ว ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่จมอยู่กับอดีตไม่มีวันที่จะพบกับความสุขแท้ ดังนั้นแฟนในอดีต ไม่มีทางเป็นตัวเลือกที่ดีได้เลย สิ่งใดที่เสียไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันจากไปตามทางของมัน ไม่ต้องไปยื้อไปรั้งจนทุกข์ เพราะถึงที่สุดแล้วหากสิ่งนั้นจะเป็นของจริง มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องพยายามจนต้องทนทุกข์ ลำบากลำบนใดๆให้มากมาย

….แฟนในอนาคต

คือคนที่ยังไม่มาถึง เป็นคนที่เฝ้าฝัน เฝ้าพยายาม ไม่ว่าจะพยายามมองหาหรือพยายามไขว่คว้ามาครอบครอง เป็นแฟนที่ไม่มีจริง ไม่อยู่ในสภาพแฟนมีอยู่แค่ในความฝัน

คนที่ยังไม่มาถึงนั้น หลายคนคงจะหวังว่าเนื้อคู่ของฉันอยู่ไหน เนื้อคู่ของฉันคือใคร จะเจอได้อย่างไร เฝ้าฝันถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงในโลก อยู่แค่ในจินตนาการ เสพสุขไปกับการปล่อยใจล่องลอยไปในอนาคตที่ไร้ขอบเขต พร้อมๆกับความทุกข์ในจิตใจจากความโหยหา อยากได้ อยากมี อยากครอบครอง อิจฉาคนอื่น ฯลฯ

ส่วนคนที่กำลังพยายามไขว่คว้ามาครอบครองนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เช่น การปรนเปรอด้วยคำหวาน คำสัญญา ด้วยทรัพย์ ด้วยความมั่นคงในชีวิต ด้วยชื่อเสียง ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้วยความสุขลวงๆตามแต่จะสรรหามาปรุงแต่งให้คนในอนาคตนั้นกลายมาเป็นคนในปัจจุบันของเราให้ได้ พยายามทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “แฟน” ในปัจจุบันให้ได้

ถ้าโชคร้ายก็จะไม่ได้เสพสมใจในสิ่งใดตามที่ใจหวัง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่อนาคตที่วาดฝันไว้ก็กลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล ยิ่งพยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งไกลออกไป เหมือนกับว่าแฟนในอนาคตเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีจริง จึงเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่มีค่า ไม่มีราคา มีแต่ขาดทุน

แต่ถ้าโชคร้ายกว่าก็จะได้คนในอนาคตมาเป็นปัจจุบันได้จริงๆ แต่คนที่เราต้องพยายามไขว่คว้ามาด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญและสุขลวงๆนั้นดีจริงแล้วหรือ? เรากำลังเอาอะไรไปแลกกับอะไรมา? เอากิเลสเราไปล่อกิเลสเขาแล้วจะได้สิ่งที่ดีมาจริงหรือ?

สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเนื้อคู่ หรือเจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามาให้ลำบาก ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแล้วเขาก็จะมาเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน หนีให้ทันก็แล้วกันเพราะว่าไล่ก็ไม่ไป สะบัดก็ไม่หลุด แถมตัวเรายังจะไปหลงกับเขาอีก แม้คนอื่นจะว่าไม่ดีเพียงไรเราก็ยังจะหลงงมงายใครเตือนก็จะไม่ฟังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ดังคำว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” นั่นแหละนะ

การเฝ้าฝันในอนาคตนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เราพบกับความสุขแท้ได้ เพราะถึงแม้จะฝันไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงอยู่ดี ความจริงที่ว่าวันนี้ยังไม่มีใคร วันนี้เรายังโดดเดี่ยว ซึ่งก็จะทำให้ทุกข์จากความเหงาที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั่นเอง

….แฟนในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือแฟนในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะเป็นคนที่เราสามารถทำสิ่งดีให้เกิดดี หรือทำสิ่งร้ายให้เกิดร้ายจนเห็นผลทันตาได้

แม้ว่าบางครั้งในบางคน อาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นเพราะจมอยู่กับอดีตว่าทุกสิ่งจะต้องดีเหมือนดังเช่นวันเก่า หรือคิดฝันไปในอนาคตว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทำให้ไม่อยู่กับปัจจุบัน พอคนที่อยู่กับปัจจุบันแต่ไม่ทำใจให้ยอมรับว่าปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง เป็นของจริง ก็จะต้องอกหักอกพังกับความทรงจำในอดีตและความคาดหวังในอนาคตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องคู่ครองก็คงไม่มีคำถามในเรื่องที่ว่า แฟนคนไหนดี แต่โดยมากและทั้งหมด เมื่อมีคนมากกว่าหนึ่งคนยังไงก็ต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกิดขึ้น ความเห็นต่างนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้คนทะเลาะกัน

ความสัมพันธ์ของแฟนคนปัจจุบันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเรา ถ้าเราเป็นคนดีพากันทำดี ไม่ส่งเสริมกิเลส ไม่ส่งเสริมการเสพการติดการยึด ความสัมพันธ์ก็จะเป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลาย เบาสบาย

แต่ถ้าความสัมพันธ์ใดเป็นไปอย่างหม่นหมอง ตรอมตรม อึดอัด กดดัน คาดหวัง บีบคั้น นั้นก็มาจากเราเองที่พากันทำสิ่งไม่ดี พากันส่งเสริมกิเลส พอคนกิเลสหนาสองคนมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งเอาแต่ใจ ก็จะยิ่งทุกข์

ปัจจุบันเป็นตัวบอกได้ว่าความจริงในขณะนี้ ตัวเราดีแค่ไหน ดีพอหรือยัง มีอะไรที่บกพร่องหรือควรแก้ไขอีกบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน แต่คนที่ใช่ก็จะกลายมาเป็นปัจจุบันของเราอยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด สิ่งที่เป็นอดีตก็ปล่อยให้เลยผ่านไป ส่วนสิ่งที่ยังไม่มาถึงในอนาคตก็อย่าไปคิดเพ้อฝันไปไกล ปัจจุบันนี้เองคือโอกาสที่จะสร้างอดีตที่และอนาคตที่ดีในเวลาเดียวกัน

….ปัจจุบันแฟนไม่มี

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่าตัวเองยังไม่มีแฟน นั่นคือเราโชคดีที่สุดในโลกแล้ว !!

อ่านแล้วคงจะงงกันไม่น้อย เพราะในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการมีแฟน การมีคู่ การได้แต่งงานคือความสมบูรณ์แบบในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วความสุขที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดจากการไม่มีคู่ ไม่ต้องมีแฟน ไม่ต้องดูแลใคร ไม่ต้องมาคอยเอาใจ คอยดูแล คอยทะเลาะ คอยระแวงระวัง หรือคอย…อะไรต่อมิอะไรกันอีกมากมาย

ในขณะที่หลายคนพากันหาความสุขในชีวิตที่เรียกกันว่าแฟน กลับมีคนไม่น้อยที่อยู่ในสภาพคนในอยากออก แต่ก็มีคนนอกที่อยากเข้ามาเรื่อยๆ นรกคนคู่นี้ไม่เคยว่างจากคนทุกข์ ยังมีคนอีกมากที่แสวงหาสุขจากการมีคู่ครองโดยไม่รู้ว่ามันคือสุขลวง มันคือสิ่งลวง มันคือรักลวงๆ

เพราะความรักที่แท้จริงนั้น จะไม่คาดหวังที่จะได้รับสิ่งใดจากคนที่เรารักเลย เรายินดีที่จะให้ได้มากเท่าที่จะเกิดกุศล แต่จะไม่รู้สึกว่าต้องการรับสิ่งใดแม้แต่การได้รับรักกลับมา การได้รับการยอมรับ การได้รับคำขอบคุณ การได้รับคุณค่า การได้รับโอกาสในการอยู่ร่วมกัน ความรักที่แท้ไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไรก็ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องทำร้ายกันด้วยวิบากกรรมอันจะส่งผลซึ่งกันและกัน

หลายคนอาจจะมองในแง่ดีว่า ก็มีคู่แล้วพาเจริญไปด้วยกันไม่ได้หรือไง? ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสมันก็พอจะได้อยู่ แต่มันก็ทุกข์อยู่ เพราะต้องมาแบกกิเลสของทั้งคู่ครองและตัวเอง ดีไม่ดีจะต้องแบกของคู่มากกว่าตัวเองเสียอีก ในบางครั้งเราอาจจะเจริญทางธรรมแต่คู่ครองไม่เจริญตามด้วยก็เหมือนเทวดากับมารอยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามเพียงแค่เราเห็นว่าคนที่เราคิดว่าดีได้ครองคู่กัน มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของละครกรรมบทใหม่เท่านั้นเอง และมันจะต้องเล่นละครครอบครัวเรื่องนี้ไปจนกว่าจะหน่ายคลายจากกิเลสนี้ เล่นไปทุกชาติ ทุกภพ ตลอดกาล ทุกข์ปนสุข และทุกข์สุดทุกข์อยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งวันหนึ่งทุกข์เกินทนจากการมีคู่ ก็จะเลิกอยากมีคู่เองอยู่ดีนั่นล่ะนะ

คนที่ยินดีครอบครองความโสดด้วยใจที่เป็นสุขนั้น คือคนที่มองเห็นโทษภัยของการมีแฟน หรือการมีคู่ครอง สามีภรรยา ว่าเป็นตัวทุกข์อย่างแน่แท้ จึงจะสามารถถอนตัวออกจากนรกที่ชื่อว่า “ครอบครัว” ได้อย่างถาวร

ดังนั้นหากเรายังเป็นโสดอยู่ ยังคงเป็นคนที่ไม่มีแฟน ไม่มีเครื่องผูกมัด ก็อย่าไปวิ่งหาให้มันลำบากเลย เพราะถึงเวลาเดี๋ยวก็จะมาเอง เรื่องคนคู่นั้นไม่ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม กรรมจะเป็นตัวชักนำให้เราเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน อาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้ สิ่งร้ายก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เราเจอนั่นแหละคือสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว

ส่วนคนที่ยังยินดีที่จะยอมรับทุกข์ เพื่อเสพสุขลวงๆ ก็ขอให้พิจารณาเลือกให้ดี เลือกคนที่มีศีลมีธรรมอย่างน้อยๆก็ศีล ๕ สามารถลดกิเลส ทำลายกิเลสเป็น ก็ยังพออยู่ในขีดที่เรียกได้ว่าเป็นทุกข์น้อยกว่าชาวบ้าน แต่ก็ยังถือว่าทุกข์มากอยู่ดีนั่นเอง

….ทำไมเราถึงอยากมีแฟน

จริงๆแล้วการที่เราอยากจะมีใครสักคนนั้น…ถ้าไม่นับเรื่องหยาบๆ แบบเรื่องกามเมถุน สมสู่คนคู่ เหตุจากการอยากมีใครสักคนนั้นเกิดจากความเหงา

ความเหงาทำให้เราอยากหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ มาใช้เวลาร่วมกัน คอยเป็นเพื่อน คอยเป็นที่ปรึกษา จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการแฟนหรอก เราเพียงต้องการใครสักคนที่เราคิดว่าจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้ตลอดไปเท่านั้นเอง

เมื่อเราไม่พึ่งตัวเอง แต่เอาคนอื่นเป็นที่พึ่งเราก็จะเหงา และหาใครสักคนมาเติมเต็มความเหงานั้น รากของความเหงาหรือเหตุของความเหงานั้นเกิดจากการที่เราต้องการมีตัวตน จริงๆแล้วเราต้องการให้ใครสักคนได้รับรู้ว่ามีเราอยู่ในโลกนี้ ต้องการให้ใครสักคนยอมรับในสิ่งที่เราทำ เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น รู้ใจเรา เป็นตัวตนของตน…..ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นการมีแฟน มีคู่ครองเพื่อดับความเหงาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันจะสามารถบรรเทาได้ชั่วครู่เท่านั้น แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครที่ไม่จากพรากสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ว่าเขาจะยังอยู่ แต่ความเป็นเขาอาจจะไม่ได้อยู่เหมือนกับในวันที่เราได้หมายมั่นให้สัญญากันไว้ก็ได้

เมื่อเราเห็นดังนี้ว่าเหตุแห่งความเหงานี้เอง คือตัวผลักดันให้เราหาใครสักคนมาทำให้ชีวิตของเราวุ่นวายโดยที่เราเรียกมันว่าความสุขหรือความธรรมดาในชีวิตคู่ ทั้งที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตเลย เมื่อเห็นต้นเหตุของปัญหาดังนั้นก็ให้พิจารณาลงไปถึงทุกข์ โทษ ภัยของสิ่งที่เรายังหลงติดยังหลงยึดอยู่ เปลี่ยนหลักยึดจากยึดอัตตา ตัวตน ตัวกูของกู เป็นยึดอาศัยพระรัตนตรัยไปก่อน ยึดสามสิ่งนี้เป็นสรณะไปก่อน วันใดที่สามารถพ้นจากความเหงา ความอยากมีตัวตน ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวได้ในแนวทางของการ “โสดอย่างเป็นสุข

….อย่ากลัวการที่จะแก่ไปคนเดียว

คนโสดมักจะกลัวการที่จะต้องแก่ไปอย่างเดียวดาย ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่คนที่มีคู่ก็สามารถแก่ไปอย่างเดียวดายได้ แม้จะมีคู่ เขาก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนเรา แม้จะมีลูกหลาน เขาก็ไม่อยู่ดูแลเรา แม้จะมีเพื่อนมากมาย เขาก็ไม่มาอยู่ร่วมกับเราเราจึงได้เห็นว่าแม้จะมีก็เหมือนไม่มี ถึงมีอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่ได้หมายความว่าการมีคู่ครอง การมีครอบครัว การมีลูกหลาน การมีคนรู้จักมากจะเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เดียวดายในตอนแก่

หลักประกันเดียวที่จะทำให้เราไม่แก่ไปคนเดียว ไม่อยู่อย่างเดียวดายนั่นก็คือ “ความมีน้ำใจ” มีจิตอาสา ช่วยเกื้อกูลดูแลคนในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม เมื่อเราดูแลคนอื่น คนอื่นก็จะดูแลเรา การที่เราหวังหาใครสักคนมาดูแลเราโดยใช้คำว่าคู่ คำว่าลูก คำว่าเพื่อน หรือแม้แต่ลูกจ้างก็ตาม จะเป็นความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงเลยหากเราไม่ลงมือดูแลเขาก่อน

คนโสดก็เช่นกัน หากไม่มีคู่ครอง ไม่มีลูก ก็สามารถดูแลลูกพี่ลูกน้อง ดูแลญาติ ดูแลชุมชน ดูแลสังคมได้ เมื่อเราทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำตัวเป็นผู้ให้และให้อย่างไม่คิดจะรับอะไร เมื่อนั้นแหละเราจะกลายเป็นผู้รับ รับกรรมดีที่เราทำมา กินใช้และอาศัยกรรมของเราเลี้ยงตัวเราเองไปจนจบชีวิตได้แบบอย่างมีคุณค่าได้เลย

ความเหงาก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดความกลัวในเรื่องนี้เช่นกัน กลัวจะเหงาคนเดียวตอนแก่ …จริงๆมันก็เหงาตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ ถ้าทำลายความเหงาตั้งแต่ตอนนี้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวไปเหงาตอนแก่แล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

17.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์