ทางสายกลาง? : แน่ใจแล้วหรือว่าที่ยืนอยู่นั้นคือตรงกลาง

August 15, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,226 views 0

ทางสายกลาง? : แน่ใจแล้วหรือว่าที่ยืนอยู่นั้นคือตรงกลาง

คำว่า “ทางสายกลาง” เป็นคำที่คนมักจะยกกันขึ้นมาพูด เมื่อต้องการแสดงความเห็นต่อสิ่งที่ตนเองรู้สึกว่า ตึงหรือหย่อนเกินไป

ทางสายกลาง เป็นคำที่มักจะได้ยินกันโดยทั่วไป ตั้งแต่คนไม่นับถือศาสนาไปจนถึงคนเคร่งศาสนาเลยก็ว่าได้ เมื่อมีคนที่มีความเห็นแตกต่างกันยกคำว่า “ทางสายกลาง” ขึ้นมาพูด แล้วจริงๆ ทางสายกลางนี่มันคือตรงไหน? มันเป็นอย่างไร? ในเมื่อจุดยืนของแต่ละคนนั้นต่างกัน คนไม่นับถือศาสนาเขาก็พูดถึงทางสายกลาง คนเคร่งศาสนาก็พูดถึงทางสายกลาง แล้วมุมมองที่เขามองเห็นทางสายกลางนั้นจะเป็นทางเดียวกันจริงหรือ?

ถ้าเราพิจารณากันจริงๆ แล้ว ทางสายกลางนั้นคือวิถีปฏิบัติของพุทธ ไม่ใช่เพียงแค่มุมมอง แต่เป็นการใช้ชีวิตด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะมองทุกอย่างเป็นกลางๆ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป แล้วมันจะพ้นทุกข์ได้ เพราะบางทีมุมที่มองนั้น ก็มองออกมาจากมุมของตัวเอง มุมที่ตนเองพอใจ สบายใจ กลายเป็นทางสายกลางของฉัน ฉันก็กลางของฉัน ฉันก็พ้นทุกข์ของฉัน กลางของเราไม่เหมือนกัน แบบนี้มันก็เลยกลางเป็น “ทางสายกู” เป็นมาตรฐานกู เอาตามใจกู ซึ่งก็คือ “อัตตา” นั่นเอง

คนเราจะสร้างภาพให้ดูดี ยกธรรมะให้ดูขลังแค่ไหน สร้างบริวารมากมายเท่าไหร่ หรือมีคนเคารพศรัทธาสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอา “ทางสายกู” มาเป็นมาตรฐานของพุทธได้ เพราะทางสายกูนี่มันรู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ด้วย ว่าตกลงหลุดพ้นจริงหรือไม่ หรือแค่ยกวาทกรรมที่ดูดีขึ้นมาอ้าง เพื่อให้ได้เสพสมใจโดยไม่มีคนกล้าติติง

ศาสนาพุทธนั้นมีมาตรฐานอยู่แล้วโดยลำดับ ตั้งแต่ ศีล ๕ ๘ ๑๐ จนถึงจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลและพระวินัยอีกกว่า ๒๒๗ และ ๓๑๑ ข้อ ที่เป็นส่วนของนักบวช ซึ่งจะรู้กันดีว่า ศีล ๑๐ นั้นสูงกว่าศีล ๘ และศีล ๘ นั้นสูงกว่าศีล ๕ ไปตามลำดับ

ผู้ที่เข้าถึงทางสายกลางอย่างแท้จริงในเบื้องต้น จะมีศีล ๕ เป็นปกติทั้งกาย วาจา ใจ พัฒนาขึ้นไปอีกเป็นมีศีล ๘ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องกดข่ม ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องคอยตั้งสติ เพราะมันไม่มีเหตุคือกิเลสเกิดขึ้นมาให้ศีลขาด ความเป็นปกติของผู้มีศีลสมบูรณ์เป็นเช่นนี้ นี่คือทางสายกลางในระดับของศีล ๘

แต่แน่นอนว่าศีล ๘ ก็ยังไม่ใช่กลางที่สุดของศาสนาพุทธ แต่ก็มีส่วนที่กลางแล้ว ถูกต้องแล้ว พัฒนามาโดยลำดับ และศึกษาต่อไปจนมีศีลหรือทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกข้อได้โดยไม่ทุกข์ ไม่ลำบาก ไม่ทรมานตน เพราะรู้ดีในตนว่า ศีลที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ดีที่สุด รู้ว่าการปฏิบัติตามศีลนี้เป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยความสุข โภคทรัพย์ วรรณะ และเป็นประตูสู่การเข้าถึงนิพพาน มาตรฐานทางสายกลางของพุทธจึงวัดในเบื้องต้น สังเกตได้ในเบื้องต้นด้วยศีล ถ้ามีศีลแล้วชีวิตมันทุกข์ มันลำบาก ยังไม่เห็นดีเห็นควรตามศีลนั้นๆ ยังมีข้อขัดแย้งที่เป็นไปในทางอกุศล แสดงว่ามันยังไม่กลาง มันยังจมกิเลสอยู่ ยังโดนกิเลสดึงไว้อยู่ ยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาถือศีลเพื่อศึกษาและปฏิบัติได้

นี่คือมาตรฐานที่รู้กัน เข้าใจกัน มองเห็นกันได้ ยอมรับกันได้ในพุทธบริษัทว่านี่แหละ คือมาตรฐานร่วมที่จะใช้บ่งบอกว่าสิ่งใดที่เป็นลักษณะของความเจริญ เป็นไปเพื่อกุศล ยับยั้งอกุศล ก็คงจะมีแต่ศีลนี่แหละที่พอจะเห็นเป็นภาพเดียวกันได้ เพราะสภาวะที่ลึกๆ หลังจากนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก อีกทั้งคนที่ต่ำกว่าจะไม่เข้าใจคนที่สูงกว่า ซึ่งบางคนก็ถือโอกาสมั่วนิ่ม โมเมว่าตนเป็นพระอริยะหรือเป็นพระอรหันต์ซะเลย จะได้ไม่มีใครกล้าตำหนิหรือกล้าแย้ง หรือในพวกคนที่หลงผิดด้วยใจซื่อๆ ว่าตนเองบรรลุธรรมก็มี พอไม่มีสิ่งที่จะมาตรวจสอบสภาวธรรมกันจริงๆ ก็เลยมีอรหันต์เก๊ พระอริเยอะกันเต็มบ้านเต็มเมือง

ศีลนี้เองจะทำให้เรารู้ว่าผู้ใดที่เจริญแล้ว อยากตรวจสอบง่ายๆ ก็ลองเอาศีล ๕ ไปปฏิบัติดู ถ้าไหวก็ ๘, ๑๐ ต่อไปจนถึงพระพุทธเจ้าตรัสอะไรก็ทำหมดนั่นแหละ ถ้าอยู่บนทางสายกลางจริง มันจะไม่มีทุกข์เลย มันจะมีปัญญาเห็นตามด้วยว่า “อ๋อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีอย่างนี้นี่เอง ทำแล้วมันดีแบบนี้นี่เอง” จะมีความเห็นที่เป็นไปในทางเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยไม่มีข้อสงสัยหรือข้อขัดแย้งใดๆ และถ้ามีความเห็นถูกตรงในการปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์จริงๆ มันจะไม่ตีกลับ ไม่เบือนหน้าหนีสิ่งดีงามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จะพยายามปฏิบัติตนเองให้พัฒนาจนเข้าถึงธรรมนั้นๆ มันจะไม่หาช่องไว้เสพสุข ไม่หาจุดบอด ไม่เบี้ยวบาลี มีแต่จะทำไปเพื่อเป็นกุศลอย่างเดียว ถ้าจะปรับก็ปรับเพื่อกุศลมากกว่า อนุโลมในบางกรณีที่เกิดประโยชน์มากกว่าเท่านั้น

ผู้ที่อยู่ในทางสายกลางอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีวันเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งก็มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ส่วนพระเสขะอื่นๆ ท่านก็เอียงไปในส่วนที่ท่านยังหลงอยู่ แต่ท่านเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าตรงไหนที่เรียกว่า “ทางสายกลาง” ไม่ใช่เอา “ทางสายกู” ขึ้นมาอ้าง เหมือนกับคนที่หลงทางในทางธรรม…

14.8.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

วนมาจนครบรอบ 2 ปี…

August 6, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,478 views 0

วนมาจนครบรอบ 2 ปี…

พิมพ์บทความลงใน เพจ(ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์)นี้ มาก็ครบ 2 ปีแล้ว ซึ่งสองปีมานี้ก็รู้สึกถึงความพัฒนาของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น เพราะคนที่อ่านบทความในเพจนี้มากที่สุดก็คงจะเป็นผมเอง บทความหนึ่งก็ทวนกันไม่ต่ำกว่าสามรอบ แต่ละรอบก็ยาวๆ ทั้งนั้น ทั้งทวน ทั้งเกลา มีบ้างที่ลบแล้วพิมพ์ใหม่ แต่มันก็ทำให้บทความดีขึ้น

ทักษะเรื่องการพิมพ์และการเรียบเรียงมันก็พอเป็นพอไป พอจะมีคนมาอ่านมาติดตามกันอยู่บ้าง ประโยชน์จริงๆ ที่ได้คือได้ทบทวนธรรมเสียมากกว่า แถมได้แบ่งปันธรรมะด้วย ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น ก็คงจะทำต่อไป แต่อาจจะไม่ได้ลงบ่อยเหมือนปีแรกๆ

ผมทำเพจนี่ก็ไม่ค่อยเหมือนเพจอื่นสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้มาทักทายตอบโต้กับผู้แสดงความคิดเห็น จะเน้นอ่านเป็นหลัก คือพิมพ์ส่งมาผมก็อ่านทุกอันแหละ แต่จะเลือกตอบเฉพาะเรื่องที่เขาถาม ส่วนคนที่มาบอกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเชิงบอกเล่าอันนั้นก็เป็นสิ่งดี ก็เป็นกรรมของผู้นั้นเอง ถ้าเข้ามาร่วมแบ่งปันสิ่งดี มันก็ดี แบ่งปันสิ่งไม่ดี มันก็ไม่ดี ดังนั้นใครเห็นว่าอะไรดีก็ทำต่อไป ดูเผินๆ เพจนี้อาจจะดูเหมือนหยิ่ง แต่จริงจริงไม่รู้จะตอบอะไร…

ส่วนคนที่มาขอแชร์ ขอแบ่งปันนี่ ให้ถือว่าเข้าใจกันโดยสามัญว่า ถ้าเอามาเผยแพร่ในเพจ ก็เป็นสาธารณะอยู่แล้ว จะเอาไปใช้อย่างไรก็แล้วแต่จะพิจารณา แต่ก็แนะนำว่าถ้าจะแบ่งปันก็แบ่งเพื่อให้กิเลสลด อย่างแบ่งให้กิเลสเพิ่ม แบบว่าแบ่งปันไปแล้ว โทสะโต อัตตาโต แบบนี้มันจะไม่ดีนัก

ในฐานะคนเขียนผมก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป ให้มันมีปัญญามากขึ้น จะได้มีอะไรดีๆ มาแบ่งปันมากขึ้น

ผู้ให้บริการ – การเข้าคิว

June 29, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,323 views 0

เมื่อวานผมไปซื้อของที่ตลาดติดแอร์แห่งหนึ่ง ของที่ซื้อก็เป็นพวกผักที่ต้องชั่งน้ำหนัก ซึ่งผมก็เดินไปต่อคิวตามที่ควรจะเป็น

ลักษณะของพื้นที่นั้นเป็นหัวมุม ทุกคนสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการได้หลายทิศทาง ตอนที่ต่อคิวอยู่และกำลังจะถึงคิวชั่งน้ำหนักของผม คนที่มาต่อข้าง ๆ ก็ยื่นถุงนำหน้ามา

ในจังหวะที่ผู้ให้บริการ ชั่งน้ำหนักให้คนก่อนหน้าผมเสร็จ เขาก็หันมาดู ของที่ถูกยื่นนำหน้าผมมา และหันมามองของในมือผมที่กำลังจะยื่นให้

ผมไม่ได้ยื่นของแข่งกับเขา แม้ว่าเขาจะพยายามยื่นให้ใกล้เครื่องชั่งที่สุด ผมก็ยื่นให้เท่าที่ผมสบายนั่นแหละ เพราะไม่ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งจริงตามกรรมที่ควรจะเป็น ผู้ให้บริการจะเลือกของผมก็ได้ หรือจะเลือกของคนที่ยื่นมาจากข้าง ๆ ผมก็ได้ เพราะลักษณะมันเป็นหัวมุม ไม่ชัดเจนว่าแถวอยู่ตรงไหน

แว่บหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงลักษณะที่บ่งบอกถึงความลังเลของผู้ให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วผู้ให้บริการก็หยิบถุงผักในมือผมไป หลังจากนั้นผมจึงค่อย ๆ วางผักอื่น ๆ ลงบนโต๊ะตามลำดับ เพื่อให้การชั่งน้ำหนักรวดเร็วขึ้น เสร็จแล้วผมก็เดินออกมาโดยไม่ได้สนใจคนข้างหลัง ไม่ใช่เพราะว่าผมได้รับบริการก่อน แต่ผมเพราะผมไม่ได้สนใจแต่แรกอยู่แล้ว

 

….

มันก็เป็นเรื่องเล็กๆ แต่เชื่อไหมว่า คนเราโกรธกันทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้แหละ ไม่ว่าจะแซงคิวกัน ขับรถปาดกัน สารพัดการเอาเปรียบกัน หลากหลายลีลาที่จะทำให้เราขุ่นเคืองใจ

หากเราหัดสังเกตุเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ มันมีความจริงเกี่ยวกับผลของกรรมให้ศึกษาอยู่ นั่นคือกรรมที่เราทำมา เราต้องได้รับแน่นอน การที่ผมวางใจได้นั้น เพราะผมระลึกเสมอว่า ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนผมก็จะทำความเข้าใจและยอมรับให้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นเราเคยทำมาทั้งหมด

ผมไม่ได้เอาความเหมาะสม, ความถูกต้อง, มารยาท หรืออะไรทั้งสิ้นมาเป็นที่ตั้ง แต่เอาผลของกรรมเป็นที่สุด หากเราไม่ปล่อยใจไปตามความโลภ โกรธ หลง สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็เป็นสิ่งที่จริงที่สุด ที่สมควรจะเป็นแล้ว แม้ว่าผู้ให้บริการจะเลือกรับของจากคนข้างหลังผมก็ตามที

เมื่อถูกกล่าวหา ชาวพุทธควรทำอย่างไร?

May 28, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,423 views 0

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราพึงตั้งตนอยู่ในคุณธรรมสองประการคือ ๑. ความจริง ๒. ความไม่ขุ่นเคือง (พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๕๑๑)

เมื่อเราถูกกล่าวหาแล้วเราก็ควรจะแสดงให้เห็นถึงความจริง ถ้าเขาให้โอกาสเราพูด ให้โอกาสเราพิสูจน์ความจริงเราก็พิสูจน์ การพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจความจริงให้ตรงกันนั้นเป็นสัมมาวาจา แต่ถ้าเขาไม่ให้โอกาสเราก็ต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ยอมให้เขาเข้าใจผิด ทั้งนี้การตั้งตนอยู่ในความจริงก็คือ ผิดก็ยอมรับว่าผิดจริง ไม่ใช่รู้ตัวว่าผิดแล้วทำเฉไฉ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มีมารยา แต่ถ้าคิดว่าถูกก็ควรรับฟังความเห็นที่แตกต่างบ้าง เพราะเราอาจจะไม่ได้ถูกไปทั้งหมด

และไม่ว่าเขาจะกล่าวหาอย่างไร สาวกของพระพุทธเจ้าไม่ควรแสดงความขุ่นเคืองใจ ไม่ว่าจะออกไปทางโกรธหรือน้อยใจ ประชดประชัน ฯลฯ หรือกระทั่งการโจมตีกลับ ชวนทะเลาะ แข่งดีเอาชนะ การกระทำเหล่านี้นอกจากไม่เป็นไปเพื่อความสุขแล้ว ยังทำให้เกิดความขัดแย้งลุกลามใหญ่โตได้