Tag: คนคู่
ง้องอน สัญญาณแห่งคนคู่
การปฏิบัติตนเป็นโสด นี่ก็คือโสดในสภาพจิต มีจิตที่พึ่งตนเป็นหลัก ไม่หลงเสพหลงสุขกับการมีคนอื่นในชีวิต
คู่ชายหญิง ทั่วไปมันก็เห็นได้ชัด อยู่กันเป็นคู่ ๆ แม้จะไม่ได้เป็นคู่ คนเขาก็จะคิดไปได้ว่าเป็นคู่ แค่บางทีคุยกันนิดหน่อยคนเขาก็ยังคิดไปได้เลย อันนี้มันก็เข้าใจง่าย เป็นสามัญทั่วไป
แต่คู่แบบลึกลับคือ คู่เพศเดียวกัน ชาย ชาย หญิง หญิง มันจะเป็นได้ทั้งสองสภาพคือเจริญและเสื่อม
แบบเจริญก็อย่างเช่นคู่ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็เป็นเพื่อนกันมาหลายภพหลายชาติ พากันเจริญ เป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นอิสระต่อกัน ไม่ผูกมัด ไม่ยึดติดกัน
อย่างเสื่อมก็มีเรื่องของคนคู่เข้ามาเกี่ยว คือมีเพื่อนเป็นเชิงชู้สาว เป็นความรัก ความห่วงใยแบบคนคู่ ไม่ใช่แบบเพื่อน มันจะมีมิติที่แตกต่างกัน บางคู่จะแนบเนียนจนคนเข้าใจผิด เหมือนจะเป็นเพื่อนที่พาเจริญ แต่จริง ๆ เป็นพวกที่แอบเสพกันอยู่
อาการง้องอนเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเป็นหลักฐานว่าคนเหล่านั้นแม้เป็นเพื่อนก็ไม่พ้นความเป็นคนคู่ เพราะการง้องอนนั้นคือสภาพที่ยังต้องการคนพิเศษมาบำเรอตนอยู่ ถึงแม้จะเป็นคู่ชายชาย หญิงหญิงก็ยังไม่พ้นความเป็นคนคู่
ถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ จะไม่ปรากฎอาการง้องอนใด ๆ ให้เห็นเลย มันจะไม่มีความสำคัญพิเศษในสถานะเพื่อน เพื่อนก็คือเพื่อน เหมือน ๆ กับเพื่อนทั่วไป อาจจะสนิทมากน้อยต่างกันไปตามจริต แต่จะไม่มีอาการง้องอนกัน
การงอน คือสภาพเอาแต่ใจ อยากให้คนอื่นมาบำเรอเอาใจ ใช้ความเอาแต่ใจเป็นอำนาจ หมายจะข่มอีกฝ่ายให้ยอมมาบำเรอตน เพราะสำคัญตนว่าสำคัญ ว่าตนเป็นคนพิเศษ จิตจึงสร้างอาการงอนขึ้น เพื่อล่อให้อีกฝ่ายมาสนอง เป็นลักษณะของฝั่งกามในอัตตา คือเอามาเสพให้สมอัตตา
การง้อ คือสภาพเอาชนะ คนที่จะสามารถง้อได้จะถูกกำหนดไว้แต่แรกโดยผู้งอน เหมือนสร้างเกมขึ้นให้ให้ผู้เล่นได้เอาชนะไปตามโจทย์ ผู้ง้อก็คือคนโง่ที่หลงวิ่งตามเกมของคนงอน เพื่อไปถึงเส้นชัยคือหายงอน ได้อัตตาเป็นรางวัล ว่าข้าทำได้ ข้าทำสำเร็จ ข้าปราบเธอได้ ข้าทำให้เธอหายงอนได้ ทั้ง ๆ ที่จริงก็เป็นแค่หมากที่เดินบนฝ่ามือของเขา ไม่มากไปกว่านั้น เขาก็ขีดเส้นทางให้เดินไปแบบนั้นแหละ
การง้องอนจึงเป็นสภาพเสพของคนคู่ ทั้งกามและอัตตา ถ้าเอาสภาพนี้ไปจับ ไปตรวจในใจก็จะเห็นสภาพจิตที่ยังหลงความเป็นคู่ ๆ อยู่ ยังอยากเอาใครมาเสพ มาบำเรอตน ยังอยากเอาชนะใจใครอยู่
การประพฤติตนเป็นโสด คือการที่ไม่ยินดีแล้วในการเอาใครมาบำเรอ ไม่เอาชนะใจใคร ไม่มีความเก่งหรือไม่เก่ง ไม่มีคนพิเศษหรือไม่พิเศษ มีแต่เพื่อน มิตร สหาย ญาติ ไปตามที่มันควรจะเป็น ณ เวลานั้น ๆ
ความง้องอนจึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่ยังฟ้องให้เห็นถึงสภาพของคนคู่ที่จัดจ้าน รสจัด กิเลสเข้ม กามจัด อัตตาแรง จนมันออกอาการแบบโลกีย์ คำพูด สีหน้า ท่าทาง ล้วนไปทางอกุศลทั้งสิ้น ถ้ากำจัดความเป็นคนคู่ได้แล้ว จะไม่มีอาการง้องอน สะบัด ประชดประชัน หรือลีลาอาการแบบหญิง ๆ ต่าง ๆ
ประพฤติตนเป็นโสด คือความเป็นกลาง
ได้ไปเห็นความเห็นที่คนเขามองว่าการปฏิบัติตนเป็นโสด มันจะออกไปทางโต่ง ๆ ตามความเห็นของเขา อ่านแล้วก็เห็นใจเขา เพราะจริง ๆ ประพฤติตนเป็นโสดนั้น คือความเป็นกลาง เป็นทางพ้นทุกข์อย่างหาทางอื่นไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต” นั่นหมายถึงก็มีแต่คนที่มีปัญญาเท่านั้นแหละ ที่จะตั้งตนอยู่ในความเป็นโสด ท่านยังตรัสไปต่ออีกว่า “ส่วนคนเขลาฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง” นั่นก็หมายถึงคนที่เขาไม่มีปัญญา หรือที่เรียกกันว่าคนโง่ คนหลง เขาก็จะเศร้าหมองเพราะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการอยู่เป็นคู่ ๆ อยู่กับเรื่องคนคู่
ท่านยังตรัสไว้ใน พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 29 ไว้อีกว่า “บุคคลผู้มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย เราเรียกว่า เป็นบัณฑิต”
คนที่ประพฤติตนเป็นโสดนี่ทำไมถึงเป็นบัณฑิต แล้วทำไมบัณฑิตถึงไม่มีภัย นั่นก็เพราะการประพฤติตนเป็นโสด จะไม่สร้างเวรแค่ใคร ไม่มีภัยแก่ใคร เพราะไม่ทำให้ใครหลงรัก หรือหลงชัง ไม่ไปเป็นข้าศึกในวัฏสงสารอันยาวนานของเขา ออกจากวังวนแห่งการหลงสุขหลงเสพ อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ทั่วไป
การที่คนเข้าไปรักกัน ไปแสดงความรักกันนั้น ก็ยังสร้างเวรสร้างภัยให้แก่กันอยู่ ด้วยการมอมเมาด้วยกาม ด้วยตัณหา ด้วยราคะ ด้วยอัตตา ก็ตาม ดังนั้นผู้ที่สร้างเวรสร้างภัย จะเรียกว่าเป็นบัณฑิตก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าตั้งตนอยู่บนทางสายกลางก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าปฏิบัติสู่ความเจริญก็ไม่ใช่
ทางสายกลางในมิติของคนโสดคนคู่นั้น จะอยู่ตรงการประพฤติตนเป็นโสด ส่วนทางโต่งสองด้านนั้น หนึ่งคือฝั่งของการหลงไปในทิศของกาม จะหลงใหลหมกมุ่นใคร่อยากในเรื่องคู่ครอง สองคือทิศของอัตตา จะเป็นความยึดดี ถือดี หลงดี จนเกิดความชังขึ้นในจิต อธิบายง่าย ๆ ว่าเกลียดความรัก เหม็นความรักอะไรทำนองนี้ เห็นเขารักกันก็จะไม่ชอบใจ อันนี้เป็นทางโต่งในทิศของอัตตา
แต่บัณฑิตที่ประพฤติตนเป็นโสดนั้น จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง เห็นว่าเขาติดกามก็เห็นใจเขา เพราะเขาหลงไปสุข ไปเสพกับสิ่งลวง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็มัวเมาอยู่กับกาม เขาก็ให้ค่ามัน ให้ความสำคัญกับมันเป็นธรรมดา แค่เขาหลงเขาก็ทุกข์พออยู่แล้ว มันก็น่าเห็นใจ
ส่วนทิศอัตตานี่ก็น่าสงสารอีก เขาจะยึดดีจนอึดอัด กดดัน บีบคั้น มีแต่รังสีอำมหิต เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วยความยึดดี มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรใครเลย ทำลายทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง ดีไม่ดี ตบะแตก อดทน อดกลั้นการมีคู่ไหมไหว กลับไปหาฝั่งกามก็มีเยอะเหมือนกัน ก็คล้าย ๆ พวกทำเป็นเก๊ก แล้วสุดท้ายใจแตก ก็น่าเห็นใจเขา
ความจริงมันก็ไม่มีอะไรน่ายึด เพียงแต่มันจะมีจุดอาศัยที่พอดี เป็นกลาง เป็นความเบาสบาย ถ้าทั้งสองฝั่งคือพื้นที่ที่มีไฟลุกเผาใจอยู่ทุกวี่วัน การประพฤติตนเป็นโสดจนหลุดพ้นจากความอยากมีคู่ก็คือตรงกลางระหว่างนรกทั้งสองฝั่ง เป็นแดนสวรรค์ของจิตที่พ้นจากความเดือดเนื้อร้อนใจ
ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า บัณฑิตคือผู้ที่มีความเกษมสำราญในธรรม ไม่มีเวรไม่มีภัยแก่ใคร ใครจะมีคู่ก็เข้าใจ ใครจะชังการมีคู่ก็เข้าใจ แต่ก็จะทำงานของตนต่อไปคือเผยแพร่สิ่งที่ดี ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” เมื่อมีความรู้ ก็ควรจะแบ่งปันแจกจ่ายเป็นธรรมทาน เก็บไว้ หวงไว้ ซ่อนไว้ ไม่แบ่งแจก ก็เหมือนพรามห์ผู้เห็นผิดในโลหิจจสูตร ที่เห็นว่าผู้บรรลุธรรมนั้นไม่ควรเปิดเผยธรรม
พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้อีกว่า ธรรมะของท่าน ยิ่งเปิดเผย ยิ่งเจริญ แต่คนที่เขาไม่มีปัญญาเขาจะไม่ชอบใจหรอกนะ เขาจะค้านแย้ง ดังที่ท่่านได้ตรัสไว้ว่า ธรรมที่พาพ้นทุกข์ อสัตบุรุษจะไม่ยินดี ไม่ชอบใจ ให้พาออกจากกาม ออกจากอัตตานี่เขาจะไม่เอา เขาจะแย้ง มันก็เป็นธรรมดาของโลก ที่จะมีความเห็นทั้งสองทางมาค้านกัน
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดต่าง จะเข้าใจว่าทางสายกลางกลางกามก็เป็นสิทธิ์ที่พึงทำได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำตามใจของตน และผลกรรมก็เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนพึงได้รับเช่นกัน ทำดีก็ได้รับผลดีสะสมไว้ ทำชั่วก็ได้รับผลชั่วสะสมไว้ ก็ให้อิสระในการเลือกกันเองว่าจะทำอะไรแบบไหน
โสดข้ามปี
ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เป็นโสดข้ามปี เพราะอย่างน้อยก็พ้นการผูกด้วยเวร การข้องเกี่ยวกันด้วยอกุศลกรรมกันไปอีกปี
ก็คิด ๆ อยู่เหมือนกันว่า เรานี่ก็โสดข้ามมาหลายปีแล้ว มันก็สุขสบายดี ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องกังวลใด ๆ
ผมเข้าใจคนมีคู่นะ ว่ามันทุกข์อย่างไร แต่เขาจะเข้าใจว่าผมไม่ทุกข์อย่างไรนี่ก็ไม่หวังว่าเขาจะเข้าใจนะ
การมีคู่ข้ามปีนี่มันต้องแบกรับความหวัง ความกดดัน ความบีบคั้นของหลาย ๆ อย่าง เชื่อไหมมันไม่เป็นสุขหรอก เพราะเขาก็ต้องการของเขา เราก็ต้องการของเรา มันก็บีบคอกันเพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้นนั่นแหละ ถ้าแลกเปลี่ยนกันได้ สมยอมกันได้ มันก็รอดพ้นไปเป็นครั้ง ๆ
แต่คนคู่นี่มันไม่มีวันลงเอยด้วยคำตอบเดียวกันทุกครั้งหรอก เพราะมันคนละคนกัน มีอุปาทาน มีตัณหา มีภพ ต่างกันไป คนหนึ่งชอบภูเขา อีกคนชอบทะเล คนหนึ่งอยากอยู่บ้าน คนหนึ่งยอมฝ่ารถติดไปเที่ยว คนหนึ่งอยากประหยัดเงิน อีกคนจะเอาเงินไปเสพสุขวันปีใหม่
แล้วเทศกาลปีใหม่นี่ต้องยอมรับเลย มีแต่กาม กับกาม ของกินอร่อย ๆ อากาศดี ๆ วิวสวย ๆ กลิ่นหอม ๆ เสียงเพราะ หรือเสียงพลุก็ยังเป็นสิ่งเสพได้ สุดท้ายก็สัมผัส ตั้งแต่สัมผัสของของกินจนไปถึงเรื่องอื่น ๆ
คนคู่เขาจะอยู่กันได้ เขาต้องบำเรอกัน มันมีรายจ่ายทั้งที่เป็นเงินและไม่ใช่เงิน เป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเลยในชีวิต เพื่อแลกมาซึ่งการได้เสพสมใจบางอย่างตามที่ตนยึดไว้
ลองไม่บำเรอกันดูสิ บ้านแตก เอาแบบธรรมะเข้ม ๆ เลยก็ได้ ไม่สัมผัสร่างกาย ไม่มองตา ไม่คุยด้วย อันนี้ฐานอนาคามีในพระไตรปิฎกนะ เรียกว่าบ้านแทบแตก ไปฟังธรรมะพระพุทธเจ้ามา บรรลุธรรม กลับไปบ้านเปลี่ยนเป็นคนละคน เมียจิตตกหนัก สุดท้ายฝ่ายเมียไปบวชกับพระพุทธเจ้า บรรลุเป็นพระอรหันต์ (อ้าว…)
ที่ยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้มันแบบคนดีในอุดมคติละนะ เอามานำแปะหัวไว้ก่อน ทีนี้มาแบบคนทั่วไปบ้าง ลองไปบำเรอกันดูสิ ไม่งอนก็ทะเลาะ บ้านแตกล่ะทีนี้ มันก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นการอยู่เป็นคู่สุดท้ายมันก็ต้องยอมบำเรออีกฝ่ายอยู่ดี เพราะเขาต้องใช้เราเป็นสิ่งเสพ เป็นอาหาร พอเขาไม่ได้อาหาร เขาหิว เขาก็ร้องโวยวาย จะไปบำเรอเขามันก็เป็นบาป จะไม่ทำอีกมันก็อึดอัดกดดันอีก
นักปฏฺิบัติธรรมที่อยู่ในสภาพคู่ ก็ยังต้องทนเป็นผู้บำเรอต่อไป ยังมีสถานะเป็นทาสรัก เพราะเขาไม่ปล่อย ต้องอยู่ให้เขาเสพกามเสพอัตตาจากตัวเราไป ค่าตัวเรายังไม่สูงพอ ธรรมเรายังไม่เข้มพอ มารก็เลยเอาบ่วงคล้องคอไว้ได้นาน ถ้าปฏิบัติธรรมเข้ม ค่าตัวจะมากตาม เขาต้องจ่ายแพงเพื่อที่จะรั้งเราไว้ ไม่นานเขาหมดกุศลที่เคยทำร่วมกันมันก็หลุด แต่พวกค่าตัวถูก ศีลไม่เข้มก็อยู่ไปแบบดอกเบี้ยผ่อนบ้าน 20-30 ปีนู่น
ดังนั้นคนโสดไม่ต้องน้อยใจไป ว่าเรานี้อยู่เป็นโสดข้ามปี ให้เราทำใจให้ยินดีว่า ชีวิตเราไม่ได้ล่อลวงใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้ทำให้ใครมาหลงรักเรา ไม่ได้พาใจเราไปหลงรักใคร
การอยู่เป็นโสด คือสถานะของผู้ที่ไม่เบียดเบียนใคร พากเพียรอยู่เป็นโสด คนมีธรรมะเขาก็รู้กันว่าเป็นบัณฑิต เราโสดข้ามปีได้แสดงว่าเรามีของเก่ามาดี มีพอให้ปกป้องเราข้ามพ้นไปอีกปี แม้มันอาจจะไม่ได้เสพสุขตามที่ใจอยาก แต่มันก็ไม่ทุกข์มาก
ลองไปดูคนที่เขาแต่งงานแล้ว ส่วนใหญ่ดูไม่จืด ยังไม่รวมกับที่เขาไม่เปิดเผยนะ เวลาเขาทะเลาะกัน โกรธกันนี่เขาไม่เอามาพูดกันมากหรอก เขาก็เอาแต่ตอนดี ๆ มาโชว์เท่านั้นแหละ
เหมือนกับนิทานที่มันตัดจบตรงที่เจ้าหญิงเจ้าชายแต่งงานกัน เพราะหลังจากนั้นมันจะมีแต่ทุกข์ไง เขาเลยตัดจบตรงนั้น ให้คนฝัน ๆ เอา อย่าไปเชื่อคำลวงโลกมาก ไม่มีหรอกสุขแท้น่ะ มีแต่สุขลวง
สุขลวง คือสุขที่ปั้นขึ้นมาเองว่ามันเป็นสุข เหมือน เอาก้อนหินมาอมแล้วหลงว่ามีรสอร่อย เพราะจินตนาการรสขึ้นเอง เหมือนเด็กที่หลงในของเล่นชิ้นนั้นชิ้นนี้ พอโตมาไปเล่นของเล่นนั้นก็ไม่สุขเหมือนเคยแล้ว เพราะตอนเสพมันปั้นรสขึ้นมา พอเสพไปนาน ๆ มันจะชิน มันจะไม่สุขเหมือนตอนเสพแรก ๆ แล้วความจริงจะปรากฎ
ที่คนเขาไปแต่งงานกัน เพราะเขาหลงว่ามันจะมีรสสุขมากกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟน พอความจริงเปิดเผย พอวิบากกรรมที่เคยบังตาจางคลายเท่านั้นแหละ จากที่เคยชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้ นกจะกลับมาเป็นนก ไม้จะกลับมาเป็นไม้ แล้วปัญหาคือมันแต่งงานไปแล้ว ออกไม่ง่ายแล้ว เหมือนตอนโสดจะแก้ปัญหา มันก็มีสมการแค่ตัวแปรเดียว 2x+1=9 อะไรแบบนี้ พอมีคู่ไปแล้วสมการมันจะไม่ใช่แค่ตัวแปรเดียว มันจะไม่ใช่แค่ 2 ตัวแปรธรรมดา มันจะติดนั่นติดนี่เต็มไปหมด สารพัดสูตรสมการ ใส่เข้ามาเถอะ จะหารกี่ชั้น จะยกกำลังกี่รอบ จะซับซ้อนแค่ไหนก็ไม่ยากเท่าไขสมการคนคู่
ดีแค่ไหนแล้ว ที่เรายังเป็นโสดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ใครเลิกกันแล้วก็ไม่ต้องหวนคืนสังเวียนเพราะ สภาพคนคู่คือสภาพที่ต้องรบกันอยู่เรื่อยไป มันจะเหนื่อยมาก ถ้าไม่อยากเหนื่อย เป็นคนดูก็แล้วกัน ให้คนที่เขายังมีความอยากมาก ๆ เล่นในสังเวียนนี้ต่อไป เราอย่าไปเล่นกับเขาเลย
แนะนำข้อมูลสำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะอยู่เป็นโสด หรือไปมีคู่
ผมเชื่อว่า จะมีคนแสวงหาข้อมูลเหล่านี้เสมอ แน่นอนว่าหลายคนก็คงจะชัดเจนในความต้องการของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะไปในทางอยากจะไปมีคู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะศึกษาทุกข์ โทษ ภัย ผลเสียของการไม่คู่ไม่ได้ ถ้ายิ่งคนที่อยากจะมีคู่แล้วเป็นทุกข์น้อย ลำบากกายใจน้อย ยิ่งต้องศึกษาที่จะดำรงชีวิตให้เป็นไปในทางผาสุก
สำคัญคือคนโสดที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ยิ่งจะต้องหาองค์ความรู้ที่จะมาแก้ไขความอยากได้อยากมี ในความเป็นคนคู่ของตนเอง แพทย์วิถีธรรมคือหนึ่งในองค์กรที่สนับสนุนให้คนเป็นโสด ดังนั้นจึงมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการอยู่เป็นโสด จนถึงการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นโสดมากพอสมควร ก็แนะนำให้ลองติดตามไปศึกษากันได้ครับ
สำหรับข้อมูลของผมก็มีแบ่งปันไว้ในหน้านั้นด้วยครับ ก็ให้สัมภาษณ์กับเขาด้วย ถ้าจะอ่านในเว็บนี้ก็กดอ่านได้ที่
โสดดีหรือมีคู่ – ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ก็จะมีเกริ่นกันเพิ่มมาสักนิดหน่อย แต่ถ้าสนใจศึกษาแบบภาพรวมก็เข้าไปชมได้ที่ หน้าเว็บ โสดดีหรือมีคู่