Tag: ชู้

ทำไมจึงนอกใจ

July 28, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,995 views 1

ทำไมจึงนอกใจ

ได้อ่านกระทู้ที่เข้ามาเสนอความคิดกันในเรื่องที่ว่า ทำไมถึงนอกใจ? ทำไมถึงมีคนอื่น? ผมอ่านแล้วก็คิดว่าน่าจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ไว้หน่อย เพราะน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยังไม่ชัดเจนว่าแท้จริงนั้นปัญหาเกิดจากอะไร

เมื่อความเป็นครอบครัวสั่นคลอน

ไม่ว่าคู่ครองจะเลวร้ายอย่างไร ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไปมีคนใหม่ เพราะความจริงนั้นเราสามารถทำให้ถูกต้องได้ คือพูดคุยทำความเข้าใจ ว่ากำลังเกิดปัญหาอะไรขึ้น แล้วหาวิธีที่จะร่วมกันแก้ปัญหา นี้คือสภาพที่ใจยังเป็นครอบครัวอยู่ ยังไม่เอาอัตตาเป็นใหญ่ แต่เอาครอบครัวเป็นใหญ่ ถ้าไม่ยินดีจะปรับปรุงทั้งคู่ จะเลิกรากันด้วยความเข้าใจก็ทำได้ แต่ถ้าจะไปหักอีกคนหนึ่งเพื่อเอาตัวรอดนั้น ก็เป็นการก่อเวรโดยไม่สมควร การเลิกกันนั้นควรเป็นความสมัครใจและไม่สร้างความแค้นเคืองใจแก่กันและกัน จากนั้นจะไปมีคนใหม่หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เราไม่สมควรทำตัวเหมือนเด็กที่ทิ้งของเล่นชิ้นเก่าแล้วไปสนุกกับชิ้นใหม่เพราะเบื่อได้ เพราะคนนั้นต่างจากวัตถุ มีชีวิตจิตใจ ที่สำคัญคือมีการจองเวรจองกรรม หากเราทำร้ายจิตใจเขา เขาก็มีสิทธิที่จะโกรธแค้นอาฆาตเราได้ บางครั้งทำร้ายกันแค่ในชาตินี้ชาติเดียว แต่เขาก็ถึงกับสาปแช่งจะจองเวรจองกรรมกันไปทุกชาติก็มี

ในตอนแต่งงานเราก็ต้องเตรียมตัวยอมรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลังแต่งงานอยู่แล้ว แต่ในความจริงน้อยคนนักที่จะยอมรับชีวิตแต่งงานได้ นั่นเพราะไม่รู้จริงว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร แต่ก็มีหลายคู่ที่ยอมทนทุกข์เพื่อที่จะได้เสพสุขบางอย่าง คนทนได้ก็ทนไป แต่คนที่ทนไม่ได้ก็มักจะเกิดปัญหา

การครองคู่นั้น จะต้องร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่เกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาแล้วก็สร้างอีกปัญหาหนึ่ง การมัวแต่โทษอีกฝ่ายนั้นไม่เกิดผลดีอะไร เพราะเมื่อเป็นครอบครัวแล้ว จะต้องแก้ปัญหาแบบครอบครัว ไม่ใช่แก้แบบฉันแก้ เธอแก้ แยกเป็นส่วนตน ไปตามอัตตาของแต่ละคน แน่นอนว่าส่วนตนก็ต้องแก้ แต่ต้องเอาความผาสุก ความสามัคคีของครอบครัวเป็นที่ตั้งด้วย บางครั้งการแก้ปัญหาอาจจะไม่ตรงจุดเสียทีเดียว แต่ก็ต้องยอมอะลุ่มอล่วยกันไปบ้าง ทั้งนี้ทิศทางที่ปัญหาจะคลายลงไปได้คือการแก้ไปสู่การลดความโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย ถ้าทำตรงข้ามจะเป็นการพอกพูนปัญหา

สาเหตุของการนอกใจ

การที่คนเรานอกใจคู่ครองไปหาคนอื่นนั้น ไม่มีสาเหตุอะไรนอกจากความใคร่อยากของตัวเองที่มากไปกว่าระดับของศีลธรรมที่ตนมี เพราะถ้าคนมีศีลธรรมสูง ถึงจะเจอปัญหาก็จะไม่ออกจากกรอบศีลธรรมนั้นๆ ของตน แต่ที่ออกจากกรอบศีลธรรม นั่นเพราะไม่เคยมีกรอบศีลธรรมนั้นจริงนั่นเอง

ศีล ๕ นั้นคือข้อปฏิบัติพื้นฐานสู่ความมั่นคงในการเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีศีล ๕ อย่างตั้งมั่น แบบที่เห็นว่ามี วันหนึ่งอาจจะไม่มีก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นไปตามสภาพการพัฒนาของจิตวิญญาณ คนจะเจริญได้มันต้องจากต่ำมาสูง ไม่มีใครสูงตั้งแต่แรก ดังนั้นคนโดยมากจิตจึงแกว่งอยู่ระหว่างภพของมนุษย์ กับเปรต อสูร เดรัจฉาน ฯลฯ ไปจนกว่าจะเต็มรอบ จึงจะเป็นมนุษย์ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์ได้นั่นเอง

เมื่อคนเรามีพื้นฐานศีลธรรมไม่เท่ากัน นั่นหมายถึงการแก้ปัญหาของคนที่ต่างกัน ถ้าคนมีศีลธรรมสูง เขาจะแก้เฉพาะปัญหาที่เกิด จะไม่สร้างปัญหาใหม่ ที่นอกกรอบศีลธรรมนั้นๆ แต่ถ้าคนไม่มีศีลธรรม เขาก็จะแก้ปัญหาโดยไม่มีกรอบ เอาความพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งอาจจะนำมาสู่ปัญหาใหม่

การนอกใจนั้นไม่ใช่เรื่องของกรรมบันดาล แต่เป็นเรื่องของเจตนาที่คนคนหนึ่งตั้งใจทำด้วยเหตุอันมี ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลเหตุ

เมื่อคนเรามีกิเลสมาก และมีกรอบศีลธรรมต่ำ จึงมีแนวโน้มที่จะนอกใจได้ง่าย เมื่อเขามีราคะมาก เขาจึงมีความใคร่อยากในการเสพกามที่มาก เมื่อกรอบศีลธรรมต่ำ เขาจะไม่สนใจสิ่งใด ขอแค่ให้ตนได้เสพก็พอ, เมื่อเขามีโลภะมาก เขาจะไม่พอใจในการได้ครอบครองคู่เพียงแค่คนเดียว เขาจะอยากได้อยากเสพมากขึ้นไปอีก ให้มีสำรองไว้บำเรอเขามากๆ, เมื่อเขามีโทสะมาก เขาจะไม่มีสติที่จะรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ทุกคนจะผิดยกเว้นเขา คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดีดั่งใจเขา เขาก็จะใช้ความผิดของคนอื่นตามที่เขาเข้าใจนี่แหละ เป็นเหตุผล เป็นน้ำหนัก เป็นความเห็นอกเห็นใจที่เขาจะนอกใจได้อย่างชอบธรรมตามที่เขาคิด ทั้งหมดนั้นคือความหลงของเขา(โมหะ) เพราะเขาหลงว่าการนอกใจเป็นสิ่งที่ดี หลงว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ หลงว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ เขาจึงยินดีนอกใจ แม้ว่ามันจะสร้างปัญหาอีกมากมายก็ตามที

คนกิเลสมากก็มักจะมีศีลธรรมต่ำเป็นธรรมดา เขาจะไม่มีปัญญารู้ถึงโทษของสิ่งที่กระทำลงไป เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หลายคนมักจะเห็นว่าการนอกใจของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นคำตอบของชีวิต เป็นสิ่งที่สมควรเลือก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นอกใจ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นความเห็นที่สร้างแต่ความฉิบหายให้ชีวิต นี่คือสภาพของคนที่หลง

จริงๆ ตอนแต่งงานนั่นแหละ คือตอนที่คนคิดจะหยุดแล้ว พร้อมแล้ว พอใจแล้วกับคนที่จะแต่งงานด้วย ถ้าไม่โดนคลุมถุงชนหรือท้องก่อนแต่งโดยมากก็จะเป็นเช่นนั้น แต่เขาคิดแต่ตอนนั้น เขาไม่รู้จักกิเลสตัวเอง เขาไม่รู้ว่ามันไม่รู้จักพอ กิเลสมันอยากได้อยากเสพไม่มีหยุด มันก็เลยนอกใจในท้ายที่สุด พร้อมด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ว่าการนอกใจที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากปัญหาของครอบครัวหรือสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ความจริงปัญหามันอยู่ที่ตัวศีลธรรมของผู้ที่นอกใจเอง

ตอนที่เราเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ ตกลงกัน แต่งงานกัน หลายคู่ก็จะมีคำมั่นสัญญา ที่ดูซาบซึ้ง อบอุ่น มั่นคง จริงใจ เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ซึ่งตอนนั้นเขาก็มักจะคิดอย่างนั้นจริงๆ จะอยู่คู่กันไปจนแก่เฒ่า เขาก็คิดแบบนั้นกันจริงๆ ทีนี้วันหนึ่งเขาก็ผิดสัจจะของตัวเอง นี่ไปผิดศีลข้อ ๔ อีก การนอกใจคู่นี่พาให้ผิดศีลทุกข้อนั่นแหละ เรียกว่าลากลงนรกกันไปเลย

ถ้ามันผิดคำสัญญาแล้วไปทางเจริญกว่า เช่น จะไปบวชไม่สึก ไปแสวงหาความผาสุกที่ยิ่งกว่า นี่มันก็ไปทางธรรมะ แต่ถ้าผิดคำสัญญาแล้วไปทางเสื่อม เช่นไปนอกใจ มีกิ๊ก มีชู้ มีเมียน้อย นี่มันไปทางอธรรม โลกนี้ไม่เที่ยงอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าไปยึดสัญญาว่าเที่ยง อย่าไปหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ดังนั้นถ้าเขาผิดสัญญาแล้วไปทางธรรมะมันก็น่าอนุโมทนา แต่ถ้าเขาผิดสัญญาแล้วไปทางอธรรมก็ควรจะเมตตาเขา เพราะคนที่เห็นการผิดศีลเป็นสิ่งดีนี่เขาก็สร้างทุกข์ให้ตนเองมากพออยู่แล้ว เราจะไปเหยียบย่ำซ้ำเติมให้เขาลงนรกลึกลงไปอีกทำไม

รู้อย่างนี้แล้วคนที่คิดจะนอกใจก็อย่าไปพยายามหาเหตุผลให้มันมากมาย ถึงมันจะมีเหตุผลที่ดูดีแค่ไหน แต่กรรมจากการนอกใจคู่ครองนั้นให้ผลเจ็บแสบกว่าที่คิดแน่นอน เพราะการผิดศีลในระดับต่ำกว่าศีล ๕ ก็เหยียบภพที่ต่ำกว่ามนุษย์ทั้งนั้น ส่วนคนที่ทำไปแล้วก็ควรสังวร ยอมรับบาปที่ได้ทำลงไป ยอมรับว่ากิเลสเรานี่มันร้าย อย่าไปโทษคนอื่น เรียกว่ายอมรับผิด แล้วแก้ไขจิตที่บิดเบี้ยวให้มันถูกตรง จะมีโอกาสเจริญได้ในวันใดวันหนึ่ง

แต่โดยสามัญของกิเลสแล้ว เมื่อมีกามมาก ก็จะมีอัตตามากเป็นเงาตามตัว ผู้ที่ผิดศีลผิดธรรมนอกใจคู่ครอง ก็ใช่ว่าจะยอมรับกันได้ง่ายๆ เพราะอัตตานั้นเอง คือตัวที่จะขวางกั้นไม่ให้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริง คนมีอัตตาจัด จะสำคัญตนผิด จะเอาตนเป็นหลัก โลกจะหมุนรอบตน ทุกคนต้องบำเรอตน ตนไม่มีวันผิด ถึงตนผิดก็ผิดน้อยกว่าผู้อื่น เมื่อผู้มีอัตตาจัดทำผิด ความจริงจึงถูกบิดเบี้ยว ไปโทษคนนั้นที คนนี้ที จึงเป็นความเสื่อมที่ต่อเนื่องของผู้ที่ผิดศีลนั่นเอง

ล้างใจจากคนนอกใจ

ทีนี้หลายคนที่ถูกคู่ครองนอกใจก็มักจะเป็นทุกข์ โกรธ ผูกโกรธ อาฆาต จองเวรจองกรรม บางคนก็สาปแช่ง ว่าให้เขาเจอแบบที่เราเจอ เขาถึงจะได้รู้สึกว่ามันชั่ว มันทุกข์ มันทรมานแค่ไหน … ก็นี่ไง เรากำลังเจออยู่นี่ไง การที่เราถูกเขานอกใจนี่แหละคือผลกรรมที่เราเคยหลงทำมา ชาติใดชาติหนึ่งเราก็หลงมาเหมือนเขานั่นแหละ เราก็เลยต้องมารับผลกรรมที่เราทำมาในชาตินี้

ดังนั้นจะไปโกรธคนที่นอกใจมันก็ไม่ถูก เพราะสิ่งนั้นเราทำมาเอง เป็นผลจากเหตุของเราเอง แล้วเราจะไปโกรธแค้นชิงชังรังเกียจเขาทำไม ในเมื่อเราก็เคยทำสิ่งนั้นมาก่อน จริงๆ แล้วเราควรจะเมตตาเขาด้วยซ้ำ นี่เขาหลงอยู่นะ เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่รู้ดีรู้ชั่ว เรื่องศีลธรรมนี่มันก็พอจะบอกกันได้ แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้งถึงโทษภัยของการไม่มีศีลธรรมนี่มันต้องเรียนผิดเรียนถูกกันอีกหลายชาติ สรุปคือเราไม่ควรจะไปจองเวรจองกรรมเขาอีก ผลกรรมใดที่เรารับแล้วก็จบไป ไม่ต้องไปต่อความยาวสาวความยืด แล้วก็ทำความเข้าใจและเมตตาเขา คนมีกิเลสก็แบบนี้ คนหลงก็แบบนี้ คนไม่มีศีลธรรมก็แบบนี้ ก็เรานี่แหละที่หลงเลือกเขามาเป็นคู่เอง สุดท้ายปัญญาเราก็เท่านี้ จะไปหวังให้เขาดีอะไรกันมากมาย เขาก็ดีได้เท่าที่เขาจะดีนั่นแหละ

ส่วนคนที่เขานอกใจ เขาก็ต้องเรียนรู้จากการรับผลกรรมจากการกระทำนั้นอีกหลายชาติ จนกว่าเขาจะรู้ซึ้งว่าการนอกใจนี่มันชั่วนะ มันไม่ดีนะ มันไม่มีประโยชน์ มันทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นนะ พอเขามีปัญญาเต็มรอบ เขาก็จะเลิกทำเอง พอเขาเลิกทำชั่ว ทีนี้มันก็จะเหลือแต่รับผลกรรมชั่วที่เขาเคยทำมาเท่านั้น นั่นคือ ชาติใดชาติหนึ่งในอนาคต แม้เขาจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เขาก็จะเจอกับคนที่มาทำผิดศีลต่อเขา มานอกใจเขา เหมือนอย่างที่เราต้องมารับผลกรรมในวันนี้

นั่นหมายถึงว่าไม่ว่าเราจะทำดีแสนดี เป็นคนดี มีศีลธรรมแค่ไหน เราก็จะต้องเจอกับผลกรรมที่เราทำไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อเราไม่อยากเป็นทุกข์? เราก็ต้องล้างกิเลสในส่วนของเรา ส่วนที่เราจะไปผิดศีลนั้นเราอาจจะไม่ทำแล้ว แต่ถ้าคนอื่นมาทำผิดศีลกับเราแล้วเรายังชั่วอยู่ไหม? ชั่วในส่วนนี้คือ เรายังไปหลงชิงชังรังเกียจ เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท จองเวรจองกรรมกับเขาอยู่หรือไม่ เรายังมีความหลงไม่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรมอยู่หรือไม่ นี่คือส่วนของความชั่วที่เราจะต้องชำระล้างบาปในตัวเรา

บาป หรือกิเลสของเขา เขาก็ต้องล้างของเขา เราบอกได้ก็บอก ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยวาง แต่บาปของเรา เราก็ต้องล้างเอง จะรอให้รับผลกรรมชั่วหมดแล้วมีแต่คนดีรอบตัวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ นั่นหมายความว่าไม่มีวันที่จะมีอะไรสมบูรณ์แบบอย่างที่ใจเราคิด ดังนั้นถ้าเราหมั่นล้างความยึดมั่นถือมั่นในความสมบูรณ์แบบ ล้างความยึดดีถือดี พร้อมกับวางใจ ให้อภัยกับความผิดพลาดของผู้อื่น เราก็จะได้พบกับความผาสุกที่มั่นคงและยั่งยืนในวันใดก็วันหนึ่ง

27.7.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ให้อภัยใจแข็ง

December 5, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,331 views 0

ให้อภัยใจแข็ง

ให้อภัยใจแข็ง

…เมื่อการให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับมาเคียงคู่กันเสมอไป

การใช้ชีวิตไปพร้อมกับการมีคู่รักก็คงต้องกระทบกันมากบ้างน้อยบ้างเหมือนลิ้นกับฟันอยู่ด้วยก็ต้องกระทบกันเป็นธรรมดา เมื่อคนสองคนที่มีความเข้าใจ ความคิดเห็น ความต้องการที่ต่างกันมาอยู่ร่วมกันแล้วความไม่ลงตัวย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นกัน

หากการทะเลาะเบาะแว้งนั้นเกิดจากเรื่องที่พอจะตกลงปรับความเข้าใจกันได้ ก็มักจะให้อภัยกันได้ง่าย ยอมให้กันได้ง่าย แต่หากเหตุแห่งการไม่พอใจกันนั้นเกิดขึ้นเพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำปัญหามือที่สามเข้ามาในชีวิตคู่ เช่นมีกิ๊ก คบชู้ มีเมียน้อยผัวน้อย การจะให้อภัยจนถึงการตัดสินใจต่อจากนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนขึ้นมาทันที

อย่างที่เรารู้กันว่าการคบชู้นั้นผิดศีลข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อคนที่รักกัน ไว้ใจกัน เชื่อใจกัน ถึงขั้นที่สามารถทำลายศรัทธา ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งหมดที่เคยมีมาได้เพียงแค่รับรู้เรื่องราวการผิดศีลนั้น เมื่อมีผู้ผิดศีลจึงมีผู้ถูกเบียดเบียน และผู้ถูกเบียดเบียนด้วยกายวาจาและใจนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเลือกกรรมที่จะรับต่อไป

1).ไม่ให้อภัย

คนที่ถูกคู่รักทำลายความเชื่อมั่นที่เคยมี นั้นมีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่ให้อภัย ไม่ยกโทษ ไม่เผาผี ไม่ต้องมาพบมาเจอกันอีกเลยในชาตินี้ เหตุเกิดจากความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานที่โดนหักหลัง โดนทำลายความไว้ใจ ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่มีคุณค่า ฯลฯ

พอเราเสียสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้หรือเสียคู่ของเราให้กับคนอื่นไป คือการพลัดพรากจากของรัก เสียสิ่งที่รักไป แม้ว่าเขาจะกลับมาขอคืนดี ยอมเลิกกับชู้ แต่สิ่งที่รักนั้นไม่ใช่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียวยังหมายรวมถึงความเชื่อใจ ความสบายใจ ความอบอุ่นใจที่ได้ใกล้ชิดกัน เมื่อเสียสิ่งเหล่านี้ไป ก็จะเกิดอาการขุ่นเคืองไม่พอใจ โกรธ ผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท ได้ตามระดับความรุนแรงของกิเลส

หากถามว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้อภัยไหม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำกับเราช่างดูโหดร้ายเหลือเกิน ก็จะตอบว่ามีสิทธิ์ที่จะเลือกกรรมนั้น แต่หากพิจารณาดีๆแล้วอภัยทานนั้นเป็นทานที่มีกุศลมาก เป็นบุญมาก นั่นเพราะเป็นทานที่มีผลต่อการตัดกิเลส คือตัดความโลภ โกรธ หลง

2).ให้อภัย

การที่เราให้อภัยนั้นหมายถึงเราได้ยอมลดความโกรธที่มี ยอมทำลายความหลงที่มีในตัวเขา ทำลายความหลงติดหลงยึดว่าคู่รักต้องดีต่อกันเสมอ ยอมรับความจริงใหม่ที่เกิดขึ้นและเข้าใจว่าอดีตที่เราได้รับไปนั้นเกิดจากกรรมที่เราทำมาเอง เป็นสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด อภัยทานคือทานที่ไม่เป็นภัยแก่ใครเลย เมื่อเราดับความโลภโกรธหลงได้ เราก็จะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการสั่งสมกิเลส และจะไม่ไปทำร้ายใจใครด้วยกิเลสของเราเช่นกัน

คนที่เขาผิดศีลนั้นทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่ไว้ใจกัน เขาก็ทำบาปมากพอแล้ว ทำชั่วมากพอแล้ว การที่เราจะไปซ้ำเติมเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า แม้ว่าเขานั้นจะมาทำร้ายจิตใจของเราก็ตาม เพราะเรารู้ตามจริงว่าการที่เขามาทำร้ายจิตใจของเรานั้นเป็นเพราะกรรมของเราดลให้เขาทำเช่นนั้นกับเรา ถ้าเราไม่เคยทำกรรมชั่วมามันก็ไม่มีทางได้รับ เพราะฉะนั้นเราจึงยินดียอมให้อภัยและรับกรรมนั้นเป็นของตนเองโดยไม่โทษใคร

เมื่อเราให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคืองกับเขาแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ตอนที่เขาได้นอกใจเราและเรื่องเปิดเผยออกมาแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับสถานะโสดกลับมาเป็นของเราอีกครั้ง ความโสดเป็นสมบัติที่มีค่าของเรา และเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับความโสดนั้นกลับมาเช่นกัน

ในกรณีเมื่อเราให้อภัยจนหมดใจแล้ว คือไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่อาฆาต ไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มีความขุ่นเคืองใจใดๆ ยอมรับกรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เมื่ออดีตคนรักมาขอร้องให้ช่วยให้อภัยเขาและกลับมาคบกันเหมือนเดิม ในส่วนของการให้อภัย เราสามารถให้อภัยได้หมดใจ แต่ในส่วนของการกลับมาคบกันเหมือนเดิมเราสามารถเลือกที่จะกลับไปคบหาหรือไม่กลับไปคบหากันเหมือนเดิมก็ได้

2.1).ให้อภัยใจอ่อน

มีหลายคนที่เลือกให้อภัยกับอดีตคู่รักที่ได้พลั้งพลาดเผลอตามกิเลสไปให้ผิดศีล แล้วยังใจอ่อนรับเขากลับเข้ามาในชีวิต ซึ่งการยอมให้เขากลับเข้ามาในชีวิตนั้นไม่ใช่ความต่อเนื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นการตัดสินใจใหม่ซึ่งเราได้เลือกตัดสินใจบนพื้นฐานจากข้อมูลเก่าที่มี เพราะเราเห็นดังเช่นว่า เขาน่าจะปรับปรุงตัวได้ เขาน่าจะสำนึกผิดแล้วไม่ทำอีก เขาน่าจะเข็ด น่าจะขยาดกับความผิดนี้ ในส่วนนี้เป็นเพราะความใจอ่อน เห็นใจเขา เมตตาเขา เห็นเขาอ้อนวอนแล้วสงสารอยากให้โอกาส ซึ่งถ้าพิจารณาจากข้อมูลเท่านี้ก็อาจจะทำให้ผิดพลาดได้ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสาเหตุที่เขานอกใจคืออะไร อาจจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ใช้ในการเป็นข้ออ้าง

ถ้าเรามองไม่ทะลุถึงเหตุที่แท้จริง ถ้าความรักยังบังตาอยู่ เราก็จะไม่สามารถเห็นกิเลสที่ผลักดันเขาได้ ซึ่งตรงนี้เองเป็นเชื้อร้ายที่สามารถกลับมากำเริบเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อการให้อภัยหรือการกลับมาคบกันไม่ได้มีผลไปลดกิเลสของเขา ความใจอ่อนในครั้งนี้อาจจะเป็นบทเริ่มของละครเรื่องเก่าที่นำมาเล่าใหม่ก็ได้

ในอีกมุมหนึ่งของความใจอ่อน คือมันอ่อนที่ตัวเราเอง อ่อนที่กิเลสเราเอง เรารู้ว่าเขาผิดศีลแล้วนะ เขาชั่วแล้วนะ แต่เราก็ยังรักเขา หวงเขา อยากได้เขากลับมา แม้เขาจะเคยทำผิดพลาดขนาดไหน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาอ้างมา แต่ด้วยความอยากได้เขาคืนมา เราก็พร้อมจะยอมใจอ่อนให้เขากลับมาเสมอเพียงแค่เขาแสดงท่าทีสำนึกผิดให้รู้สึกสมใจเราสักนิดหนึ่ง ภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า “ถ้ามาง้อสักหน่อยก็จะยอมคืนดี

หลายคนที่เวลาอดีตคนรักทำผิด ในช่วงแรกมักจะโกรธรุนแรง มีท่าทีผลักไส ทำท่าจะไม่เอา ไม่คบ ไม่อยากเจอ ทำเก๊ก มีฟอร์ม ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของการ “งอน” ซึ่งจะมีความรุนแรงกว่าการงอนทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสุดท้ายก็จะพ่ายแพ้ด้วยการ “ง้อ” สรุปได้ว่าสุดท้ายก็ท่าดีทีเหลว ใจอ่อนตั้งแต่แรกแต่ก็ทำใจแข็งไปอย่างงั้นๆให้ดูดีเท่านั้นเอง

ในมุมนี้จะเป็นตัวเราเองที่ชักศึกเข้าบ้าน อย่างที่กล่าวอ้างมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าไม่สามารถดับเหตุหรือกิเลสที่เขาไปนอกใจได้ ผลหรือการนอกใจก็อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และส่วนมากเราจะใจอ่อนด้วยสาเหตุนี้เพราะเราเองก็มีกิเลสมาก อยากเสพเขาอยู่มาก ไม่สนใจว่าเขาจะชั่วจะเลวแค่ไหนขอให้ได้เสพเขาเป็นพอ เรากำลังเอาเขามาสนองกิเลสของเรา ซ้ำร้ายคนที่เราเอามานั้นยังเป็นคนบาป คนที่ทำชั่ว คนที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทั้งเราทั้งเขาก็กิเลสหนามันก็จะกลับมาเสพกันได้อยู่พักหนึ่งแล้วสุดท้ายมันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่พอใจกัน จนเป็นเหตุให้มีคนใหม่หรือเลิกรากันอยู่ดี

ถ้าถามว่าการให้อภัยดีไหม ก็ตอบเลยว่าดีที่สุดในโลก แต่การกลับมาคบกันนั้นดีไหม ก็จะตอบว่าแล้วแต่เหตุปัจจัย ซึ่งโดยน้ำหนักแล้วคนที่นอกใจนั้นเป็นคนไม่ดี แล้วเรายังจะเสียดายคนไม่ดีไปทำไม จะเอาคนชั่ว คนบาปกลับมาในชีวิตทำไม

เราสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ในระยะที่เหมาะสม พอให้เกิดกุศล ให้มีระยะห่างที่ตัวเราปลอดภัย สบายใจ ไม่เดือดร้อน ไม่กังวล หากจำเป็นต้องใกล้ก็ให้ระวังใจตัวเองไว้ให้ดีๆ อย่าไปพลั้งเผลอใจอ่อนเพราะเขามาง้อหรือเราอยากเสพเขาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

การที่เราใจอ่อนรับเขากลับเข้ามาในความสัมพันธ์ใดหรือในระยะใดก็ตาม ตัวเราเองได้กำหนดกรรมที่เราจะได้รับไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นในอนาคตเราจึงต้องรับกรรมนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งจะสุขน้อยทุกข์มาก หรือทุกข์มากจนทุกข์เกินทนนั้นก็สุดแล้วแต่กรรมจะบันดาล

2.2).ให้อภัยใจแข็ง

ในกรณีที่เขาทำผิดแล้วสำนึกผิดมาขออภัย เราสามารถให้อภัยเขาได้หมดใจ ไม่คิดแค้น แต่ไม่เอากลับเขาเข้ามาในชีวิตก็ได้ ซึ่งในมุมนี้คนจะมองเหมือนกับว่าเราไม่ให้อภัย ทั้งที่จริงการให้อภัยกับการรับเขากลับเข้ามาเป็นคนละเรื่องกัน

การที่เราให้อภัยเพราะเรามีจิตเมตตา ทั้งยังเห็นโทษของการจองเวร มีจิตพยาบาทผูกโกรธกันต้องมาชดใช้กันหลายภพหลายชาติ ซ้ำร้ายกิเลสที่เกิดขึ้นยังเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เราจึงให้อภัยเพื่อตัวเราและผู้อื่น

และด้วยเหตุที่เรารักตัวเรามาก เราจึงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้กลับมาทำร้ายเราอีก แม้จะดูมีความเสี่ยงน้อย แม้จะเหมือนว่าเขาจะสำนึกผิด ยอมรับผิดทุกอย่าง แม้จะดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดอีก แต่เราก็จะไม่ยอมเสี่ยงอีกเลย ก็คือการไม่กลับไปคบหาเป็นคนรัก ไม่เสี่ยงเพราะไม่ได้เล่นในเกมพนันครั้งนี้ เมื่อไม่เสี่ยงก็ไม่ต้องทุกข์เพราะกลัวจะเสียไป และไม่ต้องทุกข์ในยามเสียไป ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะการพรากในการตัดสินใจครั้งนี้อาจจะเป็นความทุกข์ที่น้อยกว่าทุกข์ในอนาคตมากนัก

เมื่อได้มองเห็นทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นแล้ว เราก็ปิดประตูทุกข์ ปิดทางทุกข์ไปเลยเสียดีกว่า ยอมให้ตัวเองเสียเขาไปวันนี้ดีกว่าต้องทุกข์ทรมานในวันหน้า เป็นความรักตัวเอง รักกรรมตัวเอง ไม่ทรมานตัวเองด้วยความอยาก ไม่เอาเขากลับมาเสพเพียงเพราะกลัวจะเสียเขาไป หรือเพราะเสียงของคนรอบข้าง

ความใจแข็งนี้นอกจากรักตัวเองแล้วยังรักอดีตคนรักอีก เพราะว่าแทนที่เราจะเปิดโอกาสให้เขากลับมาทำชั่วทำบาปกับเรา เรากลับปิดโอกาสนั้น ไม่ยอมให้เขาทำบาปทำชั่วกับเรา ถือว่าเป็นการช่วยเขาไม่ให้ทำเลวไปมากกว่านี้ หยุดบาปของเขาตั้งแต่ตอนนี้ ให้เขาได้สำนึก ให้เขาได้รับบทเรียน ให้เขาได้เรียนรู้จักการสูญเสีย ให้เขาได้รู้จักกรรม อันเป็นผลจากการกระทำของเขา เป็นความใจแข็งที่เต็มไปด้วยความเมตตา มองทะลุไปถึงบาปบุญกุศลอกุศลที่ซ่อนอยู่อีกมากมายในความใจแข็งนี้

หากเขาต้องการจะชดใช้ หรือแก้ตัว ก็ให้อยู่ในสถานะเพื่อน คนใกล้ชิด คนรู้จักหรือคนสนับสนุนอะไรก็ได้ที่อยู่ในระยะที่เหมาะสม ที่เราจะไม่เผลอไปทำบาปกับเขา และไม่ใกล้จนเขาเข้ามาทำบาปกับเรา บาปนั้นคือการเพิ่มกิเลส ถ้าเราใกล้กันแล้วกิเลสเพิ่มก็บาป เช่นการใกล้กันมากแล้วกลับไปใจอ่อนคบกันนี่มันก็เป็นบาป เพราะตอนแรกเรามีศีลที่จะไม่คบคนชั่วเป็นคนรัก แต่พอใกล้มากๆเราก็เกิดอาการอยากเสพสิ่งที่เขาเสนอให้หรืออยากเสพสิ่งที่เขามีแล้วเราก็ยอมลดศีลของเรา ยอมคบเขาดีกว่าถือศีล ยอมชั่วไม่ยอมอด ยอมบาปเพื่อที่จะได้เสพ

ความใจแข็งนี้หากเกิดเพราะความพยาบาท ความโกรธ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าให้อภัยอย่างเต็มที่ เราจึงต้องล้างใจเราให้ดี ล้างกิเลสเราให้เกลี้ยงเสียก่อน แบ่งเรื่องเป็นสองเรื่องให้ชัดเจน คือเรื่องให้อภัยกับเรื่องกลับมาคบหากัน เพราะถ้าไม่ชัดเจน จะหลงไปว่าตนให้อภัยแต่ไม่กลับมาคบเพราะหลงว่าพิจารณาดีแล้ว แต่สุดท้ายพอเขามาง้อเข้ามากๆ ทำดีกับเรามากๆ เราก็ใจอ่อน อันนี้แสดงว่าเราไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก เราไม่ได้ล้างใจตั้งแต่แรก การที่เราไม่กลับมาคบตั้งแต่ตอนแรกนั้นเพราะเรายังไม่ให้อภัย ไม่ใช่ให้อภัยใจแข็ง

ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความผิดคาดมากมาย หลายคนทำท่าเหมือนว่าใจแข็งปล่อยเวลาผ่านไปเป็นปีสองปี… ก็อาจจะกลับไปคบหากันได้เพราะว่าไม่ได้ล้างกิเลส แค่อยู่ในสภาพกดข่มไว้ วันดีคืนดีกิเลสเรากำเริบเราก็จะคิดใจอ่อน จนยอมให้อภัยกับเขาโดยไม่มีเหตุผลและกลับไปเสพเขาเอง เพราะมันอดอยากปากแห้งมานาน การอดโดยไม่ล้างกิเลสจะเกิดความทรมานสะสมสุดท้ายจะตบะแตก เหมือนกับคนที่โกรธอดีตคู่รักมาหลายปี พูดให้ใครฟังก็มีแต่ข้อเสีย สุดท้ายกลับไปคบกับเขาเอาเฉยๆ ซึ่งก็ทำให้คนรอบข้างหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นโดยทั่วไป

นั่นหมายถึงว่าหากเรายังไม่ล้างกิเลสของตัวเอง ยังไม่รู้จักกิเลสของตัวเอง ยังไม่รู้ ไม่ยอมรับว่ากิเลส เป็นความอยากที่ชั่วแค่ไหน เลวแค่ไหน นำความทุกข์ความฉิบหายให้ชีวิตแค่ไหน เราก็จะยังคงยินดีในการมีกิเลส สะสมบาป สะสมกรรมชั่วต่อไป แล้วก็ต้องมารับกรรมที่ตัวเองได้ก่อนไว้อย่างไม่มีวันจบสิ้น

– – – – – – – – – – – – – – –

3.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์