Tag: โสด
โสด แก่ตัวไปใครจะดูแล
โสด แก่ตัวไปใครจะดูแล
ความแก่และความเจ็บป่วยเป็นปัญหาที่ทำให้คนโสดหลายคนเป็นกังวล แม้ว่าจะไม่ได้คิดมีคู่เพื่อเสพสุขอะไร แต่ก็ยังอยากมีครอบครัวไว้เพื่อประกันอนาคตตัวเอง ซึ่งความกังวลเหล่านี้จะหมดไปหากเข้าใจในเรื่องกรรม
การมีครอบครัว มีคู่ครอง มีลูกหลาน ไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่าจะมีคนดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า แม้หน้าตาของมันจะดูเหมือนว่าจะมีในตอนแรก แต่ก็ไม่แน่ว่าสุดท้ายเมื่อถึงเหตุการณ์นั้นจริงจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีให้พบเห็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน ว่าพ่อแม่แก่เฒ่าที่ถูกทิ้งไว้ลำพัง คู่ครองหรือลูกหลานที่เคยหวังว่าจะได้มาช่วยกันกลับต้องเป็นภาระแก่กันและกัน หรือไม่ก็ด่วนจากไปก่อนก็มีถมไป
คนที่มีกรรมที่จะต้องถูกทิ้งให้เดียวดายไปจนแก่ ไม่มีคนดูแล ก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้น ส่วนคนที่มีกรรมที่จะต้องมีคนดูแล ถึงจะมีครอบครัวหรือไม่มีก็ตาม เขาก็จะต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้นเหมือนกัน
ในที่นี้ก็จะกล่าวกันถึงในบริบทที่ไม่พูดถึงกรรมเก่าเลย คือไม่มีกรรมที่จะมีคนมาดูแลเลย เพราะไม่เคยทำกรรมดีนั้นไว้ แล้วเราจะทำอย่างไร กรรมใหม่ที่เราจะทำนั้นจะทำได้ดีแค่ไหน ลองมาเปรียบเทียบกันในมุมคนมีครอบครัวกับคนที่ไม่มีครอบครัวกัน
คนมีครอบครัว(มีคู่)
… ขอบเขตในการทำกรรมดีของคนมีคู่จะกระจุกอยู่ที่คู่ของตน ลูกหลานของตน อย่างดีก็จะไปถึงวงญาติของตน แต่การจะขยายออกไปทำดีกับคนอื่นๆนั้นมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ทำได้ไม่เต็มที่ กรรมส่วนใหญ่จึงไปมีน้ำหนักตกอยู่กับคู่ครองและลูกหลาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ครองและลูกต้องมาเป็นผู้ใช้กรรมนั้น ความดีที่ทำไปแล้วก็สะสมผลดี เป็นกุศลกรรมให้ตนเองได้รับผลนั้น ในวันใดวันหนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่ง
คนไม่มีครอบครัว(โสด)
… คนโสดนั้นไม่มีข้อจำกัดในการทำกรรมดี สามารถช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ สามารถเอาชีวิต เอาเวลาทั้งหมดไปทำกรรมดีได้เลย ยกตัวอย่างเช่น การดูแลพ่อแม่และญาติก็สามารถทำได้สะดวกกว่าคนคู่ หรืองานจิตอาสา คนโสดก็สามารถเอาเวลาว่างจากการทำงานทั้งหมดไปสร้างกรรมดีได้มากมาย เอาไปดูแลคนอื่นได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคู่ครองหรือลูก ไม่ต้องมีบ่วงหรือภาระที่คอยฉุดรั้งไม่ให้ทำดี
โดยเฉพาะกิจกรรมที่เป็นกุศลมาก เช่นการบวช หรือการปวารณาตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คนโสดก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ สามารถสร้างกรรมดีได้มากเท่าที่เขาจะมีปัญญาทำได้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีโอกาสที่จะสร้างกรรมดีได้มากกว่าคนมีครอบครัวมาก ทั้งหลากหลายกว่า ทั้งมีปริมาณมากกว่า และมีโอกาสที่จะได้ไปใกล้ชิดกับหมู่คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากกว่าวนเวียนอยู่กับครอบครัวตนเองและหมู่ญาติ
แล้วใครจะดูแลคนโสด?
สัจธรรมที่เราไม่สามารถหนีพ้นได้เลย คือ เรามีกรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าเราจะทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราต้องได้รับผลของกรรมนั้นอย่างแน่นอน
นั่นหมายความว่า กรรมดีที่ได้ทำนั้นก็จะดูแลคนทำที่กรรมนั้นเอง กรรมจะจัดสรรเหตุการณ์ให้ได้รับผลกรรมดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่ใช้ชีวิตเพื่อดูแลคนอื่น ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้น เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ดูแลลูก ก็จะได้รับผลของกรรมดีนั้นในวันใดวันหนึ่ง คนโสดก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่มีคู่ครองหรือลูกหลาน แต่ถ้าหากเขาใช้เวลาที่มีนั้นเสียสละตนเอง ดูแล ช่วยเหลือ เกื้อกูลผู้อื่น เขาย่อมได้รับผลกรรมเหล่านั้นเช่นกัน
การที่เรามุ่งทำกรรมดีเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราหวังจะให้ใครเข้ามาดูแลเรา เราเพียงแค่มุ่งทำกรรมดีให้มากที่สุดเท่าที่พอจะมีกำลังทำได้ ส่วนผลนั้นจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม เราไม่หวังผลดี แต่เรามุ่งทำดี เพราะเรารู้แน่ชัดในใจอยู่แล้วว่า ทำดีก็ต้องได้ดี ไม่ได้ชาตินี้ก็ได้ชาติหน้า
ซึ่งในกรณีที่มีผลกรรมดีมาส่งผลให้มีคนมาดูแลในยามแก่ชราแม้จะโสดนั้น จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่ทำกรรมดีไว้มากพอเท่านั้น ทำเท่าไหร่ก็ได้รับผลเท่านั้น ไม่มีขาด ไม่มีเกิน ซึ่งคนที่หลงระเริงในชีวิต ไม่เคยก่อกรรมดี ก็ย่อมไม่ได้รับผลเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นกังวลเรื่องความเป็นอยู่ในอนาคตเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อคนโสดกลัวเรื่องอนาคตก็ต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ หาสิ่งที่จะมาผูกมัดให้อนาคตของตนมั่นคง หาตัวช่วยให้ตนได้ทำกรรมดี และสุดท้ายก็จะเปลี่ยนจากคนโสดเป็นคนคู่ที่พัฒนาความสัมพันธุ์ไปจนเป็นครอบครัวไปในที่สุด
คนโสดที่เข้าใจเรื่องกรรม จะไม่กังวลในจุดนี้ จึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งใดๆมาประกันอนาคตของตัวเอง เพราะรู้ดีว่ากรรมดีที่เราทำนี่แหละ คือสิ่งที่จะประกันอนาคตของเรา ดังนั้นเขาจึงแสวงหาโอกาสในการสร้างกรรมดี เข้าร่วมกิจกรรมที่จะสร้างกรรมดี อยู่กับหมู่คนที่จะพากันทำกรรมดี และเข้าหาผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการสร้างกรรมดี
สรุป…ถ้าถามว่าคนโสดจะพึ่งใคร ก็ตอบว่า ก็พึ่งพากรรมของตัวเองนั่นแล
– – – – – – – – – – – – – – –
9.9.2558
โสดสงบเสงี่ยม
ผมเห็นกระทู้ (มีครอบครัวนี่มันดียังไง ผู้หญิงได้แต่งงานนี่คือชีวิตsuccessหรอคะ? ทำไมผู้หญิงอยากมีผัวกันจัง : http://pantip.com/topic/34141842 )
แล้วก็มานั่งนึก เรานี่ก็ไม่มีอาการอย่างเขาเลยนะ เคยโดนถามเหมือนกัน ว่าทำไมโสด ไม่กังวลอนาคตอย่างนั้นอย่างนี้หรอ… แต่ก็ไม่เคยรู้สึกลำบากที่จะตอบคนที่ถามเลยนะ
…เขาถามทีไรเราพูดคุณประโยชน์ของความโสด โทษของการมีคู่จนเขาแทบจะหนีเลยก็ว่าได้ (บางทีคนเขาไม่อยากฟัง มันขัดความเชื่อของเขา)
ถ้าจะให้เถียงกันนี่ก็คิดว่าไม่แพ้ใครหรอกนะ แต่ไม่เถียงหรอก เอาชนะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เราก็โสดเหมือนเดิม เขาก็อยากมีคู่เหมือนเดิม เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
อาการอึดอัดใจของเจ้าของกระทู้ที่ยกมานี้ เป็นลักษณะของ”อัตตา” มักจะมีในคนโสดมือใหม่ ซึ่งอาจจะต้องฝึกขัดเกลาอัตตากันอีกซักหน่อย ก็จะสามารถตอบคนที่สงสัยเกี่ยวกับความโสดได้อย่างวิจิตรพิศดารจนเขาเข้าใจและไม่คิดจะถามอีกเลย ….แต่คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็ไม่คิดจะถามเหมือนกันนะ
ผู้หญิงที่เป็นโสดจะลำบากกว่าผู้ชายที่เป็นโสด เพราะมักจะถูกสังคมไทยมองแปลกๆ ซึ่งเราก็ต้องทน “โลกธรรม” ที่จะเข้ามากระแทกให้ได้ ถ้าเรามั่นใจว่าโสดนั้นดีจริงก็ไม่ต้องกังวลอะไร โสดต่อไปให้เขาเห็นและเรียนรู้ความจริงนั้นก็พอ
สงบนิ่งไว้เป็นหลัก อย่าออกอาวุธโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นก็ตอบเท่าที่เขาถาม
มีคู่รักหรือโสด แบบไหนดี?
อ่านเอาไว้ตรวจสภาวะในใจตนเองได้ดี ปักธงลงไปตรงกลางก่อนว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”
คนที่เอนเอียงไปทางรัก เห็นดีเห็นงามกับการมีคู่ คือโต่งไปทางด้านกาม
ส่วนคนที่เอนเอียงไปทางเกลียดหรือไม่ชอบการมีคนรัก คือโต่งไปทางด้านอัตตา
…รักหรือชังก็ทุกข์ทั้งคู่แหละนะ อย่าเก็บมันไว้ให้ใจเป็นทุกข์เลยจะดีกว่า
ติดตามอ่านต่อได้ในกระทู้ : คนมีความรักกับอยู่แบบคนโสดๆ อันไหนดี ??
โสดก็ดี มีคู่ก็ทนเอา
หลายๆบทความที่ชี้ทุกข์ในการมีคู่ ชี้นำให้โสดนี่เหมาะกับคนที่ยังโสดเป็นหลักเลยนะ ให้รักษาความโสดไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบสละโสด
อ่านบทความไปพิจารณากันไป ถึงจะคบหาดูใจกันอยู่ ก็ดูกันไปก่อน ดูกันไปนานๆ อย่าเพิ่งรีบผูกมัดกันด้วยร่างกายและสมมุติโลกต่างๆเลย ถึงเวลาอยากออกจริงๆมันจะออกยาก เพราะติดไปแล้ว ผูกพันไปแล้ว
เวลาผ่านไปนานๆ เดี๋ยวกิเลสก็เริ่มออกลีลาเอง พอทั้งคู่ไม่ได้อย่างใจตนก็ตอนนั้นแหละ ก็ดูกันไป พิจารณากันไป
……..
ทีนี้คนมีคู่มาอ่าน ก็ไม่ใช่ว่าต้องสละคู่เลยนะ มันไม่ง่ายนะ ถึงจะทำได้แต่มันก็มีวิบากบาปติดมาด้วยเหมือนกัน เรียกว่าไม่คุ้ม ยกเว้นเช่นว่าขอเขาไปบวชตลอดชีวิตแล้วเขาอนุญาตอย่างเต็มใจ แต่ต้องบวชตลอดชีวิตจริงๆนะ แล้วชีวิตเขาจะต้องอยู่ได้ปกติโดยไม่มีเราด้วย …เห็นไหมว่ามันยาก มันมีเงื่อนไขยิบย่อยเยอะมาก
คนมีคู่นี่เขามีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้กัน เป็นคู่เวรคู่กรรม ก็ทนๆใช้กรรมกันไป วันหนึ่งเราทำดีมากพอ เขาก็ปล่อยเราหลุดจากความเป็นคู่เอง ถ้าร้ายๆก็เขาไปมีคนใหม่ ไม่ก็ตายไป ถ้าดีๆหน่อยก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน (เห็นไหมว่าสุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนกันอยู่ดี)
ส่วนใครที่ทนทุกข์อยู่ไม่ต้องไปโทษใครหรอก ทำมาเองทั้งนั้น กรรมตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ชาติก่อนหรอก ก็ชาตินี้แหละ หลงไปแต่งงานกับเขาเอง ตอนเขามาผูกพันก็ไปหลงสุขหลงเสพกับเขาเอง มันก็ต้องใช้กรรมกันไป