Tag: เป็นโสด
วิธีตรวจสอบ ความเต็มรอบของการปฏิบัติตนเป็นโสด
หลักฐานอันหนึ่งที่จะเอามาเทียบกับสภาวะตนเองได้นั่นก็คือ ข้อความในอนุตริยสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นเลิศยอดที่สุดในโลก กับสิ่งยอดแย่ที่คนโลกีย์หลงแสวงหา
ในหัวข้อ “ลาภานุตตริยะ” ท่านกล่าวถึงการได้ลาภในโลกหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการได้มีลูกและได้คู่ครอง
แล้วท่านก็ตรัสสอนต่อไปว่า “ลาภแบบนี้มีอยู่ แต่ล้วนเป็นลาภเลว”
ก็เอาจิตตัวเองนี่แหละไปเทียบ ถ้าปฏิบัติจนถึงผล ความเห็นจะแนบเป็นเนื้อเดียวกับพระพุทธเจ้าโดยไม่มีแม้ขอบเผยอขึ้นมาเลย เนียนกว่าแปะเทปแล้วละลายเป็นเนื้อเดียวกันเสียอีก เพราะถ้าเห็นถูกมันจะเป็นจิตเดียวกันแบบไม่มีข้อแม้เลย
แต่ถ้าคนยังไม่ถึงผล มันจะมีสารพัดข้อแม้และเงื่อนไข จะมีคำแย้งในหัวขึ้นมาเช่น “แต่ว่า…” หรือก็ไม่เชื่อจริง ๆ หรอกว่าเป็นลาภเลว หรือก็ไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนั้นหรอกมั้ง จิตมันจะไม่น้อมเข้าตามธรรมนี้ มันจะมีความไม่ชัดเจน เกิดความขุ่นข้อง ขัดเคือง หมองใจ ไม่ยินดี จะไม่สดชื่น ไม่สดใส ไม่ร่าเริงในธรรม คือไม่อยากรับรู้ความเห็นเช่นนี้นั่นแหละ
จริง ๆ ก็มีอีกหลายสูตร เช่น นั่งข้างงูพิษ ก็ยังดีกว่านั่งคุยกับผู้หญิงสองต่อสอง เป็นต้น คนที่สภาวะเต็มรอบจะเห็นภัยตามนั้น รู้ภัยตามที่พระพุทธเจ้าว่า แม้จะไม่ชัดในปริมาณของโทษ แต่จะชัดในแนวทางของพิษภัย
ผมก็ใช้วิธีเหล่านี้แหละตรวจสอบใจไปเรื่อย ๆ ศึกษาไปก็เห็นตามท่านจริง ๆ เพราะถ้าทำผิดไปจากที่ท่านว่า มันจะเกิดความเสียหายขึ้นมา แม้จิตเราจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันจะมีวิบากเกิดขึ้น สร้างความลำบากให้ชีวิตอยู่เหมือนกัน
แล้วแบบที่เขาหลงไปว่ามีลูกดี มีเมียดี มีผัวดี นี่ไม่ต้องห่วงเลย ก็แช่อยู่แถว ๆ นั่นแหละ จมอยู่กับลูกดี คู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน ตราบที่เขายังมีความเห็นเหล่านั้นอยู่
อย่าแต่งงานเลย อยู่เป็นสมบัติของชาติเถอะ!
มานึกออกวันนี้ ได้ยินมาก็นาน เวลาที่เพื่อนผู้หญิงในเฟสบุคเขากล่าวถึงสามีแห่งชาติอะไรประมาณนี้แหละ เป็นคำที่มักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ
ถ้าเป็นคนที่มีคนรักมาก ๆ ก็ไม่มีใครอยากจะให้เขาไปเป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรอก ใครก็ฝันอยากจะได้เขาคนนั้นมาเป็นคู่ทั้งนั้น(แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อยากฝัน) แล้วถ้ามีคนอื่นได้ไปแล้ว แต่เราไม่ได้ ก็มักจะอิจฉาตาร้อนกัน
พวกดาราก็เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้พอเห็นภาพ พอมาชีวิตจริง คนที่คนอยากได้กันมาก ๆ อันดับแรกน่าจะคนหน้าตาดี คนรวย . . . ส่วนคนดีน่าจะเป็นฟังชั่นท้าย ๆ ที่เขาเลือก
ทีนี้คนที่มีดีมาก ๆ ก็ต้องมีคนอยากได้หลายคน มันก็จะแย่งกัน แม้จะแย่งกันในใจแต่มันก็ยังเป็นทุกข์อยู่ สมมติว่าเราไปชอบสาวสวยคนหนึ่ง แล้วมีผู้ชายมากมายมาจีบ มันก็จะมีอาการร้อนรนเป็นธรรมดา
แต่ถ้าสาวสวยคนนั้น ประกาศว่าจะตั้งตนเป็นโสดไปทั้งชาติ ให้เลิกหวัง อันนี้เขาก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ เพราะเหมือนจะมีธรรมมากั้นคู่แข่งไว้ ที่เหลือก็มีแค่ความโง่ส่วนตัวแล้วที่จะไปหวังเอาชนะใจเขา ถ้าเลิกเอาชนะ มันก็พ้นทุกข์ ถ้ายังไปเอาชนะอยู่มันก็ทุกข์ทั้งสองฝ่าย
จะเห็นได้ว่า แม้เราจะมีองค์ประกอบที่ดีเลิศ เช่น เกิดมาหน้าตาดี มีฐานะดี การศึกษาดี การงานดี แต่ถ้าเราไม่ใช้องค์ประกอบเหล่านั้นในการล่อลวงคน เขาก็จะไม่เป็นทุกข์ หรือเป็นทุกข์น้อย แต่ถ้าเรายิ่งยั่ว ยิ่งอ่อย นี่มันจะไปกันใหญ่ เขาจะร้อนรน กระสันอยากได้เรา มันก็เป็นวิธีของคนฉลาด(กิเลส) ที่จะยั่วเย้าให้คนเข้ามาหลงตนเองมาก ๆ แล้วเลือกเอาแต่ที่ถูกใจ
ก็ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ เพราะมีการเลี้ยงชีพ(การทำให้ชีวิตดำรงอยู่) ด้วยทางที่ผิด คือมีการล่อลวงคนอื่นเขา ด้วยองค์ประกอบที่เรามี เช่น อบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา มันก็จะพากันไปทุกข์ในท้ายที่สุด
ถ้าคนบำเพ็ญคุณความดีมาหลาย ๆ ชาติ จะมีองค์ประกอบดี ๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นในตนเอง เอาไว้ให้โลกได้เสียดายเล่น ๆ แต่จริง ๆ คือเอาไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างนั่นแหละ ว่าหน้าตา การศึกษา ฐานะ ฯลฯ ไม่ใช่สิ่งที่จะพาให้พ้นทุกข์ได้เลย พอเข้าใจอย่างนั้นเราก็จะไม่เอาสิ่งเหล่านั้นไปล่อลวงใครให้หลงตามที่เรามี
มันก็จะเป็นไปของมันอยู่แบบนั้น คือมีอยู่นะ หน้าตา ฐานะ การศึกษา ฯลฯ แต่จะไม่เป็นโทษต่อใคร จะมีแต่ทำประโยชน์ให้เขา ไม่ล่อลวงเขา
การยั่ว การอ่อย การทอดสะพาน ฯลฯ สารพัดการดึงดูดความสนใจนั้นยังเป็นพฤติกรรมล่อลวงอยู่ ยังหาเหยื่ออยู่ ต้องหาคนที่เขาหลงมาเสพ คือหาคนโง่กว่าเข้ามาในชีวิตตนนั่นแหละ เพราะคนที่เขามีปัญญามากกว่า เขาไม่ติดกับอะไรพวกนี้อยู่แล้ว มันเลยต้องอาศัยอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา นี่แหละ เป็นเหยื่อล่อ
ถ้าไม่มีพฤติกรรมเหล่านี้ มันก็จบ ก็ปล่อยคนเขาอยู่ของเขาไป ให้หลงไปตามธรรมของเขาไป แต่อย่าให้เขามาหลงเพราะเราเป็นเหตุ
เราก็อยู่ให้เขาดู เป็นสมบัติของชาติ เป็นของสาธารณะ เป็นอิสระ ไม่ผูกมัด เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง เพราะไม่เบียดเบียนใคร และไม่ล่อลวงให้ใครมาเบียดเบียนเรา
เอาเวลาไปช่วยเหลือเกื้อกูลผู้คนจะดีกว่า คิดดู ถ้าตั้งใจบำเพ็ญตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว แก่ไปบารมีจะมากขนาดไหน คนดี คนมีน้ำใจ สังคมเขาไม่ปล่อยให้อดอยากแห้งตายไปเปล่า ๆ หรอก เขาจะรักษาไว้ เพราะเขาได้ประโยชน์จากการทำดีของเรา
ถ้าเขาปล่อยตายก็ดีเหมือนกัน จะได้ทำเป็นตัวอย่างให้โลกเห็น จะได้แสดงธรรมในหมวดการปล่อยวาง ว่าการทำดีที่จริงนั้น ไม่ได้หวังให้ใครมาตอบแทน ไม่ได้หวังให้ใครมาเข้าใจ ผาสุกทั้งตอนทำ และมีความผาสุกเป็นผลสืบเนื่องต่อไป
อย่าไปแต่งงานเลย อยู่เป็นโสดเป็นสมบัติแก่โลกนี้เถอะ บัณฑิตในยุคนี้มีน้อยเหลือเกิน พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด เขาก็รู้กันว่า ก็มีแต่บัณฑิตนั่นแหละ
ทุกคนควรจะเป็นโสดจึงจะมีความสุขนั้นหรือ?
ถาม : ทุกคนควรจะเป็นโสดจึงจะมีความสุขนั้นหรือ?
ตอบ : ความโสดเป็นสภาพที่มีภาระผูกพันน้อย จริง ๆ แล้วเป็นสภาพที่สบายที่สุด ดีที่สุด แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงสภาพนั้นได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ใครที่เขาปฏิบัติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าท่านเหล่านั้นเป็นบัณฑิต แต่จะให้ทุกคนในโลกเป็นบัณฑิตมันเป็นไปไม่ได้ มันเจะเป็นได้ก็เฉพาะแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น คนที่ไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติถึงขั้นนั้น ๆ ถึงจะอยู่เป็นโสดก็จะโดนเฆี่ยนด้วยความกระหายใคร่อยากไปมีคู่ จึงทำให้เป็นทุกข์ สุดท้ายด้วยความอยากก็ต้องไปแส่หามาเสพ ดังนั้นการจะตอบว่าทุกคนควรจะเป็นโสดจึงจะมีความสุขนั้นก็ตอบได้ทั้งใช่และไม่ใช่ ในมุมที่ตอบว่าใช่คือ สุดท้ายทุกคนก็จะปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ในชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อเขามีปัญญา เขาจะปฏิบัติตนไปสู่ความเป็นโสดเอง แต่ไม่ใช่พร้อมกันทุกคน ส่วนที่ไม่ใช่ก็คือ คนที่ยังมีความอยากมาก ๆ ให้เขาอยู่เป็นโสด เขาก็เป็นทุกข์เพราะความอยาก ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้
เป็นโสดสุขจริงหรือ?
เป็นประเด็นที่หลายคนคงสงสัยและเคลือบแคลงใจ ว่าเอาอะไรมาพูดว่ามันเป็นสุข มันเป็นความสบาย ก็เป็นโสดอยู่ทุกวันไม่เห็นจะเป็นสุขอะไร?
ตอบขยายประเด็นนี้กันหน่อย การอยู่เป็นโสด จะสุขจริงก็ต่อเมื่อ ได้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องจนพ้นความอยากมีคู่ไปแล้วเท่านั้น จึงจะสุขได้จริง เพราะไม่มีตัณหามาคอยเฆี่ยนตีให้เหนื่อยใจ
ถ้าคนปกติให้อยู่เป็นโสดนะ แค่เขาคิดก็ทุกข์แล้ว จะให้เขาตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสด เขาจะยิ่งทุกข์ไปกันใหญ่ ยิ่งให้เขาตั้งจิตโสดไปทั้งชาติทุกชาตินี่เขาไม่เอาเลย วิ่งหนีเลย
ที่เขาไม่เอาเพราะถ้าอยู่เป็นโสดแล้วมันจะไม่ได้เสพทั้งกามทั้งอัตตา เพราะเขาหลงว่ารสกามรสอัตตานั้นเป็นสุข เขาเลยต้องเหลือเผื่อไว้เสพ เขาจะไม่ตัดรอบเป็นโสดสนิทถาวร มันจะมีช่องเหลือ ๆ เผื่อ ๆ ไว้ให้เสพ แม้เขาจะอยู่เป็นโสดได้ แต่จะมีข้อแม้ในการมีคู่เหลือไว้ ซึ่งเขาจะเปิดให้เฉพาะกับคนที่ถูกใจเขาเท่านั้น โดยทั่วไปอาจจะดูไม่ออกหรอก
แต่จะสามารถรู้ได้ด้วยการตั้งจิตปฏิบัติตนเป็นโสดนี่แหละ ว่ามันจะมีมุมหาคู่มุมไหนเหลืออยู่ในใจ ไม่ว่ายังไงร้อยทั้งร้อยมันจะออกอาการเมื่อกระทบสิ่งที่ถูกใจ ยิ่งตั้งใจปฏิบัติและอยู่ใกล้กับบัณฑิตที่เขาปฏิบัติตนเป็นโสดได้ดีแล้ว เขาจะมองออก มันจะมีอาการเฟ้อ ๆ เกิน ๆ ออกมาเสมอ ซึ่งก็จะได้ช่วยกันตรวจสอบว่าใช่ไม่ใช่อย่างไร ซึ่งกิเลสในเรื่องอยากมีคู่นี่มันแอบได้เนียนสุด ๆ ถ้าไม่ตั้งใจจริง ไม่รู้หรอกว่ามันเหลือเศษอะไรอยู่ คิดเอาเองก็ไม่ได้ เพราะตัวหลงมันจะหลอกให้เราคิดว่าไม่ใช่ ต้องอาศัยหมู่มิตรดีในการตรวจสอบ มันจะหลุดอาการหรือความเห็นผิดออกมาเอง
ทีนี้สภาพความเป็นสุขถาวรยั่งยืนนี่มันเป็นสิทธิพิเศษ สำหรับคนที่ปฏิบัติจนพ้นแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ฐานะทั่วไปที่จะเข้าถึงได้ง่าย ๆ ใช้เงินซื้อก็ไม่ได้ แค่คิดเอาก็เป็นไปไม่ได้ มันจะไม่สุขเหมือนภาคทฤษฎี
เพราะถ้ายังมีความอยากมีคู่อยู่ กิเลสมันจะเถียงทุกวัน มันจะหาทางไปมีคู่ตลอด คอยสอดส่อง คอยมองหา ฝันหา คะนึงหา สิ่งที่ใฝ่ฝัน มันจะยังเหลือฝัน เหลือความหวังอยู่ สิ่งเหล่านี้แหละคือทุกข์ เพราะจิตมันยังอยากเสพอยู่ จะให้เลิกเสพ มันจะไม่สุข
ดังนั้นจะให้คนทั่วไปเป็นโสดแล้วเป็นสุขจะเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับบอกคนที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ว่าไม่ดื่มไม่สูบสบายกว่า ประหยัดกว่า สุขภาพดีกว่า แต่เขาจะเลิกไม่ได้ เพราะเขาเสพติด ติดในรสสุขนั้น ๆ แม้ภาคทฤษฎีจะรู้ว่าเป็นโทษ ภัย ผลเสีย แต่เขาจะออกไม่ได้ เพราะเขาให้ราคารสสุขจากเสพนั้นมากกว่า จะให้เลิกตอนไหนเขาจะเป็นทุกข์ตอนนั้นแหละ แค่ไม่ได้เสพวันหนึ่งเขาก็ทุกข์แล้ว
ความเป็นโสดก็เช่นกัน ความโสดเป็นสถานะที่ดี ที่ควรปฏิบัติตนดำรงไว้ซึ่งความโสด ใครศึกษาธรรมะมาก็น่าจะพอได้รู้อยู่บ้างว่าพุทธนั้นยินดีในการไม่ผูกพัน แต่นั้นก็เป็นแค่ความรู้ ความจริงก็คือความจริง
ความจริงคือสภาพทุกข์ สุข ในใจที่เกิดขึ้นมา เป็นสภาพที่สะท้อนว่าเรายังมีความหลงอีกเท่าไหร่ ถ้าหลงมาก แล้วตั้งจิตโสดวันนี้ ก็จะทุกข์ทันทีที่ตั้งเลย ดีไม่ดีไม่ยอมตั้งใจอีกต่างหาก
แต่ก็ใช่ว่าจะต้องให้ทุกคนเข้าถึงสภาพนี้กันทั้งหมด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ คนที่ยินดีในธรรมนี้ก็จะเข้าถึงธรรมแบบนี้ คนไม่ยินดีเขาก็ไม่เอา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนหันมายินดีในความเป็นโสด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่ามีศีล ๕ ตลอดชีวิตเสียอีก มันจะได้เฉพาะบางคน ได้เฉพาะบัณฑิตเท่านั้น
อย่างที่ผมขยันพิมพ์ ๆ เรื่องคนโสดคนคู่ ผมก็เผื่อเฉพาะคนที่ตั้งใจเท่านั้น ส่วนใครไม่สนใจก็เป็นเรื่องของเขา เพราะผมเชื่อว่าคนที่ตั้งใจก็มี แต่จะให้ประมาณธรรมให้เหมาะกับทุกกลุ่มนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องเอาคนที่เข้าท่าไว้ก่อน ส่วนพวกที่เขายังไม่ยินดีปฏฺิบัติธรรม ก็ไม่ไปเผื่อเขาหรอก มันกว้างไป เหนื่อยไป เปลืองแรง เอาเฉพาะกลุ่มที่พอจะเข้าท่าดีกว่า