Tag: ความสุข

Happy ending เมื่อตอนจบกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่ไม่มีอยู่จริง

July 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,736 views 0

Happy ending เมื่อตอนจบกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่ไม่มีอยู่จริง

Happy ending เมื่อตอนจบกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่ไม่มีอยู่จริง

คำว่า “Happy ending” มักจะเป็นคำที่เราได้เห็นในหนังในละครมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก เรื่องราวหลายเรื่องมักจะจบด้วยความสมหวังด้วยการครองคู่ เราได้จดจำสิ่งเหล่านั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นคือสิ่งที่หลอกหลอนเรามาจนถึงทุกวันนี้

การแต่งงานกลายเป็นเป้าหมายหนึ่งในการมีชีวิต เป็นคุณค่า เป็นความสมบูรณ์ ตามที่โลกได้ปั้นแต่งเรื่องราวเอาไว้ และสื่อที่มีอิทธิพลมากกว่านิยาย ละคร ภาพยนตร์ เพลงรัก ก็คือผู้ที่หลงใหลมัวเมาในความสุขลวงเหล่านั้น

คนที่หลงเสพหลงสุขจะเติมพลังความอยากให้แก่กันและกัน ว่าการแต่งงานมีชีวิตคู่ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ สุขอย่างนั้นสุขแบบนี้ จะได้เสพรสแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้คนที่อยู่ในสังคมเหล่านั้นถูกมอมเมาด้วยความหลงผิด เพิ่มความอยากได้ อยากลอง อยากเสพ อยากสัมผัสประสบการณ์ที่เขาว่าดีว่าเลิศทั้งหลาย

แม้กระทั่งการแต่งงานครั้งหนึ่งก็ต้องมีการป่าวประกาศ แห่ขันหมากตีกลองโห่ร้อง จัดงานแต่งงานประดับประดาให้เป็นที่น่าสนใจ เชิญคนมากมายมาร่วมรับรู้เรื่องส่วนตัว ปั้นแต่งภาพให้สวยงามประดุจเจ้าชายเจ้าหญิง เป็นที่น่าจับตามอง เป็นที่น่าหลงใหล เป็นการกระตุ้นกิเลสให้คนอื่นอยากได้อยากมีตามไปด้วย แม้กระทั่งการดึงนักบวชเข้ามายุ่งเรื่องทางโลก ก็กลายเป็นสิ่งที่แสนจะธรรมดาไปแล้วสำหรับยุคนี้

เมื่อตอนจบกลายเป็นจุดเริ่มต้น

หลายคนอาจจะรู้สึกโล่งใจที่ชีวิตได้เป็นฝั่งเป็นฝา ได้ไปถึงจุดหนึ่งที่ใครเขาบอกต่อๆกันมา ว่าจำเป็นสำหรับชีวิต เหมือนจะเป็นตอนจบของละครบทหนึ่ง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของละครบทใหม่

เรื่องราวในละครต่อจากที่ตอนพระเอกนางเอกได้ครองคู่กันแล้วมักจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ละครลวงโลกมักจะจบ happy ending กันตรงที่ได้รักกัน ได้แต่งงานกัน แล้วเหมือนทุกอย่างจะเป็นสุขตลอดกาล เหมือนว่าได้เสพสิ่งเหล่านั้นคือที่สุดของชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว เราเพียงแค่หลุดจากสภาพทุกข์แบบหนึ่งไปสู่ทุกข์อีกแบบหนึ่งเท่านั้น

ผู้คนมากมายทนทุกข์จากความเหงา เดียวดาย ไร้คุณค่า อยากมีใครสักคนเป็นที่พึ่ง คอยดูแลเกื้อกูล คอยพูดคุยเอาใจ ให้ความรัก ให้ความสำคัญ เมื่อไม่มีใครคนนั้นก็ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในนรกของคนโสดที่โหยหาความรักความเอาใจใส่ ไม่สามารถดำรงอยู่ผู้เดียวได้ ไม่สามารถทำใจให้เป็นโสดอย่างแท้จริงได้

เมื่อมีใครสักคนที่ถูกใจเข้ามาในชีวิต ก็เหมือนกับการปล่อยทิ้งปมทุกข์ที่เคยแบกรับไว้ ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องเดียวดาย ไม่ต้องหาวิธีแก้ความเหงา ไม่ต้องคิดหาวิธีพึ่งตนเองอีกต่อไป ทิ้งเงื่อนปมแห่งทุกข์อันเก่าไว้ แล้วหันมาผูกปมใหม่ที่เรียกว่าคู่รัก

ในตอนแรกรักนั้นก็มักจะมีความสุขกับการผูกปมความรัก ยิ่งได้รัก ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งรู้จักรู้ใจ ดูแลเอาใจใส เป็นคนสนิทกันมากเท่าไหร่ ปมแห่งความสัมพันธ์ก็จะยิ่งพันแน่นและซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งคบหาดูใจ ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแนบแน่นขึ้นไปอีก เหมือนปมเงื่อนที่ทบกันไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น จนถึงวันที่แต่งงาน เป็นวันที่ปมเหล่านั้นได้ถูกทาเคลือบไว้ด้วยยางเหนียว ย้ำลงไปอีกว่าจะไม่คลายความสัมพันธ์นี้ พัฒนาต่อไปจนมีลูกมีหลาน เหมือนกับมีโซ่เหล็กมาคล้อง ล็อกความสัมพันธ์นั้นให้ยิ่งแน่นหนาขึ้นไปอีก

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี” ในความเป็นจริง นรกได้เริ่มก่อตัวตั้งแต่ความอยากได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มันค่อยๆเติบโตอย่างช้าๆ โดยไม่ให้เรารู้ตัว มันมาในภาพของความสุข เพื่อที่จะหลอกให้เราได้หลงเสพหลงสุขและวนเวียนอยู่ในโลกแห่งตัณหานี้ตลอดไป

ความเหงาเปลี่ยนคนโสดให้เป็นคนคู่ แต่ความทุกข์นั้นไม่ได้หมดไป มันแค่เพียงเปลี่ยนรูปแบบ เหมือนกับการทิ้งปัญหาหนึ่งไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง ในตอนแรกเราก็จะเห็นเหมือนกับว่าเราหนีทุกข์ไปหาสุข แต่ความจริงแล้วเราหนีจากทุกข์น้อยไปหาทุกข์มาก

กิเลสนั้นย่อมล่อลวงเราให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเรื่องน่าใคร่น่าเสพ เห็นสิ่งลวงเป็นของที่ควรมีควรได้เห็นความทุกข์เป็นความสุข มันกลับหัวกลับหางกับความจริงทุกประการ

คนโดยส่วนมากในปัจจุบันก็ไม่มีใครยอมรับว่ากิเลสนั้นเป็นผู้ร้าย ไม่เห็นความอยากได้อยากเสพเป็นศัตรู เขามักจะมองเห็นว่าการได้เสพเป็นสุข การไม่ได้เสพเป็นทุกข์ ผู้ที่ไม่หามาเสพคือผู้ที่ทรมานตน ผู้ที่หามาเสพคือผู้ที่ทำชีวิตตนให้เป็นสุข จะมีความเห็นความเข้าใจในลักษณะที่กอดคอเดินไปกับกิเลส เห็นดีกับกิเลส เห็นต่างจากธรรมะ

แล้วทีนี้ความสุขที่ได้รับจากกิเลสนี่มันเป็นความสุขลวงทั้งหมด ที่ดูเหมือนสุขมันเกิดเพราะมีกิเลสมาก ถ้าไม่ได้เสพตามใจกิเลส มันก็จะตีให้เป็นทุกข์ สร้างความทุกข์ให้กับเรา พอได้เสพมันก็ไม่ทุกข์จากกิเลส มันก็เลยเป็นสภาพสุขดังที่เห็น และสุขนั้นก็เป็นสุขลวงอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่ตามใจกิเลส มันก็จะไม่เกิดสุข ต้องให้อาหารกิเลสไปเรื่อยๆเพื่อจะเสพสุข ซึ่งสุขนั้นไม่เที่ยง มันเสื่อมสลาย และแท้ที่จริงแล้วมันไม่มีอยู่จริง

ถ้าสามารถล้างกิเลสได้จริงจะค้นพบเลยว่ารสสุขในการมีคู่นั้นไม่มีเลย การดูแลเอาใจใส่ มีคนเกื้อกูล หยอกล้อรักใคร่หรือกิจกรรมของความเป็นคู่รักทั้งหลายมันไม่มีสุขเลยแม้แต่นิดเดียว ที่มันเกิดสุขเหล่านั้นเพราะพลังของกิเลสมันลวง มันพาให้หลงว่าการได้เสพแล้วความทุกข์ลดลงนั้นเป็นความสุข ให้หลงเข้าใจว่านั่นคือสุขแท้ในชีวิต ให้คนไขว่คว้าหาสุขลวงเหล่านั้น

ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ “Happy ending” อย่างแน่นอน เพราะเหมือนกับคนที่ลอยคออยู่กลางทะเล ทิ้งห่วงยางเพื่อที่จะไปเกาะเรือแห่งความหวัง โดยที่หารู้ไม่ว่า เรือลำนั้นเป็นของลวง เป็นสิ่งไม่จริง ไม่ยั่งยืน รอวันที่จะผุพังและจมหายไป และมีทิศทางพาให้ลอยห่างฝั่งออกไปอีก หันหัวเรือไปทางโลก หันหลังให้ทางธรรม ยิ่งพึ่งพาเรือไปไกลเท่าไหร่ก็จะยิ่งใกล้นรกมากเท่านั้น

เรื่องราวของชีวิตนั้นไม่เหมือนในละคร มันไม่ได้ถูกตัดจบทันทีที่สมหวัง แต่มันจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ การไม่ทุกข์ในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทุกข์ในวันหน้า วันใดวันหนึ่งที่กุศลกรรมหมดรอบ ก็จะเป็นวันที่วิบากบาปได้ซัดเข้ามาในชีวิตเหมือนพายุที่ก่อตัวรออยู่ข้างหน้า

เรือลำน้อยที่เกาะไว้ค่อยๆผุพังไปเรื่อยๆ ในขณะที่คลื่นแห่งอกุศลกรรมจะซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ แรงเท่าที่เราได้เคยทำกรรมเหล่านั้นไว้ กรรมที่เคยไปหลอกลวงใครว่าการมีคู่เป็นสุข การแต่งงานเป็นสุข การผูกพัน ผูกภพผูกชาติเป็นสุข ผลกรรมแห่งการมอมเมาผู้อื่นด้วยความหลงผิดจนกระทั่งกลายเป็นแรงผลักดันให้คนอื่นอยากได้อยากเสพ จะกลับมาเล่นงานให้เราได้เรียนรู้ทุกข์จนสาสมใจในวันใดวันหนึ่ง ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า หรือชาติอื่นๆต่อไป

– – – – – – – – – – – – – – –

20.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักข้างเดียว กับการเรียนรู้ความผิดหวังที่จะนำไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน

July 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,532 views 1

รักข้างเดียว กับการเรียนรู้ความผิดหวังที่จะนำไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน

รักข้างเดียว กับการเรียนรู้ความผิดหวังที่จะนำไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน

ความรักข้างเดียว คือความอยากเสพที่ไม่มีวันสมหวัง เหมือนการเดินทางที่ไม่มีเป้าหมาย ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล พยายามเข้าใกล้ก็ยิ่งห่างออกไป กับความหวังที่ค่อยๆ เลือนราง จางหาย และสลายไป

แต่หลังจากที่ความหวังเดิมถูกทำลายไปด้วยความจริงจนหมดสิ้น ความหวังใหม่ก็มักจะเริ่มต้นอีกครั้งกับใครอีกคนหนึ่ง เป็นวงจร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วนเวียนไปอย่างไม่จบสิ้น ดับแล้วก็เกิดใหม่ เกิดแล้วก็ดับ แล้วเราจะสามารถหลุดจากวงจรแห่งทุกข์นี้ได้อย่างไร ต้องได้รับรักดังใจหวังอย่างนั้นหรือจึงจะเรียกว่าพ้นทุกข์ หรือมีทางอื่นที่ดีกว่านั้น?

รักข้างเดียว คือสภาพที่มีแต่ผู้เสนอ แต่ไม่มีผู้สนอง มีแต่ผู้หยิบยื่นให้ แต่ผู้รับไม่ยินดีรับ เพราะสิ่งที่ให้นั้นอาจจะไม่ดีพอ ไม่มากพอ ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ตามที่หวัง ไม่เป็นไปตามศีลธรรม แม้ผู้เสนอจะเป็นคนที่ดีแสนดี คิดดี พูดดี ทำดี แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่ผู้รับต้องการก็จะยังเป็นรักข้างเดียวไปตลอดกาล

เพราะการรับรักนั้นมีปัจจัยหลากหลายขึ้นอยู่กับผู้รับว่าต้องการอะไร นั่นหมายถึงเขามีความอยากอะไร เขาอยากได้อยากเสพอะไร เรามีพอบำเรอกิเลสของเขาหรือไม่ เราจะต้องพยายามอีกแค่ไหนที่จะแสดงตัวว่าสามารถสนองกิเลสเขาได้ เราต้องมีหน้าตารูปร่างที่งามแค่ไหนที่พอจะกระตุ้นกิเลสให้เขาหันมาอยากได้อยากเสพเรา เราต้องขยันทำงานสร้างตัวเองให้พัฒนาอีกเท่าไหร่ถึงจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขไปพอบำเรอกิเลสของเขา จนเขายอมรับการสนองกิเลสจากเรา แล้วเราต้องทำอีกเท่าไหร่กว่าจะถมห้วงเหวแห่งความอยากนี้จนเต็ม

แม้จะประสบความสำเร็จในการล่อลวงให้เขาเห็นค่าของเรา จนเขาหันมาคบหาเรา เป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา แล้วมันเป็นยังไง? เขาจะอยู่กับเราตลอดไปไหม? เราจะยังคงต้องพยายามทำอย่างเดิมไปอีกใช่ไหม? ต้องเอาใจมากกว่าเดิม ต้องบำเรอมากกว่าเดิม ต้องระวังมากกว่าเดิม ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการคอยบำเรอกิเลสเขาเพียงเพื่อจะได้เสพสมใจในรสสุขบางอย่างที่ได้จากเขา

เราต้องคอยเป็นทาสสนองกิเลสเขาไปอีกนานเท่าไหร่ ต้องทำต่อไปแบบนี้อีกกี่ชาติ เขาไม่รับรักก็เป็นทุกข์ แม้เขาจะรับรักก็ใช่ว่าจะเป็นสุขเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีวิบากกรรมและทุกข์ซ้อนเข้าไปในความสุขที่แสนหลอกลวงนั้นด้วย ทำไมเราจึงเฝ้าพยายามเติมเต็มสิ่งที่ไม่มีวันเต็ม กิเลสเป็นสิ่งที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ ไม่มีวันเต็ม ไม่มีวันที่จะสาสมใจ ต้องการไปเรื่อยๆ อยากไปเรื่อยๆ ทำไมเราจึงขยันทำในสิ่งที่ไม่มีคุณค่าและสร้างทุกข์ให้กับตนเองอยู่ เพียงเพื่ออยากได้ใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างกาย

แม้จะดูเหมือนว่าเราต้องคอยบำเรอกิเลสเขาจนกว่าเขาจะรับรัก ดูเหมือนเขาเป็นผู้ร้าย ดูเหมือนเขาเป็นคนกิเลสหนา แต่ถ้ามองให้ชัด เรานี่เองที่เป็น “ทาสกิเลส” เราโดนกิเลสตัวเองหลอกให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ให้ไปทำทุกข์ทำชั่ว ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผู้อื่นเพียงเพื่อจะได้นำเขามาเสพสมตามใจตนเอง

ผู้ร้ายตัวจริงของความผิดหวังช้ำรักไม่สมหวังก็คือตัวเราเอง ไม่ใช่ใครอื่น ต้นเหตุแห่งทุกข์คือความอยากได้อยากเสพของเราเอง เป็นกิเลสของเราเอง เรามัวแต่ไปหาสิ่งนอกกายมาบำเรอกิเลสตน ใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือในการสนองความใคร่อยากของตน โดยเอาปัจจัยที่เรามีไปล่อลวงเขา ให้เขาหลง ให้เขาอยากเสพเรา เพื่อที่เราจะได้เสพสุขจากเขาอีกที เป็นความเห็นแก่ตัวที่แนบเนียนที่สุด เพราะมาในคราบของคนรักที่แสนดี คนที่เสียสละ คนที่ยอมเสมอเพียงเพื่อให้ได้รับความรัก

ความอยากของเราทำให้เราเห็นแก่ตัว ทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนอื่นเห็นคุณค่า โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะไปเพิ่มกิเลส สร้างทุกข์ให้กับเขาหรือไม่ แม้ความรักจะเป็นความสุขตามที่หลายคนเข้าใจ แต่มันก็เป็นเพียงรักที่เห็นแก่ตัว เป็นเหมือนยาพิษที่เคลือบไว้ด้วยน้ำตาล แม้จะหวานในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ต้องทุกข์กันทุกรายไป

ความรักข้างเดียวนั้นดีแล้ว ดีกว่าที่เขาจะยอมมาคู่กับเราเพราะเราบำเรอกิเลสเขาได้ หรือเพราะเราสร้างความอบอุ่นมั่นใจให้เข้าได้ หรือด้วยเหตุผลที่แสนดีต่างๆนาๆที่ทำให้เขายอมหันมาคบเรา เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เขาหลง ทำให้เขาเสียเวลา แทนที่เขาจะได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่เป็นกุศล แต่กลับต้องมาเมามายในสุขลวงกับคนกิเลสหนาอย่างเรา

ต้องขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำที่เขาขัดใจเรา ไม่ยอมตามใจเรา ให้เราได้เรียนรู้ความผิดหวังจากความอยากของเรา เพราะถ้าเราสมหวังไปเรื่อยๆ เราก็จะเป็นคนที่หลงมัวเมา หลงติดหลงยึดในสุขลวง สร้างทุกข์ให้ตนเองและผู้อื่นอย่างไม่จบไม่สิ้น คนที่เข้ามาขัดใจเรา สร้างกำแพงแห่งความสิ้นหวังให้เรา คือผู้ที่จะมาเปิดตาเราให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง ส่วนเราจะยอมเห็นความจริงนั้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเรา หากกิเลสของเราหนาเราก็จะแสวงหาช่องทางที่จะได้เสพผู้อื่นต่อไป แต่หากเรามีปัญญาก็จะหยุดคิดว่าเราควรจะทำสิ่งใดต่อไป จะหาทางสนองกิเลสจนใครสักคนจนกระทั่งเขายอม หรือจะทำลายกิเลสในตนเองให้ไม่ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่น

ความสุขจากการได้เสพกับความสุขที่ไม่จำเป็นต้องเสพนั้นต่างกันคนละโลก จินตนาการเอาไม่ได้ ให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เดาไม่ได้เลย คนทั่วไปก็เข้าใจว่าจะมีความสุขก็ต้องได้เสพสิ่งนั้น ต้องสมหวัง เขาต้องรับรัก ต้องได้เป็นคู่กัน แต่ความสุขเหล่านั้นเป็นเพียงของลวง ไม่ยั่งยืน จางหาย เปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่ใช่แก่นสารสาระที่ควรยึดไว้

ส่วนความสุขที่ไม่ต้องเสพนั้นเกิดจากการทำลายความอยากในจิตวิญญาณจนสิ้นเกลี้ยง เกิดเป็นความสุข สงบจากกิเลส ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทุกข์เมื่อไม่ได้มา เป็นสุขที่เกิดเพราะไม่ต้องมีทุกข์จากความอยากมากัดกร่อนใจ

ดังนั้น รักข้างเดียวจึงไม่ใช่เรื่องที่แย่เลย แต่เป็นประตูสู่การเรียนรู้ให้เห็นทุกข์จากความอยากของตัวเอง เป็นก้าวแรกสู่การพ้นทุกข์

ดีแล้วที่เรารักข้างเดียว ไม่ต้องชวนใครเข้ามาทำบาป ไม่ต้องดึงใครเข้ามาร่วมวงกิเลสเป็นบ่วงเวรบ่วงกรรมของกันและกัน ไม่ต้องสร้างความลำบากให้ใครมากกว่านี้ ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความรักและความหวังดี ไม่ต้องให้เขามาทุกข์ทนเพราะความอยากที่แสนจะเห็นแก่ตัวของเรา ไม่ต้องให้เขามาหลงในคำลวงที่เราถูกลวงจากกิเลสมาอีกที

ดีแล้วที่เขาไม่รับรักเรา ดีแล้วที่ไม่ต้องผูกพันกันมากกว่านี้ ดีแล้วที่เป็นแค่เพื่อนกัน. . . ดีแล้วที่เราไม่ต้องคบกัน

– – – – – – – – – – – – – – –

14.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่าแค่รักกัน

June 20, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,451 views 0

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ว่าอะไรสำคัญไปกว่าแค่รักกัน…

ได้ดูพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอนที่ 31 มีฉากหนึ่งที่หยิบยกมาเตือนใจลูกศิษย์พระพุทธเจ้าที่กำลังอยากมีคู่ นั่นคือฉากที่นำเสนอว่าท่านไม่เก็บแม้แต่ของที่ระลึกจากนางยโสธรา โดยมีบทพูดว่า “หากข้าเก็บมันไว้ มันจะผูกมัดข้ากับกบิลพัสดุ์ตลอดกาล

…จะเห็นได้ว่าแม้แต่รอยอาลัยเพียงเล็กน้อย ก็จะไม่เก็บไว้กับตน ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่เพราะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีค่ามากกว่าจะต้องทำ หากยังเก็บรอยอาลัยเหล่านั้นไว้ ก็จะเป็นเครื่องผูกจิตไว้กับโลกีย์ตลอดกาล

เราจะได้เห็นคู่ตัวอย่างของการพ้นทุกข์นั่นคือการมีรักเพื่อทิ้ง พระพุทธเจ้าท่านผูกกับนางพิมพาแล้วก็ทิ้งมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ การพบกันนั้นก็เพื่อการพราก และท่านทำให้เราเห็นเลยว่าหากต้องการความเจริญจะต้องยอมพรากไปจากสิ่งที่เรารักที่สุด ไม่ใช่การเสพสุขไปปฏิบัติธรรมไป

เราไม่สามารถประมาณความยากหรือรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าได้เลย เพราะสิ่งนั้นเป็นหนึ่งในอจินไตย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือความเข้าใจ เหล่าลูกศิษย์จึงทำได้เพียงเข้าใจแนวคิดว่า จะต้องยอมพรากจากสิ่งที่ตนรักตนหวงแหนให้ได้ ไม่ใช่ว่ารักกันไปจนตายแล้วทำใจได้นะ แต่คือการปล่อยทั้งๆที่ยังรักนี่แหละ

ในตอนก่อนหน้านี้มีบทพูดของพระเจ้าพิมพิสารในเรื่องที่เข้ากันดีกับบทความนี้นั่นคือ “คนที่เสียสละทุกอย่าง จะได้ทุกอย่าง” จึงทำให้สรุปความได้ว่า หากอยากจะพบรักที่มากกว่า จงสละรักที่ผูกพันด้วยกิเลสนี้เสีย ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พึงสละสุขพอประมาณ เพื่อความสุขอันไพบูลย์”นั่นคือหากไม่ยอมสละความสุขในการมีคู่แล้ว จะไม่มีวันได้พบกับสุขที่มากกว่าเลย

ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ยาก มันเหมือนกับคนที่มีความสุขด้วยปัจจัยมากมายแล้วจะให้พรากสุขออกไปยังที่ที่ไม่มีอะไรเลย เขาไม่ยอมพรากกันหรอก เพราะมันไปสู่ความไม่มีอะไร และเขาก็ไม่เคยสัมผัสสุขนั้นจึงไม่มั่นใจว่าจะมีสุขอันไพบูลย์จริง จึงไม่กล้าทิ้งสุขที่ได้เสพอยู่ ทีนี้จริงๆแล้วที่ไม่มีอะไรเลยนี่มันก็มีนะ มันมีสุขอันไพบูลย์ที่เกิดจากปัญญารู้แจ้งในกิเลส มันไม่มีกิเลส มันก็เลยไม่มีอะไรเลย

สรุปความได้ว่า ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ยิ่งควรพรากออกมา เพราะสิ่งที่รักนั้นจะผูกเราไว้กับเรื่องโลก ให้หลงวนอยู่ในโลก ให้เสพสุขอยู่ในโลกตลอดกาล

โชคดีของคนที่ยังโสด เพราะไม่ต้องไปลองบทเรียนที่ยากสุดยาก ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าทำได้แล้วเราจะทำได้นะ กำลังมันต่างกัน เรายังไม่แกร่งกล้าก็อย่าไปแตะเรื่องคู่ให้มันเหนื่อยทีหลัง ส่วนคนที่มีคู่แล้ว ใช่ว่าจะทิ้งง่ายๆนะ มันต้องมีศิลปะ กว่าจะสลัดหลุดได้ต้องสู้ทั้งกิเลสตัวเอง ทั้งพยายามไม่ให้เกิดอกุศล มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจากกันโดยไม่สร้างเวรสร้างกรรมชั่วทิ้งไว้ให้ต้องรับผลภายหลัง

– – – – – – – – – – – – – – –

20.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เมื่อรักนั้นคือความหลง ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

April 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,866 views 0

เมื่อรักนั้นคือความหลง ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

เมื่อรักนั้นคือความหลง

ก็เหมือนคนติดยาเสพติด

มีให้เสพก็มีความสุข

พอไม่ได้เสพก็ทุกข์ทรมาน

 

= = = = = = = = = = =

โดยทั่วไปแล้ว…

คงยากที่ใครจะยอมรับว่า..ตนเองนั้นหลง

แต่ความจริงก็จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง

คู่รักที่ยังดูแลเอาใจใส่แก่กันและกัน

ก็จะดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังมีความสุขดี

แต่พอคนใดคนหนึ่งลดการเอาใจใส่ ด้วยเหตุใดก็ตาม

อีกคนก็จะเกิดอาการทุกข์ในจิตใจขึ้นมาทันที

 

….

 

นี่คือความเสพติดความรักเพราะความหลง

พอได้เสพมันก็หลงว่าเป็นสุข

แล้วยึดสุขนั้นไว้ว่าต้องได้เสพตลอด

ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากความสุข

ใครที่นำความสุขนั้นออกไปจากชีวิตฉัน

ก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับฉัน…

 

…โดยไม่สำคัญว่าคนนั้นจะเป็นใคร

เคยเป็นคนที่ฉันรักที่สุดหรือไม่

เคยเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ฉัน

เคยเป็นคนที่ช่วยเหลือฉันเมื่อทุกข์ใจ

แต่ถ้าวันนี้เธอพรากความสุขของฉันไป

เราจะกลายเป็นศัตรูกัน!!

….และนี่เองคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คู่รักทะเลาะกัน

 

แท้จริงแล้วความหลงก็คือความเห็นแก่ตัวดีๆนี่เอง

มันมาในภาพที่สวยหรูที่เรียกว่าความรัก

สุดท้ายแล้วก็หวังจะให้คนอื่นมาบำเรอตนเท่านั้นเอง

 

– – – – – – – – – – – – – – –

16.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)