คนพาลมีอำนาจ (กรณีศึกษา ลูกนกกาเหว่า)

February 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 664 views 0

เมื่อเช้าได้ดูคลิปลูกนกกาเหว่า ที่เรียกว่าร้ายตั้งแต่เกิด ก็เหมือนกับคนพาลที่มีความมุ่งร้ายในสันดาน

ในสารคดีเขาเล่าว่า… แม่นกกาเหว่าจะไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่น แต่ไข่ของนกกาเหว่าจะฟักไวกว่า และมักจะตัวใหญ่กว่า ทำให้มันได้กินอาหารก่อน โตก่อน พอโตกว่าแล้วก็ดันไข่ใบที่ยังไม่ฟักตกจากรัง แล้วก็ดันลูกนกตัวอื่นให้ตกจากรัง ทั้ง ๆ ที่ตามันยังไม่ลืมเลยนะนั่น ให้เหลือไว้แต่ตัวเอง เพื่อที่จะได้ความรักและอาหารแต่ผู้เดียว

ลูกนกกาเหว่าก็เหมือนคนพาล ครูบาอาจารย์ได้เคยเตือนให้ระวังคนพาล คนฐานศีลต่ำ จะเข้ามามีอำนาจในหมู่กลุ่ม ทำให้ไม่เจริญ ชะงัก เพราะคนพาลเขาจะสกัดดาวรุ่ง ไม่ให้ใครเด่นหรือใหญ่ไปกว่าเขา

การที่ลูกนกกาเหว่าฟักออกมาก่อน ก็เหมือนกับคนพาลที่เข้ามาในกลุ่มก่อน แล้วชิงพื้นที่ ล่าโลกธรรม ล่าบริวาร ล่าอำนาจ ตัวอ้วนใหญ่ เบ่งกร่างสร้างบารมีไปเรื่อย ๆ

ทีนี้พอตัวเองใหญ่แล้ว น้องที่เป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นก จะมาเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะคนพาลชิงทำลายไปก่อน จะโตก็โตไม่ได้ เพราะคนพาลจะฆ่าเสียให้ตาย

ทั้ง ๆ ที่ลูกนกกาเหว่าก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ไม่ใช่เชื้อสายของนกในรังนั้น เป็นเพียงแขกที่มาอาศัย แต่กลับไม่ทำตัวเหมือนแขก ไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรม ทำตัวกร่าง ใหญ่ บ้าอำนาจ ใช้ความเก่งของตัวเองไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ตนได้เสพสุขแต่เพียงผู้เดียว

ผลเสียของการมีคนพาลเข้ามาในกลุ่มคือ กลุ่มจะไม่เจริญ จะติด จะชะงัก ศีลธรรมจะเสื่อมถอย อธรรมจะเข้าแทรก กามและอัตตาจะจัด พัฒนาได้ยาก ครูบาอาจารย์จะเมื่อยหัว เพราะบางทีตอนเขาทำชั่วเขาก็ไม่ได้บอก เหมือนกับลูกนกกาเหว่าที่แอบผลักลูกนกตัวอื่นให้หล่นจากรังตอนแม่นกไม่อยู่

กลุ่มไหนที่ปล่อยให้คนพาล คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีอำนาจ หมู่กลุ่มนั้นก็จะพินาศเหมือนลูกนกตัวอื่น ๆ ในรังที่มีลูกนกกาเหว่า

แต่ถ้าเป็นหมู่พุทธะจะต่างออกไป คนพาลจะแทรกซึมอยู่ไม่ได้ เหมือนกับที่พระโมคคัลลานะได้จับพระทุศีลลากออกไปจากองค์ประชุมหมู่สงฆ์ นี่คืออำนาจของผู้ที่ไม่หวาดหวั่นต่อการมีอยู่ของคนพาล

พระพุทธเจ้าตรัสลักษณะของศาสนาพุทธไว้ว่า ทะเลไม่เก็บซากศพฉันใด พุทธย่อมไม่เก็บคนพาลไว้ฉันนั้น พุทธจะซัดเอาคนพาล คนชั่ว คนผิดศีลออกจากกลุ่ม เป็นธรรมดา

ศัตรูชีวิตก็คือสตรี

February 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 706 views 0

ศัตรูชีวิตก็คือสตรี

ความเจ้าชู้ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ก็เป็นภัยแก่ความผาสุกทั้งสิ้น หลายครั้งที่ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับคนที่คนรักไปมีชู้ แล้วเขาก็แก้ปัญหาในทางที่ผิด คือแก้ด้วยความโกรธ แค้น อาฆาต มุ่งร้าย ทำลาย ฯลฯ คือมีแต่พากันให้เป็นทุกข์ ตัวเองก็ทุกข์เพราะโทสะ คนอื่นก็ทุกข์เพราะผลแห่งการบันดาลโทสะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะชวนกันมาศึกษาว่า เรื่องเหล่านี้ควรจะแก้ไขอย่างไรหนอ? ชีวิตจึงจะเป็นสุข ลองมาอ่านความตอนหนึ่งจากพระไตรปิฎกกัน

“บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมีอาการคล้ายก้นเหวที่เรียกกันว่าบาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น

เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม(ผู้หญิง) ชนเหล่านั้นมีความสุขปราศจากความโศก ความประพฤติไม่คลุกคลีกับมาตุคามนี้เป็นคุณนำความสุขมาให้ บุคคลผู้ปรารถนาความเกษมอันอุดมไม่พึงทำความเชยชิดสนิทสนมกับมาตุคามเลย (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗“สมุคคชาดก” ช้อ ๑๒๙๙)

ในชาดกตอนนี้ท่านว่า ไม่มีหรอกที่จะรักษาผู้หญิง(ผู้ชาย) ที่หลายใจ เราจะวางใจไม่ได้เลย เพราะหญิงหรือชายหลายใจเหล่านั้นไม่เคยพอ ไม่เคยเต็ม ดังเนื้อเพลงฮิตสมัยก่อนว่า “เติมใจเธอไม่เคยเต็ม เติมใจเธอไม่เคยพอ” คนหลายใจก็เป็นเช่นนี้แหละ ไม่เคยเต็ม ไม่เคยพอแบบนี้ จะทุ่มโถมทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม เพราะกิเลสนั้นคือความเสพไม่เคยอิ่ม คนที่ประมาท ชะล่าใจ ไว้ใจ ว่าตนเองเอาอยู่ ตนเองควบคุมได้ รักษาไว้ได้ คนที่ประมาทอย่างนี้ก็ต้องพบกับทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในย่อหน้าที่สองยังสรุปไว้อย่างหนักแน่นว่า คนที่ไม่ไปยุ่งหรือวนเวียนอยู่กับผู้หญิง คนเหล่านั้นจะมีแต่ความสุข ไม่มีเศร้าหมอง ถ้าดำรงชีวิตไม่คลุกคลีกับผู้หญิงจะนำความสุขมาสู่ชีวิต คนที่หวังจะมีชีวิตผาสุกอย่างยิ่งยวด ไม่ควรไปสนิทสนมกับผู้หญิงเลย

ถ้าอ่านรู้แล้วสึกว่า มันอะไรกันนักกันหนากับผู้หญิง จะยกเนื้อหาเพิ่มเติมให้ศึกษา คือตอนที่แม่ที่เลี้ยงเจ้าชายสิทธัตถะมาตั้งแต่ยังเด็ก จะมาขอบวช แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงอนุญาต ขอแล้วขออีก น้ำตานองหน้า โกนหัว นุ่งผ้าฝาด เดินจนเท้าพองมาขอ ท่านก็ยังไม่ให้บวช จนพระอานนท์ต้องตื้อแล้วตื้ออีก จนพระพุทธเจ้ายอมแบบมีข้อแม้ คือนักบวชหญิงต้องปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ ตลอดชีวิต เป็นข้อธรรมที่หนัก และทำได้ยาก ทำลายอัตตาผู้หญิงแบบสุด ๆ ผู้หญิงที่ยอมทำตามเท่านั้นจึงจะให้บวชได้

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าได้สอนว่าถ้ารับผู้หญิงเข้าบวชมาในศาสนา อายุศาสนาจะสั้นลงเท่าหนึ่ง เช่น จาก 1,000 ปี ก็เหลือ 500 ปี ท่านเปรียบไว้เช่นว่า “เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน”  สุดท้ายพระพุทธเจ้าสรุปว่าคุรุธรรม 8 ประการนั้นแหละ จะเป็นตัวกั้นไม่ให้เสื่อม เหมือนกับทำขอบสระให้ใหญ่พอที่จะกั้นไม่ให้น้ำไหลออกได้ ดังนั้นความเสื่อมจะเกิดน้อยที่สุด เท่าที่นักบวชหญิงทั้งหลายยังถือปฏิบัติคุรุธรรม 8 ประการ

เรื่องเหล่านี้นี่เอง คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เห็นโทษภัยแม้เล็กแม้น้อยที่มีในผู้หญิง และยังมีอีกหลายสูตรเกี่ยวกับความเป็นภัยของผู้หญิง ดังนั้น ผู้ชายอย่างเราก็ควรจะรักษาตนให้เป็นโสด ไม่คลุกคลีกับผู้หญิงโดยไม่จำเป็น ชีวิตก็จะเป็นอยู่ผาสุก ห่างไกลบาปกรรมและการทำสารพัดเรื่องชั่วได้นั่นเอง

19.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

 

ห่างไกลคนพาล คือตัวอย่างของคนดี

February 18, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 723 views 0

ความเด็ดขาดที่จะตัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตคือคุณสมบัติหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตเป็นอยู่ผาสุก

ความห่วงกังวลก็เหมือนแผลเหมือนฝี ต้องคอยระวัง เจ็บปวดอยู่เป็นประจำ ชีวิตที่เนื่องด้วยคนพาลก็เช่นเดียวกัน

คนพาลคือผู้ที่ไม่ประพฤติไปตามธรรม ไม่เอาธรรมะ เกเร เอาแต่ใจ หมกมุ่นกับกิเลส

ถ้าชีวิตของเรานั้นห่างไกลคนพาลได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ความเป็นจริงคือ เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายไปเสียแล้ว คนพาลนั้นร้ายยิ่งกว่าเสือ เสืออย่างเก่งก็แค่ทำร้าย กัดเราตาย แต่ไม่มีพิษภัยมากกว่านั้น คนพาลนั้นมีพิษยิ่งกว่า แสร้งว่าเป็นคนดี ซ่อนตัวตนของความพาลอย่างแนบเนียน กว่าที่เราจะรู้ตัวก็เรียกว่าถลำคบหาไปเยอะ ใกล้เกินไป

แต่เมื่อเรารู้แล้วว่า คนนี้เป็นคนพาล คิดนี้ผิดศีล คนนี้พูดกลับกลอก ไม่พูดตามจริง พูดผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว ไม่ปฏิบัติตามธรรม เราก็ควรจะออกห่างมา เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว การไปเตือนคนพาลจะยิ่งทำให้เขาจองเวรเรา คือเขาไม่ฟังเราแล้วก็หนึ่งประเด็น เขาจะเห็นว่าเราเป็นศัตรูของเขาก็อีกประเด็น ดังนั้น ถ้าเห็นความพาลแล้ว ผมจะเลือกถอยออกมาเลย

ยิ่งถ้าผิดศีลกันชัด ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง ส่วนใหญ่ก็จะให้เวลาประมาณหนึ่ง เพื่อจะดูว่าสำนึกบาปไหม ถ้าดูท่าทีแล้วไม่สำนึกก็ต้องห่างไว้ คนผิดศีลแล้วรู้ตัวยังพอคบหาได้ แต่คนผิดศีลแล้วไม่สำนึกคบไม่ได้

ทีนี้มันก็ต้องอาศัยความเด็ดขาดอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าไม่เด็ดขาด อนุโลม คบกันไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะไม่ช่วยคนพาลคนนั้น ไม่ทำประโยชน์ให้ตัวเองด้วย แล้วยังกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนที่เขาศรัทธาเราด้วย

ถ้าเราชัดเจน คนที่ดูเราอยู่ เขาจะมั่นใจขึ้น ถ้าเราไม่คบใครเขาจะถอยตามเรา ถ้าเราไม่คบคนพาล แล้วเขาไม่คบคนพาลตามเรา อันนั้นมันก็ดี แต่ถ้าเราไม่คบคนพาลแล้วเขายังคบคนพาลอยู่ก็เรื่องของเขา แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราให้เห็นแล้ว เราทำให้ดูชัดเจนแล้ว ว่าเราคบหรือไม่คบใคร

มันต้องอาศัยความเด็ดขาดเหมือนพระโมคคัลลานะที่จับพระทุศีลโยนออกจากองค์ประชุมนั่นแหละ แต่เราไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก อันนั้นบารมีระดับอัครสาวก อย่างเราก็ทำให้ชัดเจนที่ตัวเราก็พอ

ให้เราพ้นจากอำนาจบารมีของคนพาล แน่ล่ะสมัยนี้คนพาลเขาไม่ได้มาตัวเปล่า ๆ ส่วนใหญ่ก็พกอำนาจ พกบารมีกันมาเยอะ ๆ ทั้งนั้น เพราะเขารู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้เสพสมใจในกิเลสเขาได้ ยิ่งพาลลึกซึ้ง ยิ่งมีอำนาจมาก แสวงหาอำนาจมาก ใช้อำนาจมาก และบ้าอำนาจมาก จะยิ่งใหญ่ โต พองไปเรื่อย ๆ

ที่เขาโตก็เพราะว่าเราไม่เด็ดขาด ไปเติมอาหาร ไปเป็นแขนขาให้เขานั่นแหละ ถ้าเรายังอยู่ใต้อำนาจของคนพาลอยู่ ก็ยังเป็นมิจฉาชีพอยู่ มรรคผิด ในข้อมิจฉาอาชีวะ ที่ว่า “การมอบตนในทางที่ผิด” คือมอบตนรับใช้คนชั่วคนพาล คือการอยู่ใต้อำนาจ ใต้บารมีของคนพาล

ชีวิตมันต้องเป็นอิสระจากความชั่ว ไม่ถูกความชั่วบงการสิถึงจะผาสุก บางคนตัวเองไม่ทำชั่วแล้ว แต่ยังถูกความชั่วบงการอยู่ มันก็ยังมีส่วนผิดอยู่ดี

มันก็เลยต้องอาศัยความเด็ดขาดในการออกจากสิ่งไม่ดีนั้น ๆ แน่นอนว่ามีผลกระทบ แต่สุดท้ายมันจะดี เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ตัวเราก็ได้ห่างไกลคนพาล คนอื่นเห็นเขาจะได้รู้ชัดเจนขึ้น เขาจะได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปเติมพลังทางไหน ส่วนคนพาลก็ไม่ได้อาหารจากเรา ความพาลของเขาก็จะไม่เติบโตเพราะความไม่เด็ดขาดของเรา

ที่ว่ารักนักรักหนา สุดท้ายก็ฆ่ากันได้

February 18, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 566 views 0

ได้ยินว่ารักอย่างนั้น รักอย่างนี้อย่าเพิ่งไปรีบเชื่อกันว่าเขาพูดจริง หลายคนเขาก็ว่ารัก แต่เขาก็หักหลังคนรัก ทำร้ายคนรัก หรือฆ่าคนที่เขารักได้หน้าตาเฉย

จริง ๆ เขาก็เอาคำว่ารักมาหลอกกันนั่นแหละ เพื่อที่จะได้ครอบครองอีกฝ่าย เพื่อที่จะเอาชนะ ครอบงำจิตใจ ให้หลงงมงายแต่เขา ให้รักแต่เขา คนก็มอมเมากันด้วยคำว่ารักนี่แหละ

พอหลุดจากมนต์สะกด ไปมอมเมาเขา แล้วอีกฝ่ายไม่เมาด้วย เขาก็ขายหน้าไง ก็พ่นมนต์รักซะดิบดีสุดท้ายไม่รักเราได้อย่างไร? อย่างนี้มันเสียหน้า มันหยามอัตตากัน สุดท้ายก็ลงไม้ลงมือ หักหลัง ทำร้าย ฆ่ากันได้

ความรักของคนจึงมีองค์ประกอบของกามและอัตตาปนอยู่ด้วยกัน กามก็รูปร่าง หน้าตา กลิ่นหอม สัมผัสเสียดสี ฯลฯ ส่วนอัตตาก็ความได้ดั่งใจ ได้คนมาสนองความเป็นตัวตนได้สมใจ จริง ๆ มันก็มีเชื้ออยู่กว้าง ๆ แค่ประมาณนี้แหละ

ได้เสพสมใจก็กิเลสขึ้น ไม่ได้สมใจก็กิเลสขึ้น มีอยู่แค่นี้ ชีวิตที่หลงมัวเมากับความรักก็มีแต่ขาดทุน เพราะได้สมใจก็ทำบาป ไม่ได้สมใจก็ทำบาป มีทิศทางเดียวคือบาป ไม่มีบุญเลย เพราะมีแต่เพิ่มกิเลส ไม่ได้มีกิจกรรมใด ๆ ที่ล้างกิเลสเลย

ถ้าคนเขามีรักจริง ๆ หวังดีกันจริง ๆ เขาไม่ไปจีบ ไม่ไปล่อลวงใครมาให้เป็นคู่หรอก สุภาพบุรุษไม่จีบผู้หญิง ไม่สร้างโอกาส ไม่สร้างภาพ ไม่สนับสนุนให้ใครมาหลงรักด้วย

เพราะรักแล้วมันทุกข์ไง รักแล้วมันเป็นสารพัดทุกข์ จะไปทำให้เขามารักทำไมล่ะ ให้เขามาเป็นทุกข์นี่มันไม่ใช่ความหวังดี ไม่ใช่ความเมตตาเกื้อกูลแล้ว มันก็เป็นความเบียดเบียนนั่นแหละ

ทุกข์เรื่องความรักนี่มันเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ขนาดมีข่าวฆ่ากันตายเพราะรัก เกือบทุกวัน ขนาดว่าเป็นทุกข์เพราะรักกันอยู่ ยังไม่รู้จักเลยว่านั่นทุกข์ ขนาดเป็นทุกข์กันอยู่คนยังไม่ตระหนักกันเลย ยังจะเอา ยังจะไขว่คว้าอยู่อย่างนั้น ถ้าคนรู้จักทุกข์ชัดเจนจริง ๆ จะไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเป็นทุกข์ แต่เพราะส่วนใหญ่เขาไม่รู้ว่ารักนั้นทำให้เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ชัดเจน ไม่รู้แจ้ง ก็เลยพากันเมารักอยู่อย่างนั้น

มันจะมีโอกาสเห็นความจริงตอนผิดหวังนี่แหละ ที่เห็นว่ารักนั้นเป็นของหลอก ไม่สุขจริง ไม่สุขยั่งยืน แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นได้ง่าย ๆ เพราะสั่งสมอัตตามามาก ตอนผิดหวังมันจะโกรธแค้นแทนที่จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง สรุป…แทนที่จะได้เข้าใจธรรมะ กลายเป็นกิเลสคาบไปกินหมด แค้น โกรธ เกลียด อาฆาต สุดท้ายก็ไปทำร้าย ไปฆ่าเขา เพื่อเสพรสรักนี่แหละ เพราะถ้าเราไม่รักนะ เขาจะไปมีใคร เราก็จะไม่โกรธ แต่ที่เราโกรธ เพราะเราไปรักนั่นเอง