Tag: จิตอาสา

จิตอาสา

December 15, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,633 views 0

จิตอาสา

จิตอาสา

ถ้าใครได้ไปสนามหลวงในตอนนี้ ก็จะมีโอกาสได้พบกับจิตอาสามากหน้าหลายตา เป็นเด็กน้อยบ้าง เป็นเด็กนักเรียนบ้าง เป็นวัยรุ่นบ้าง เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนบ้าง เป็นคนเฒ่าคนแก่บ้าง เรียกว่ามีจิตอาสาครบทุกวัยทุกฐานะ

ผมเองก็สงสัยมาสักพักว่าเขาจัดการกันอย่างไร จึงสามารถเอื้อให้คนมาบำเพ็ญคุณงามความดีกันได้หลากหลายถึงเพียงนี้ พอนึกขึ้นได้ก็ลองเดินเข้าไปดูที่ศูนย์ประสานงานอาสาสมัคร ในหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าเขามีอะไรให้ทำบ้าง

พอเข้าไปก็พบว่า เขามีรายละเอียด มีขั้นตอน มีการอบรม แถมช่วยจัดทีมให้ด้วย ในเวลาทำงานอาสาสมัครที่ค่อนข้างเหมาะสม คือประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งทั้งงานและเวลาที่เขาได้ออกแบบมานั้น เหมาะกับผู้ที่จะมาเป็นจิตอาสาใหม่ ๆ

ผมคิดว่าถ้าคนมาใหม่ อยากจะทำความดี แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ที่นี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะมีงานหลากหลาย และงานไม่ยาก แค่เดินเข้าไปสมัครเดี๋ยวเขาก็จัดแจงให้เสร็จสรรพ ขอแค่มีแรงใจแรงกาย เดี๋ยวก็จะได้รับงานที่เหมาะสมเอง

การมาทำงานอาสาสมัคร หรือจิตอาสานั้น ผมถือว่าเป็นงานที่ทำได้ยาก เพราะทำไปแล้วไม่ได้อะไรนอกจากผลดี แถมยังต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียแรงมาทำอีก ซึ่งตรงนี้แหละที่จะวัดภูมิคนว่าจิตนั้นเจริญถึงขั้นที่จะเสียสละได้ไหม เหตุการณ์นี้สำคัญพอจะเปลี่ยนแปลงตัวเราจากคนที่ไม่เคยเอาภาระสังคม ไม่เคยเสียสละ ให้เปลี่ยนมาเป็นจิตอาสาได้หรือไม่

การเป็นจิตอาสานั้นไม่เหมือนจ่ายภาษี ภาษีนั้นเป็นการบังคับจ่าย เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเขาตั้งกฎว่าไม่จ่ายก็ไม่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม คนส่วนมากก็คงเลือกที่จะไม่จ่ายกัน แต่จิตอาสานี่ใครมาบังคับไม่ได้นะ ตัวเองต้องเป็นเอง เป็นความดีที่จะต้องลุกขึ้นมาทำเอง เห็นประโยชน์เอง ซึ่งอาจจะมีบ้างที่มีคนบังคับมา แต่เขาจะทำงานนั้นได้ไม่นานและไม่มีความสุขกับงานอาสา นั่นเพราะจิตเขาไม่ได้อาสามาทำ เขาโดนบังคับมา ดังนั้นคนที่มี “จิต” ที่จะอาสาเพื่อสังคมนี่แหละ เป็นคนที่หาได้ยาก เป็นประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรม เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

แฟนคนไหนดี

November 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,280 views 0

แฟนคนไหนดี

แฟนคนไหนดี

แฟนในอดีตก็ผ่านไปแล้ว แฟนในอนาคตก็ยังไม่มาสักที แฟนในปัจจุบันก็ดูจะไม่ไหว หรือจริงๆแล้วไม่มีแฟนจะดีกว่า?

เรื่องของการมีคู่เป็นหนึ่งในปัญหาโลกแตกที่วนเวียนกันไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหนึ่งคนไปสองคน จากสองเพิ่มใครก็ไม่รู้มาเป็นสาม หรือจากสองลดลงมาเหลือหนึ่งก็มักจะมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นกับใครสักคนเสมอ

ก็คงจะดีหากชีวิตของเราสามารถหยุดที่ใครคนใดคนหนึ่งได้จริงๆ ได้มาเสพสมใจแล้วไม่อยากได้เพิ่มอีก สนองกิเลสแล้วกิเลสลดจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะดี แต่ความจริงแล้วเมื่อคนอยากได้อยากมีมาก พอได้เสพสมใจก็จะยิ่งอยากได้เสพสิ่งที่คิดว่าดีว่าเลิศขึ้นไปอีก จึงนำมาสู่การมีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตและนำมาสู่การเลิกรา

ในบทความนี้ก็จะพูดถึงแฟนที่อยู่คนละช่วงเวลา คือแฟนในอดีต แฟนในอนาคต และแฟนในปัจจุบัน โดยจะขยายเป็นข้อๆให้ได้พิจารณากันว่า…แฟนคนไหนดี

….แฟนในอดีต

คือคนที่ได้พรากจากไปแล้ว หรือคนที่กำลังจะจากไป คำว่าอดีตนั้นคือสภาพที่ความรัก ความสมใจ ความชอบใจเดิมๆนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จางคลายไปแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการเลิกรากันหรือการอยู่ร่วมกันในสภาพที่รักเดิมนั้นได้ตายจากไป

คนที่ถูกพรากออกจากแฟนเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะเสียไป ก็ต้องทุกข์ ทรมาน คร่ำครวญ โศกเศร้า เรียกร้องหวังจะให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนดังเดิม โดยไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่ากรรมได้พรากสิ่งที่เขาหรือเธอรักและหวงแหนไปแล้ว เมื่อไม่ทำความเข้าใจก็จะวนอยู่กับทุกข์ อยู่กับฝันในวันวาน อยู่กับอดีตที่คอยหลอกหลอน อยู่กับความรักที่ไม่มีวันกลับมา วนเวียนอยู่เช่นนั้น

ส่วนคนที่ความรักได้พรากจากไป แม้ว่าตัวคู่ครองจะยังคงอยู่ ยังใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ แต่ความรักที่เคยได้เสพสมใจกลับไม่มีเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับเสื่อม จางคลาย และหายไปคนที่ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถมีอะไรคงอยู่ได้แม้แต่ความรักที่เขาเคยให้สัญญาว่าเป็นนิรันดร์และมั่นคงเพียงใด เมื่อไม่เข้าใจก็จะทุกข์ อึดอัดขัดข้องใจกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เสพความรักความอบอุ่นใจดังที่เคยได้รับจึงเกิดเป็นสภาพอยู่ไปทั้งรักทั้งทุกข์ใจ

แม้ว่าเราจะหวังจะพยายามทำให้แฟนในอดีตกลับมาเป็นเหมือนเดิมดังใจเรา หรือถึงแม้จะพยายามจนทำให้กลับมาคู่กันได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิม สภาพเดิมที่เคยสุขสมใจจะไม่เป็นเหมือนเดิมจะเกิดก็เพียงแค่สุขจากการได้เสพอาการกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่นานมันก็จะค่อยๆจาง ค่อยๆจาก ค่อยๆพรากไปเหมือนเดิม

การมัวแต่คิดถึงแฟนเก่านั้นเหมือนกับคนเสียดายของ เสียดายสิ่งที่เคยมี เป็นคนยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยมี จมอยู่กับอดีต เสพสุขอยู่กับการเฝ้าฝันถึงวันดีๆในอดีต ไม่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ต้องทนทุกข์กับสิ่งลวงที่ใจตัวเองสร้างขึ้น เพราะอดีตได้ผ่านไปแล้ว ความรักนั้นได้จบไปแล้ว ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่จมอยู่กับอดีตไม่มีวันที่จะพบกับความสุขแท้ ดังนั้นแฟนในอดีต ไม่มีทางเป็นตัวเลือกที่ดีได้เลย สิ่งใดที่เสียไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันจากไปตามทางของมัน ไม่ต้องไปยื้อไปรั้งจนทุกข์ เพราะถึงที่สุดแล้วหากสิ่งนั้นจะเป็นของจริง มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องพยายามจนต้องทนทุกข์ ลำบากลำบนใดๆให้มากมาย

….แฟนในอนาคต

คือคนที่ยังไม่มาถึง เป็นคนที่เฝ้าฝัน เฝ้าพยายาม ไม่ว่าจะพยายามมองหาหรือพยายามไขว่คว้ามาครอบครอง เป็นแฟนที่ไม่มีจริง ไม่อยู่ในสภาพแฟนมีอยู่แค่ในความฝัน

คนที่ยังไม่มาถึงนั้น หลายคนคงจะหวังว่าเนื้อคู่ของฉันอยู่ไหน เนื้อคู่ของฉันคือใคร จะเจอได้อย่างไร เฝ้าฝันถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงในโลก อยู่แค่ในจินตนาการ เสพสุขไปกับการปล่อยใจล่องลอยไปในอนาคตที่ไร้ขอบเขต พร้อมๆกับความทุกข์ในจิตใจจากความโหยหา อยากได้ อยากมี อยากครอบครอง อิจฉาคนอื่น ฯลฯ

ส่วนคนที่กำลังพยายามไขว่คว้ามาครอบครองนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด เช่น การปรนเปรอด้วยคำหวาน คำสัญญา ด้วยทรัพย์ ด้วยความมั่นคงในชีวิต ด้วยชื่อเสียง ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ด้วยความสุขลวงๆตามแต่จะสรรหามาปรุงแต่งให้คนในอนาคตนั้นกลายมาเป็นคนในปัจจุบันของเราให้ได้ พยายามทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “แฟน” ในปัจจุบันให้ได้

ถ้าโชคร้ายก็จะไม่ได้เสพสมใจในสิ่งใดตามที่ใจหวัง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่อนาคตที่วาดฝันไว้ก็กลับเป็นสิ่งที่ห่างไกล ยิ่งพยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งไกลออกไป เหมือนกับว่าแฟนในอนาคตเป็นภาพลวงตาที่ไม่มีจริง จึงเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ไม่มีค่า ไม่มีราคา มีแต่ขาดทุน

แต่ถ้าโชคร้ายกว่าก็จะได้คนในอนาคตมาเป็นปัจจุบันได้จริงๆ แต่คนที่เราต้องพยายามไขว่คว้ามาด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญและสุขลวงๆนั้นดีจริงแล้วหรือ? เรากำลังเอาอะไรไปแลกกับอะไรมา? เอากิเลสเราไปล่อกิเลสเขาแล้วจะได้สิ่งที่ดีมาจริงหรือ?

สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเนื้อคู่ หรือเจ้ากรรมนายเวรนั้น ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามาให้ลำบาก ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแล้วเขาก็จะมาเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน หนีให้ทันก็แล้วกันเพราะว่าไล่ก็ไม่ไป สะบัดก็ไม่หลุด แถมตัวเรายังจะไปหลงกับเขาอีก แม้คนอื่นจะว่าไม่ดีเพียงไรเราก็ยังจะหลงงมงายใครเตือนก็จะไม่ฟังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ดังคำว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” นั่นแหละนะ

การเฝ้าฝันในอนาคตนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เราพบกับความสุขแท้ได้ เพราะถึงแม้จะฝันไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงอยู่ดี ความจริงที่ว่าวันนี้ยังไม่มีใคร วันนี้เรายังโดดเดี่ยว ซึ่งก็จะทำให้ทุกข์จากความเหงาที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั่นเอง

….แฟนในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือแฟนในปัจจุบันนั่นแหละ เพราะเป็นคนที่เราสามารถทำสิ่งดีให้เกิดดี หรือทำสิ่งร้ายให้เกิดร้ายจนเห็นผลทันตาได้

แม้ว่าบางครั้งในบางคน อาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นเพราะจมอยู่กับอดีตว่าทุกสิ่งจะต้องดีเหมือนดังเช่นวันเก่า หรือคิดฝันไปในอนาคตว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ทำให้ไม่อยู่กับปัจจุบัน พอคนที่อยู่กับปัจจุบันแต่ไม่ทำใจให้ยอมรับว่าปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง เป็นของจริง ก็จะต้องอกหักอกพังกับความทรงจำในอดีตและความคาดหวังในอนาคตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องคู่ครองก็คงไม่มีคำถามในเรื่องที่ว่า แฟนคนไหนดี แต่โดยมากและทั้งหมด เมื่อมีคนมากกว่าหนึ่งคนยังไงก็ต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกิดขึ้น ความเห็นต่างนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในการทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้คนทะเลาะกัน

ความสัมพันธ์ของแฟนคนปัจจุบันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยเรา ถ้าเราเป็นคนดีพากันทำดี ไม่ส่งเสริมกิเลส ไม่ส่งเสริมการเสพการติดการยึด ความสัมพันธ์ก็จะเป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลาย เบาสบาย

แต่ถ้าความสัมพันธ์ใดเป็นไปอย่างหม่นหมอง ตรอมตรม อึดอัด กดดัน คาดหวัง บีบคั้น นั้นก็มาจากเราเองที่พากันทำสิ่งไม่ดี พากันส่งเสริมกิเลส พอคนกิเลสหนาสองคนมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งเอาแต่ใจ ก็จะยิ่งทุกข์

ปัจจุบันเป็นตัวบอกได้ว่าความจริงในขณะนี้ ตัวเราดีแค่ไหน ดีพอหรือยัง มีอะไรที่บกพร่องหรือควรแก้ไขอีกบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน แต่คนที่ใช่ก็จะกลายมาเป็นปัจจุบันของเราอยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด สิ่งที่เป็นอดีตก็ปล่อยให้เลยผ่านไป ส่วนสิ่งที่ยังไม่มาถึงในอนาคตก็อย่าไปคิดเพ้อฝันไปไกล ปัจจุบันนี้เองคือโอกาสที่จะสร้างอดีตที่และอนาคตที่ดีในเวลาเดียวกัน

….ปัจจุบันแฟนไม่มี

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วพบว่าตัวเองยังไม่มีแฟน นั่นคือเราโชคดีที่สุดในโลกแล้ว !!

อ่านแล้วคงจะงงกันไม่น้อย เพราะในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าการมีแฟน การมีคู่ การได้แต่งงานคือความสมบูรณ์แบบในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วความสุขที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดจากการไม่มีคู่ ไม่ต้องมีแฟน ไม่ต้องดูแลใคร ไม่ต้องมาคอยเอาใจ คอยดูแล คอยทะเลาะ คอยระแวงระวัง หรือคอย…อะไรต่อมิอะไรกันอีกมากมาย

ในขณะที่หลายคนพากันหาความสุขในชีวิตที่เรียกกันว่าแฟน กลับมีคนไม่น้อยที่อยู่ในสภาพคนในอยากออก แต่ก็มีคนนอกที่อยากเข้ามาเรื่อยๆ นรกคนคู่นี้ไม่เคยว่างจากคนทุกข์ ยังมีคนอีกมากที่แสวงหาสุขจากการมีคู่ครองโดยไม่รู้ว่ามันคือสุขลวง มันคือสิ่งลวง มันคือรักลวงๆ

เพราะความรักที่แท้จริงนั้น จะไม่คาดหวังที่จะได้รับสิ่งใดจากคนที่เรารักเลย เรายินดีที่จะให้ได้มากเท่าที่จะเกิดกุศล แต่จะไม่รู้สึกว่าต้องการรับสิ่งใดแม้แต่การได้รับรักกลับมา การได้รับการยอมรับ การได้รับคำขอบคุณ การได้รับคุณค่า การได้รับโอกาสในการอยู่ร่วมกัน ความรักที่แท้ไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไรก็ไม่ต้องครอบครองอะไร ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องทำร้ายกันด้วยวิบากกรรมอันจะส่งผลซึ่งกันและกัน

หลายคนอาจจะมองในแง่ดีว่า ก็มีคู่แล้วพาเจริญไปด้วยกันไม่ได้หรือไง? ถ้าคิดแบบคนมีกิเลสมันก็พอจะได้อยู่ แต่มันก็ทุกข์อยู่ เพราะต้องมาแบกกิเลสของทั้งคู่ครองและตัวเอง ดีไม่ดีจะต้องแบกของคู่มากกว่าตัวเองเสียอีก ในบางครั้งเราอาจจะเจริญทางธรรมแต่คู่ครองไม่เจริญตามด้วยก็เหมือนเทวดากับมารอยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามเพียงแค่เราเห็นว่าคนที่เราคิดว่าดีได้ครองคู่กัน มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของละครกรรมบทใหม่เท่านั้นเอง และมันจะต้องเล่นละครครอบครัวเรื่องนี้ไปจนกว่าจะหน่ายคลายจากกิเลสนี้ เล่นไปทุกชาติ ทุกภพ ตลอดกาล ทุกข์ปนสุข และทุกข์สุดทุกข์อยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งวันหนึ่งทุกข์เกินทนจากการมีคู่ ก็จะเลิกอยากมีคู่เองอยู่ดีนั่นล่ะนะ

คนที่ยินดีครอบครองความโสดด้วยใจที่เป็นสุขนั้น คือคนที่มองเห็นโทษภัยของการมีแฟน หรือการมีคู่ครอง สามีภรรยา ว่าเป็นตัวทุกข์อย่างแน่แท้ จึงจะสามารถถอนตัวออกจากนรกที่ชื่อว่า “ครอบครัว” ได้อย่างถาวร

ดังนั้นหากเรายังเป็นโสดอยู่ ยังคงเป็นคนที่ไม่มีแฟน ไม่มีเครื่องผูกมัด ก็อย่าไปวิ่งหาให้มันลำบากเลย เพราะถึงเวลาเดี๋ยวก็จะมาเอง เรื่องคนคู่นั้นไม่ขึ้นกับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับวิบากกรรม กรรมจะเป็นตัวชักนำให้เราเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน อาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้ สิ่งร้ายก็ได้ แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เราเจอนั่นแหละคือสิ่งที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว

ส่วนคนที่ยังยินดีที่จะยอมรับทุกข์ เพื่อเสพสุขลวงๆ ก็ขอให้พิจารณาเลือกให้ดี เลือกคนที่มีศีลมีธรรมอย่างน้อยๆก็ศีล ๕ สามารถลดกิเลส ทำลายกิเลสเป็น ก็ยังพออยู่ในขีดที่เรียกได้ว่าเป็นทุกข์น้อยกว่าชาวบ้าน แต่ก็ยังถือว่าทุกข์มากอยู่ดีนั่นเอง

….ทำไมเราถึงอยากมีแฟน

จริงๆแล้วการที่เราอยากจะมีใครสักคนนั้น…ถ้าไม่นับเรื่องหยาบๆ แบบเรื่องกามเมถุน สมสู่คนคู่ เหตุจากการอยากมีใครสักคนนั้นเกิดจากความเหงา

ความเหงาทำให้เราอยากหาใครสักคนมาอยู่ข้างๆ มาใช้เวลาร่วมกัน คอยเป็นเพื่อน คอยเป็นที่ปรึกษา จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการแฟนหรอก เราเพียงต้องการใครสักคนที่เราคิดว่าจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเราได้ตลอดไปเท่านั้นเอง

เมื่อเราไม่พึ่งตัวเอง แต่เอาคนอื่นเป็นที่พึ่งเราก็จะเหงา และหาใครสักคนมาเติมเต็มความเหงานั้น รากของความเหงาหรือเหตุของความเหงานั้นเกิดจากการที่เราต้องการมีตัวตน จริงๆแล้วเราต้องการให้ใครสักคนได้รับรู้ว่ามีเราอยู่ในโลกนี้ ต้องการให้ใครสักคนยอมรับในสิ่งที่เราทำ เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น รู้ใจเรา เป็นตัวตนของตน…..ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นการมีแฟน มีคู่ครองเพื่อดับความเหงาจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันจะสามารถบรรเทาได้ชั่วครู่เท่านั้น แต่สุดท้ายเราก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครที่ไม่จากพรากสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ว่าเขาจะยังอยู่ แต่ความเป็นเขาอาจจะไม่ได้อยู่เหมือนกับในวันที่เราได้หมายมั่นให้สัญญากันไว้ก็ได้

เมื่อเราเห็นดังนี้ว่าเหตุแห่งความเหงานี้เอง คือตัวผลักดันให้เราหาใครสักคนมาทำให้ชีวิตของเราวุ่นวายโดยที่เราเรียกมันว่าความสุขหรือความธรรมดาในชีวิตคู่ ทั้งที่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตเลย เมื่อเห็นต้นเหตุของปัญหาดังนั้นก็ให้พิจารณาลงไปถึงทุกข์ โทษ ภัยของสิ่งที่เรายังหลงติดยังหลงยึดอยู่ เปลี่ยนหลักยึดจากยึดอัตตา ตัวตน ตัวกูของกู เป็นยึดอาศัยพระรัตนตรัยไปก่อน ยึดสามสิ่งนี้เป็นสรณะไปก่อน วันใดที่สามารถพ้นจากความเหงา ความอยากมีตัวตน ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวได้ในแนวทางของการ “โสดอย่างเป็นสุข

….อย่ากลัวการที่จะแก่ไปคนเดียว

คนโสดมักจะกลัวการที่จะต้องแก่ไปอย่างเดียวดาย ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่คนที่มีคู่ก็สามารถแก่ไปอย่างเดียวดายได้ แม้จะมีคู่ เขาก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนเรา แม้จะมีลูกหลาน เขาก็ไม่อยู่ดูแลเรา แม้จะมีเพื่อนมากมาย เขาก็ไม่มาอยู่ร่วมกับเราเราจึงได้เห็นว่าแม้จะมีก็เหมือนไม่มี ถึงมีอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่ได้หมายความว่าการมีคู่ครอง การมีครอบครัว การมีลูกหลาน การมีคนรู้จักมากจะเป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เดียวดายในตอนแก่

หลักประกันเดียวที่จะทำให้เราไม่แก่ไปคนเดียว ไม่อยู่อย่างเดียวดายนั่นก็คือ “ความมีน้ำใจ” มีจิตอาสา ช่วยเกื้อกูลดูแลคนในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม เมื่อเราดูแลคนอื่น คนอื่นก็จะดูแลเรา การที่เราหวังหาใครสักคนมาดูแลเราโดยใช้คำว่าคู่ คำว่าลูก คำว่าเพื่อน หรือแม้แต่ลูกจ้างก็ตาม จะเป็นความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงเลยหากเราไม่ลงมือดูแลเขาก่อน

คนโสดก็เช่นกัน หากไม่มีคู่ครอง ไม่มีลูก ก็สามารถดูแลลูกพี่ลูกน้อง ดูแลญาติ ดูแลชุมชน ดูแลสังคมได้ เมื่อเราทำตัวให้เป็นประโยชน์ ทำตัวเป็นผู้ให้และให้อย่างไม่คิดจะรับอะไร เมื่อนั้นแหละเราจะกลายเป็นผู้รับ รับกรรมดีที่เราทำมา กินใช้และอาศัยกรรมของเราเลี้ยงตัวเราเองไปจนจบชีวิตได้แบบอย่างมีคุณค่าได้เลย

ความเหงาก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดความกลัวในเรื่องนี้เช่นกัน กลัวจะเหงาคนเดียวตอนแก่ …จริงๆมันก็เหงาตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ ถ้าทำลายความเหงาตั้งแต่ตอนนี้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวไปเหงาตอนแก่แล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

17.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

รับน้อง

September 6, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,595 views 0

รับน้อง

รับน้อง

ช่วงนี้ได้ยินข่าวการรับน้อง เป็นอีกครั้งที่มีการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดอะไรไม่ดี แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเรากำลังใช้ชีวิตอย่างประมาท ทำกิจกรรมอย่างประมาท เพราะเราคิดอย่างประมาท

การรับน้องเป็นเรื่องของประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ อารมณ์ ความรู้สึก และกิเลส ซึ่งมีมานานตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนก็คงจะไม่เสียเวลาไปค้นหากันให้ยุ่งยาก รู้แค่ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงาม หรือเป็นการสนองตัณหา เสริมกิเลสก็พอ

ผมเองเคยเป็นทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ที่เคยรับน้อง ซึ่งเข้าใจดีถึงประเพณีที่ปนเปื้อนไปด้วยความอยากที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของผู้ร่วมกิจกรรมทุกคน สมัยเป็นรุ่นน้องก็เคยเห็นเพื่อนๆเขาจริงจังกับกิจกรรมของรุ่นพี่ พอมาเป็นรุ่นพี่เราก็เห็นรุ่นพี่ทั้งหลายสนุกกับกิจกรรมของตัวเองโดยมีรุ่นน้องเป็นเหยื่อเหมือนกัน

จะสังเกตได้ว่ายิ่งนานวันไปกลุ่มที่มีลักษณะการรับน้องที่มีความรุนแรงและอารมณ์เข้ามาปนเปื้อนเยอะ ก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรงและอารมณ์เข้าไปเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดความเสียหายในรูปของการบาดเจ็บล้มตายและความเสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้น เพราะกิเลสจะยิ่งพัฒนาตัวเองส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น รุ่นพี่ทำแบบนี้ พอรุ่นน้องมารับช่วงต่อ ก็เก็บเอากิเลสของรุ่นพี่มาต่อยอด คือต้องทำให้มันเจ๋งกว่ารุ่นพี่ พัฒนากันไปตามที่ใจอยากจะเป็น

ก็คงจะดีถ้าทิศทางการพัฒนานั้นเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ เกิดความดีงาม เกิดการพัฒนาในเชิงบวก มีกิจกรรมมากมายที่รุ่นพี่สามารถออกแบบใหม่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปติดกรอบเดิมๆที่เขาคิดไว้ กิจกรรมที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ ความอดทน ความกล้า ความเป็นผู้นำ ความสามัคคี นั้นมีมากมาย ถ้าคิดกันง่ายๆ ก็กิจกรรมจำพวกงานจิตอาสาต่างๆ เช่น…

..ชวนกันไปเก็บขยะตามสถานที่ต่างๆก็ได้ แค่นี้ก็วัดใจแล้วว่าจะกล้าลดตัวลดตน มาทำดีรึเปล่า

….ไปทาสี โรงเรียน วัด ก่อสร้างอาคาร ปรับปรุงพัฒนาสถานที่ ขนอิฐ แบกปูน แค่นี้ก็วัดความสามัคคี ความอดทน ความเป็นผู้นำ กันได้แล้ว

……ไปปลูกต้นไม้ ขุดลอกคลอง เก็บผักตบชวา ดำนา เกี่ยวข้าว …มีกิจกรรมที่สามารถดึงความสามัคคีและสร้างสรรค์ได้มากมาย เป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องลำบากเสียเวลาไปทำสิ่งที่ไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์ กับตนเองและผู้อื่น

ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายๆกลุ่มที่เขาทำอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะมองว่าแบบนี้แปลกไม่เหมือนรับน้อง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปในทางขัดใจ ขัดกิเลส ไม่ไปทางอกุศล ตามที่คนส่วนใหญ่มักเมามายในกิจกรรมที่พาให้หลงไปในสิ่งมัวเมาในอารมณ์ เมาโลกธรรม เมาอัตตา คือรุ่นพี่ก็เมาสรรเสริญ เมายศ หลงมัวเมาไปว่าตนเองเป็นรุ่นพี่ สั่งรุ่นน้องทำอะไรก็ได้ ทั้งที่จริงแล้วยศ อำนาจ เหล่านั้น เราก็ปั้นขึ้นมาเอง

เพราะความจริงเราก็เป็นแค่คนที่เข้ามาเรียนก่อนเขาปีหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างมากก็แค่เรียนจบก่อน แล้วมันยังไงละ? มันดี มันเด่น มันยอดกว่าตรงไหน ตรงความรู้ใช่ไหม? สิ่งที่รุ่นน้องกับรุ่นพี่ต่างกันชัดเจนก็คือความรู้ นี่คือสิ่งที่ควรจะเอามาถ่ายทอดกันมากกว่า ส่วนเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ เรื่องการใช้อำนาจ การใช้กำลัง ความมัวเมา ใครก็ทำได้ ลองเอาปืนใส่มือเด็กสิ เด็กก็ยิงเป็น เผลอๆจะแม่นกว่าผู้ใหญ่อีก

ดังนั้นเราอย่าไปแข่งกันทำสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์เลย เพราะเรื่องแบบนี้ใครก็ทำได้ แค่เพียงเขาไม่ทำกัน เพราะเขาเห็นทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียจากกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์เหล่านั้น คนที่ไม่เห็นผลเสียแล้วยังมองว่าดี ก็เหมือนยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ถ้าเราสามารถกลับมาที่จุดเริ่มต้น คือ“รับน้องไปทำไม” เราจะคิดอะไรดีๆได้อีกมากมาย แล้วก็มาคิดกันต่อว่า แล้วรับน้องอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์ทั้งกับเรากับน้อง จุดประสงค์คืออะไร ผลที่จะได้รับคืออะไร แล้วค่อยหากิจกรรมที่เป็นกุศล เป็นประโยชน์มาคิดกันอีกที

ถ้าทางที่รุ่นพี่พากันทำกันมามันคือทางที่ไม่สร้างสรรค์ พาให้เป็นทุกข์ พาไปนรก เรายังจะเดินตามกันไปอีกหรือ?

– – – – – – – – – – – – – – –

4.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์