หัดจนให้เป็น เพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น
อาจจะเป็นบทความที่ดูแปลกๆหน่อย เพราะเรื่องจนนี่เป็นอะไรที่คนทั่วไปเขาอยากจะหลีกหนี หลีกเลี่ยง หลีกให้ไกล แต่ทำไมผมจึงพิมพ์บทความให้หัดจน
อาจจะดูน่าหมั่นไส้มากหน่อยแต่ให้ทนๆอ่านไปนะครับ ผมเองนั้นก็ไม่ค่อยได้ลำบากเท่าไหร่ในชีวิต ความมี ทำให้เรามองข้ามความสำคัญของเงินและการสูญเสียทรัพยากรในการไปหาเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นสำคัญมาก หลายๆครั้ง หลายๆโอกาสในชีวิตผมได้ทดลองปล่อยตัวให้จมไปกับความจน แต่ความจนนี้ก็เหมือนกับล้มบนฟูก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลอง ทำให้ผมพบว่าหากเราหัดจน เป็นนิสัย เราจะลดการฟุ่มเฟือยในชีวิตไปได้มากเลย
ดังที่เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในโลกหลายคนนั้น มาจากคนที่จน หรือมีน้อยมาก่อน ทำให้เขาได้เรียนรู้ค่าของเงินและ ค่าของเวลาที่จะเอาไปแลกเงิน ความขยันและความประหยัดจึงเป็นคุณสมบัติของผู้มั่งคั่ง (ไม่ฉาบฉวย)
ความจนในมุมของผมนั้นไม่ใช่ไม่มี แต่หมายถึงนิสัยที่ทำให้ดูจน เรากินน้อย ใช้น้อย ใช้เท่าที่พอเพียง ใช้เท่าที่จำเป็น ดังนั้นภาพของเราก็จะออกมา “จน” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีกิน ไม่มีใช้ เราอาจจะเหลือกินเหลือใช้เหลือเก็บเพียงแต่เราไม่มีภาพเหล่านั้นให้เห็นเท่านั้นเอง
ความจนก็เหมือนเกราะที่ปกป้องภัยต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิต ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น คนที่ดูจนก็ไม่มีใครอยากเข้ามาเอาประโยชน์แบบโลกๆ จากเรา เพราะดูเหมือนเราไม่มีอะไรไปสนองกิเลสเขาเหล่านั้น ทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีใครที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากเราเหมือนคนรวยๆที่มีแต่คนเข้าหาเพียงเพื่อจะหาประโยชน์บางอย่างเท่านั้น และนั้นจะทำให้ชีวิตลำบากในภายหลัง
สวัสดี
ฉันติดใจอะไรในหนึ่งคำของสิ่งนั้น?
วันก่อนเดินไปหาซื้อของที่ตลาด อตก. ใกล้ๆกับตลาดนัดจตุจักร มองเห็นอาหารทะเลสดๆมากมาย กุ้ง ปู ปลา เผา และแกะพร้อมกินอยู่ในแพคที่ดูสะอาดตา หวนให้คิดถึงสมัยที่ชอบๆกินอาหารทะเลเหล่านี้อยู่ ว่าเราติดใจอะไรในอาหารเหล่านั้น
เมื่อนึกขึ้นได้อย่างนั้น ก็เอามาพิจารณาต่อว่าแท้จริงแล้วความอร่อยของอาหารทะเลคืออะไร ความสด ความหวาน สุดท้ายก็ต้องมาตบด้วยน้ำจิ้ม แม้หวานเนื้อก็เป็นความหวานที่น่าเบื่อ กินไปเรื่อยๆก็เบื่อ ยิงต้องกินให้หมดก็ยิ่งเบื่อ ถ้าได้น้ำจิ้มมาคงจะดีขึ้น และผมจึงได้ผลสรุปได้ว่า แท้จริงแล้วเราติดในรสชาติมากกว่ารสสัมผัสเสียอีก ดังนั้นร้านอาหารที่มีน้ำจิ้มรสเด็ดมักจะมีคนมากเพราะอาหารทะเลมันก็สดเหมือนกันทุกร้าน
หากเรามองว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เราติดคือรสชาติ การออกจากสิ่งนั้นๆก็ง่ายขึ้น อย่างที่รู้กันว่าเป้าหมายของผมคือทำชีวิตให้มันง่ายๆเข้าไว้ ดังนั้นการสั่งปู กุ้ง หรือการไปหาอาหารทะเลหรืออะไรที่มันต้องลำบากทั้งตัวเองและพรากชีวิตสิ่งอื่นๆ นั้นจึงเป็นสิ่งที่ขัดกับเป้าหมายไปสักนิด
ดังนั้นในเบื้องต้น เราอาจจะหาอะไรที่มันแทนกันได้ พบได้ไปลองกินเห็ดออรินจิปิ้งพบว่ารสสัมผัสมันคล้ายๆกับปลาหมึก มันมีความเหนียว กรุบ และไม่เป็นภัยเท่าปลาหมึกอย่างแน่นอน จากนั้นเราค่อยหาน้ำจิ้มที่เหมาะสมแล้วค่อยๆ ลดปริมาณความเข้มของรส เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปลำบากไปหาอะไรที่มันเด็ดกว่าเดิมนั่นเอง
สวัสดี
เดินเก็บเกี่ยวความรู้สึก
เมื่อวันก่อนไปงานรวมญาติ มาแถวสวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบฯ หาดที่นั่นก็ยาว ยาวไปถึงเขาตะเกียบ มองไปก็เห็นอยู่ไกลๆ ไม่รู้ระยะทางเท่าไหร่ไม่ได้วัด มองด้วยตาก็เดาๆมั่วๆไป 3-4 กิโลเมตรละมั้ง…
การได้เดินริมทะเลก็เป็นอะไรที่แปลกดี สำหรับคนไกลๆทะเล ซึ่งผมเลือกที่จะเดินไปในตอนเช้า เริ่มตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง พกกล้องไปด้วยเผื่อว่าพระอาทิตย์ยามเช้าจะสวย สวมเสื้อสบายๆ รองเท้าแตะ เดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว สำหรับที่หมายในครั้งนี้คือเขาตะเกียบที่ห่างออกไปไกลเท่าที่มองเห็น ส่วนเป้าหมายคือการดูความรู้สึกตัวเองในขณะที่เดินไปตามระยะทางที่มี
การมีที่หมาย หรือจุดหมาย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องมุ่งไปที่นั่นเสมอไป ถ้าเทียบกับการบริหาร จุดหมายที่ตั้งไว้เขาก็ใช้คำว่า Goal ส่วนจะถึงไม่ถึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้าเรามีกระบวนการ การจัดการที่ดีแล้วจุดหมายมันจะไกลยังไงก็ถึงอยู่ดี ดังนั้นผมจึงตั้ง Goal ไว้แบบหลวมๆ ให้มันมี แต่ไม่ต้องไปยึดมัน เราจะเดินถึงก็ดี ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งสำคัญ คือเราได้เดินแล้ว
เป้าหมายที่วางไว้คือเดินเก็บเกี่ยวความรู้สึกทุกก้าว ที่ก้าวเดินไปบนพื้นทราย ทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาและเรียนรู้ธรรมชาติยามเช้าของทะเลที่นี่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งไม่ว่าจุดหมายจะใกล้ไกลแค่ไหน มันจะสำเร็จได้ก็เพราะเราเริ่มทำ ดังนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือการตื่น และเริ่มออกเดินทาง…
…ชีวิตของผม นอนมามากพอแล้ว ชีวิตที่เหลือจะอยู่กับการตื่น และการเดินทาง ไปสู่จุดหมายที่ห่างไกล จุดหมายที่เดินทางมานานไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่เพียงตอนนี้เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้า และหน้าที่ของผมก็มีเพียงแค่เดินไปให้ถึงที่นั่นเท่านั้น
กินผัก ลดเนื้อสัตว์
การกินผัก ลดเนื้อสัตว์นั้น หากมองดูในสังคมปัจจุบัน ก็คงจะกลายเป็นคนแปลก ดูเคร่งในศีลธรรมหรืออะไรสักอย่าง แต่ในความเป็นจริงก่อนจะถึงปัจจุบันที่เราคิดอยู่นี้ คนรุ่นเก่า คนเฒ่าคนแก่เขากินผักกันเป็นหลักกว่าจะได้กินเนื้อสัตว์กันก็งานเทศกาล งานสำคัญต่างๆนั่นแหละ
ในปัจจุบันเรากินเนื้อสัตว์กันเป็นปกติ ต้องมีทุกมื้อ ร้านทุกร้านต้องมีเนื้อสัตว์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการป่วยของเราก็คือเนื้อสัตว์นี่แหละ อย่างที่รู้กันว่ามะเร็งนั้นเกิดจากการกินเป็นหลัก ในเมื่ออดีตไม่ได้มีมะเร็งกันมากมายจนเป็นโรคยอดฮิตขนาดนี้ แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้เราป่วย โดยที่ไม่รู้ตัว…
มีผลงานวิจัยหลายชิ้น แพทย์หลายคนออกมาให้ข้อมูลว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุของการป่วย ส่วนใครจะเลือกเชื่อในเหลี่ยมไหนมุมไหนก็แล้วแต่ หากแต่การเชื่อนั้นก่อให้เกิดสุขภาพดี มีชีวิตปกติก็สมควรจะลองในแนวทางนั้นๆจนถึงผล
การกินผักลดเนื้อสัตว์ จะทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นได้อย่างไร?
เมื่อเรากินผักเป็นหลัก ก็ไม่ต้องลำบากไปหาเนื้อสัตว์ เพราะผักสามารถปลูกเองได้ และแม้ไม่ได้ปลูกเองก็ยังมีขายอยู่ทั่วไปโดยราคาก็ถูกเมื่อเทียบกับความอิ่มที่ได้รับมา เช่นผัดผักหนึ่งจาน ทุนก็คงไม่เท่าไหร่หรอก ยิ่งถ้าปลูกเองด้วยแล้ว ลืมทุนไปได้เลย เพราะเครื่องปรุงรสพอหารต่อจำนวนจานที่ทำแล้วจะถึงหนึ่งบาทรึเปล่าัยังไม่รู้เลย ดังนั้นการกินผักเป็นการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึ่งนำมาสู่ค่าใช้จ่ายและการเสียเวลาในการไปหาหมอ
การกินผักทำให้ขับถ่ายสะดวก การขับถ่ายปกติถือว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสุขภาพโดยรวมยังปกติอยู่ เพราะร่างกายจะขับสารพิษ หรือส่วนเกินมาพร้อมระบบขับถ่าย คนที่กินเนื้อเยอะๆก็จะมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายไม่มากก็น้อย การกินผักให้มาก หรือทั้งหมดหมดจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ง่ายขึ้น เอาง่ายๆว่ากินผักเยอะร่างกายก็เบา แม้จะกินเยอะขนาดอิ่มแน่น แต่ก็ไม่เหมือนความแน่นที่กินเนื้อเข้าไป
ทั้งนี้การหันมากินผัก ลดเนื้อสัตว์ยังช่วยให้ธรรมชาติกลับไปสู่สมดุลไม่มากก็น้อย หากเราลดเนื้อสัตว์ได้ ฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ก็ไม่ต้องมี สัตว์ที่เกิดและตายอย่างผิดธรรมชาติก็ไม่ต้องมี การฆ่าก็ไม่ต้องมี การค้าขายสัตว์ก็ไม่ต้องมี ลดโลกร้อนไปได้เยอะเลย ทุกวันนี้มีหลายชีวิตที่เกิดมาเพื่อตายเป็นอาหารให้กับความอยากกินของเรา แค่ความอยากกินของเราดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ มันทำให้มีสัตว์ตายไปกี่ตัวแล้ว เรากำลังมีส่วนในการทำลายชีวิตอื่นเพื่อสนองความอยากตัวเอง
เพราะว่าถึงไม่กินเนื้อเราก็ไม่ตาย ไม่ได้มีผลอะไรเติบโตปกติ มีหลายประเทศที่กินผักเป็นหลัก รวมถึงประเทศไทยในอดีตด้วย หากอ่านแล้วสงสัยอาจจะต้องลองค้นถึงประเพณีการกินเนื้อที่เข้ามาในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา ค่านิยม สังคม เขาบอกอะไรเราให้เราเชื่อในอะไรกันแน่ ในเมื่อจริงๆมื้อหนึ่งก็กินกล้วยจนอิ่มได้ สารอาหารที่มีในผักก็มากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมันก็สามารถหาได้ในพืชมากมาย เอาง่ายๆว่าครอบคลุมหมดแล้ว
ทีนี้ความอยาก มันก็เกิด อ่านถึงตรงนี้ก็คงจะรู้สึกกันแล้วว่าเราอยู่ตรงไหน อยากกินอยู่ หรือไม่อยากกินนานแล้ว วัดได้ที่ความรู้สึกตัวเอง ถ้ายังอยากกินอยู่แต่เห็นประโยชน์ในการไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ให้ลด ละ เลิกไปตามลำดับ
ลด ก็ให้ลองลดจำนวนที่กินดู อาจจะเป็นมื้อ หรือเป็นวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ เดือน หรือช่วงหนึ่งของปีเช่นเทศกาลกินเจก็ได้ แล้วค่อยเพิ่มจำนวนวันที่ลดเอา
ละ ถ้าพอสู้กับความอยากไหวก็ละๆ มันเสียบ้าง แม้จะวางตรงหน้าก็ข่มๆไว้ก่อน ขอผ่านไปก่อน ถ้าอยากจนไม่ไหวก็ลองกินดู ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เลิกได้เอง
เลิก ก็เลิกกินเนื้อสัตว์กันไปเลย
บะหมี่น้ำ!
หลายคนอาจจะบอกว่าอยู่ในเมือง หากินยาก จะเรื่องมากทำไม กินๆไปเถอะ ตายเหมือนกัน ฯลฯ อันนั้นก็แล้วแต่ความสะดวก แต่ถ้าสนใจอยากลองก็ให้ลองพิจารณาดูเอาว่าเมนูประจำวันของเรานั้นสามารถปรับเปลี่ยนอะไรสู่การกินผัก ลดเนื้อสัตว์ได้บ้าง เช่นในกรณีของผม เดินเข้าไปร้านบะหมี่ปูร้านหนึ่ง สั่งอาหารเป็น บะหมี่พิเศษ ใส่แต่ผักไม่ใส่หมู/เนื้อสัตว์ เจ้าของร้านเขาก็ทำให้ได้ ส่วนจะคิดเงินเท่าไหร่ให้เป็นเรื่องของเขา บางครั้งที่ผมรู้สึกเราจะติดกับความรู้สึกเดิมๆ การเกรงใจ ความกลัว ทำให้เราลดไม่ได้สักที แต่ถ้าเริ่มครั้งแรกก็จะมีความมั่นใจ รวมถึงสามารถมองเห็นทางรอดของความตั้งใจที่จะกินผัก ลดเนื้่อสัตว์นี้ไ้ด้
เพียงแค่ประโยชน์ด้านสุขภาพ และความเมตตาที่เรามีให้แก่สัตว์ ก็เพียงพอแล้วที่จะพิจารณา กินผัก ลดเนื้อสัตว์ ซึ่งแท้จริงแล้วยังมีกุศลอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าประโยชน์ที่ผมยกมาด้วยซ้ำ