Tag: แก่นแท้

ความฝันสีชมพู

September 28, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,764 views 0

ความฝันสีชมพู

ความฝันสีชมพู

ถ้าคนเราเลือกได้ ก็คงอยากจะมีความฝันดีๆทุกคืน และอยากให้ฝันเหล่านั้นกลายเป็นจริงเข้าสักวัน จึงได้เฝ้าฝันทั้งในยามหลับตาและยามลืมตา เฝ้ารอว่าวันใดวันหนึ่ง ฝันที่เคยหวังจะเป็นจริงดังที่เฝ้าฝันไว้

แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถฝันดีได้ทุกวัน บางวันเราก็ฝันร้าย หรืออาจจะไม่ได้ฝันอะไรเลย เหมือนกันกับชีวิตจริงที่อะไรก็ไม่เป็นไปดังฝัน แม้จะได้ดังใจหวัง ความสุขสมใจก็จะอยู่กับเราสักพักแล้วก็จะจางหายและจากไป

เหมือนกันกับความรัก เรามักเฝ้าฝันว่าเราจะได้พบกับคนที่ดี พบกันวันเวลาที่ดี พบกับรักที่ดี เราเชื่อเสมอว่าเราจะเจอสิ่งที่ดี เหมือนกับเรากำลังอยู่ในความฝัน แม้ว่าความจริงที่เกิดขึ้นรอบกายนั้นจะแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของความรักให้เห็นอย่างชัดเจน มีคู่รักหลายคนต้องเจ็บปวดทรมานความรักนั้นไม่สมหวัง มีคู่แต่งงานมากมายที่ต้องจบเรื่องราวความรักของพวกเขาไป เป็นความจริงที่ดูเหมือนจะโหดร้าย ทำไมมันต้องจบแบบนั้นทั้งที่ในตอนแรก ใครๆก็คิดว่าความรักของตนนั้นสวยงามที่สุด

คนที่คบหากัน เคียงข้างกัน แต่งงานกันด้วยความยินยอมต่อกัน ไม่มีใครสักคนที่จะคิดไปว่ารักของพวกเขานั้นจะพังทลายลงไปในวันใดวันหนึ่ง เรามักพูดกันแต่ในมุมของความเจริญ แต่กลับมองข้ามความเสื่อม ทำให้คู่รักหลายคนจมอยู่ในภาวะของความฝัน ความหวัง และอุดมคติจนกระทั่งวันหนึ่งความจริงได้พรากความฝันเหล่านั้นจากเขาหรือเธอไป

แต่นักฝันมักไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ ถึงเห็นก็ทำเป็นไม่เห็น และแม้จะเห็นก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ยังคงเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้เจอกับคนที่เหมาะสมกับตน คนที่มอบความรักให้กับตนคนที่จะเข้ามาเติมเต็มกิเลสให้กับตนได้เขาจึงเฝ้าฝันอย่างไม่สนใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เหมือนกับคนที่เดินเล่นอย่างเพลิดเพลินใจอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยสงคราม

ยังมีนักฝันจำนวนมากที่เคยข้ามผ่านความเจ็บช้ำจากความรัก การพบรัก การจากลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาและเธอเหล่านั้นก็ยังมีความฝัน ที่จะได้เจอกับรักแท้เข้าสักวัน โดยลืมไปว่ารักที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นก็เริ่มด้วยความรู้สึกที่คิดว่ารักเหล่านั้นเป็นรักแท้ทั้งสิ้น ลืมไปว่าเคยมั่นใจกับสิ่งเหล่านั้น เคยมั่นใจว่ารักนั้นดีจึงได้คบหาผูกพัน จนกระทั่งทุกอย่างจบลง นักฝันกลับกลบเรื่องในอดีตไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้แผลในอดีตไปทำลายฝันใหม่ที่ตนเองกำลังสร้างขึ้น

ซึ่งเขาเหล่านั้นก็มักจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่รู้ว่าสาเหตุของความผิดพลาดนั้นมาจากอะไร ได้แต่เฝ้าฝันว่าใครสักคนที่แสนดี ที่เพียบพร้อมอย่างใจต้องการ และพร้อมจะเข้าใจความคิดของเราจะมาเข้ามาในชีวิต

เหมือนกับคนที่ปิดตาตัวเองเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาใครสักคน พอไปเดินไปเจอกับต้นไม้ก็เผลอไปกอดเพราะคิดว่าเป็นคน แล้วก็เปิดตามาดูจึงพบว่าไม่ใช่ เก็บความผิดหวังนั้นไว้ ว่าแล้วก็ปิดตาเดินหาใครสักคนต่อไป ในป่ากว้างใหญ่…ซึ่งไม่มีคน

วิธีการที่จะเจอใครสักคนที่ดี ไม่ใช่การเฝ้าฝัน หลับหูหลับตาหาไปอย่างงมงาย แต่เป็นการเปิดตา เปิดโลกให้กว้างขึ้นว่าการที่เราจะได้สิ่งใดมาสักอย่างนั้น ต้องเกิดจากการที่เราทำอะไรสักอย่างที่เหมาะสมเช่นกัน ถ้าเราทำดีเข้ามากๆ ทำดีอย่างไม่หวังผล กุศลจะผลักดันให้เราเปลี่ยนจุดที่ยืนอยู่ จากป่าที่ไม่มีคน ก็อาจจะพบเจอใครได้บ้าง บางคนเข้าวัดทำบุญทำทาน แต่ไหว้พระทีไรก็เอาแต่ร้องขอในสิ่งที่ตนอยากได้เป็นการแลกเปลี่ยนทุกที ถ้าทำแบบนี้การจะได้เจอใครที่ดีก็คงจะเป็นไปได้ยาก

เช่นเดียวกับการทำชั่ว ถ้าเราทำชั่วมากๆ อกุศลก็อาจจะผลักดันให้เราเปลี่ยนจุดที่ยืนอยู่ จากป่าที่ไม่มีคน ก็อาจจะพบใครได้บ้างบางคนเข้าผับเข้าบาร์ หวังว่าจะเจอใครสักคน อันนี้ก็พอจะเป็นไปได้ เพราะถ้าเราขยันทำชั่ว ขยันเข้าไปในที่อโคจร เราก็อาจจะได้พบกับคนที่เหมาะสมกับความชั่วกับเราในวันใดวันหนึ่งก็ได้

การพบใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ควรสนใจคือใครคนนั้นจะเข้ามาทำให้เกิดสิ่งใดในชีวิตเรา การมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง สิ่งที่เราได้จากความรักที่เคยผ่านมานั้นเป็นอย่างไร แล้วรักใหม่นั้นจะดีจริงหรือ เขาจะบำรุงบำเรอกิเลสให้เราได้ตลอดไปจริงหรือ หรือเขาแค่จะมาหาผลประโยชน์จากเราแล้วจากไป

เราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความฝันและความจริงในเรื่องความรักกันอีกหลายภพหลายชาติ บางคนเจอความผิดหวังไปกี่ครั้งก็ยังไม่เข็ด ยังเฝ้าฝันปิดหูปิดตาตามหาความรักต่อไป บางคนแค่ได้ยินเรื่องของคนอื่นก็ถึงกับขยาดกับความรัก บางคนได้พบเจอเรียนรู้และผิดหวังในความรักก็สามารถที่จะเข้าใจคุณค่าและสาระของความรักได้

คนผู้มีปัญญาจะเข้าใจแก่นแท้ของความรักได้ เขาก็จะไม่วิ่งหา ไม่แสวงหา ไม่ยึดไว้เป็นของตน ไม่เหนี่ยวรั้ง ในขณะที่นักฝัน ก็ยังคงวิ่งตามหาความรัก แสวงหาใครสักคนที่จะพอให้ตนได้เสพสมใจ พอได้มาก็ยึดเขาไว้เป็นสมบัติของตน พอเขาจะจากไปก็พยายามจะเหนี่ยวรั้งไว้ และสุดท้ายจึงต้องพบเจอกับการจากพราก เกิดเป็นทุกข์ เป็นความเศร้าโศก คร่ำครวญรำพัน เสียใจ คับแค้นใจ วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป อย่างไม่มีวันจบสิ้น

– – – – – – – – – – – – – – –

28.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เข้าวัดทำบุญนิสัยแย่

September 20, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,717 views 0

เข้าวัดทำบุญนิสัยแย่

เข้าวัดทำบุญนิสัยแย่

เรื่องนี้มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้หลงเข้าใจผิด ทำให้พุทธศาสนิกชนที่ไม่ได้ศรัทธาอย่างจริงจังนึกสงสัยว่า การทำบุญและการเข้าวัดนั้นดีจริงหรือ ในเมื่อคนที่เข้าวัดทำบุญ ยังมีนิสัยที่โกรธ โลภ หลงมัวเมาอยู่เหมือนเดิม ดีไม่ดียังมีอาการเมาบุญเข้าไปอีก ทำให้หลายคนเกิดความลังเลสงสัย หรือแม้กระทั่งเสื่อมศรัทธาในศาสนา

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คนที่เข้าวัดทำบุญส่วนใหญ่นั้น เป็นคนที่หาที่พึ่งทางจิตใจ เพราะจิตใจของเขาเหล่านั้นอ่อนแอ เปราะบาง สับสน วิตก กังวล สงสัย ไม่เข้าใจ วัดจึงเหมือนเป็นศูนย์รวมคนป่วยทางจิตใจและผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ไปรวมกันมากมาย ทีนี้กุญแจของเรื่องนี้ก็คือ พระสามารถเป็นหมอที่จะรักษาจิตใจหรือให้ปัญญาแก่ผู้แสวงหาทางเดินของชีวิตได้หรือไม่ สามารถสอนให้คนเป็นคนดีได้หรือไม่

ถ้าพระของวัดนั้นๆ สอนแค่เรื่องทำบุญทำทาน ไม่สอนลดกิเลส คนที่ไปก็อาจจะกลายเป็นเมาบุญ แย่งกันทำบุญ เพราะกลัวตัวเองจะต้องตกนรก กลายเป็นดงผีเปรตโลภเสพบุญกันในวัดนั้นแหละ

มันไม่ผิดเลยถ้าพระที่วัดนั้นๆจะสอนธรรมแค่ระดับการทำทาน ถือศีลหรือทำสมถะในแบบทั่วไป นั่นเพราะท่านก็อาจจะเข้าใจแค่นั้น ซึ่งเอาเข้าจริงๆ พระก็คือคนธรรมดาที่ห่มผ้าเหลืองไปเรียนรู้ธรรมนั่นแหละ ส่วนท่านจะมีความรู้มากแค่ไหนก็อยู่ที่ความเพียรของท่าน ปัญญาที่ท่านมีไม่ได้มีเพราะผ้าเหลือง แต่มีเพราะความเพียรในการศึกษาเรื่องทางธรรมของท่าน แต่หลักสำคัญอยู่ที่ว่า ปัญญาและความรู้นั้น เป็นความรู้ที่สามารถพาลดกิเลส หรือทำได้แค่เยียวยาทุกข์ หรือจะกลายเป็นพาสะสมกิเลส ดังเช่นพระที่ใช้เดรัจฉานวิชาในทุกวันนี้

ดังจะเห็นได้ตามที่กล่าวมา อย่าว่าแต่คนไปวัดเลย พระในวัดก็อาจจะไม่ได้เก่งขนาดที่ว่าจะสอนให้คนพ้นทุกข์ ทีนี้คนทุกข์กับคนทุกข์มาอยู่ด้วยกันมันก็ทุกข์ไปด้วยกันนั่นแหละ มีแต่จะทุกข์น้อยทุกข์มากเท่านั้นเอง พระก็มีทุกข์มีกิเลสของพระ โยมก็มีทุกข์มีกิเลสของโยม ในเมื่อล้างกิเลสกันไม่เป็น ก็เลยพากันเสพกิเลสเพื่อจะได้เสพสุขพักหนึ่งเท่านั้น

การปฏิบัติสมถะทั้งหลาย คือการพานั่งสมาธิ เดินจงกรมนั้น หากได้ศึกษาและเรียนรู้ขอบเขตของการทำสมถะจะพบว่าเป็นการปฏิบัติที่มีเป้าหมายในการทำจิตให้นิ่ง กดข่มจิต ดับความคิด การทำสมถะนี้ ไม่สามารถทำให้บรรลุธรรมใดๆได้ ไม่สามารถทำให้ลดกิเลสได้

สามารถลองดูด้วยตัวเองก็ได้ เช่น วางขนมอร่อยๆที่ชอบไว้ตรงหน้า ทีนี้นั่งสมาธิเข้าภวังค์ไปเลย 1 ชั่วโมง 1 วัน 3 วัน 7 วัน แล้วออกมากิน ถามว่า ความอร่อยนั้นจะลดลงไหม? ความสุขจากเสพลดลงไหม? ไม่ลดลงหรอก เพราะความอร่อยถูกสร้างจากวิญญาณที่มีกิเลส เมื่อไม่ได้ดับกิเลส มันก็ยังรู้สึกอร่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ

การทำสมถะคือการดับความคิด ดับจิต ถ้าเก่งมากก็ดับสัญญา คือดับความจำได้หมายรู้กันไปเลย แต่ไม่ได้ดับกิเลสนะ ศาสนาพุทธสอนให้ดับกิเลส ไม่ได้ดับความคิด ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ทำตัวเป็นผู้ไม่รู้ ไม่ตื่น ผู้เฉยๆ

รู้ในที่นี้ คือรู้แจ้งเรื่องกิเลส ตื่นตัวไม่หลับใหลเมามายในอวิชชาหรือความโง่ที่พาให้หลงไปในกิเลส ผู้เบิกบานนั้นเกิดจากความปล่อยวางความเศร้ามองที่เกิดจากกิเลสในใจ

การปฏิบัติแบบพุทธต้องมีเป้าหมายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะปฏิบัติกันไปผิดๆ จึงได้ผลแบบไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จากคนเข้าวัดทำบุญมากมาย แต่นิสัยแย่ ขอลาไปปฏิบัติธรรม 7 วัน กลับมายังเอาเปรียบยังนินทาคนอื่นเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะเขาปฏิบัติมาผิดทาง สอนกันผิดทาง หรืออาจจะสอนถูก แต่คนผู้นั้นมีบาปมาก ไม่ตั้งใจเรียนก็อาจจะทำให้ฟังมาผิดๆ

ในสมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว มีคนที่ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งนาน แต่ก็กลับไปแบบไม่ได้อะไร ขนาดมหาบุรุษที่เก่งที่สุดในจักรวาลให้สัจจะอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่สามารถเข้าใจและเกิดปัญญาใดๆได้ เหตุการณ์ดังนี้ก็มีให้เห็นมาแล้ว

ดังนั้น การไปเข้าวัดทำบุญ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้กลายเป็นคนดีได้เลย ดังจะเห็นตัวอย่างในสังคมทุกวันนี้ คนที่เขาทำไม่ดี ทำชั่ว เขาก็ไปวัดทำบุญเหมือนกันกับเราใช่ไหม แต่ทำไมเขาก็ยังไม่หยุดทำชั่ว ไม่หยุดทำเลว ยังโกหก ปลิ้นปล้อน หลอกลวงอยู่เลย

แก่นแท้ของการไปเข้าวัดทำบุญก็คือไปพบปะครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถในการสอนสั่งเราไปในทางที่ลด ละ เลิก การยึดมั่นถือมั่นได้ สามารถสอนให้เราล้างกิเลสได้ โดยสามารถบอกขั้นตอนได้อย่างละเอียดพิสดาร เข้าใจได้ไม่ยากนัก ไม่ซับซ้อน เราก็ไปพบท่าน ฟังสัจธรรมจากท่าน แล้วนำมาปฏิบัติจนเกิดผล คือกิเลสเราลดได้จริง นั่นแหละทางถูกที่ควร

แต่ถ้าใครไปวัดทำบุญ เพียงแค่ทำบุญ ใส่บาตร ฝึกสมถะ ก็เหมือนไปเอาแต่เปลือก แต่สะเก็ด เอาแต่ใบ เอาคุณค่าแค่บางส่วน ไม่ได้เอาแก่น เหมือนคนเข้าป่าไปหวังจะเอาแก่นไม้ แต่ก็เด็ดใบไม้กลับบ้านไป แล้วหลงเข้าใจว่าใบไม้นั้นเป็นแก่น แล้วมันจะเป็นคนดีได้อย่างไร….

– – – – – – – – – – – – – – –

20.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์