Tag: ความคาดหวัง

14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักและความคาดหวัง

February 15, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,947 views 0

14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักและความคาดหวัง

เมื่อความรักนั้นหมายถึงการบำเรอด้วยวัตถุสิ่งของจนถึงการกระทำใดๆ ก็ตามจนกว่าอีกฝ่ายจะสาสมใจและจะต้องมากเป็นพิเศษในวันแห่งความรัก (สมมุติ) … แด่ความรักโลกีย์

ผ่านไปอีกวัน กับวันแห่งความรักและความคาดหวังแห่งปี

ผมมาอ่านย้อนดูเรื่องราวในหลายๆสื่อ ก็พบแต่ความคาดหวัง การบำเรอกันด้วยวัตถุสิ่งของ ซึ่งผมคิดว่าการแสดงออกถึงความรักด้วยวัตถุสิ่งของนี่มันเป็นอะไรที่หยาบและฉาบฉวยนะ (แต่คนเขาก็ชอบกัน)

แต่มันก็เป็นไปตามที่แต่ละคนยึดมั่นถือมั่นละนะ คนที่ต้องใช้วัตถุมาสร้างความสุขก็ลำบากหน่อย แม้จะเป็นคนที่ใช้การดูแลเอาใจใส่มาสร้างความสุขนี่มันก็ลำบากอยู่ดี

ผมคิดว่ารักที่ต้องคอยเสพสุขจากอีกฝ่าย หรือต้องมีอีกฝ่ายเป็นเหตุปัจจัยในการสร้างสุขนั้น มันเป็นความลำบาก เป็นทุกข์ ไม่เป็นอิสระ ต้องผูกเรากับไว้กับเขาเสมอ

แต่เราก็ไม่ไปค้านอะไรกับเขาหรอกนะ เราค้านแต่กิเลสในตัวเราก็พอ กิเลสเขาก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ต้องไปแหย่ ไปเหน็บ หรือไปยุ่งอะไรกับเขาหรอก ก็ปล่อยเขาเรียนรู้ไปนั่นแหละ

ส่วนคนโสดที่ทุกข์เพราะอยากมีคู่แล้วไม่มีสักที ถ้าไปอิจฉาคนอื่นที่เขามีคู่ มันก็จะทุกข์มากขึ้นไปอีก เพราะไปดูเขารักกัน มอบคำหวานให้กัน มอบสิ่งของให้กัน ให้คำมั่นสัญญากัน ประกาศว่าคบหากัน จดทะเบียนสมรสกัน ฯลฯ แล้วก็หลงว่าอย่างเขาเป็นสุข …มันไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆหรอก ธรรมชาติของกิเลสมักจะขี้อวด ก็อวดความเห็นผิดกันนั่นแหละ ที่นี้คนไม่รู้ก็หลงว่ามันเป็นสิ่งดีเลยอยากได้บ้าง … แต่หารู้ไม่ว่า ตอนที่เขาลำบากทุกข์ทรมานกัน ทะเลาะกัน ทำร้ายกัน จนถึงฆ่ากันนี่ เขาไม่เอาเรื่องราวมาอวดมาบรรยายให้เรารู้หรอกนะ

อย่าไปมองแต่ด้านสุข ลองศึกษาด้านทุกข์ด้วย มีคนแต่งงานกันมากมายก็จริง แต่ก็มีคนมากมายที่เลิกรากันหลังจากคบหาแต่งงานแล้วเช่นกัน แล้วคนที่เลิกกันนั้นเอง ก็คือคนที่เคยมั่นหมายว่าจะรักกันไปจนตายทั้งนั้นแหละ

คนเรามีปากก็พูดกันไปตามที่คิด มันก็เป็นเพียงสิ่งที่คิดละนะ ไม่จำเป็นว่าเรื่องนั้นจะต้องเป็นจริง เกิดขึ้นจริง หรือมีจริงสักหน่อย ส่วนใครจะหลงเชื่อก็เรียนรู้กันไป ว่าสิ่งนั้นมันจริงหรือลวง เป็นสุขหรือทุกข์ พาให้เจริญหรือเสื่อมลง

ความคาดหวังของพ่อแม่

July 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,967 views 0

ความคาดหวังของพ่อแม่

ความคาดหวังของพ่อแม่

เมื่อเป็นพ่อแม่เรามักอยู่กับความหลงผิด เพราะเราต่างสร้างอนาคตให้ลูก แต่หลายสิ่งเกิดขึ้นตามโชคชะตาของแต่ละคน

บทละครที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพระเจ้าสุทโธทนะ ในละครซีรี่พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก ตอนที่ ๔๒ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ที่มีพลังมากกว่าความยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลก

คนที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรืออาจจะรวมไปถึง เจ้านาย คู่รัก เพื่อน ฯลฯ ก็ย่อมมีความหวังให้คนที่ตนรักและดูแลเป็นไปในทางที่ตนเข้าใจว่าดี ตามความยึดมั่นถือมั่นของตนเอง

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งจะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะผลของกรรมนั้นมีพลังมากกว่า หากเรายึดมั่นถือมั่นสิ่งใดให้เป็นไปตามใจของเราแล้ว สุดท้ายทุกอย่างก็จะพังทลายลงด้วยพลังแห่งกรรมที่มีอำนาจเหนือใครในโลก

มนุษย์พยายามฝืนกรรมลิขิตได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปตามนั้นเสมอไป เพราะถึงแม้เราจะฝืน เราจะพยายามเท่าใด ทุกชีวิตก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมที่ทำมา อย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านมีกรรมที่จะต้องเป็นพระพุทธเจ้า อะไรก็มาห้ามท่านไม่ได้ มันถูกกำหนดไว้เช่นนั้น เพราะท่านทำกรรมมาเช่นนั้น

ความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตนคิดและเข้าใจว่าดีนั้น คือสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีไหวพริบ ขาดความแววไวต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะตนได้ยึดสิ่งที่ตนว่าดีไปแล้วจึงไม่เปิดใจยอมรับสิ่งอื่นๆ ทั้งที่จริงทุกสิ่งผันเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่หยุดตามวิบากกรรมที่ได้ทำมา

พ่อแม่ที่มองแค่เพียงว่าบุตรนี้คือของของตน ต้องเป็นไปตามแนวทางของตน ต้องเป็นไปตามที่ตนต้องการ คือผู้ที่สร้างทุกข์ให้ตนเองเพราะความยึดมั่นถือมั่น นั่นเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาเป็นใครมาเกิด เขามีกรรมของเขามาอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างมีเบื้องหลังเสมอ เขามีกรรมเป็นของเขา เรามีกรรมเป็นของเรา ซึ่งดูๆไปแล้วเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวกันแต่แท้ที่จริงแล้ว เราแต่ละคนมีกรรมแยกกันไป

ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราควรปล่อยปละละเลย เพราะการเลี้ยงดูบุตรก็เป็นกรรมดีของเราเช่นกัน การเลี้ยงดูบุตรเป็นหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ดังนั้นเราก็ควรจะสร้างกรรมดีของตน โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าผลนั้นจะเกิดดีหรือไม่ เพราะผลที่เกิดนั้นจะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากหลายเหตุปัจจัยและไม่ว่าผลที่เกิดจะเป็นเช่นไร กรรมดีของเรานั้นได้ทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว เป็นประโยชน์แล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

28.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มนต์รักวาเลนไทน์

February 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,720 views 0

มนต์รักวาเลนไทน์

มนต์รักวาเลนไทน์

…วันแห่งความคาดหวัง ที่ยากจะหยุดยั้งพลังของกิเลส

วันพิเศษที่ใครหลายคนเฝ้ารอคอย วันที่ถูกสมมุติว่าเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งวันวาเลนไทน์นี้จะมีความเป็นมาอย่างไรนั้น ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการให้ความหมายของคนในปัจจุบัน

วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความคาดหวัง เป็นวันที่พลังกิเลสของคนมีคู่หรือคนอยากมีคู่จะพุ่งพล่านเป็นพิเศษ คนที่ให้ความสำคัญกับวันนี้ต่างก็มีความกระหายใคร่อยากจะได้ในสิ่งที่จะมาบำเรอกิเลสของตน ซึ่งในสากลของประเทศที่เราอยู่นี้ก็มักจะเป็นฝ่ายหญิงที่จะถูกสนองก่อนและสนองกันและกันหลังจากนั้นอีกที

สิ่งที่ได้รับอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของเช่น ของขวัญชิ้นใหญ่ กระเป๋าใบงาม ดอกไม้ช่อโต ดินเนอร์สุดหรู ซึ่งเธออาจจะอยากได้เป็นเชิงสัญลักษณ์หรืออยากได้ของชิ้นนั้นจริงๆก็ได้ หรือบางคนที่ต้องการมากกว่าวัตถุก็จะเสพทางนามธรรมเช่น อยากได้ความรัก การเอาใจใส่ดูแล คำมั่นสัญญา คำหวาน คำชื่นชม การขอเป็นแฟน การขอแต่งงาน เป็นต้น

สำหรับมุมของผู้ชายนั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเป็นคู่ที่ยังคบกันไม่ลึกซึ้งก็หวังว่าจะลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม เป้าหมายที่เห็นได้โดยมากก็คือการสมสู่ สรุปแล้วที่ผู้ชายปรนเปรอกิเลสผู้หญิงก็หวังจะได้มีเซ็กส์นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายทุกคนจะใจร้อนเสมอไป ซึ่งโดยค่ารวมๆแล้ววันวาเลนไทน์นี่ก็เหมือนวันสมสู่แห่งชาติดีๆนั่นเอง

บำเรอกิเลส

ในวันที่พลังของกิเลสพุ่งพล่าน สังคมสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปตามโลกต่างก็เกื้อหนุนพากันกระตุ้นให้หลงระเริง แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองนั้นหลงไปตามกิเลส เพราะปกติเราก็มีกิเลส คู่ของเราก็มีกิเลส พอทั้งตัวเองและคู่โดนกระตุ้นกิเลส จากสิ่งสมมุติที่เรียกว่า “วันแห่งความรัก” ก็เลยไปกันใหญ่

เมื่อความอยากได้อยากเสพทะลุเพดานศีลธรรม ความโสด พรหมจรรย์ หรือของสงวน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเก็บไว้เสมอไป เพราะอยากเสพมากเสียจนยอมแลกทุกอย่าง ดังที่เขาว่าเป็น “วันเสียตัว

จริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหรอก เพราะมีแต่ได้ทั้งคู่ ได้ทั้งบาป ทั้งสุขลวง เพราะได้เสพสมใจตามกิเลสทั้งคู่ แม้ว่าฝ่ายหญิงจะไม่ยินดีนัก แต่เพื่อแลกมาด้วยคำว่ารักและคำมั่นสัญญาหรือสิ่งที่เธอต้องการก็มักจะยินยอม ส่วนฝ่ายชายก็ไม่ซับซ้อนอะไร แค่เพียงเกี้ยวพาราสีให้ฝ่ายหญิงเชื่อใจ เมื่อเธอเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า “ชายคนนี้นี่แหละคู่ของฉัน คนนี้นี่แหละคือคนที่สนองกิเลสฉันได้ คนนี้นี่แหละที่จะรักและดูแลฉันตลอดไป” ฝ่ายชายผู้ใจเย็นก็จึงค่อยๆลงมือละเลงไปตามความอยากของตัวเองเพื่อบำเรอกิเลสของเธอทันที

ความทรงจำดีๆ

หลายคนอาจจะคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้สร้างความทรงจำดีๆไว้ก่อน หาความสุขไว้ก่อน อนาคตไม่แน่นอนมีความสุขกับปัจจุบันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?

ถ้าเราจะคิดแบบนั้นมันก็คิดได้ ทำได้ แต่มันอยู่ที่ว่าสิ่งที่ทำนั้นอยู่บนพื้นฐานของกุศลหรืออกุศล ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยกิเลส นั่นหมายถึงเต็มไปด้วยบาปและอกุศล ความทรงจำนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือ?จะลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพ 4 ข้อ ดังนี้

1).ถ้าเรามีความทรงจำดีๆกับคู่รัก แล้วเขาได้จากไปก่อนเวลาอันสมควร เราก็ต้องมาเสียดาย เสียใจที่คนดีๆจากไป เป็นทุกข์เพราะมีแต่ความทรงจำดีๆที่เต็มไปด้วยการบำรุงบำเรอกิเลสมาหลอกหลอนอย่างไม่จบไม่สิ้น แถมยังสร้างกำแพงอัตตาไว้ขังตัวเองกับความทรงจำดีๆเหล่านั้นอีกด้วย

ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากภาพคนแก่ที่แม้คู่ตายจากไปแล้วก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม บูชาความรัก จนสามารถผลักดันให้เดินวันละหลายกิโลเมตร ไปสีซอหน้าหลุมศพคู่ครอง นั่นเพราะมีความทรงจำดีๆจนยึดมั่นถือมั่นแล้วเสพสุขกับสิ่งเหล่านั้นไปแม้สิ่งนั้นจะสลายไปแล้วก็ตาม ติดภพอยู่แบบนั้น ติดอยู่ในความสุขที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแบบนั้น จนไปไหนไม่ได้

2). ถ้าเรามีความทรงจำดีๆแต่วันหนึ่งเขาทิ้งเราไปมีคนใหม่ หรือเขาทำให้เราไม่สมความคาดหวังจนต้องเลิกรากัน ความทรงจำนั้นเองก็จะตามมาหลอกหลอน เหมือนแผลที่ไม่มีวันหาย คิดถึงทีไรก็ยังเจ็บ ยังทุกข์ ยังคร่ำครวญอยู่เรื่อยไป จมกับทุกข์แบบนี้มันดีหรืออย่างไร

ซ้ำร้ายความผิดหวังยังไปเพิ่มพลังของโทสะในใจ จนเกิดอาการพยาบาท ผูกโกรธ จองเวรจองกรรม ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากอยู่ร่วมโลก กลายเป็นเพิ่มกิเลสในตัวเองเข้าไปอีก สร้างกำแพงอัตตา สร้างมาตรฐานคู่ครองขึ้นมาใหม่ว่าคนต่อไปต้องดีกว่านี้ ต้องบำรุงบำเรอกิเลสฉันได้มากกว่านี้ และยังต้องมั่นคง ซื่อสัตย์ ให้คุณค่าแก่ฉันมากกว่านี้ด้วย ก็สร้างภพที่จะเสพกิเลสมากขึ้นเข้าไปอีก

3. ถ้าเรามีความทรงจำดีๆ ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะจบอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ได้มีทั้งรักทั้งชัง ไม่ดูดไม่ผลัก ไม่รักไม่เกลียด ล้างกิเลสเหตุแห่งความอยากมีคู่ได้สำเร็จ สุดท้ายความทรงจำดีๆก็จะกลายเป็นแค่เรื่องน่าอายที่ไม่น่าเปิดเผย เพราะมีแต่เรื่องของกิเลส พูดไปก็ไม่งาม เล่าไปก็มีแต่อกุศล กลายเป็นความทรงจำที่เปื้อนเปรอะ ไม่สวยงาม ใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับลีลาของกิเลสตัวเองได้เท่านั้นเอง

4. ถ้าเราหวังจะมีความทรงจำดีๆ แต่สุดท้ายมันไม่ดีดังใจหวัง นี่คือความจริงที่มักจะเกิดขึ้น เรามักจะไม่สมใจและผิดหวัง แม้ท่าทีตอนแรกจะตั้งต้นมาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในตอนจบจะได้รับสิ่งที่หวัง เราหวังว่าวันวาเลนไทน์นี้จะเป็นวันที่สร้างความทรงจำที่ดีแต่กลับมีแต่สิ่งที่ไม่สมใจหรือเลวร้ายเกิดขึ้นในวันนั้น คนที่คาดหวังก็เลยอกหักอกพังกันหมด

เช่น นัดไว้อย่างดิบดี สุดท้ายก็เลื่อนนัด , ไม่ได้นัดกันด้วยเหตุบางอย่าง แต่สุดท้ายก็รู้ข่าวว่าแฟนอยู่กับคนอื่นหรือไปกับเพื่อน , นัดเจอกันสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ,หรือกระทั่งคิดจะสมสู่กันแต่สุดท้ายกลับไม่เป็นดังใจหวัง หรือกระทั่งเป็นเหตุให้ตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจและเหตุจากปัจจัยภายนอกอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ

….ดังจะเห็นได้ว่า การแสวงหาความทรงจำที่จะเสพสมใจในกิเลสตามแรงผลักดันของกิเลส ไม่มีผลดีอะไรเลย ไม่มีดีทั้งต้น กลาง ปลาย ไม่มีสาระ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย มีแต่ความสุขลวงเพื่อให้หลงเสพไปเท่านั้น กิเลสมันลวงให้เราเล่นตามบท ให้เราหมกมุ่นกับวันวาเลนไทน์ ให้เราจริงจังกับสิ่งที่เรียกว่าความรักที่เติบโตบนความใคร่และความอยากที่หลากหลาย ให้เราทำบาป ทำชั่ว สะสมทุกข์เป็นสมบัติของเราไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงเพื่อแลกกับสุขจากเสพเพียงชั่วครู่เท่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

6.2.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)