Tag: คนขี้โกรธ

เพ่งโทษฟังกัน

March 25, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 734 views 0

เวลาที่คนมีความโกรธ เกลียด ชิงชัง จะฟังกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเคยแต่เพ่งโทษ หาโทษ มองแต่โทษ ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่โทษจริงหรอก แต่ฟังไม่ครบบ้าง ไม่พยายามทำความเข้าใจบ้าง แล้วจิตพยาบาทมันก็ปรุงไปต่อจนคิดว่าเป็นโทษจริง ๆ

ในชีวิตผมก็เจอบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว คนที่เขาเพ่งโทษนี่เขาจะอ่านหรือฟังไม่รู้เรื่องหรอก จับสาระไม่ได้ เราตอบไปแล้ว เขาก็จะอ่านไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่ได้ บางทีจับประเด็นเพี้ยนอีก กลายเป็นฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดไปซะอีก

คือฟังแล้วมีการเพ่งโทษร่วมด้วย สภาวธรรมไม่ถึงด้วย ไม่เข้าใจ ก็จับไปกระเดียด ไปต่อเติมแต่ง ความความเข้าใจของตนเอง แล้วหลงว่าตนถูกซะด้วยนะนั่น

หรืออีกอาการที่เจอคืออาการหูดับ คือเขาจะเลือกฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ แต่พอได้ฟังสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เขาคิด ก็จะหูดับ ไม่ฟัง ไม่จำ ไม่รับรู้ ไม่แก้ไขความเห็นผิด

พวกเพ่งโทษฟังกันนี่ผมไม่เอาภาระหรอก ก็ให้เขาเป็นไปตามแบบของเขา คือเขาไม่สามารถรับการสื่อสารของเราได้ แม้ขั้นต่ำก็รับไม่ได้ ดีไม่ดีตีกลับ เป็นตีความผิดอีก กลายเป็นเข้าใจผิด เพ่งโทษ ถือสา ฯลฯ

อาจารย์สอนว่า “ให้ช่วยคนที่ศรัทธา” ถ้าจะให้ผมเอาภาระจริง ๆ ก็จะเอาเท่าที่เขาศรัทธานี่แหละ ส่วนพวกถือสานี่ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาดีกว่า

ถ้ามีอาการในหมวดพยาบาท คือ โกรธ เกลียด อาฆาต เพ่งโทษ หรือหมวดอัตตา เช่น ถือดี อวดดี ยกตนข่ม สำคัญตนว่าเหนือกว่า ฯลฯ อะไรทำนองนี้ จะฟังกัน สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรอก

เพราะจิตมันจะไม่เอาประโยชน์ มันจะจ้องเอาแต่โทษ เพ่งแต่โทษ เป็นธาตุของคนพาล เป็นกำลังของคนพาล เราก็ห่าง ๆ ไว้ ชีวิตจะผาสุก

อยู่ใกล้คนขี้โกรธ ขี้หงุดหงุด ใครคิด/พูด/ทำ ไม่ถูกใจก็ขุ่นเคืองใจ ว่าแล้วก็ด่าบ้าง เหน็บบ้าง แขวะบ้าง ประชดประชันบ้าง ฯลฯ สารพัดลีลาอิตถีภาวะ(สภาพมีกิเลส) คนพวกนี้พระพุทธเจ้าว่าไม่ควรคบหา ไม่ควรเข้าใกล้ เปรียบเหมือนบ่อขี้ มีอะไรตกใส่กลิ่นก็เหม็นฟุ้ง

คนทุศีล เน่าใน น่าห่างไกลที่สุด

February 27, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 788 views 0

จากบทความที่ยก ชิคุจฉสูตร มาอธิบายก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า คนทุศีล หรือคนที่ผิดศีล แล้วไม่เปิดเผย ปิดบัง โกหก หลอกลวงผู้อื่นว่าตนเองปฏิบัติดี นั้นร้ายยิ่งกว่า คนขี้โกรธ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ฯลฯ (แต่ก็ควรจะห่างไว้เช่นกัน)

ถ้าเราวิเคราะห์ ในประโยคที่ว่า “ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารีบุคคล แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีบุคคล เน่าในภายใน

เราจะรู้เลยว่าคนพาลเช่นนี้ ร้ายสุดร้าย เพราะเบื้องหน้าเราจะไม่รู้เลย คบกันแรก ๆ เราจะไม่รู้จักเขาเลย เพราะเขาเน่าใน มันจะมองไม่เห็นได้ง่าย ๆ แถมเขายังแสร้งให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาปฏิบัติดีและเขาตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์

นี่คือเหตุที่ผมพยายามจะขยายเรื่องคนพาลให้ละเอียดขึ้นในช่วงนี้ เพราะถ้าเจอคนน่าเกลียดเช่นนี้ จะต้องเสียเวลามาก ตั้งแต่เวลาไปคบหาเขา เวลาเชื่อเขา ดีไม่ดีไปสนับสนุนเขาอีก

ทั้งหมดนั้นเพราะเรายังไม่มีปัญญา ภูมิธรรมไม่ถึง ดูเขาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่น กรณีเณรคำ ไม่ธรรมดานะ หลอกคนได้ตั้งเท่าไหร่ คนเขาก็เชื่อนะ ใช่ว่าคนจะยอมมอบเงินมอบศรัทธากันให้ง่าย ๆ เขาก็แสวงหาคนดีมีศีลที่เขาจะสนับสนุนนั่นแหละ แต่สุดท้ายเขาก็โดนหลอกไง คือคนพาลเนี่ย เขาจะเนียนสุดเนียนเลย บางทีพูดธรรมะ 95% แทรกกิเลสที่ตนอยากเสพไปอีก 5 % เอากำไรนิดหน่อย ทำให้เพี้ยนไปทีละนิดละหน่อย แต่พูดทุกวัน มันก็ได้เยอะ

คนพาลเขาก็ใช้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่แหละมาหากิน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีการชำระนักบวชทุศีลที่เข้ามาปลอมปนมาเสพผลประโยชน์ในศาสนาพุทธออกไปเยอะ แต่ยุคนี้ไม่มีกิจกรรมนั้น ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะรู้ให้ทันคนพาล

เพราะเวลาในชีวิตเราสำคัญมาก บางคนเทไปให้คนผิด 1 ปี 5 ปี 10 ปี เสียไปแน่ ๆ คือเวลา แรงกาย ทรัพย์สิน โอกาส และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่วิบากกรรมไม่ใช่จบแค่นั้น เราหลงสนับสนุนคนพาล คนชั่ว คนทุศีลไปเท่าไหร่ เราต้องรับผลแห่งความเห็นผิดเหล่านั้น เขากิเลสโตเพราะเราสนับสนุน เขาไปหลอกคนได้อีกมากมายเพราะเราสนับสนุน คนหลงและไม่พ้นทุกข์เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงผลักดันคนพาล เราต้องรับวิบากนั้น มันหนีไม่ได้

ดีที่สุดคือห่างไกลคนพาล ไม่คบคนพาล ไม่สนับสนุนคนพาล แต่ปัญหาคือคนพาลดันแสร้งว่าเป็นบัณฑิตเสียอีก แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ ปลอมซะเหมือนเลย รูปนอกตรวจไปก็ใช่ ธรรมะพูดมาค่ารวม ๆ ก็ใช่อีก มันจะไปทางไหน ก็มีแต่หลงกลเขาเท่านั้นแหละทีนี้

ถ้าไม่มีคนมาคอยชี้นี่จบเลย จริง ๆ ผมหูตาสว่างได้ก็เพราะศึกษาตามครูบาอาจารย์ ไม่งั้นต้องหลงไปนาน แล้วยังมีความหลงสนับสนุนคนพาลไปเป็นลำดับด้วยนะ มันจะหลุดเป็นลำดับจากการที่เรามีปัญญามากขึ้น

หลุดแล้วยังไงล่ะ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนพาลก็เลิกคบนั่นแหละ เพียงแต่พอเห็นปริมาณกรรมที่เคยไปสนับสนุนเขาไว้ มันทำให้รู้สึกว่า เราควรจะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปนะ คือสื่อสารโทษภัยของคนพาลนี่แหละ ไม่งั้นพลาดไปมันจะหนัก และนานมาก ก็น่าจะทำให้ผู้อ่านได้ตรึกตรองและทำตนให้พ้นภัยไปได้บ้าง

สนับสนุน คบหา เข้าใกล้คนพาลมีแต่เสียกับเสีย ประโยชน์ตนก็เสีย ประโยชน์ท่านก็ไม่มี เพราะคนพาลไม่ใช่เนื้อนาบุญ สนับสนุนไปก็กิเลสเพิ่มอีก มีแต่ความเดือดร้อนรออยู่

ดังนั้นจะคบใครอย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อ อย่าเพิ่งรีบลงแรงลงใจ ถ้าจะลงก็ดูศีลดูธรรมหน่อย ดูว่าเขาตั้งใจลดกิเลสไหม เขาลดโลภ โกรธ หลงได้แค่ไหน เขาพูดไปในทางลดหรือเสริม หรือไม่สนใจในการล้างกิเลส หรือดูกันไปนาน ๆ ผ่านไปปีหลายปี ดูพัฒนาการของเขาในการลดกิเลส ดูกลุ่มสังคม ดูเพื่อนของเขา ดูกิจกรรมของเขา ก็จะพอเห็นความจริงได้

แต่ถ้าดีที่สุด ก็ลองปฏิบัติตามแนวคิดของเขาดู ถ้าพ้นทุกข์ พ้นกังวลหวั่นไหวในเรื่องใด ๆ ขึ้นมาตามที่เขาสอน ก็ค่อยสนับสนุนเขาก็ยังไม่เสียหาย เพราะศาสนาพุทธเขาสอนกันฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

ดังนั้นก็ไม่ควรรีบปักใจไว้ที่ใคร เพราะเหตุต่าง ๆ เช่น เขาว่ากันมาว่า… เขาพูดถูกตามหลักฐาน เขาพูดเหมือนที่เราคิด … ฯลฯ (ศึกษาต่อได้ที่ “กาลามสูตร”) ควรจะเอามรรคผลของตัวเองเป็นหลัก ถ้าปฏิบัติตามแล้วพ้นทุกข์ได้จริง ก็ค่อยหันไปสนับสนุนท่านเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังก็ยังไม่สาย